แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันอาทิตย์เป็นวันหยุดงานฝ่ายกาย แต่เราก็ไม่หยุดงานฝ่ายจิต จึงได้ชักชวนกันมาวัด เพื่อทำการศึกษาข้อธรรมะอันเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เพื่อนำไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิตต่อไป ถ้าว่าชีวิตของคนเรานั้น มันมีปัญหาอยู่ตลอดเวลา เดี๋ยวเรื่องนั้นเดี๋ยวเรื่องนี้ เกิดขึ้นในจิตใจของเราบ่อย ๆ ถ้าเราไม่มีเครื่องมือสำหรับที่จะแก้ไขก็ลำบาก เหมือนรถเวลาไปไหนถ้าไม่มีเครื่องมือไปด้วย เกิดยางแตกขึ้นมาก็เดือดร้อนกันใหญ่ แต่ถ้าเรามีเครื่องมือพร้อมมียางอะไหล่ เราก็สบายใจ ถึงแม้มันจะเสียก็ไม่เป็นทุกข์มากเกินไป เพราะเราคิดว่าช่วยได้ แต่ถ้าเราไม่มีอะไรก็ลำบากฉันใด ในชีวิตของเราแต่ละคนนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเราไม่มีเครื่องมือคือธรรมะไว้สำหรับแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น เราก็มีความทุกข์มาก มีความเดือดร้อนมาก ดังที่ท่านทั้งหลายเคยประสบมาในชีวิตด้วยกันแล้วทั้งนั้น กว่าจะเข้าถูกทางที่จะได้ใช้เครื่องมือธรรมะเป็น ก็ต้องระหกระเหินมีความทุกข์นานาประการเกิดขึ้น แต่เมื่อเราได้เข้าวัดคือได้ศึกษาธรรมะ จากการอ่าน จากการได้ยินได้ฟังที่พระท่านนำมาสอนเราให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เราก็รู้สึกว่ามันเบาขึ้น จิตใจสบายขึ้น ความวุ่นวายต่างๆนั้นค่อยหายไป มันยังเกิดอยู่นั่นแหละแต่ว่าเกิดแล้วไม่เป็นพิษแก่จิตใจของเรา ที่ไม่เป็นพิษแก่จิตใจก็เพราะว่าคือเรามีเครื่องมือกลั่นกรองไม่ให้เกิดเป็นพิษแก่ตัวเราได้ ประโยชน์มันเกิดที่ตรงนี้ การศึกษาธรรมะนี่มันมีประโยชน์ตรงนี้ ตรงที่เราสามารถเอาไปใช้แก้ไขปัญหาในชีวิตประจำวัน ทำให้สิ่งทั้งหลายเปลี่ยนสภาพไปในทางดีขึ้นได้
ท่านทั้งหลายได้จึงพอใจในการที่จะมาฟังข้อธรรมะกันอยู่เป็นประจำ เพราะเราได้เอาไปใช้แล้วแล้วก็ได้ผลยบ้างแล้วตามสมควรแก่ฐานะ ที่เรียนมากเข้าเอาไปใช้มากเข้าก็จะเป็นประโยชน์มากขึ้นแก่ชีวิตของเราต่อไป จึงอย่าเบื่อหน่ายในการที่จะมาศึกษาที่จะสนใจในการปฏิบัติต่อหลักธรรมะนั้นๆ ในชีวิตประจำวันของเราตลอดไป แล้วก็อย่ามาคนเดียวเพื่อนฝูงมิตรสหายที่เรารู้จักมักคุ้น พอจะชักจะจูงให้เข้ามาในทางที่ถูกที่ชอบได้ ก็ควรจะช่วยกันชักจูงเขามาเป็ฯการสงเคราะห์เพื่อนทางจิตทางวิญญาณอย่างแท้จริง การช่วยเหลือเพื่อนฝูงนั้นถ้าเราช่วยกันในทางวัตถุให้เงินเขาใช้ให้เสื้อให้ผ้า เอาไปเลี้ยงตามภัตตาคารเป็นครั้งคราว มันก็เท่านั้นแหละ ไม่มีอะไรที่จะเป็นหลักประกันสำหรับคนนั้นอย่างมั่นคงได้ แต่ถ้าเรานำเขามาหาธรรมะให้เขาได้ศึกษาได้รู้ได้เข้าใจในเร่าองธรรมะ เขาก็จะนำธรรมะนั้นไปใช้เป็นหลักประกันคุ้มครองชีวิตของเขาได้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า สรรพทานัง ธมมทานัง ชินาติ การให้ทานธรรมะย่อมชนะการให้ทั้งปวง การให้ของอื่นนั้นเป็นเรื่องภายนอก แต่การให้ธรรมะนี่เป็นเรื่องภายใน วัตถุอื่นนั้นเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย แต่ว่าธรรมะนั้นเป็นประโยชน์แก่จิตใจ สิ่งใดที่เป็นประโยชน์แก่จิตใจเป็นเรื่องที่เราควรให้ควรแจก หรือควรนำเขามารับรู้ ในเรื่องที่เขาควรจะรู้ควรจะเข้าใจ สังคมในปัจจุบันนี้มีปัญายุ่งยากมาก เราจึงควรจะอนุเคราะห์แก่เพื่อนฝูงมิตรสหายของเราด้วยการชักนำเข้าหาพระ ให้เขาได้รู้ได้เข้าใจในหลักธรรมะอันควรจะนำไปเป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาต่อไป เช่นเราเห็นว่าเพื่อนของเรามีความทุกข์มีความเดือดร้อนใจ เราก็ไปชวนเขามาวัด เช่นวันอาทิตย์นี่ก็ไปชวนเขามา ให้มานั่งสงบใจเสียบ้าง ให้ได้มาเรียนรู้เรื่องชีวิต ให้เข้าใจถูกต้อง เขาก็จะคลายจากความทุกข์ความเดือดร้อน การช่วยเพื่อนในรูปอย่างนี้เป็นการช่วยอย่างแท้จริง เป็นการช่วยอย่างถาวร ที่ถ้าเขามีไว้ใช้แล้ว เขาก็จะได้ใช้สิ่งนั้นตลอดไป จึงเป็นเรื่องที่ควรจะได้กระทำ นอกจากนั้นในการปฏิบัติจิตทางศาสนาเราจึงมีหลักว่าเรียนรู้ด้วยตนเอง ชักชวนผู้อื่นให้เรียนรู้ ปฏิบัติด้วยตนเองชักชวนคนอื่นให้มาปฏิบัติด้วย เป็นการช่วยกันคนละไม้คนละมือ ให้คนเข้าถึงธรรมะในศาสนา ให้ได้ปฏิบัติกายวาจาใจให้เข้าทางถูกทางชอบตามหลักของพระพุทธศาสนา ตลอดไป นี่เป็นเรื่องที่ควรจะได้กระทำประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งในชีวิตของคนเรานั้น ถ้าหากว่าเราคิดดูให้ดีแล้ว เริ่มตั้งแต่เราเป็นเด็กพอจำอะไรได้ ไอ้ก่อนนั้นมันไม่ได้เรื่องอะไร เพราะยังเป็นเด็กที่ไร้เดียงสา ที่เขาเรียกว่าไร้เดียงสาคือยังไม่รู้อะไรว่าเป็นอะไร ความเป็นไปในชีวิตก็เป็นไปตามเรื่องตามราว เราดูเด็กน้อยๆเขามีแต่เรื่องกิน เรื่องเล่น กับเรื่องนอน นี่เป็นเรื่องใหญ่ของเขา เรียกว่านอนนี่ก็เป็นเรื่องหนึ่ง กิน แล้วก็เล่น สามอย่างนี้เราจะเห็นว่าเด็กๆเขาชอบอย่างนี้ทั้งนั้น นอนพอตื่นขึ้นมาก็กิน กินอื่มแล้วก็ไปเล่น สามเรื่องนี้เขาทำกันอยู่จำใจ เล่นอะไรก็ได้ มีตุ๊กตามีนั่นมีนี่เขาก็ไปเล่นสนุกสนานของเขาเรื่อยไป เขาไม่ค่อยได้มีความคิดอะไรในทางปรุงแต่งจิตใจมากนัก คิดแต่เรื่องว่าจะกินเท่านั้น