แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ณ.บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกคาถาธรรมะ อันเป็น หลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบอย่าเดินไปเดินมา นั่งพัก ณ.ที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งสามารถจะได้ยินเสียงจากเครื่องขยายเสียงได้โดยชัดเจนแล้วจงตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์เกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา พวกเราทั้งหลายที่มาวัดในวันอาทิตย์ ที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์นั้น ได้กระทำกิจก่อนที่จะฟังธรรมอยู่อย่างหนึ่งคือทำวัตรสวดมนต์ การทำวัตรสวดมนต์นั่นก็คือ ท่องคำสอนในทางพระศาสนาเพื่อจะให้เกิดความเข้าใจ เกิดปัญญา เกิดความคิดความอ่านในทางที่ถูกต้อง
อันคำสอนที่เรานำมาท่องนั้นก็เริ่มต้นด้วยการสรรเสริญพระคุณของผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งพระธรรม และพระอริยะสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า การสรรเสริญพระคุณของพระรัตนตรัยนั้น ก็เพื่อจะให้เราได้รู้จักคุณค่าของพระรัตนตรัย คือว่าพระพุทธเจ้ามีคุณอย่างไร มีประโยชน์อย่างไร พระธรรมคำสอนมีคุณค่ามีประโยชน์อย่างไร พระอริยะสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าคือใครปฏิบัติในรูปใด และเราควรจะนำการปฏิบัตินั้นๆมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่เราจะต้องว่าบ่อยๆ การสวดร้องบ่อยๆนั้นทำให้จิตใจสงบ ทำให้เราได้เข้าถึงพระ
การเข้าถึงพระนั้นเป็นเรื่องดีมีประโยชน์ เพราะจะช่วยให้จิตใจของเราดีขึ้นความทุกข์ลดน้อยลงไป เพราะการปฏิบัติของเราเป็นไปในทางที่ถูกที่ชอบเพราะฉะนั้นเราจึงสวดสรรเสริญพระคุณบ่อยๆ การสวดสรรเสริญพระคุณพระพุทธเจ้า คนโบราณเขาว่าสวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน ยาทานั้นทาภายนอก ทาตามผิวหนัง เช่น เราปวดแข้งปวดขา เอายามาทา น้ำมันหม่องบ้าง ยาประเภทต่างๆที่หมอแนะให้ เราเอามาทาภายนอก แต่ว่ามันสู้ยากินเข้าไปภายในไม่ได้ เพราะมันไปเยียวยาทุกส่วนของร่างกายให้มันดีขึ้น แต่ว่าเราจะใช้เพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ คนโบราณเขาจึงมียาทาด้วย ยากินด้วย ใช้ควบคู่กันไป การปฏิบัติจิตในทางพระศาสนาเราก็ใช้สองอย่าง คือการสวดมนต์นี้เป็นเหมือนยาทาภายนอก ส่วนการเจริญภาวนาทำจิตให้สงบตามแบบวิธีต่างๆนั้นเป็นยากินภายใน ประโยชน์ก็เกิดขึ้นเราหายโรคหายภัย โรคที่หายก็คือโรคกิเลสประเภทต่างๆที่เกิดขึ้นรบกวนจิตใจทำให้ไม่สบายทางใจ ความไม่สบายทางใจนั้นเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเรื่องหนัก เป็นเรื่องที่จะต้องรีบรักษา ถ้าเราไม่รีบรักษาโรคมันจเจริญงอกงาม อันความเจริญงอกงามของโรคนั้นเป็นไปเพื่อความตาย
แต่ความตายของคนเรานั้นมีสองอย่างคือ ตายทางร่างกาย กับตายทางจิตทางวิญญาณ ความตายทางร่างกายนั้นก็คือหมดลมหายใจหมดเครื่องปรุงแต่งมันก็ตายไปตามวิสัยของวัตถุ ซึ่งมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีการแปรเปลี่ยนไปในท่ามกลาง แตกสลายไปในที่สุด ความตายของร่างกายนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดมีแก่ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว เพราะถึงกลัวมันก็มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ว่าความตายทางจิตใจนั้นมันไม่ใช่เรื่องที่ควรจะตาย มันไม่ใช่เรื่องธรรมดาธรรมชาติที่จะต้องเป็นอย่างนั้น แต่ที่มันเป็นขึ้นก็เพราะเราเป็นผู้ประมาท ไม่สนใจในการเป็นผู้ที่จะอยู่อย่างมีชีวิตแต่ว่าทำอะไรทุกอย่างในทางที่จะอยู่อย่างผู้ที่ตายแล้ว ความตายในทางจิตใจคือว่า ตายจากคุณงามความดี ไม่มีธรรมะประจำใจ ไม่มีพระประจำอยู่ในใจ ผู้นั้นชื่อว่าเป็นผู้ตายแล้วทางใจ การตายทางใจเป็นเรื่องที่น่ากลัว เมื่อสมัยเด็กๆได้ยินหลวงลุงแกพูดคำหนึ่ง พูดสมัยนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรมันเด็กเกินไป แต่ว่ายังจำได้ถึงคำพูดนั้นคือว่าพี่ชายของหลวงลุงนั้นเป็นคนเมาเหลือเกิน ขี้เมา เมาวันยันค่ำ เจอกันเมาทุกที จนกระทั่งห้ามไม่ให้เจอกัน หลวงลุงบอกว่าไม่ต้องพบกันอีกต่อไปตั้งแต่บัดนี้เราถือว่าไม่เป็นพี่เป็นน้องกัน เพราะว่าไม่ได้เรื่องแล้ว อยู่ต่อมาหลายปีแกก็ตายไป เมื่อตายไปก็เลยไปบอกท่านว่า ท่านยังไม่รู้ บอกว่าลุงแท่นนะตายแล้ว ท่านบอกว่ามันตายนานแล้ว บอกว่าไม่ได้ตายแต่ว่าไปอยู่ที่มาลายู เวลานี้ตายแล้ว บอกว่าไอ้นั่นมันตายทางร่างกายแต่ว่ามันตายก่อนทางจิตใจแล้ว ท่านว่าอย่างนั้น ไอ้เวลานั้นมันก็เฉยๆ ฟังแล้วมันก็อย่างนั้นฟังอย่างเด็กเถอะไม่ได้เรื่องอะไร แต่ว่าคำพูดนั้นมันยังติดอยู่ในสมอง เมื่อมาเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่เรียนธรรมะธรรมโมเข้าก็นึกได้ว่า อ้อ หลวงลุงท่านว่าไว้อย่างนี้ คือตายทางใจนี้มันร้ายเพราะ ตายทางใจนี้มันยังเดินได้ ยังพูดได้ ยังไปเบียดเบียนสตางค์ญาติพี่น้องได้อยู่ มันก็แย่ ตายทางใจนี้มันยุ่ง เป็นคนไม่มีค่าไม่มีราคา เป็นความที่ไม่ควรจะให้เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เพราะเป็นความตายที่ไม่ได้ประโยชน์ อันนี้เราตายทางจิตใจนี้มันเสียหาย ไม่ได้เรื่องอะไร ต้องสอนลูกสอนหลานให้เข้าใจในเรื่องนี้ ให้เข้าใจว่า อย่าอยู่อย่างคนตาย ให้อยู่อย่างมีชีวิต การอยู่อย่างคนตาย ก็คือยู่อย่างคนที่ไม่มีธรรมะประจำใจ คิดเรื่องชั่ว พูดเรื่องชั่ว ทำเรื่องชั่วคบหาสมาคมกับเพื่อนชั่วๆ อันนี้ตายแล้ว ส่วนคนเสพเฮโรอีน ???????มันตายแล้ว(8.08)ขี้เหล้านี้ก็ตายแล้ว นักการพนันจนหมดเนื้อหมดตัวก็ตายแล้ว คนไม่ทำงานก็ตายแล้ว ตายทั้งนั้น คืออยู่อย่างไม่มีค่าแล้วมันก็ตาย แต่ถ้าอยู่อย่างมีค่าก็เรียกว่ายังไม่ตาย ชีวิตยังมีความหมายก็เรียกว่าเป็นผู้ไม่ตาย แต่จึงควรจะอยู่อย่างมีความหมาย รู้จักใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ ไม่อยู่อย่างผู้ที่ตายไปแล้ว พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ช่วยให้เราเป็นผู้ไม่ตายในทางจิตทางวิญญาณ แต่ช่วยให้เราอยู่อย่างมีชีวิต เพราะฉะนั้นเราจะต้องนึกถึงธรรมะบ่อยๆ
การสวดมนต์ไหว้พระนี้เป็นการเสกตัวเราเอง เรียกว่าปลุกเสกเหมือนกันเรามาปลุกเสกตัวเราเองให้เป็นพระ ให้มีหลักธรรมประจำจิตใจ เวลาใดกลุ้มอกกลุ้มใจเข้าไปนั่งในห้องพระสวดมนต์ซะใจจะได้สบาย หรือมีเรื่องอะไรที่เป็นปัญหาคิดยังไม่ออกเราก็ไปนั่งสวดมนต์เสียก่อน สวดนานๆไม่เป็นไร สวดจนใจสงบ พอใจสงบแล้วเราคิดอะไรมันจะปลอดโปร่ง เพราะใจที่สงบนั่นเหมือนกับน้ำที่สงบนิ่ง เราสามารถมองดูอะไรที่อยู่ที่ก้นบ่อได้หรือว่าอยู่ที่พื้นดินได้ แต่ถ้าน้ำกระเพื่อมเดือดปุดๆอยู่ตลอด เวลา เรามองอะไรไม่เห็นฉันใด จิตใจคนเรานี่ก็เหมือนกัน ถ้าหากว่าสับสนวุ่นวายด้วยอะไรๆต่างๆ เราจะไปคิดอะไรมันก็ไม่ได้ เพราะมันไม่สงบ ไม่ตั้งมั่น ไม่เหมาะที่จะใช้กำลังใจคิดค้นในเรื่องอะไรต่างๆ เราจึงต้องหาทางสงบใจ ด้วยการนั่งสวดมนต์ โดย เฉเพาะสวดมนต์แปลนี่ถ้าเราท่องเราจำได้ ท่องวันละนิด วันละน้อย เอาทีละบรรทัด สองบรรทัดไม่เท่าใดก็คล่องจำได้ คนที่ไชยาอ่านหนังสือไม่ออกยังท่องได้เลยเขาอ่านหนังสือไม่ออกแต่เขาจำสวดมนต์แปลได้ ในปี ๒๕๐๐ นี่ เขาฉลองกันใหญ่ ที่กรุงเทพสร้างอะไรๆ เต็มสนามหลวงเลย แต่ที่ไชยานั้นท่านเจ้าคุณบอกว่าเราชาวไชยามาฉลองปี ๒๕๐๐ ด้วยการสวดมนต์แปลกันทุกคน เลยสวดกันใหญ่ สวดได้หมด คนไม่รู้หนังสือก็สวดได้แล้วก็พอถึงวันเพ็ญปี ๒๕๐๐ วิสาขะนะ คนเป็นหมื่นเลยมาสวดมนต์กันที่วัดพระธาตุ ล้นบริเวณออกไปนอกกำแพงในสนามหญ้า สวดกันเป็นการใหญ่เลย คนไม่รู้หนังสือก็สวดได้แล้วมาสวดมนต์ได้แล้วที่หลังสวดบ่อยๆ ไปอ่านหนังสืออื่นได้ด้วย ก็มาอ่านหนังสือสวดมนต์ได้แล้วก็ไปเทียบกันไปอ่านเรื่องอื่นได้ กลายเป็นคนรู้หนังสือขึ้นมา วันๆ ได้ประโยชน์ เพราะฉะนั้นหนังสือสวดมนต์นี้ใช้เป็นคู่มือเรียนภาษาไทยก็ได้ ใช้เป็นคู่มือสำหรับเด็ก ตัวเราเองให้มีศีลธรรมประจำใจก็ได้ เป็นยาแก้ทุกข์ แก้ร้อนก็ได้ เรียกว่าเป็นยาเย็น เอามาชโลมใจแล้วมันก็ระงับดับทุกข์ ดับร้อนได้ เกิดความสบายใจ ญาติโยมจึงควรจะได้เอาไปท่องบ่น ลูกเล็กเด็กน้อยสอนให้สวดเสียด้วย ให้มันจำไปตั้งแต่ตัวเล็กๆ เมื่อโตขึ้นก็จะได้เอาไปใช้ในชีวิตประจำวันต่อไป
เด็กๆ ของเรานะ ต้องเสกให้เป็นพระ ถ้าเราไม่เสกให้เป็นพระ ผีมันจะเอาไป แล้วพ่อ แม่ก็จะนั่งเอาน้ำตาเช็ดหัวเข่า เดือนร้อนนะ ผีลูกมันตายแล้วนะ ลูกชั่วก็เท่ากับตายแล้วนะ ไม่ได้เรื่องอะไร อันนี้เราสอนให้เข้าถึงธรรมะ สอนให้สวดให้ว่าวันละเล็กวันละน้อยก่อนนอนทุกคืนให้สวดว่า มันก็จำได้ จำได้แล้วก็ต่อไปมันก็สวดได้ ได้ประโยชน์ ที่นี้ถ้าเราสวด จำแล้ว เรายกขึ้นมาที่ละบทที่ละตอน เอามานั่งพิจารณาความหมายของเรื่องนั้นๆว่าที่เราสวดนั้นมีความหมายอย่างไร และความหมายนั้นเราจะเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้หรือไม่ คือเอามาปฏิบัติได้หรือไม่ เพราะธรรมะนั้นต้องเอามาใช้นะ ไม่เอามาใช้ไม่ได้เรื่องอะไร เรียนจำแล้วไม่เอามาใช้ ก็เหมือนกับไม่ได้เรียน เพราะไม่ได้เอามาปฏิบัติ นี่เราต้องเอามาใช้ในชีวิตประจำวันของเรา ใช้เพื่ออะไร ใช้เพื่อทำอะไรให้มันถูกต้อง คิดอะไรให้มันถูกต้อง พูดอะไรให้ถูกต้อง จะคบหาสมาคมกับใครก็ต้องเป็นไปเพื่อความถูกต้อง จะไปไหนก็จะได้ไปเพื่อความถูกต้อง ถ้าเราอยู่อย่างถูกต้องอย่างนี้ อันตรายก็ไม่มี ปัญหาที่จะเกิดขึ้นมันก็ไม่มี เพราะเราได้ใช้หนังสือสวดมนต์ของเรานี้ให้เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เราใช้ได้ทุกแง่ทุกมุม ไม่ว่าเรื่องอะไร เรื่องการงาน เรื่องส่วนตัว เรื่องสังคม ตลอดจนถึงเรื่องประเทศชาติบ้านเมือง ถ้าเราเอาหลักธรรมะเหล่านี้ไปใช้ได้ทั้งนั้น