จะเล่น จะนอน เรื่องมันไม่มาก ความคิดของเด็กจึงไม่ค่อยจะมี แม้แต่เราสังเกตุดูจิตใจของเด็กนี่เขาไม่ค่อยจะเป็นทุกข์นานๆ ไม่เหมือนผู้ใหญ่ๆ ผู้ใหญ่เรานี่เรียกว่าเจริญเติบโต มีปัญญามีการศึกษาอะไรต่างๆมาก แต่ว่าพูดกันในแง่จิตใจในด้านที่เรียกว่ามีความสุข สู้เด็กไม่ได้ เพราะเด็กเค้ามีความสุขมากกว่าเรา เขาปล่อยวางได้มากกว่าเรา เขาไม่มีปัญญาปล่อยวางอะไรหรอก แต่ว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมชาติ เขาปล่อยวางตามธรรมชาติของเขา เขาไม่ได้ยึดถือไว้ เราจึงเห็นว่าเด็กไม่มีความโกรธรุนแรงเหมือนผู้ใหญ่ ไม่มีความพยาบาทอาฆาตจองเวรเหมือนกับผู้ใหญ่เราทั่วๆไป จะโกรธเคืองกับใครก็ประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็หายไป เช่นเด็กมันเล่นกันหลายคนบางทีก็เกิดขัดใจกันขึ้นแล้ว แล้วก็หยิกกันข่วนกันนิดๆหน่อยๆแล้วก็ไม่พูดด้วยหันหลังให้กันคือว่าต่างคนต่างเล่น ประเดี๋ยวเดียวเดี๋ยวก็กลับมาเล่นกันต่อไปแล้ว เขาลืมแล้ว ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อตะกี้นี้ นี่แสดงว่าเด็กนี่เขาเข้าใจ คือมันเป็นธรรมชาติ ผู้ใหญ่เรานี้มันฝืนธรรมชาติ เด็กนี่เป็นธรรมชาติเขาอย่างนั้น เขาลืมง่าย เขาไม่จำอะไรไว้ให้วุ่นวายสับสนในจิตใจ เช่นว่าเขาร้องไห้โกรธใครเคืองใคร ประเดี๋ยวก็หัวเราะได้ เขาลืมไปแล้ว ไอ้เรื่องที่เขาเกิดขึ้นเมื่อตะกี้นี้
นี่แหละเขาเรียกว่าใจของเด็ก เพราะงั้นจิตใจของเด็กเนี่ยยังบริสุทธิ์กว่าผู้ใหญ่เรา เราสงบกว่า เราสะอาดกว่า เราทั้งหลายที่เป็นผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่เราทำไมจึงมีอะไรมากมาย เพราะว่าเราสะสมสิ่งที่เป็นความยึดถือมากขึ้นโดยลำดับของชีวิต ตั้งแต่พอเริ่มรู้เดียงสาขึ้นม ก็เริ่มสะสมอะไรแล้ว ยึดถืออะไรมากขึ้นแล้ว แต่การยึดถือการสะสมอะไรในจิตใจของคนเรานั้น ก็เนื่องจากว่าผู้ใหญ่นี่จะคอยสอนคอยบอกเค้า ให้อย่างนั้นให้อย่างนี้ ไอ้นี่ของเธอ ไอ้นั่นของฉัน อะไรต่างๆ บอกให้เขายึดถือไว้ เด็กมันก็ไปยึดไปติดอยู่ในสิ่งนั้นๆ ในครอบครัวพ่อแม่พี่เลี้ยงนางนม ก็สอนให้มีความยึดมั่นถือมั่น ให้สำคัญผิดในเรื่องอะไรๆต่างๆ หลายเรื่องหลายประการ ไปโรงเรียน โรงเรียนก็สอนอีก สอนให้มีความยึดในโรงเรียน ให้ยึดในสีในพวกของตัว โรงเรียนมีหลายชั้น ชั้นนึงก็ให้สีอย่างนึง เวลาเล่นกีฬาก็มีสีต่างๆกัน จะให้เด็กยึดในสีนั้นๆ ให้เล่นให้ชนะเอาเกียรติเอาอะไรไว้ สอนกันไปในรูปอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าสอนเด็กให้มีความยึดถือที่เรียกว่าอุปาทาน อันเป็นตัวการที่จะเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ความเดือดร้อน แล้วเด็กนี่ทุกข์ง่ายซะด้วย ยุให้ยึดถือนี่ง่าย ยุให้มีอารมณ์แข่งกันก็ง่าย ผู้ที่ยุเป็นก็ยุใหญ่ ดังนั้นเราจึงเห็นว่าเด็กนักเรียนยกพวกตีกัน เวลาไปเล่นกีฬาตามสถานที่ต่างๆ เสร็จจากการกีฬาแล้วยกพวกตีกันหรือแม้ในสนามกีฬาก็มีการตีกัน เพราะเรื่องความยึดมั่นในตัวกู ถ้าพูดในแง่ธรรมะ ก็เรียกว่าอัตตามันเริ่มเกิดขึ้นในจิตใจของเขาแล้ว เมื่อสมัยเป็นเด็กอัตตามันไม่ค่อยจะมี พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาวก็เริ่มมีอัตตา หมายความว่ามีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีตัวกูขึ้นมามีของกูขึ้นมาแล้วก็มีอะไรๆมากมายก่ายกอง มากขึ้นโดยลำดับในเรื่องความยึดถือเหล่านั้น คือสอนหนังสือในโรงเรียนก็สอนเด็กให้ยึดถือให้เกิดมานะทิฐิให้เกิดความโกรธความเกลียดในสิ่งต่างๆ เช่นว่าสอนประวัติศาสตร์หรือพงศาวดาร ประเทศไทยกับประเทศพม่าเคยรบกัน ประเทศไทยกับเขมรเคยรบกัน เอามาสอน สอนเฉยๆไม่ว่า แต่ว่าเวลาสอนแล้วมักจะย้ำว่า พม่ามันทำกับเราเจ็บนัก มาเผากรุงศรีอยุธยา ถ้าพาเด็กไปดูซากปรักหักพังก็อธิบายว่านี้แหละพม่ามันมารังแกเรามันมาเผากรุงศรีอยุธยาจนกระทั่งล่มจมเสียหาย
สอนอย่างนั้น เด็กก็เกิดความโกรธขึ้นในจิตใจ คือเอาพม่า คือเอาฝังอยู่ในจิตใจ คนบางชาติบางประเทศโกรธกันในสายเลือดเลยทีเดียว เรียกว่าพอรู้ว่าเป็นชาตินั้นแล้ว คือจะโกรธขึ้นมาทันที จะเขม่นขึ้นมาทันที เขาเรียกว่าโกรธกันโดยสายเลือด ยิวกับอาหรับโกรธกันโดยสายเลือด ลงรอยกันไม่ค่อยได้เพราะยิวเขาถือว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ถ้ามันมาฆ่าเราหนึ่ง เราต้องฆ่ามันสอง แล้วมันจะจบได้ยังไง ฆ่ากันไปฆ่ากันมาก็ไม่รู้จักจบ เลยก็เกลียดกันโดยสายเลือด หรือเราชนชาติอื่นก็เป็นอย่างนั้น โกรธกันโดยสายเลือด ไม่จบไม่สิ้น นี่ก็เพราะว่ามีการฝึกการสอนให้มีความยึดมั่นถือมั่น ในเรื่องอย่างนั้น โดยหารู้ไม่ว่าการสอนเช่นนั้นเป็นการสร้างอุปาทานให้เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นการเพาะเชื้อแห่งอัตตา อัตตวิญญาให้เกิดขึ้นในใจ อัตตาหมายความว่ามีตัว อัตตวิญญาก็หมายความว่าเนื่องด้วยของๆตัวขึ้นมา เกิดเพราะเชื่ออย่างนั้นขึ้นมาในจิตใจของคน คนเข้าไปยึดไปติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เลยสร้างความรู้สึกรังเกียจขึ้นแก่กันและกัน อันนี้ไม่เป็นการถูกต้อง ความจริงเราสอนในแง่อื่นได้ เช่นสอนให้รู้ว่าเนี่ย ซากปรักหักพังทั้งหลายเหล่านี้ เกิดจากสงครามระหว่างไทยกับพม่า สงครามนี่มันเกิดจากอะไร เราก็ควรจะสอนว่ามันเกิดจากกิเลส เกิดจากความรู้ เกิดจากความโกรธความหลง ความพยาบาท ความอิจฉาริษยา ในสิ่งต่างๆที่มันเกิดขึ้น ไอ้สิ่งเหล่านี้มันเป็นความชั่ว ถ้าเกิดขึ้นในใจใครแล้วจะทำให้คนนั้นมีจิตเศร้าหมอง เป็นบาป มีความคิดในใจที่ไม่ถูกต้อง มีการพูดในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง มีการกระทำในเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ทำให้คนเกิดรบราฆ่าฟันกัน ด้วยประการต่างๆ
เราไม่ควรจะโกรธคน แต่เราควรจะโกรธอะไร โกรธกิเลส ควรจะโกรธกิเลสมากกว่า ถ้าเราไปโกรธคนเราไปทำร้ายคน กิเลสมันหาได้หมดไปไม่ แต่มันกลับเพิ่มขึ้นในคนอีกต่อไป เพราะการไปกระทำการตอบแทนกันด้วยอำนาจกิเลส ก็เท่ากับเพิ่มกิเลส ต่อคนหนึ่งโกรธ เราก็ไปโกรธเพิ่มขึ้นอีกคนหนึ่ง คนหนึ่งเกลียด เราไปเกลียดเพิ่มขึ้นอีกคนนึง คนนึงริษยา เราก็ไปตอบด้วยความริษยา เอาตาต่อตา ฟันต่อฟัน ก็ต่างคนต่างเสียหาย แล้วได้รับความทุกข์ความเดือดร้อนไปตามๆกัน อันนี้ไม่ใช่วิถีทางที่จะให้เกิดความสงบขึ้นในสังคมของมนุษย์ แล้วมนุษย์เราก็ผิดกันอยู่ตลอดเวลา ไอ้ที่เป็นๆกันอยู่ในเวลานี้แหละคือความผิดพลาดที่เกิดขึ้น เราศึกษาเหตุการณ์ระหว่างประเทศต่างๆที่เกิดขึ้น ถ้าศึกษาให้ดีแล้ว ตัวการสำคัญของเรื่องนั้น ก็คือความยึดมั่นในตัวตนนั่นเอง ไม่ใช่เรื่องอะไร เรียกว่าอุปาทานตามภาษาธรรมะ เมื่อมีอุปาทานเกิดขึ้นแล้ว ก็มีทิฐิ มีมานะ เราไม่ยอมเป็นอันขาด ขืนยอมไปเดี๋ยวจะเสียหน้า เพราะกลัวจะเสียหน้าเลยก็เสียหายกันใหญ่โตมากมายก่ายกอง รบราฆ่าฟันกันแต่คนคิดไม่ค่อยได้ เพราะความคิดของคนแต่ละคนนั้นอยู่ในวงจำกัด จำกัดอยู่ในเรื่องอะไร คือจำกัดอยู่ในเรื่องตัวเท่านั้นแหละ หาได้คิดกว้างไกลออกไปไม่ ว่าอะไรมันจะเกิดขึ้น อะไรมันจะเป็นปัญหา อะไรจะเป็นเหตุให้เกิดความสับสนวุ่นวายขึ้นในสังคม ในชาติ ในประเทศ รวมถึงในโลกนี้ เขาไม่ได้คิดไกลถึงขนาดนั้น แต่เขาคิดแต่เพียงว่า ต้องรักษาหน้ากูไว้ก่อน เลยคิดรักษาหน้า แล้วก็หาพรรคหาพวกเพื่อทำการต่อสู้ เพียงเพื่อได้รักษาหน้าของตนคนเดียว ทิ้งคนจำนวนร้อยจำนวนพันจำนวนหมื่นมาพลอยตายด้วยการจะรักษาหน้าของตัวเท่านั้น
นี่คือความหลงใหลของมนุษย์ ที่เราควรจะเรียกว่าเป็นความบ้าชนิดหนึ่ง ที่เป็นอยู่ในสังคมของมนุษย์เราทั่วๆไป ไม่ว่าจะเป็นคนมีศาสนาเป็นหลักแต่ไม่ได้ใช้ธรรมะในศาสนา ไม่เอาหลักธรรมะมาเป็นเครื่องมือ ในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้เอาธรรมะมาเป็นดวงประทีปส่องทางชีวิต เพื่อให้คิดได้ในทางที่ถูกในทางที่ชอบ อันควรจะได้ทำเรื่องให้มันสงบลงไปไวๆ อันนี้จะเห็นกันโดยทั่วๆ ไปที่ปรากฎอยู่ เราจึงพูดว่าคนในสองชาตินั้นมันเกลียดกันโดยสายเลือด ความจริงไม่มี ในเลือดนั้นมันไม่มีความเกลียดไม่มีความโกรธ แต่ว่าเราไปเพาะเชื้อแห่งความนึกคิดให้ เป็นความโกรธให้เป็นความเกลียดขึ้นในจิตใจของคน สอนกันในรูปอย่างนั้น จึงทำให้เกิดปัญหาอะไรต่างๆ ขึ้น ในระหว่างครอบครัวก็เหมือนกัน คนระหว่างสกุลสองสกุล บางทีก็ขัดเคืองกัน โน่นโกรธกันมาตั้งแต่สมัยคุณปู่คุณทวด แล้วก็เลี้ยงความโกรธไว้ในครอบครัวทั้งสองฝ่าย ไอ้ครอบครัวนั้นอย่าไปคบกับมันเป็นอันขาด อย่าไปสมาคมกันเป็นอันขาด บางทีเด็กเกิดมาในชั้นหลังไม่รู้เรื่องหรอก บ้านอยู่ใกล้กันก็ไปมาหาสู่กันเล่นกันอะไรกันไปตามฐานะของเด็ก ผู้ใหญ่เห็นเข้าก็เรียกมาสอนว่าไม่ได้ ครอบครัวนี้มันเป็นศัตรูกับเรา ไอ้ความจริงเด็กมันไม่ได้เป็นศัตรูอะไรกัน มันเล่นกันได้ มีมะม่วงแบ่งกันกินคนละซีกได้ มีกล้วยแบ่งกินกันคนละท่อนได้ มีขนมก็แบ่งกันกินได้ แต่ผู้ใหญ่นั้นกลับรู้กว่าเด็กในเรื่องนี้ เหนเด้กมันรัก มันรักกันไม่ได้ จะต้องสอนให้มันเกลียดกันต่อไป นี่มันเรื่องอะไร นี่แหละคือความหลงผิดที่เรียกว่า อวิชชา คือความไม่รู้ ความไม่เข้าใจในเรื่อง อะไรต่างๆ ตามสภาพที่เป็นจริง
เลยสอนให้เกลียดให้โกรธกันมา ถ้าเกิดยิงตายลูกชายยังเล็กๆ พ่อก็สอนลูกพูดให้ลูกฟังว่า ไอ้คนชื่อนั้นมันยิงพ่อของเจ้าตาย พอเด็กคนนั้นโตขึ้นก็มีความโกรธฝังอยู่ในจิตใจ ถ้าไม่สอน เด็กจะรู้ได้ยังไง ก็สอนบอกมันแล้วก็เที่ยวตาม ตามอยู่ตั้งสามสิบปีจึงไปเจอคนที่ยิงพ่อของตัวตาย ไปถึงตัวเข้าก็ยิงปุ้งเข้าให้ ตายไป กว่าจะได้ยิงไม่ใช่เวลาเล็กน้อยนะ สามสิบปี สามสิบปีนี่เรียกว่าเลี้ยงความโกรธไว้ในใจ เลี้ยงความพยาบาทเอาไว้ในใจ เพื่อจะไปฆ่าคนนั้นเท่านั้นเอง อันนี้เขาเรียกว่าเพาะเลี้ยงสิ่งที่ชั่วร้ายเอาไว้ในจิตใจ ผลที่ออกมาคือการฆ่ากันตาย รุ่นเราไปฆ่าเขาแล้วจะปลอดภัยไม๊ มันก็ไม่ปลอดภัยหรอก ทีหลังลูกคนโน้นมีเหมือนกัน มันก็มายิงคนนี้อีก ก็ได้ยิงกันไปยิงกันมา ยิงกันจนหมดโคตรไม่มีใครเหลือกันต่อไป อย่างนี้มันก็เป็นเรื่องเสียหาย ในทางศาสนา ในทางธรรมะนี่ ความจริงทุกศาสนา สอนหลักนี้เท่านั้นแหละ สอนหลักแห่งความไม่เบียดเบียน ความไม่จองเวร ความไม่พยาบาทอาฆาตกัน ให้รู้จักให้อภัยแก่กันและกัน พวกที่สอนในรุ่นหลังนี่ไม่ค่อยจะได้ย้ำในเรื่องอย่างนี้ บางทีก็เรื่องอื่นเข้ามาแทรกแซง เรื่องชาติ เรื่องประเทศ เรื่องลัทธิอื่น เข้ามาแทรกแซง ทำให้เผลอไปจากหลักการเดิมของทางศาสนา เราไปสอนในเรื่องอื่นไกล