แต่ว่าคนเราสมัยนี้มันก็อย่างนั้นแหละ มักจะเมินเฉยไม่ค่อยจะเอาธรรมะ เขาแจกดวงตานี้ไม่มีใครจะเอา แต่ถ้าแจกสิ่งไม่เป็นประโยชน์ล่ะก็แย่งกันเอากันเป็นการใหญ่ เหมือนอาจารย์ขลัง ขลังเข้ามากรุงเทพ คนไปหากันเหลือเกิน ไปกันยืนกันเป็นแถว นึกว่าไปซื้ออะไรไปเห็นเข้าถามว่ามากันทำไมโยม มาหาหลวงพ่ออะไร หลวงพ่อมาจากไหน มาจากโน่น มาพักอยู่ที่กุฏิคณะนี้ เดินกันขึ้นไป ที่ไม่พอนั่งต้องไปยืนอาบแดดรอเข้าไปหาหลวงพ่อ ไปได้อะไรบ้าง ไม่มีอะไรหรอก ไปถึงบางทีก็ไปรดน้ำมนต์ได้หน่อยหนึ่ง หรือบางทีก็ให้อะไรสักชิ้นหนึ่ง แล้วก็ไปกันต่อไป นี่เขาเรียกว่าไปหาสิ่งซึ่งมันไม่เป็นประโยชน์ ดวงตานั้นไม่ค่อยเอา ธรรมะนี้ไม่ค่อยเอา เอาแต่เรื่องไม่เป็นประโยชน์ นี่เขาเล่าว่าที่ชุมพรมีหลวงพ่อองค์หนึ่ง ความจริงท่านไม่ได้เป็นหลวงพ่ออะไรกับเขาหรอก ท่านเคร่งครัด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ คนก็ชอบไปหาท่าน มีคนหนึ่งเขาทำเหมืองแร่ขาดทุนหยุบหยับก็เลยไปหาให้ท่านช่วย บอกว่าผมทำงานมาขาดทุน ให้หลวงพ่อช่วยหน่อย ท่านก็พูดแต่เพียงว่า ทำไปเถอะ มันดีเองละ อย่ายึด ท่านว่าเท่านี้แหละ ทำไปเถอะมันดีเอง แล้วก็ไปตั้งหน้าตั้งตาทำต่อไป ทำไป ทำไป มันก็เจอที่แร่มากเข้า เลยเอาไปขายได้กำไรร่ำรวย พอร่ำรวยแล้ว ไม่ได้นึกถึงธรรมะว่าไอ้ที่ตัวรวยนี่เพราะตัวธรรมะ
ทำนั่นเองละ คือประพฤติธรรมนี่หมายความว่าเราทำงานนะสิ มันรวยขึ้น กลับยกผลประโยชน์ให้หลวงพ่อไป ว่าหลวงพ่อแกบอกให้ทำ เราจึงได้ร่ำรวย หาว่าหลวงพ่อขลังไป เลยยกประโยชน์ให้ท่าน ถ้าคนไปถามท่านก็บอกว่า ไม่ได้บอกให้มันทำ มันทำมันก็ร่ำรวยไป อันนี้มีรายหนึ่งสามีเป็นคนชอบสูบฝิ่น แล้วฝิ่นสมัยนี้มันมีเมื่อไร มันเถื่อนทั้งนั้นแหละ สูบที่ไหนมันก็เถื่อน เข้าไปพักโรงแรมที่ชุมพร ไปพักแล้วก็งัดขึ้นมาสูบ สูบแล้วกลิ่นนี้มัน กลิ่นมันออกไปไกล คนได้กลิ่นก็ไปบอกตำรวจมาจับ จับได้ทั้งฝิ่นทั้งคนสูบ พอได้ทั้งฝิ่นทั้งคนสูบ ภรรยาก็ไปหาหลวงพ่อบอกว่าช่วยด้วยเถอะหลวงพ่อ เรื่องมีปัญหา ท่านก็ถามว่าเรื่องมันเป็นยังไร เขาก็บอกว่าเล่าเรื่องให้ฟัง ท่านว่าเออไอ้แบบนี้มันต้องติดตารางแน่ๆ แล้วมันก็ติดจริงๆ ไม่ใช้หลวงพ่อว่าติดแล้วมันติด ไม่ใช่ เพราะมันผิดแน่ๆว่าอย่างนั้นนะ แล้วมันก็ติดตาราง เลยบอกว่าหลวงพ่อนี้แม่นเหลือเกิน บอกว่าติดตารางติดจริงๆเสียด้วย ความจริงมันไม่ใช่ มันทำผิด มันก็ติดตารางนะสิ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ ใครไปหาท่านท่านก็ไม่ค่อยอะไรหรอก บางทีเขามีงานมีการก็นิมนต์ท่านไป เจ้าคณะจังหวัดเขามี ท่านดี ท่านไปบอกเจ้าคณะว่าขออนุญาติหน่อย ชาวบ้านเขานิมนต์มา แล้วท่านก็นั่ง ไม่พูดสักคำเดียว ตามใจใครจะไปถามอะไร ไปพูดอะไร ท่านไม่พูดเลยทั้งนั้น ท่านนั่งเฉยตลอดทั้งวันเลย ครึ่งคืนท่านก็ไม่พูด ท่านนั่งเฉยอย่างนั้นแหละ ไอ้พวกนั้นมันก็ไปเที่ยวหาท่านมารถอะไร ไปดูท้ายรถว่ามันเบอร์อะไร รถที่ท่านมา มันเที่ยวดูวุ่นไปหมดล่ะ เที่ยวหา เที่ยวอะไรไปละ ได้เห็นหลวงพ่อเที่ยวหา ท่านนั่งทำอะไรบ้าง ถามไป บางทีถามวันนี้กี่ค่ำหลวงพ่อ ท่านก็ไม่พูด มันก็นึกของมัน คนมันบ้า มันบ้าหวยบ้าเบอร์ ดูอะไรก็เป็นเลขไปหมด นี่อย่างนี้ แล้วมันก็หาว่าหลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์ ท่านบอกว่ามันไม่ได้เรื่องอะไรไอ้พวกนี่มัน มันอยู่กันอย่างนี้ล่ะ ว่านั้นแหละ ถ้าพูดกันเวลาไม่มีใคร ท่านบอกว่ามันอยู่กันอย่างนี้แหละ มันจะก้าวหน้ากันได้อย่าไรท่านว่าอย่างนั้น คนเรามันไปเที่ยวนึกเอาเอง ชอบของอย่างนั้น
อันนี้ของที่เรียกว่าเป็นธรรมะ เป็นข้อปฏิบัติที่เราควรจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันไม่มีใครสนใจเท่าไร ไม่ถาม ไม่ขอ ในเรื่องอย่างนั้น ขอแต่วัตถุ ไม่ขอธรรมะ ขอแต่เครื่องรางของขลังให้มาช่วยตน แต่ไม่ขอข้อปฏิบัติซึ่งตนสามารถเอามาใช้ช่วยตนให้พ้นจากอันตรายนี่ไม่เอา นี่ เป็นอย่างนี้