อันนี้คือความยุ่งยาก ความมีปัญหาที่เกิดขึ้นในสังคม ดังที่เราได้เห็นๆกันอยู่ดังในปัจจุบันนี้ เพราะคิดไม่ได้ แต่ถ้าคิดได้สอนลูกไว้ ให้คิดในทางที่ถูกที่ชอบ เหมือนกับเรื่องเต่า เรื่องในสมัยเก่าที่พระพุทธเจ้าท่านนำมาเล่าให้พระทั้งหลายฟัง ว่าพระเกิดโกรธกันในสมัยนั้นเค้าเรียกว่า เรื่องโกสัมพี เรื่องเล็กน้อยไม่ใช่เรื่องมากมายอะไร พวกหนึ่งถือวินัยเคลื่อนเคลือด พวกหนึ่งถือธรรมะ ต่างคนต่างถือไม่ลืมหูลืมตา ในหมู่พระเหล่านั้นยังเป็นปุถุชน ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ทีนี้พวกถือพระวินัยก็จ้องดูพระนักเทศน์สอน คอยเพ่งเล็งกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ถ้าทำอะไรนิดหน่อยก็เอามาซุบซิบกัน วันหนึ่งพระนักสอนธรรมะเข้าไปในห้องน้ำ ห้องส้วมเข้าไปถ่าย เสร็จแล้วก็ไม่ได้คว่ำภาชนะ ปกตินั้นมีข้อบัญญัติว่า ภาชนะที่ใช้แล้วให้คว่ำไว้ ไม่ให้หงายไว้ ที่ไม่ให้หงายไว้ก็เพื่อไม่ให้น้ำมันขังในภาชนะ แล้วก็จะได้แห้งได้สะอาด ท่านลืมไปคือเผลอไป แล้วก็ไม่คว่ำ เมื่อไม่คว่ำก็ รู้สึกพระนักวินัยคือ ...... ผู้เคร่งครัดทางวินัยไปเห็นเข้า ไปเห็นเข้าก็พูดจาโพนทะนา ว่า***ที่เป็นพระนักเทศน์ฝ่ายธรรมธร แกบอกเออแหมเผลอไป ขอโทษเถอะ ขอจะไปปลงอาบัติ ความจริงเรื่องมันน่าจะจบลงเท่านั้น แต่ว่าพระอีกฝ่าย บอกว่าเป็นนักเทศน์นักสอน เรื่องเท่านี้ยังทำไม่ได้ ยังเผลอได้ จะไปสอนคนอื่นได้ยังไง พูดไปก็เข้าหูพวกนี้ พวกนี้ก็ว่าพวกวินัยนี่มันเหลือเกินนะ มันเคร่งไม่เข้าเรื่อง เรื่องเล็กๆน้อยๆนี่ก็ไปถือเอาเป็นจริงเป็นจัง อะไรก็มาได้เถียงกันบ่อยๆพอเถียงกันบ่อยๆก็เลยแตกกัน เมื่อแตกกันก็ไม่ร่วมอยู่กัน แยกกัน
พระพุทธเจ้าไปบอกให้หยุดจากการแตกแยกก็ไม่ฟังเสียงพระพุทธเจ้า พระองค์ก็เลยเข้าป่าไป ไปอยู่ในป่า ไปอยู่กับลิงกับช้าง ที่เราเห็นรูปพระที่เราเค้าเขียนว่าพระปางเลไลย์ พระปางเลไลย์คือพระปางที่ท่านไปอยู่ในตำบลปาลุไนยะกะ แล้วไปอยู่นั้นก็มีช้างมาช่วยเหลือ มีลิงมาช่วยเหลือ เป็นภาพที่เค้าเขียนไว้ แสดงว่าอยู่กับคนนี่มันไม่ไหวแล้ว ไปอยู่กับสัตว์ดีกว่า มันสบายดี พระองค์เลยไม่ยุ่ง อยู่อย่างนั้น ทีหลังมาพระเหล่านี้ก็รู้สึกตัวว่าเราทำผิด พระพุทธเจ้าจึงหนีไปอยู่ในที่วิเวกเสีย รู้สึกตัวก็ไปขอขมา เมื่อไปขอขมา พระองค์ก็เล่าเรื่องเต่าให้ฟัง บอกว่าสมัยก่อนนี้เขาเจ็บแค้นมากกว่านี้ เขายังให้อภัยกันได้ แล้วก็เล่าให้ฟังว่า พระเจ้า ...... (25.10) ครองเมืองโกศล กับพระเจ้าพรหมทัตครองเมืองกาสี(พาราณสี) แคว้นโกศลกับแคว้นพาราณสี อยู่ติดกัน เพราะนั้นในบางเรื่องนะ เรื่องความเป็นใหญ่ เรื่องทรัพย์ในดินสินในน้ำ เลยรบกันหลายครั้งหลายหน ยังไม่แพ้ไม่ชนะกัน พระเจ้าพรหมทัตในแคว้นกาสีนึกว่า มันต้องเตรียมคนให้มากๆ รบให้แหลกไปเลย ก็เตรียมพลหลายปี พอเพียงแล้วก็บุกโกศล บุกแหลกทีเดียว พระเจ้าปเสนทิโกศลก็ต้องหนีออกจากวังพร้อมด้วยพระมเหสีซึ่งมีครรภ์แก่ หนีปลอมตัวไปอยู่ในป่า แล้วก็ไคลอดบุตรมาเป็นผู้ชายให้ชื่อว่า ฑีฆายุ แล้วก็ไปอยู่ในป่า อยู่ในป่านึก อยู่ในป่านึกเอ้เราจะอยู่ในป่านี่มันไม่ได้ มีลูกด้วย ต้องเข้าไปในเมือง เลยเข้าไปอยู่ในเมือง ไปรับจ้างปั้นดิน อยู่ในโรงช่าง ปั้นหม้อปั้นดินขาย พระเจ้าพรหมทัตนี่นึกว่าชนะแล้วจะเป็นสุข พระพุทธเจ้าว่าผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ก็นอนเป็นทุกข์ พระเจ้าทีปิติโกศล (26.30) นั่งเป็นทุกข์นอนเป็นทุกข์ แต่ผู้ชนะก็เป็นทุกข์เหมือนกัน มันทุกข์ทั้งสองฝ่าย ฝ่ายไหนทะเลาะเบาะแว้งกันนี่มันทุกข์ทั้งสองฝ่าย ผู้ชนะก็เป็นทุกข์ตามแบบผู้ชนะ ผู้แพ้ก็เป็นทุกข์ตามแบบของผู้แพ้ ไม่มีใครที่จะนอนเป็นสุขได้ซักคนเดียว
เมื่อชนะแล้วก็คิดว่า เอ๊ พระเจ้าแผ่นดินหนีไปเนี่ย คงไม่ตาย อาจจะไปอยู่ที่ไหนซ่องสุมผู้คนเดี๋ยวจะมาแก้แค้น ก็เลยสั่งพวกอำมาตย์ให้ไปเที่ยวสอบสวนสืบสวนว่าพระเจ้า …… ไปอยู่ที่ไหน เลยก็เที่ยวสืบไปสืบมา ผลที่สุดก็อำมาตย์ที่เคยอยู่กับพระเจ้า …… ไปเจอเข้าที่โรงปั้นหม้อ เห็นแล้วจำได้ แม้ว่าแต่งเนื้อแต่งตัวมอมไปหน่อย เป็นคนทำงานกรรมกร แต่คนที่เคยอยู่ใกล้ชิดก็จำได้ เลยลองดูว่าไม่หนี กลับไปกราบทูลพระเจ้าพรหมทัต บอกว่าได้ข่าวแล้ว เวลานี้พระเจ้า …… กำลังอยู่ที่โรงปั้นหม้อ นอกเมือง เป็นกรรมกรแล้วก็มีลูกเป็นชาย พระเจ้าพรหมทัตก็สั่งประหาร ให้ไปล้อมจับ จับได้มาพ่อกับแม่ ลูกชายไม่อยู่ ไปเล่นที่อื่น ลูกชายก็โตแล้ว เรียกว่าเป็นเด็กหนุ่ม ไปเล่นอะไรอื่น เลยจับมาไม่ได้ ได้มาสองคน เมื่อได้มาสองคนก็เห็นว่า เพื่อให้มันสิ้นเสี้ยนหนาม ไม่ต้องระแวงกันต่อไป รับสั่งให้เอาไปประหารชีวิต ในขณะที่ …… (28.30) คุมตัวพระเจ้าแผ่นดินกับมเหสีไปเพื่อประหารชีวิตนี่แหละ ฑีฆายุลูกชายของท่าน มาเหมือนกัน เมื่อพ่อถูกจับก็แอบมาอยู่ใน …… มาเที่ยวเดินดูพ่อ พอเขาจะประหารพ่อจะลงดาบแล้วก็ชำเลืองตาไปเห็น โอ้ลูกชายยืนอยู่นั่น เลยก็พูดออกมาเป็นเครื่องเตือนใจว่า ฑีฆายุ …… (29.00 คำบาลี) บอกว่า ฑีฆายุ อย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น ในการไหนๆ เวรไม่เคยระงับด้วยการจองเวรเลย พูดได้เท่านั้น พูดได้เท่านั้นเขาก็ลงดาบประหาร ก็มรณะไป ฑีฆายุก็หาวิธีการตกกลางคืน เอาไปได้ทั้งพ่อทั้งแม่ พาไปเข้าป่า ไปทำการฌาปนกิจเสียให้เรียบร้อย ความแค้นมันสุมอยู่ในใจของฑีฆายุ นึกว่าพระเจ้าพรหมทัตเนี่ยทำให้พ่อแม่เราตาย ทำให้เราต้องลำบาก เราต้องหาทางเข้าไปแก้แค้นให้ได้ จะทำยังไงจะเข้าไปแก้แค้นได้ ก็ไปเรียนวิชาดนตรี เรียนพิณร้องเพลง เพื่อจะได้เข้าไปดีดพิณร้องเพลงในวัง แล้วจะได้เข้าใกล้พระเจ้า แผ่นดิน ครั้นมีความชำนาญในวิชาการดนตรีดดีพิณร้องเพลงแล้ว ก็ไปสมัครเป็นคนงานอยู่กับควาญช้าง ก็กวาดขี้ข้างขี้ม้าเอาหญ้าให้ช้าง เอาน้ำให้ช้าง เลี้ยงช้างไปตามเรื่อง แต่ว่าตอนเย็นๆนี่มันว่างงาน ก็ขึ้นไปนั่งบนคอกช้าง นั่งแล้วก็ดีดพิณร้องเพลงประสานเสียง ทุกวัน ทำอย่างนั้นทุกวันๆ
วันหนึ่งพระเจ้าแผ่นดินเสด็จผ่านมาทางนั้น ได้ยินเสียงพิณเสียงเพลงที่เพราะ ขับกล่อมไพเราะเสนาะโสตเป็นคติเตือนใจ ก็เลยถามว่าเด็กหนุ่มอะไรมันมาอยู่กับควาญช้าง มาร้องเพลงดีดพิณ ประสานเสียงไพเราะดีเหลือเกินไปศึกษาดูซิว่ามันเป็นใคร เขาก็ไปศึกษาก็รู้ว่าเป็นชายหนุ่ม แต่ไม่รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครหรอก รู้แต่เพียงว่าควาญช้างเขาเอามาทำงานด้วย พระเจ้าแผ่นดินก็อยากจะฟังเสียงเพลงเสียงพิณของเด็กหนุ่มคนนั้น เลยรับสั่งให้เข้าเฝ้า แล้วก็ให้ดีดพิณร้องเพลงต่อหน้าพระที่นั่ง เป็นที่โปรดปรานพระทัยมาก อำมาตย์ข้าราชการทั้งหลายฟังแล้วก็ชอบอกชอบใจ เลยบอกว่าเธอนี่มันไม่เหมาะที่จะไปกวาดขี้ช้างขี้ม้า ไม่เหมาะที่จะไปเป็นกรรมกรในโรงช้างโรงม้า เธอมาอยู่กับฉันเป็นมหาดเล็กมีหน้าที่ดีดพิณร้องเพลงให้ฉันฟังเวลาจะนอน เลยได้เข้าไปอยู่ในห้องบรรทมเลย ไม่ใช่เล็กน้อย เข้าไปอยู่ในห้องบรรทมก็ทำหน้าที่อย่างดี ปฏิบัติวัตร …… ดีดพิณร้องเพลงให้ฟังเสมอ แต่ยังหาช่องว่าจะทำยังไงที่จะฆ่าพระเจ้าแผ่นดินให้ได้ โอกาสมันยังไม่เหมาะ เพราะอยู่กันสองต่อสอง ถ้าฆ่าในห้องก็ถูกจับได้เท่านั้นเอง หนีไม่พ้น ก็ยังใจเย็นๆ ไปก่อน อยู่ไปก่อน อยู่ไปๆก็วันหนึ่ง พระเจ้าพรหมทัตอยากจะไปประพาสป่าล่าสัตว์ เรียกว่าเป็นกีฬาของพระราชา ไปเข้าป่าล่าสัตว์ ฑีฆายุก็รับอาสาขับรถเอง ขับรถให้พระราชาก็ขึ้นประทับนั่งบนรถ ฑีฆายุก็ขับซะเต็มที่เลย ควบม้าพาวิ่งฝ่าแสงแดดสายลมไป จนกระทั่ง …… (32.44) พระราชาก็เหงื่อซึมพระกาย ร้อน พอไปเข้าไปในป่าลึกไกลผู้ไกลคนแล้ว พระราชาก็บอกว่าแหมเธอนี่ขับรถฝีมือดี เหลือเกิน ฉันร้อนเต็มทีแล้ว จอดพักที่ริมห้วยสักแห่งเถอะ จะได้สรงน้ำอาบน้ำอาบท่า ให้เย็นใจหน่อย เขาก็หาช่องโอกาสขับรถไปเจอลำห้วย หยุดรถพระเจ้าแผ่นดินลงไปสรงน้ำ พอสรงน้ำแล้วมานั่งใต้ต้นไม้ ลมมันพัดเย็นๆ หน้าร้อนนี่ถ้าเราไปนั่งที่ลมเย็นๆ มันชักจะง่วงนะ พระราชาท่านก็ง่วงเหมือนกันนะ …… (33.25) บอกฑีฆายุว่าเธอนั่งให้ดี ฉันจะนอนหน่อย เลยเอาพระเศียรหนุนตักฑีฆายุนอนเลย นอนหลับเต็มที่เลย ฑีฆายุนึกในใจว่านี่แหละ โอกาสเหมาะให้แล้วว่านี่ ไม่มีใครรู้เห็น เราหนีไปได้ง่าย เลยก็คิด …… ว่าคนคนนี้ทำให้เราเดือดร้อน ชักดาบออกมาจากฝักแล้ว ชักดาบออกมาจากฝักก็นึกถึงคำพ่อขึ้นมาได้ ที่พ่อสั่งว่า อย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น ในกาลไหนๆ เวรไม่เคยระงับด้วยการจองเวร พอคิดถึงคำนี้ หยุด เอาดาบเข้าฝัก นั่งมองๆ ว่าไม่ฆ่าวันนี้ก็จะฆ่าวันไหน โอกาสมันเหมาะแล้ว ชักดาบออกมาครึ่งฝัก นึกถึงคำพ่ออีกแหละ แล้วหยุดอีก ถึงสามครั้งสามครา
พระเจ้าพรหมทัตนอนก็ฝันนะ ฝันว่าหลับไปแล้วก็มีบุรุษร่างกายกำยำล่ำสัน ถือดาบคมกริบ พุ่งเข้ามาจับผมแล้วก็จะเอาดาบฟันคอซะเอง ตกใจตื่น พอตกใจตื่นขึ้นมา ฑีฆายุก็ชักดาบออกมาครึ่งฝักอยู่เหมือนกัน พอตื่นขึ้นมาถึงก็ลุกขึ้น พอลุกขึ้นฑีฆายุก็วางดาบแล้วก็กราบลงแทบเท้า อ้อ ไม่ใช่ลงกราบ พอตื่นขึ้น ฑีฆายุก็จับผมไว้เลย แล้วประกาศว่า ข้าพเจ้าคือฑีฆายุ ลูกพระเจ้า …… โกศล ที่ท่านได้ประหารให้ถึงแก่ความตาย พอพูดอย่างนั้นพระเจ้าพรหมทัตก็ตกใจเหมือนกัน คนเรานี่ กลัวตายกันทั้งนั้น แม้จะเป็นใครก็กลัวตายกันทั้งนั้น เลยยกมือไหว้ ขอชีวิต พอพระเจ้าแผ่นดินยกมือไหว้ขอชีวิต ฑีฆายุปล่อยผมพระเจ้าแผ่นดินทันที วางดาบลงกับพื้นก้มลงกราบแทบเท้า ขอชีวิตเหมือนกัน ต่างคนต่างขอ ต่างคนต่างก็ให้กัน เลยก็ไม่โกรธกันต่อไปแล้ว ไม่โกรธกันต่อไป กลายเป็นมิตรกัน พระราชาก็ให้สั่งขับรถกลับวัง เมื่อกลับมาถึงวังก็เรียกประชุมข้าราชการทั้งหลาย เป็นข้าราชการผู้ใหญ่ มาประชุมพร้อม ก็ประกาศว่านี่ฑีฆายุกุมาร ลูกของพระเจ้า …… ซึ่งเราได้จับมาฆ่าเสียทั้งสองคน นี่เป็นลูกชายที่เหลืออยู่ วันนี้เขามีโอกาสร้อยเปอร์เซ็นต์ที่จะหั่นคอเราให้ขาดจากบ่า แต่เขาไม่ทำเพราะเขาเคารพในคำของพ่อเขา เราจึงมีชีวิตรอดมาได้ เพราะฉะนั้นเราจึงจะยกย่องท่านผู้นี้ต่อไป และก็ให้แต่งงานกับลูกสาว พระธิดา แต่งงานกับพระธิดาแล้วให้กลับไปครองเมืองโกศลตามเดิม