อันนี้ยกเว้นโยมที่มาที่นี่ เรียกว่ามานี่นะ ตื่นแล้วทั้งนั้นที่มาๆนี่ เรียกว่าลืมหูลืมตาแล้วเสกกันมาหลายปีแล้ว เรียกว่าลืมหูลืมตาแล้ว พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร แต่โยมที่ยังไม่เคยมานะยังหลับหูหลับตาอยู่ นานๆก็หลงเข้ามาสักราย ก็ได้มาฟังเสกเป่าต่อกันไปใหม่ เรื่องมันเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้เราช่วยกันค้นหาธรรมะจากเรื่องที่เราสวดเราว่า เรื่องที่เราสวดเราว่ามีอยู่ตอนหนึ่งหน้า๖เขาเรียกว่ารตนัตตยัปปณามคาถา คำปณามพระรัตนตรัย ปณามแปลว่าอ่อนน้อมไม่ใช่ขับไล่ ปณาม คำว่าปณามนี่ คำบาลีเรียกว่าปณาม ปณาม ปณามไม่มีตัว ร คำบาลีว่าปณามคาถา คาถาซึ่งกล่าวถึงความนอบน้อมต่อพระรัตนตรัย เป็นคำอ่อนน้อม แล้วเราก็สวด สวดว่า พุทโธ สุสุทโธ กรุณามหัณณะโว กล่าวสรรเสริญพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ พระพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพ คำที่เราสวดนี้สรรเสริญพระพุทธเจ้าว่าเป็นผู้ยิ่งด้วยความกรุณา เป็นผู้มีความบริสุทธิ์ นี่คือพระคุณของพระพุทธเจ้า สองอย่างข้างต้น แล้วสวดต่อไปว่า โยจจันตะสุทธัพพะระญาณะโลจะโน พระองค์ใดมีตาคือญาณ อันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด โลกัสสะ ปาปูปะกิเลสะฆาตะโก เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาปและอุปกิเลสของโลกวันทามิ พุทธัง อะหะมาทะเรนะ ตัง ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยใจเคารพเอื้อเฟื้อ อันนี้เราควรจะนำไปพิจารณา เริ่มต้นก็ว่าพุทโธ สุพุทโธ พระพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์จากอะไร ไม่บริสุทธิ์เพราะอะไร ไม่บริสุทธิ์ก็เพราะว่าใจยังมีกิเลส กิเลสประเภทต่างๆมีความโลภ ความโกรธ ความหลงนี่เป็นตัวใหญ่ ซึ่งได้อธิบายความหมายให้ญาติโยมฟังแล้ว แล้วยังมีกิเลสน้อยๆ เขาเรียกว่าอุปกิเลส ตัวเล็กๆ หงุดหงิด งุ่นหง่าน เกิดขึ้นบ่อยๆ แทรกแซงขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว กิเลสทั้งหลายนี้เป็นสิ่งทำใจให้เศร้าหมอง ขณะใดใจเราถูกกิเลสครอบงำ ขณะนั้นสภาพจิตเศร้าหมอง พอจิตเศร้าหมองปัญญาไม่มี ความรู้ความเข้าใจในเรื่องอะไรที่ถูกต้องมันก็ไม่มี รู้ผิด เห็นผิด คิดผิด พูดอะไรก็เป็นไปในทางผิด ที่นี้พอเป็นเรื่องผิด มันก็เกิดทุกข์กันเท่านั้นเอง ความทุกข์เกิดเพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ความไม่รู้ไม่เข้าใจก็เพราะว่า ใจถูกกิเลสครอบงำ คล้ายกับดวงจันทร์ในยามราตรี ถ้าไม่มีเมฆเข้ามาปิดบังแล้ว ดวงจันทร์นั้นก็จะส่องแสงมาสู่โลกได้ ทำให้เราสบายใจ แต่ถ้ามีเมฆหมอกเข้ามาปิดบังเสีย แสงจันทร์นั้นก็ไม่ปรากฏฉันใด สภาพจิตเราก็เป็นเช่นนั้น ถ้าโดยปรกติมันก็สะอาดอยู่ สงบอยู่ แล้วก็สว่างอยู่ด้วยปัญญา พอมีกิเลสตัวใดตัวหนึ่งเข้ามาครอบงำ จิตก็ไม่บริสุทธิ์ เศร้าหมองไป เปลี่ยนสภาพไป
น้ำพระทัยของพระพุทธเจ้านั้นบริสุทธิ์ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งเศร้าหมองเกิดขึ้นแล้ว ทำไมสิ่งเศร้าหมองจึงไม่เกิด ก็เพราะว่าพระองค์ตัดทางมันเสียแล้ว ทางที่จะให้สิ่งเศร้าหมองเกิดนั้นก็คือความไม่รู้ ไม่เข้าใจ เป็นฐานอันแรก แล้วก็ต่อไปก็มีความอยาก มีความยึดถือเกิดตามกันมา ที่เราเรียกกันตามภาษาธรรมะว่า อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน อวิชชาตัวความไม่รู้ ตัณหามันก็อยากเพราะไม่รู้ แล้วเพราะไม่รู้ว่าตัวอยากอะไร อยากถูกหรืออยากผิด อยากในทางเจริญหรืออยากในทางเสื่อม อยากในทางร้อนหรือว่าในทางเย็น ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ก็เลยเกิดความยึดถือในความอยากนั้น จนกระทั่งไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น ก็นั่งเป็นทุกข์เดือดเนื้อร้อนใจด้วยตัณหาคือความอยากนั้น ด้วยประการต่างๆ พระพุทธเจ้าท่านตัดทางมันเสียแล้ว ไม่เจริญงอกงามในเรื่องนี้ต่อไป พระองค์จึงอยู่อย่างดวงจันทร์ในวันเพ็ญที่ไม่มีเมฆหมอกมาบังได้เลยแม้แต่น้อย เมื่อเรารู้ความหมายของข้อนี้ เราก็ต้องปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงความบริสุทธิ์ การเข้าถึงความบริสุทธิ์ก็เรียกว่าเข้าถึงพุทธะ คือเข้าถึงองค์พระพุทธเจ้า เรามีพระพุทธเจ้าอยู่ในใจของเรา ความจริงก็มีอยู่แล้วแต่ไม่ปรากฏออกมา เพราะมีสิ่งอื่นเข้าไปปิดบังห่อหุ้มไว้ เราจึงต้องขจัดสิ่งที่ปิดบังนั้นออกด้วยอำนาจปัญญา แล้วก็ระวังไม่ให้สิ่งนั้นมันเกิดรบกวนอีกต่อไป เพราะสิ่งนั้นมันไม่ใช่มีอยู่เดิม มันจรเข้ามาเป็นครั้งๆคราวๆ เราก็เพียงแต่ทำหน้าที่ระวังไม่ให้สิ่งนั้นเข้ามาเท่านั้น
การระวังนั้นก็ต้องใช้สติคือความรู้สึกตัวอยู่ ไม่ให้สิ่งนั้นเข้ามาได้ ถึงเข้ามาแล้วก็ให้หยุดเสียเพียงตรงประตูนั้นแหละ ตรงประตูคือตรง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่ให้ล่วงล้ำเข้าไปถึงใจของเรา ไม่ให้มันครอบงำใจของเรา เราระวังไว้เสีย สตินี้เรียกว่าเป็นเหมือนยามเฝ้าประตู ท่านพระอรหันต์องค์หนึ่งจึงกล่าวว่า จงทำสติไว้ที่ตา ที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ อันตรายจะไม่เกิดขึ้นแก่เธอ คือจะไม่เกิดความทุกข์เพราะสิ่งที่มากระทบ ที่นี้ปรกติคนเรานี้มักจะเผลอ ประมาท ไม่ระมัดระวัง ในเรื่องนั้นๆ จึงได้ถูกมันแหย่เอาบ่อยๆ มันทำให้เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนบ่อยๆ เพราะเราขาดความระมัดระวัง ในการปฏิบัติจึงต้องทำสติ สัมปชัญญะ คู่กันสองอย่าง รู้ตัวก่อนเรียกว่าสติ รู้อยู่ต่อไปเรียกว่าสัมปชัญญะ มันคู่กัน เกิดความรู้สึกทันทีในการที่เราจะทำอะไร จะคิด จะพูด จะทำ จะเคลื่อนไหว รู้สึกตัวก่อน เช่นจะลุกขึ้นนี้เรารู้สึกตัวก่อนว่าเราจะลุกขึ้น เราจะนั่งลง เราจะเหยียดแขน เราจะคู้แขนเข้ามา เราจะหยิบนั่น เราจะหยิบนี่ ทำด้วยความมีสติ คนที่ทำอะไรด้วยความมีสตินั่นแหละเขาเรียกว่าผู้ดี ผู้ดีนั้นไม่ผลุนผลัน ไม่ใจร้อน ไม่ใจเร็ว จะหยิบ จะฉวยอะไรก็เรียกว่ามีจังหวะ นั่นเกิดจากการมีสติ การอบรมในตระกูลต่างๆที่เราเรียกว่าผู้ดีนั้น ไม่ใช่เรื่องอะไรละ คืออบรมสตินั่นเอง ให้กระทำจนเป็นนิสัย จะลุก จะเดิน จะนั่ง จะหยิบจะฉวยอะไร จะพูดอะไร ไม่มีอาการรุกลี้รุกรน ไม่มีอาการผลุนผลันพลันแล่น แต่จะทำด้วยความรู้สึก พอทำด้วยความรู้สึกมันมีจังหวะ เช่นเราจะหยิบอะไรเรารู้สึกตัวมันก็คุมไปในตัว ยื่นแขนออกไปจับสิ่งนั้นให้เรียบร้อย แต่ถ้าไม่มีการคุมจับอย่างนี้ จับแก้วบางทีก็พลาดไปเลย ของอะไรจะแตกจะหักก็จับมันจนแตกไปเลยกิริยาหยาบ กิริยาหยาบนั้นเพราะขาดสตินั่นเองไม่ใช่ขาดอะไร จะเดิน จะนั่ง จะลุก ล้างถ้วยล้างจาน จะวางของ แทนที่จะวางลงไปด้วยสติ คลืนลงไปเลย ถ้าของอะไรพอจะแตกได้ ก็วางมันแตกไปเลย กระแทรกลงไป ให้หักไปเลยอย่างนั้นไม่มีสติ คือไม่รู้ตัวว่าเราจะวางอะไร ไม่รู้ว่าของนี้มันต้องค่อยๆเพราะมันเปราะ มันแตกง่าย เราไม่รู้ ไม่มีสติรู้สิ่งนั้น ไม่มีสติควบคุมการจับการต้อง
การกระทำนั้นจึงเป็นไปด้วยการอาการผลุนผลันพลันแล่น เดินก็เหมือนกัน คนเดินเร็ว เดินด้วยสติมันก็น่าดู แต่เดินด้วยกิริยาผลุนผลันมันไม่น่าดู เช่นเราโกรธใครเราก็เดินลงส้นปังๆไป นั่นเดินด้วยกิเลส ไม่ได้เดินด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ เพราะใจมันมีกิเลสอยู่เวลานั้น ใจไม่รู้ แล้วก็เดินตูมๆไปเลย พูดอะไรก็ไม่น่าฟัง กิริยาท่าทางก็ไม่น่าดู เพราะปราศจากการควบคุมจิตใจ เราจึงต้องใช้สติรู้ไว้ก่อน จะทำอะไรต้องบอกให้รู้ เหมือนกับทหารเขาหัด ระวัง แล้วก็ว่าเตรียม นี่เท่ากับว่าให้มีสติ ให้มีสติคอยกำหนดว่าเขาจะบอกอะไรต่อไป พอเตรียมแล้วก็บอกว่าขวาหัน ซ้ายหัน หน้าเดิน หรืออะไรก็ว่าไป มันจะได้รู้ อันนี้ถ้าไม่เตรียม ไม่รู้ ทหารหัดใหม่นี้ เขาบอกขวาหัน เป็นซ้ายหัน อันนี้มือขวาต้องให้จับอะไรไว้ ไอ้นี่ขวานะ ไอ้นี่ซ้ายนะ หัดแล้วยังไม่เรียบร้อย มาหัดคนเดียวกลางแจ้ง ซ้ายก็ว่ายาวๆ หัน บอกว่าซ้ายหัน ขวาหันอีกแล้ว …… (31.01 เสียงไม่ชัดเจน) บางคนก็มันคิดปัญญาอ่อน นายสิบก็โกรธ บางทีก็ไปเล่นงานตบมันเข้าบ้าง โมโหพูดไม่รู้เรื่อง ตัวคนที่ไปตรวจมันก็ขาดสติเหมือนกันคือไม่รู้ว่าไอ้นี่มันมาจากทุ่งนามันไม่ได้ศึกษาอะไร ก่อนหัดจะต้องใจเย็นหน่อย จะไปเล่นกำลังมือกำลังเท้ากับมันไม่ได้ เดี๋ยวมันก็นึกว่ากูก็มีเหมือนกันนี่หว่า มันเปรี้ยงเข้าให้ อันนี้มันก็ยุ่งเท่านั้นเอง ไม่มีธรรมะมันเดือดร้อน จึงต้องมีสติควบคุมการจะคิด การจะทำ การจะพูด การจะเคลื่อนไหว ขณะเคลื่อนไหวอยู่เราก็รู้อยู่เวลานั้นเรียกว่าสัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะสองตัวนี้ ท่านให้ชื่อว่าธรรมมีอุปการะมาก ธรรมสองตัวนี้คือสติสัมปชัญญะนี้เรียกว่าเป็นธรรมมีอุปการะมาก อุปการะไม่ให้เราผิดพลาด ไม่ให้เราต้องเสียหายในเรื่องอะไรๆต่างๆ ความผิดพลาดเสียหายของการกระทำแต่ละครั้ง บางคราวก็ไม่ใช่น้อย ขาดทุนถึงกับหยุบหยับไปเลย เสียเงินเสียทองหยุบยับไปเลย ขาดทุนเพราะอะไรละ ไม่รู้ไม่ได้เตรียมตัวที่จะจัดจะทำให้เรียบร้อย เลยเสียท่าเขา นี่ อันนี้มีอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเรานึกถึงว่าพระพุทธเจ้าเป็นผู้บริสุทธิ์ เราก็ต้องอยู่ด้วยความมีสติ สัมปชัญญะ ระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร อย่างนี้ก็สบาย เรียกว่าเราเดินไปในทางของพระ เดินเรื่อยไปเถอะถึงสักวันหนึ่งเอง คือถึงจุดจบของสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย สิ่งชั่วร้ายจะไม่มีโอกาสมาแผ้วพานจิตใจเราต่อไป เราก็เรียกว่าถึงจุดหมายแล้ว เราเป็นพุทธะไปด้วยเหมือนกัน