ต่อมาเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต แคว้นกาสีก็ถูกผนวกเข้ากับแคว้นโกศล ไม่ต้องลำบาก ไม่เสียทหาร ได้สองแคว้นมาครองคนเดียว นี่เพราะอะไร เพราะว่าฑีฆายุนี้เคารพพ่อ รักพ่อรักแม่ ไอ้ความรักนี่ถ้าใช้เป็น มันเป็นคุณอยู่ ถ้าใช้ไม่เป็นมันก็เป็นโทษเหมือนกัน คนเราบางคนรักพ่อรักแม่ แต่ไปกระทำความผิดเพื่อพ่อเพื่อแม่ นี้แสดงความกตัญญูกตเวทีผิดทาง ก็มีเหมือนกัน ยกตัวอย่างที่คนมักจะพูดกันอยู่บ่อยๆ คือการทำงานกับพ่อแม่ ทำเสียใหญ่โตสิ้นเปลืองเงินทองมากมาย แต่เนื้อหานั้นไม่ค่อยจะมี เขาพูดว่า แม่คนเดียวเราจะต้องแสดงความกตัญญูหน่อย นั่นก็เรียกว่ากตัญญูไม่เข้าเรื่อง คือบางทีเรื่องการผลาญเงินมันไปกับเรื่องไม่ได้เรื่อง แต่นี่เขาไม่รู้ เพราะไม่มีใครสอนให้เข้าใจ ไม่มีใครปรับจิตปรับใจเค้าให้ใช้ความกตัญญูเป็น เขาจึงใช้กันอยู่ในรูปอย่างนั้น ไม่มีคนสอน นี่มันลำบากตรงนี้ ควรพูดให้เข้าใจว่าแสดงความกตัญญูไม่ใช่แสดงในรูปอย่างนั้น เราแสดงในรูปที่ดีกว่านั้นก็ได้ ถ้าเรามีเงินมีทอง เราจะเอาไปใช้เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อคุณแม่คุณพ่อในรูปอื่นก็ได้ เช่นเอาไปช่วยเด็กกำพร้า ช่วยโรงพยาบาล ช่วยมูลนิธิฯ ต่างๆ หรือเอาไปบำรุงการพระศาสนา ที่เป็นประโยชน์ ดีกว่าที่จะไปจ่ายในทางที่จะเอาโขนหนัง เอาดนตรีมาแสดงให้คนดู มันดูแล้วก็ไม่ได้อะไร นอกจากจะง่วงนอน เสียเวลาการทำมาหากิน แล้วเราก็เสียเงินมากมาย …… (38.40) ถ้าอธิบายพูดจาทำความเข้าใจกันเสียได้ คนก็จะรู้จักกตัญญูถูกทาง รักพ่อรักแม่ถูกทางขึ้นมา นี่เขาเรียกว่า ไม่รู้จึงทำอย่างนั้น แต่ฑีฆายุนั้นเขารักพ่อแม่ถูกทาง เขารักแล้วคิดถึงคำสอนของคุณพ่อที่ใกล้ตาย ที่สอนว่าอย่าเห็นแก่ยาว อย่าเห็นแก่สั้น (คำบาลี) มาฑีฆังตัสสะ แปลว่าอย่าเห็นแก่ยาว มารักขังตัสสะ อย่าเห็นแก่สั้น
หมายความว่าอย่างไร อย่าเห็นแก่ยาว หมายความว่า อย่าโกรธกันนานๆ อย่าเกลียดกันนานๆ อย่าแค้นเคืองกันไว้นานๆ เรียกว่าอย่าเห็นแก่ยาว ถ้าเห็นแก่ยาว ในทางนั้นมันเสียหาย อย่าเห็นแก่สั้นหมายความว่า อย่าใจร้อน อย่าใจเร็ว อย่าด่วนแตกมิตรเสีย แต่ให้คบกันต่อไปจึงจะอยู่ได้รอด เพราะในกาลไหน เวรมันไม่เคยระงับด้วยการจองเวรกัน แต่ระงับด้วยการไม่ผูกเวรกับใครๆ มีคำพูดที่พ่อสั่งไว้ เขาจำได้ เขาก็มาคิดถึงคำนี้ อย่าเห็นแก่ยาว คือไม่โกรธนาน ไม่พยาบาทนาน ไม่เกลียดนาน ไม่ริษยานาน พอมันเกิดปุ๊บนึงชั่วขณะหนึ่ง แล้วพอรู้เข้าว่าโอ้ไอ้นี่มันไม่ดี ให้มันดับไปเสีย อย่าให้มันเกิดซ้อนขึ้นมาอีก เรียกว่าอย่าเห็นแก่ยาว ซึ่งฑีฆายุก็ปฏิบัติตาม อย่าเห็นแก่สั้นก็หมายความว่าอย่าด่วนแตกมิตร พระเจ้าพรหมทัตเป็นมิตรเสียแล้ว ก่อนนี้เป็นศัตรูกับพ่อกับแม่ แต่เดี๋ยวนี้เป็นมิตรของฑีฆายุ เธอได้เข้าไปอยู่ในวัง ได้รับการชุบเลี้ยงอย่างดี ได้รับความไว้วางใจให้อยู่ในพระราชฐาน อยู่ในห้องบรรทม คอยปฏิบัติวัตร …… อย่างใกล้ชิด ก็นึกว่าเป็นมิตรที่อนุเคราะห์แก่ตนอย่างเหลือล้นแล้ว ก็ไม่ควรจะด่วนแตกมิตร ไม่ควรจะใจร้อน ทำร้ายมิตร เพราะการประทุษร้ายมิตรเป็นความชั่ว เป็นความเสื่อมของชีวิต ของบุคคล เมื่อคิดได้ก็ไม่ประหัตประหาร แต่ว่าเป็นการแสดงอะไรข่มขู่นิดหน่อย ให้รู้ว่าเขาคือใคร คือประกาศเท่านั้น บอกว่าข้าพเจ้าคือฑีฆายุ พร้อมกับจับผมพระราชาไว้ พอพระราชายกมือไหว้ขอชีวิต ฑีฆายุก็ไหว้ขอเหมือนกัน คือต่างคนต่างขอกัน ต่างคนต่างให้กัน อภัยทานก็เกิดขึ้นในสังคมของคนทั้งสองนั้นแล้ว
พอเกิดอภัยทานขึ้นมาความเป็นศัตรูหายไป ความโกรธ ความเกลียด พยาบาท อาฆาตจองเวรทั้งหลายหายไป ยิ้มเข้าหากัน อยู่กันด้วยความสุขต่อไป นี่คือคำสั่งของพ่อแม่ที่สั่งไว้ก่อนตาย แล้วก็เอามาปฏิบัติเอามาใช้ นี่ก็น่ายกย่องพ่อของฑีฆายุว่า สั่งลูกถูกต้อง ไม่ให้โกรธกัน ไม่ให้เกลียดกัน ไม่ให้พยาบาทกัน บอกสอนกันในแง่ว่าควรจะดีกันซะดีกว่า อย่าเห็นแก่ยาว อย่าโกรธกันนานๆ เลยลูกเอ้ย อย่าเห็นแก่สั้น อย่าด่วนแตกร้าวกับผู้ที่ได้เป็นมิตรของเราเลย ในกาลไหนๆ เวรมันไม่เคยระงับด้วยการไม่จองเวรกัน แต่ระงับได้ด้วยการไม่ผูกเวร ฑีฆายุก็จำมา เอามาใช้แล้วได้ประโยชน์ ธรรมะมันเกิดขึ้นในใจ อธรรมหายไป คามสว่างเกิดขึ้น ความมืดก็หายไป มันตรงกันอย่างนี้ นี่เป็นตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่าในชีวิตของคนเรานั้น ถ้าเราแก้ด้วยอะไรเหล่านี้แล้ว มันจะดีขึ้น ใจจะสบาย แต่โลกเราไม่ค่อยได้ใช้หลักอย่างนี้ กลัวจะเสียเหลี่ยมบ้าง กลัวจะเสียหน้าบ้าง กลัวจะหาว่าไม่เป็นลูกผู้ชายบ้าง อะไรต่ออะไร คือคิดไปในทางที่จะเพิ่มพูนกิเลส ให้มันมากขึ้นในจิตใจ เลยไปกันใหญ่ ไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น คือแค่จะขอฝากแนวคิดไว้เพื่อ ญาติโยมครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ เราจะได้เอาไปอบรมเด็กของเรา อย่าให้มีจิตคิดพยาบาทอาฆาตจองเวรแก่ใครๆ แม้ใครจะมาทำอะไรให้แก่เราบ้าง เล็กๆน้อยๆ หรือมากก็ตาม ให้อภัยเขา อย่าไปถือโทษโกรธตอบเขาเลย ต้องเอาน้ำสะอาดมาล้างสิ่งสกปรก ถ้าเอาน้ำสกปรกมาล้าง แล้วมันจะสะอาดขึ้นได้อย่างไร นี่เป็นเรื่องง่ายๆ ซึ่งมองเห็นกันอยู่ทั้งนั้น แต่เวลาใดกิเลสมันเกิดท่วมใจแล้วมันนึกไม่ออก นึกไม่ออก มีแต่ความโกรธ ความเกลียด ควมพยาบาทเกิดขึ้น แล้วก็ฆ่ากันไปฆ่ากันมา ฆ่ากันจนหมดโคตร อย่างนี้มันไม่ได้อะไร นอกจากว่าตายกันเท่านั้นเอง ซึ่งไม่ได้อะไรมากขึ้น จึงควรจะใช้หลักธรรมะ เป็นเครื่องประคับประคองจิตใจของเรา ให้ก้าวไปในทางที่ถูกที่ชอบ ตามหลักคำสอนในทางพระศาสนา