เรื่องความเป็นพุทธะนี่ญาติโยมอย่าเข้าใจผิด อย่าคิดว่าเราเป็นไม่ได้ อย่าเข้าใจอย่างนั้น อย่าเข้าใจว่ามันเหลือวิสัย อย่าไปเชื่อตามคำสอนบางอันว่าต้องบำเพ็ญบารมีกันนานเหลือเกิน กี่อสงไขยแสนกัลป์ อนันต์ชาติ แหมมันเหลือเกิน พูดกันไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร มันมาก ความจริงท่านพูดไว้เช่นนั้นก็ถูกเหมือนกัน แต่ว่าเราต้องแปลความหมาย แปลความหมายในรูปธรรมะ หมายความว่าต้องทำนานๆ สภาพจิตมันเกิดดับเกิดดับเกิดดับไม่รู้ว่าสักเท่าไร ไม่รู้ว่ากี่แสนครั้ง ไม่รู้ว่ากี่ล้านครั้ง มันถึงจะถึงจุดที่เราต้องการได้ ไม่ได้หมายความว่าตายหลายครั้ง ตายทางกาย ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าเป็นความเกิดตายทางจิตใจเป็นเวลามากเหลือเกิน หลายร้อยล้านครั้งจึงจะไปถึงจุดที่เราต้องการได้ อย่านึกว่ามันจะตายกันหลายหนเข้าโลงหลายหนแล้ว มันถึงจะเป็น อย่างนั้นมันนานเกินไป ถ้าเราเข้าใจว่าจิตนี้มันต้องเกิดดับเกิดดับเป็นจำนวนเป็นแสนครั้งล้านครั้ง มันก็เรื่องในชาติปัจจุบัน เป็นเรื่องที่จะเข้าถึงได้ ไม่เหลือวิสัย เราทำได้
การสร้างบารมีนั้นหมายถึงอะไร หมายความว่าทำความดีติดต่อไปไม่หยุด นั้นก็เรียกว่าสร้างบารมี บารมีคือธรรมะที่จะให้เราไปถึงฝั่ง เครื่องข้าม เหมือนกับแพสำหรับข้ามแม่น้ำ เหมือนกับเรือสำหรับข้ามแม่น้ำ เราก็ต้องใช้แพใช้เรือ ผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อข้ามสังสารวัฏ สังสารวัฏหมายถึงว่าการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวงจรของกิเลสนี่ เป็นสังสารวัฏ เป็นมหาทะเลใหญ่ เป็นมหาสมุทรที่กว้างลึกเหลือเกิน เราก็ต้องข้ามด้วยบารมี บารมีนั้นก็ต้องมีความเชื่อมั่นในการกระทำมีความเพียร มีสติ มีปัญญา เป็นเครื่องกำกับ ทำไมหยุดก้าวเรื่อยไป เหมือนกับคำที่พระองค์ตรัสว่าเธอทั้งหลาย เมื่อยังไม่ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้อย่าหยุดเสีย จงก้าวต่อไป การหยุดนั้นเพราะอะไร เพราะเราไปหลงไหลกับสิ่งแวดล้อม ไปเพลิดเพลินกันรูป กับเสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ยั่วยวนชวนใจ แล้วก็ติดอยู่ในสิ่งเหล่านั้นไม่ก้าวต่อไป คนโบราณเขาว่าไปเที่ยวเก็บดอกไม้มักกะลีผล ไอ้ดอกไม้มักกะลีผลนี่เขาเขียนเป็นต้นไม้แล้วมันออกดอกเป็นคน ออกมาดอกเป็นคนห้อยอยู่ คล้ายกันต้นมะม่วงหินมะพานต์ มันออกลูกแล้วเมล็ดมันอยู่นอกลูก ปักษ์ใต้เขาเรียกลูกเม็ดล่อ เม็ดมันล่อมาจับผลของมัน หลายชื่อไอ้นี่มันชื่อมาก แต่มันย้อยออกมาอย่างนั้น แต่นี้ไอ้ต้นมักกะลีผลเป็นต้นไม้สมมุติหรอก ไม่ได้มีจริงจังอะไรหรอก คือว่ามันออกดอกแล้วมันออกมาเป็นผลเป็นคน มีหัวขั้วอยู่ที่หัวแล้วมันห้อยลงมา แล้วก็เป็นคนผู้หญิงเสียด้วย ห้อยลงมาสวยๆงามๆ อันนี้เขาบอกว่าคนผู้ชายพายเรือแล้วก็ไปเจอป่าไม้มักกะลีผลเข้า เลยไปเก็บไม้ ดอกไม้ ลูกไม้นั้น ก็เลยไปไม่ได้ อันนี้หมายความว่าไปเพลิดเพลิน ไปสนุกสนานกับสิ่งยั่วยุมีประการต่างๆ เลยออกจากเส้นทางแห่งความดี เดินไปตามเส้นทางความดีแต่ว่าไปเจอของสนุกเข้า เลยแวะไปชมเสีย แวะไปฟังเสีย แวะไปกินเสีย แวะไปนอนเสีย แล้วมันก็ไปไม่ได้ล่เพราะไปติดความสนุกสนาน ความเพลิดเพลินทั้งหลายทั้งปวงที่มีอยู่มากมายในโลกนี้ก็เลยไปไม่ได้ เราจะเห็นว่าคนบางคนเดินไปในทางถูกทางชอบแต่ภายหลังมากลับไปเดินทางผิดนั้นแหละ ไปติดดอกไม้มักกะลีผลเข้าแล้วเลยก็เพลินไปกับสิ่งเหล่านั้น เพลินอยู่ในบ่อนบ้าง เพลินอยู่ในสนามม้าบ้าง เพลินอยู่ในวงเหล้าบ้าง เพลินอยู่ในวงเต้นรำระบำฟ้อนบ้าง สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ดึงแข้งดึงขาไม่ให้เราก้าวไปข้างหน้า ท่านจึงสอนให้พิจารณาว่ามันไม่น่าสนุก ไม่น่าเพลิดเพลิน ไม่น่าเอามายึดถือว่าเป็นของตัว เพียงแต่เห็นแล้วก็ให้ผ่านพ้นไป อย่าไปหยุดอยู่ในที่เหล่านั้น เราจึงบอกว่าเมื่อยังไม่ถึงจุดหมายเธอทั้งหลายเดินต่อไป เดินเรื่อยไปๆอย่าหยุดจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
การเดินนั้นบางคราวเราก็อาจจะเดินช้าๆแต่บางคราวอาจจะเดินเร็วๆ สุดแล้วแต่จังหวะ สุดแล้วแต่เหตุการณ์สิ่งแวดล้อม ขอเพียงอย่างเดียวว่าให้เดินต่อไปอย่าไปหยุดเสียเป็นอันขาด แล้วจุดหมายที่เราจะไปนั้นมันถึงเข้าเอง ไอ้หนทางนี้ถ้ายิ่งเดินมันยิ่งใกล้เข้าเร็วๆ ยิ่งเดินมันยิ่งใกล้ ยิ่งหยุดมันยิ่งไกล ถ้าเรายิ่งหยุดมันยิ่งห่างออกไปเรื่อย ถ้ายิ่งเดินมันก็ยิ่งใกล้เข้าไปทุกที ทางของกายก็เป็นอย่างนั้นทางของใจก็เป็นอย่างนั้น ทางของใจถ้าเราเดินไป ต่อไปๆมันใกล้เข้าไป แต่ถ้าเราหยุดมันห่างออกมาอีกแล้ว มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราต้องถือหลักประจำใจว่า ต้องเดินต่อไปจนกว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง
เราพุทธบริษัทต้องมีจุดหมายในชีวิตว่าเราจะไปสู่อะไร จุดหมายในทางวัตถุมันก็มี จุดหมายในทางจิตวิญญาณมันก็มี จุดหมายในทางวัตถุคือตั้งเนื้อตั้งตัวได้เป็นหลักเป็นฐานเพื่อตัวเองได้ไม่ต้องอาศัยผู้อื่นเป็นอยู่ อันนี้เราจะต้องพูดให้เด็กเข้าใจ ลูกหลานต้องพูดให้รู้ว่าจุดหมายอันแรกคืออันนี้ก่อน จุดหมายว่าต้องให้ช่วยตัวได้ ให้พึ่งตัวเองได้ ช่วยตัวพึ่งตัวนี้จะทำอย่างไร ก็ต้องมีความรู้ ต้องมีความสามารถ ต้องมีความฉลาดในความเป็นอยู่ และต้องมีความประพฤติดีด้วย ประกอบกันเข้า เราก็สามารถจะช่วยตัวเองได้ ตั้งตัวได้ มีความรู้มีพอที่จะช่วยตัวให้พ้นจากความรู้เก่า มีความขยันพ้นจากความยากจน มีความฉลาดพ้นจากความผิดพลาดได้ เราก็เอาตัวรอด สอนให้เขาอย่างนั้น จุดหมายอีกอันหนึ่งนั้นก็คือว่า เราจะพุ่งไปสู่ความบริสุทธิ์แห่งจิต นั่นคือความเป็นพุทธะ ความเป็นพุทธะก็คือความบริสุทธิ์แห่งจิตของเรา เราต้องพุ่งไปสู่จุดนั้น ประโยชน์ในทางวัตถุกับประโยชน์ทางจิตใจนั้นสัมพันธ์กัน อย่าแยกออกจากกัน บางที่เราพูดว่าเฮ้ยนี่มันเรื่องโลก นี่มันเรื่องธรรม โลกกับธรรมมันเกี่ยวกันไม่ได้ พูดอย่านั้นไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ มันต้องเกี่ยวกันอยู่ตลอดเวลา โลกกับธรรมมันต้องเกี่ยวข้องกันแยกจากกันไม่ได้ กายนี่แยกจากใจได้ไหม ใจนี้แยกจากกายได้ไหม ไม่ได้ ถ้าแยกใจออกไปก็กลายเป็นศพไปเท่านั้นเอง ถึงแม้มีชีวิตอยู่ถ้าเมื่อเอาจิตใจที่ดีออกไปแล้วมันก็เป็นอะไร มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร แยกไม่ได้ ชีวิตในทางโลกกับชีวิตในทางธรรมต้องสัมพันธ์ด้วยกัน ต้องไปด้วยกัน
เราจะทำงานอะไรก็ตามใจ เป็นข้าราชการ เป็นพ่อค้า เป็นนักการเมือง เป็นอะไรก็ตามใจ ต้องมีชีวิตด้านธรรมะไปด้วย ถ้าเอาชีวิตแต่ด้านโลกอย่างเดียวมันไม่มีธรรมะมันไม่รอด ไปไม่รอดเพราะไม่มีอะไรเป็นเครื่องเหนี่ยวรั้งบังคับจิตใจ ความคิดความอ่านก็จะเพ้อออกไปนอกลู่นอกทางด้วยประการละต่างๆ มันยุ่ง แต่ถ้ามีธรรมะกำกับไปด้วยแล้ว เรียบร้อย เหมือนคนขับรถเคารพกฏจราจร มันไม่เกิดเรื่อง แต่ถ้าไม่เคารพกฏจราจรนี่มันเกิดเรื่อง เกิดปัญหา เดินทางไปไหนก็เรียกว่าไม่สบายใจ กลัวมันจะชนกันจะเบียดกันเพราะว่าคนไม่เคารพ ลำบาก แต่ถ้าเราเคารพกฏจราจรไม่มีเรื่อง เรามีชีวิตอยู่ในโลกก็คือการเดินทาง ต้องมีธรรมะ คือศีลธรรมนี่เป็นระเบียบของการเดินทาง ถ้าเรามีธรรมะหรือศีลธรรมเป็นระเบียบของการเดินทางแล้วสภาพชีวิตจะผิดพลาดได้อย่างไร จะเกิดความยากจนได้อย่างไร จะเกิดความทุกข์ความเดือดร้อนได้อย่างไร มันไม่มี เพราะศีลธรรมนั้นคอยตะล่อมกล่อมใจเราไม่ให้เขว่ออกไปนอกลู่นอกทาง สิ่งทั้งหลายก็จะเรียบร้อยเพราะฉะนั้นเราต้องพูดใหม่ว่า คดีโลกกับคดีธรรมมันต้องสัมพันธ์กันแยกจากกันไม่ได้ จะแยกออกเป็นเรื่องโลกอย่างหนึ่งธรรมอย่างหนึ่งนั้นไม่ได้ มันต้องกลมเกลียวกันไปเหมือนเชือกสองเกลียว ถ้าเหลือเกลียวเดียวมันจะอยู่ได้อย่างไร มันไม่พอ เดี๋ยวมันขาดไปเท่านั้นเอง เชือกเกลียวเดียวเย็บของเดี๋ยวเดียวก็ขาด สองเกลียวมันช่วยกันหน่อย หลายเกลียวมันยิ่งแข็งแรงหน่อย แต่ชีวิตก็เป็นอย่างนั้น อันนี้ขอให้เข้าใจกันว่าชีวิตกับธรรมะหรือโลกธรรมนั้นต้องไปด้วยกัน แยกจากกันไม่ได้ เมื่อเราแยกจากกันไม่ได้
แม้เราจะต้องเดินอยู่ในภาวะของชาวโลก แต่เราไม่ทิ้งจุดหมาย ว่าจุดหมายนั้นเราต้องไปจุดนั้นคือความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ไอ้นี่ก็ทำไป ทำมาหากินไป แต่เราทำมาหากินด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทำมาหากินด้วยความบริสุทธิ์ก็หมายความว่าเราอยู่ในระเบียบของศีลธรรม เราไม่เบียดเบียนใครในทางร่างกาย ชีวิต ไม่เบียดเบียนใครในทางทรัพย์สมบัติ ไม่เบียดเบียนใครในทางความรักใคร่ ในครอบครัว ไม่เบียดเบียนใครในทางการพูดการเขียน ไม่เบียดเบียนใครในการทำตัวเราให้เป็นภาระแก่คนอื่น คนอื่นเขาเมาเป็นภาระคนอื่น โยมคิดดูเรามีหลานติดเฮโรอีนมันเป็นภาระคนทั้งครอบครัวที่จะต้องเลี้ยงมัน มันทำมาหากินไม่ได้ ที่จะต้องทนการรีดไถ มันมาถึงมันไถคุณย่า ไถคุณยาย ไถคุณแม่ไม่ให้มันตีตาย พวกนี้มันมีจิตมีใจเมื่อไร มันมีแต่ร่างกาย มันตายแล้ว ผีเดินได้ เราต้องให้ ให้มันรีบไปซะ คนมันไถ อันนี้เดือดร้อนยังไร คนไปทำชั่วอยู่ในครอบครัวมันเดือดร้อนทั้งบ้าน เดือดร้อนทุกคน พอเห็นหน้าเดือดร้อนแล้ว แม้เด็กก็เดือดร้อนนะ เด็กตัวน้อยๆพอเห็นคนนั้นมามันเดือดร้อนแล้วเพราะมันเห็นกิริยาท่าทางไม่เรียบร้อย มันเดือดร้อน คนที่ประพฤติในสิ่งเสพติดนี้คือสร้างปัญหาให้ผู้อื่น ทำให้คนอื่นต้องแบกภาระเพิ่มขึ้นในการจะต้องเลี้ยงดูเขา หาอาหารให้มันกิน หาเฮโรอีนให้มันสูบ หาเสื้อผ้าให้ หาโน่นหานี่ให้ แล้วก็ต้องทนทุกข์ที่มันมาบีบคั้นด้วย นี่คือปัญหา นี่แหละมากมายก่ายกองเราจึงลำบากในเรื่องปัญหาอย่างนี้ เพราะฉะนั้นจึงต้องพุ่งไปสู่จุดที่เรียกว่าบริสุทธิ์ ลูกเล็กเด็กน้อยเราก็ต้องสอนให้เขาเข้าใจอย่างนั้น อยู่เพื่อความบริสุทธิ์ ไปเรียนหนังสือเพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ ความรู้ ความไม่รู้ ไม่เข้าใจนั้นมันไม่บริสุทธิ์ ใจมันถูกปกคลุมหุ้มห่อด้วยความไม่รู้ มันอยู่ไม่ได้ เรียนให้รู้ ทำงานก็เพื่อให้เกิดความบริสุทธิ์ คิด พูด ทำสิ่งใดก็มีจุดหมายอย่างนั้นทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเป็นผู้อย่างนี้เราก็พุ่งไปสู่จุดนั้น