เพราะหลักคำสอนในทางพระศาสนานี้ จุดรวมมันก็อันเดียวกัน คือให้รักผู้อื่น ให้สงสารผู้อื่น ให้ช่วยเหลือคนอื่น ให้พ้นไปจากความทุกข์ความเดือดร้อน การช่วยเหลือผู้อื่นก็คือการช่วยตัวเราเองนั่นแหละ รักผู้อื่นก็เหมือนกับเรารักตัวเอง ถ้าเราเกลียดเขาก็เหมือนกับเกลียดตัวเอง เราทำร้ายสังคมเหมือนกับทำร้ายตัวเราเอง เพราะสิ่งใดที่เราซัดไปมันก็จะสะท้อนกลับมาหาเรา ถ้าเราส่งความดีไป ความดีกลับมา ส่งความชั่วไป ความชั่วมันก็กลับมา เราก็ได้สิ่งนั้นด้วย ถ้าเราคิดชั่ว ความชั่วมันก็เพิ่มขึ้นในใจของเรา แต่ถ้าเราคิดดีความดีก็เพิ่มพูนขึ้นในจิตใจของเรา ความคิดนี่มันสร้างนิสัย ขึ้นในจิตใจของเราอยู่ตลอดเวลา คนไม่รู้ก็มักจะสร้างสิ่งไม่ดีให้เกิดขึ้น เช่นสร้างความโกรธสร้างความเกลียด สร้างความพยาบาทอาฆาต จองเวร ใจข้างในร้อนอยู่ตลอดเวลา ร้อนด้วยไฟคือกิเลสที่มันแผดเผาจิตใจ ทำให้เร่าร้อน ไอ้ร้อนแดดที่แผดเผาเนี่ย มันไม่รุนแรงอะไรหรอก ร้อนประเดี๋ยวประด๋าวมันก็เปลี่ยนไปได้ แต่ว่าร้อนใจนี่มันร้อนนาน เพราะมันไม่รู้จักดับไม่รู้จักสิ้น ตราบเท่าที่ยังไม่รู้ว่า ความร้อนนั้นมาจากอะไร และเราควรจะแก้ไขสิ่งนั้นโดยวิธีใด นี้แหละสำคัญ ถ้าไม่รู้แล้วความร้อนนั้นก็จะพอกพูนขึ้นเรื่อยไป แต่เมื่อใดเรามารู้ว่าสิ่งนี้คืออะไร มันมาจากอะไร ผลมันเป็นอย่างไร เราควรจะแก้ไขที่จุดไหน รู้จุดมัน รู้จุดดับของสิ่งนั้น เราก็เข้าไปดับสิ่งนั้นเสีย ไม่ให้มันเจริญงอกงามขึ้น ไม่ให้มันทำลายตัวเราอีกต่อไป อย่างนี้นับว่า เป็นเรื่องที่ช่วยให้ชีวิตของเราอยู่ด้วยความสงบ ในชีวิตประจำวันเรื่องของชีวิตเป็นเรื่องที่ควรสนใจจะศึกษา ตลอดเวลา แล้วก็ไม่ต้องไปศึกษาจากใครที่ไหนหรอก มาทวนกันอยู่ในตัวเราแล้ว อยู่ข้างในแล้ว ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกแห่งนี้แหละ มันเป็นบทเรียนอยู่ตลอดเวลา เป็นบทเรียนที่เราควรศึกษา ควรทำความเข้าใจ ผู้ใดสนใจศึกษาเรื่องตัวเอง ผู้นั้นจะชนะตัวเองได้ แต่ผู้ใดไม่สนใจศึกษาเรื่องของตัวเอง ผู้นั้นจะอยู่ในฐานะลำบาก
เราชอบหรือไม่ การอยู่ด้วยความลำบาก ญาติโยมทั้งหลายชอบไม๊ ไม่มีใครชอบสักคนเดียว เราอยากจะอยู่อย่างสบาย อย่างสงบ ไม่อยากมีปัญหาอะไร เมื่อเราไม่อยากจะอยู่อย่างมีปัญหา เราก็หมั่นมองดูตัวเรา มองดูข้างใน ดูความคิดของเรา ดูการกระทำของเรา ว่าเราคิดอะไร เราพูดอะไร เราทำอะไร เราสร้างบาปขึ้นในใจ หรือว่าเราสร้างบุญกุศลขึ้นในใจ สร้างความสงบเย็นหรือว่าสร้างความเร่าร้อน ให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เราจะต้องหมั่นตรวจสอบ พิจารณาตัวเองอยู่บ่อย ๆ มีอะไรเกิดขึ้นอย่าปล่อยผ่านไปเฉยๆ ให้มันดับก่อน ดับแล้วก็ต้องศึกษาว่ามันเกิดจากอะไร มีอะไรเป็นเชื้อให้เกิดสิ่งนั้นขึ้น เหมือนกัน เกิดไฟไหม้ เจ้าหน้าที่ดับเพลิงมาดับกันเรียบร้อยแล้ว ไฟไม่ลุกลามแล้ว แต่ก็ยังต้องมาศึกษาว่ามันเกิดจากอะไร ไฟนี้มันเกิดจากอะไร ถ้าว่าเกิดจากไฟฟ้าช็อต เรียกว่าหาเรื่องกับไฟฟ้าทุกที เพราะว่าถ้าเกิดจากไฟฟ้าช็อตนี่มันสบายดี ไม่ต้องศึกษามาก ไฟฟ้าช็อต แล้วก็หมดเรื่องกัน ไม่รู้จะไปลงโทษใคร จะไปลงโทษไฟฟ้า จับมันใส่คุกก็ไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นไฟฟ้า แล้วก็ง่ายดี ไม่ต้องใช้วิจารณปัญญาอะไร ไฟฟ้าช็อต หมดเรื่อง ไฟฟ้าเมืองไทยมันจึงช็อตบ่อยๆ ช็อตที่บ้านนั้น ช็อตที่บ้านนี้ แต่ว่าในต่างประเทศนี่เขา ไม่ค่อยมีไฟฟ้าช็อต เพราะเขาระมัดระวัง เขารู้ว่าไอ้นี่มันเป็นพิษเป็นภัย เขาระวังการที่จะติดต่อสายไฟอะไร เขาควบคุมมาก ให้มันเซฟปลอดภัยที่สุด ของเรามีความระมัดระวังน้อย ใครๆ ก็เดินสายไฟได้ เดินเสร็จแล้วเค้าก็มาต่อไฟให้ ไม่ค่อยจะตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ
อันนี้ไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก เรื่องความขี้เกียจ ขี้เกียจดู ขี้เกียจแลทำให้เรียบร้อย ให้มันพ้นหน้าที่ไปเท่านั้น จึงเกิดไฟฟ้าช็อตบ่อยๆ แต่ว่าเหตุมันอาจจะมีเรื่องอื่นอีกก็ได้ แต่ว่าไม่ได้ศึกษา มันจึงไหม้กันอยู่เรื่อยไป ไม่จบไม่สิ้น ทีนี้ในใจเรานี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันมีอะไรเผาไหม้ ขึ้นในใจของเรา เราก็ต้องศึกษาว่านี่มันเรื่องร้อนอะไร มันทุกข์เรื่องอะไร กลุ้มใจเรื่องอะไร มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ต้องรู้ อย่าไปคิดว่าไอ้เรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นนั้นแก้ไม่ได้นั่นไม่ถูกเรื่อง ต้องรู้ว่าสิ่งทั้งหลายมันแก้ได้ เพราะว่ามันเกิดจากเหตุในตัวเรา ไม่ใช่เกิดมาจากเหตุภายนอก อย่าไปคิดว่าดวงไม่ดี หรือว่าเวลานี้มันไม่ค่อยจะดี ดวงไม่ดีซะแล้ว อย่าไปพูดอย่างนั้นมันจะลำบาก แก้ยากเรื่องอย่างนี้ วันนั้นมีเด็กสาวคนนึงซื้อดอกบัวมาตั้งกำใหญ่ อาตมาก็บอกว่าหนูมาทำอะไร เค้าก็ว่ากลุ้มใจจะมาให้หลวงพ่อรดน้ำมันต์ให้หน่อย จะรดน้ำมนต์ ก็เลยบอกว่าดีแล้ว นั่งลง ก็เลยถามว่า เรานี่กลุ้มใจเรื่องอะไร รู้ไม๊ รู้นี่ว่ากลุ้มเรื่องอะไร เรื่องมากเรื่องที่สำนักงาน เรื่องเพื่อนฝูง เรื่องมิตรสหาย นี่เรียกว่า เหวี่ยงแห เหวี่ยงไปในน้ำลึกเลย บอกว่าในนั้นมีแต่คนทำให้ตัวกลุ้มทั้งนั้น ถึงได้กลุ้มใจ แล้วหนูมาต้องการรดน้ำมนต์หนูเข้าใจว่าน้ำมนต์นี่มันรดแล้วมันหายกลุ้มอย่างนั้นหรือ หาย เขาว่ากันอย่างนั้นจ้ะ เขาว่าอะไรนั่น ไม่รู้เรื่องเขาว่า เพื่อนฝูงเขาก็ว่า รดน้ำมนต์วัดนั้นวัดนี้ ได้ยินชื่อหลวงพ่อว่า มีชื่อมีเสียง คงจะเก่งทางรดน้ำมนต์ด้วยว่างั้น เลยจะมาขอรดหน่อย เลยบอกว่าหลวงพ่อนี่รดไม่เป็น น้ำมนต์มันไม่มีด้วย มีรดเก่งอยู่อย่างเดียวแหละ รดธรรมะ ให้มันรู้เรื่องให้เข้าใจความจริงของชีวิต หนูนั่งลงตั้งใจฟัง เอ้าอธิบายกันไป ตามเรื่องตามราว ที่เขามีความทุกข์ความร้อนอกร้อนใจ ให้เห็นว่าความทุกข์นั้นมันเกี่ยวด้วยความคิดของเราเอง
เมื่อมีสิ่งอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องก็ไม่สำคัญ มันสำคัญที่เรารับสิ่งนั้นผิด รับไว้ผิด เมื่อเรารับสิ่งนั้นผิดเราก็เป็นทุกข์ แต่ถ้าเรารับไว้ถูก มันก็ไม่มีอะไร เรารู้จักรับสิ่งนั้น อาวุธลูกศรยังกลายเป็นดอกไม้ได้ ถ้าเรารับเป็น ถ้าเราไม่เป็นอาวุธมันก็เป็นอาวุธ ลูกศรมันก็เป็นลูกศร แล้วมันจะเสียดแทงเราเจ็บปวดไปตามๆกัน ฉะนั้นถ้ารับไม่เป็น เราจะเห็นภาพพญามารมาผจญพระพุทธเจ้า ภาพหนึ่งด้านหนึ่งนั้นยักษ์ขี่ช้าง แล้วก็มีอาวุธลูกศรอยู่มากมาย แต่ด้านหนึ่งถือดอกบัวบูชา เขียนเป็นสองด้าน หมายความว่ายักษ์ที่มาผจญพระพุทธเจ้า แพ้พระพุทธเจ้า อาวุธลูกศรกลายเป็นดอกไม้ไปหมด มันสู้พระพุทธเจ้าไม่ได้ เป็นภาพเตือนใจให้เห็นว่า พระองค์รู้จักรับอารมณ์ ในทางที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่พระองค์ เขาขว้างอะไรมาในทางร้าย พระองค์รับกลายเป็นดีไปหมดเลย เขาด่ากลายเป็นรับไม่เป็นเรื่องด่าไป เขาพูดคำหยาบรับไว้ในรูปที่มันไม่หยาบคาย แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ ไม่มีความร้อนอกร้อนใจ นี่วิธีการอย่างนั้น เราก็เหมือนกัน เวลาใครส่งอะไรมานี่ เราแปลให้มันชัดต้องเข้าใจแปลสิ่งนั้นให้เป็นคุณ อย่าให้มันเป็นโทษ เช่นคำด่าเราแปลงให้เป็นคุณเสีย คำอะไรที่เขานินทาว่าร้าย กิริยาท่าทาง การแสดงออกของใครเราไม่รับ ถ้ารับเราแปลงให้มันเป็นคุณไปเสีย หรือไม่นั้นเราก็ปฏิเสธ เราไม่เอา ใครจะว่าอะไร เราไม่ได้ยิน ถึงได้ยินก็ไม่ใช่ว่าเรา เราไม่รับ เมื่อเราไม่รับแล้วมันจะยุ่งอะไร นี่คนเรามันชอบแส่ เขาเรียกว่าแส่หาเรื่อง เป็นควายเขา …… (54.00) เดินไปไหนแล้วก็เถาวัลย์บ้าง อะไรก็มาติดเขาไปเรื่อย คนเราก็ไหนละ เที่ยวรับนี่เที่ยวรับนู่น เขาว่าอะไรก็ มันว่ากู นี่เราไปรับ มันเรื่องอะไร เที่ยววิ่งไปรับนั้นวิ่งไปรับนี้ เที่ยวเอามานั่งกลุ้มใจ นอนเป็นทุกข์ นี่ก็เพราะว่าเราคิดไม่เป็น ถ้าเราคิดเป็นก็เอ้อ เรื่องของเขา เรื่องของเขา มันไม่ใช่เรื่องของเรา ช่างเขา
คนเรามันมีคนชมบ้าง คนติบ้าง ใครชอบเขาก็ชม ใครไม่ชอบเขาก็ด่า ท่านปัญญานันทะเป็นนักเทศน์ บางคนก็ชม เทศน์มันส์ดี แต่บางคนก็ โอ๊ยไม่ได้ความรู้ อย่าไปยึดถือ มันเรื่องของเขา เรื่องของเขาไม่ใช่เรื่องของอาตมา ใครจะว่าไงมันก็เรื่องเขา บางทีก็เขียนจดหมายด่ามา เอามาอ่านแล้วก็ยิ้มๆ เอ้อ แล้วเราเรานึกในใจว่าไอ้นี่มันด่าไม่ได้เรื่องเลย ด่าไม่เป็น ด่าไม่เจ็บสักหน่อยหนึ่ง ...... (55.00) แล้วจะได้อะไร ด่าไม่เป็น ด่าไม่เจ็บสักหน่อยหนึ่ง แล้วก็ไม่เซ็นต์ชื่อซะด้วยนะ ก็เลยเรียกว่าขี้ขลาด ถ้ากล้าหาญจริงมันต้องออกมายืนด่าสิ มาด่าในศาลานี้ก็ได้ เพราะว่าคนนั่งฟังเทศน์มากๆ ขอโอกาสจะด่าเจ้าคุณปัญญาหน่อย แบบนี้มันคงจะดีหน่อย เพราะว่าด่ากันให้มันแสบเข้าทรวงกันเลย เห็นไม๊ว่ามันก็ไม่มีอะไร เขาด่าเราไม่รับ เราเฉยๆ ไม่ต้องไปดูอะไร มันกลายเป็นดอกไม้เครื่องสักการะบูชา ญาติโยมอยู่บ้านนะทำหูทวนลมซะบ้าง ปิดหูซะบ้าง ปิดตาซะบ้าง พระอรหันต์องค์หนึ่งท่านบอกเสียว่า มีตาดีก็ทำเป็นตาบอดเสียบ้าง มีหูดีก็ทำเป็นคนหูหนวกเสียบ้าง มีลิ้นดีก็ทำเป็นคนใบ้เสียบ้าง มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นรีบเข้าห้องนอนคลุมโปงเสีย มันก็ไม่มีเรื่องอะไรหรอก เราเข้าห้องปิดประตูนอนเสียเลย ให้มันด่าอยู่ ช่างหัว ใครจะว่าอะไรก็ช่างเขา อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับเค้า เหมือนกับหนังสือพิมพ์เขียนว่าอะไร อย่าไปถือเป็นอารมณ์ คนอ่านหนังสือพิมพ์เขาอ่านวันเดียวแล้วก็เอาไปห่อของทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเก็บหนังสือพิมพ์นั้นไว้อ่านซ้ำหลายวันนะ ห่อของ อ่านแล้วห่อของ อ่านแล้วห่อของ แล้วเราจะไปเดือดร้อนอะไร ที่เราจะไปกลุ้มใจ ต่อล้อต่อเถียง ยิ่งไปต่อล้อต่อเถียง พวกหนังสือพิมพ์ชอบใจ ได้อาหาร ได้เขียนไปอีกหลายวัน ชอบใจ เรื่องอะไรที่เราจะไปให้อาหารแก่คนด่าเรา เราเฉยๆ ทำไม่ได้ยิน ด่าๆเอ๊ะ ไม่เห็นได้ยิน ไม่ต้องโต้ตอบ ขี้เกียจก็หาคนอื่นด่าต่อไป เราก็นอนสบาย ไม่เห็นเดือดร้อนวุ่นวายอะไร นี่คือปัญหาเรา มันต้องคิดอย่างนั้น อย่าคิดให้มันวุ่นวายใจ ให้ยุ่งยากใจ จิตใจจะได้สบาย วันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้