พระพุทธเจ้ามีความกรุณาดุจห้วงมหรรณพ ใหญ่โต ห้วงมหรรณพคือมหาสมุทรมันใหญ่ไม่มีที่จบที่สิ้น ความกรุณาของพระพุทธเจ้านี้ไม่มีจบสิ้น ไม่เหมือนกับสิ่งทั้งหลายอื่นที่มีจบมีสิ้น แต่ความกรุณาของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีจุดจบ มีแต่น้ำพระทัยที่เต็มเปี่ยมอยู่ตลอดเวลาด้วยความกรุณาคือเอ็นดูสัตว์โลกทั้งหลายจะช่วยให้เขาพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนอยู่ตลอดเวลา อันนี้ถ้าเราศึกษาประวัติจากพระสูตรต่างๆที่มีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ก็จะพบแต่เรื่องความกรุณาทั้งนั้น พระพุทธเจ้าท่านอยู่ด้วยความกรุณา ตื่นแต่เช้าต้องทำหน้าที่กรุณา พอตื่นนี่ทำแล้ว ทำยังไง ทรงตรวจดูว่าใครเป็นทุกข์บ้าง ตรวจด้วยพระญาณเพราะพระองค์มีญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด ส่งกระแสจิตพิจารณาว่าวันนี้ใครเป็นทุกข์หนักอยู่บ้าง ใครเดือดร้อนใจด้วยปัญหาอะไรในเรื่องเกี่ยวกับชีวิตในเรื่องความเป็นอยู่บ้าง นี่คือความกรุณาตั้งแต่เช้ามืด ทรงมองเห็นว่าใครมีความทุกข์มีความเดือดร้อน มีการผิดทั้งกายทั้งใจสร้างปัญหาให้แก่คนอื่น ต้องไปช่วยกันเสียทีวันนี้ ไม่ได้แล้วต้องไปช่วย คนมันหนักใจกันอยู่หลายคนแล้วต้องไปช่วยหน่อย ตื่นเช้าก็นุ่งห่มจีวร อุ้มบาตรเดินไป ไปสู่บ้านนั้น ไปสู่ตำบลนั้น สถานที่นั้นทันทีเพื่อจะไปโปรดคนนั้น เพราะฉะนั้นเขาเรียกว่าไปโปรดสัตว์ ถ้าไปบิณฑบาตเรียกว่าไปโปรดสัตว์ คือไปแก้ปัญหาชีวิตของคนเหล่านั้น ไปสะสางความยุ่งใจของคนเหล่านั้นให้มันคลายไป ทรงกระทำด้วยน้ำใจกรุณาอย่างนี้ ต่อชาวโลกทั่วไป
บางทีเจ้าแผ่นดินเดือดร้อนมีปัญหาทรงต้องไปแล้ว เช่นคราวหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลมีความกลุ้มพระทัยมาก เพราะอัครมเหสีสวรรคต แล้วพระอัครมเหสีพระองค์นั้น เป็นพี่เลี้ยงพระเจ้าอยู่หัว เพราะเป็นผู้คอยแนะนำทางจิตใจ พระเจ้าอยู่หัวทรงทำอะไรเผลอบ่อย แต่พระนางมัลลิกาอัครมเหสีคอยเตือนไม่ให้กระทำอย่างนั้น คอยให้พระสติ คอยเตือนแล้วพระนางสิ้นพระชนม์ไปเสียก่อน พระองค์ก็รู้สึกเสมือนหนึ่งว่าอะไรที่สำคัญที่สุดหายไปก็มีความทุกข์ความเดือดร้อนใจ วันนั้นพระพุทธเจ้าทรงตรวจดูสัตวานุตอนเช้าด้วยพระญาณอันบริสุทธิ์ก็เห็นความทุกข์ยากของพระเจ้าแผ่นดินคือพระเจ้าปเสน พระองค์ก็เสด็จไปในวัง เดินผ่านประตูวังเข้าไปไม่มีใครว่าหรอก พระพุทธเจ้าไปได้ เรียกว่ามีบัตรพิเศษคือความเป็นพุทธะนั่นเอง พอเข้าไปถึงในวังไม่ไปบนพระที่นั่งที่พระเจ้าแผ่นดินรับแขก แต่ว่าไปอยู่ในโรงรถเก่าๆซึ่งมีหลายคันด้วยกัน มหาดเล็กทั้งหลายก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าไปประทับอยู่ที่โรงรถซึ่งเป็นเหมือนพิพิธภัณฑ์รถอย่างนั้น รถโบราณแล้วก็ไปกราบทูลพระราชาว่าเวลานี้พระผู้มีพระภาคเสด็จมาประทับอยู่ที่โรงรถเก่า พระราชาก็รีบไปเฝ้า เมื่อไปถึงเข้าพระองค์ก็สนทนาด้วย พาเดินดูรถเก่าๆ แล้วก็ถามว่ารถนี้สร้างสมัยไหน พระองค์บอกว่ารถนี้สร้างสมัยคุณปู่ รถคันนี้สร้างสมัยพระเจ้าพ่อ รถคันนี้เก่าที่สุดสร้างสมัยพระเจ้าทวด เก่าเต็มที คร่ำครา แล้วก็มาจนถึงรถปัจจุบันที่พระองค์ใช้ แล้วพระองค์ก็ถามว่า ที่เรียกว่ารถมันอยู่ตรงไหน ชี้ไปตรงนี้อะไร ล้อ นี่อะไร …… (51.55 เสียงไม่ชัดเจน) ของรถ นี่อะไร เป็นงอนรถ นี่เป็นตัวถังรถ ถามอวัยวะของรถ ถามไป ถามไป บอกว่าถ้ารื้อออกหมดรถมันมีไหม พระเจ้าแผ่นดินท่านก็มีปัญญาเหมือนกัน บอกว่าถ้ารื้อออกหมด รถก็ไม่มี แล้วมันมีรถขึ้นได้อย่างไร พระเจ้าแผ่นดินบอกว่ามีขึ้นได้เพราะเอามาประกอบกันเข้า จึงเรียกว่าเป็นรถ ถ้ารื้อออกหมดรถมันก็ไม่มี เอาละ เรื่องรถจบไปแล้ว พระองค์ถามว่าแล้วไอ้ร่างกายของมนุษย์นี้ ที่เรียกว่าเป็นคนมันอยู่ที่ตรงไหน มันอยู่ที่แขนไหม ไม่ใช่ อยู่ที่ข้อศอก อยู่ที่เข่า อยู่ที่ขา อยู่ที่หัว อยู่ที่ตรงไหน ไม่ได้ มันต้องประกอบรวมกันเข้าจึงเป็นคนขึ้นมาได้ ถ้าจะถอดส่วนใดส่วนหนึ่งออกไปแล้วมันก็ไม่ครบ เขาเรียกว่าคนพิการ แขนไม่มี จมูกไม่มี หรืออะไรไม่มี มันไม่สมบูรณ์ ความเป็นคนเพราะคลุมส่วนต่างๆเข้า ธาตุต่างๆจึง …… (53.09 เสียงไม่ชัดเจน) ถ้าแยกออกจากกันแล้วมันก็หายไปเหมือนกันรถเหมือนกัน
คุยกันไปเรื่อยๆ คุยกันไปคุยกันมาปัญญาเกิดขึ้นแก่พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าแผ่นดินก็ปลงตกว่า อ๋อคนเรานี้มันไม่มี มีแต่เรื่องประกอบกันเข้า ไหลไปตามอำนาจการปรุงแต่ง และทุกคนจะต้องแตกกันอย่างนั้น ร่างกายของใครก็เหมือนกัน ได้ปัญญา พอได้ปัญญาแล้วพระองค์ก็ถามว่าสมเด็จพระนางมัลลิกาสิ้นพระชนม์ไปหลายวันแล้ว มหาบพิตรยังคิดถึงอยู่หรือ บอกว่ายังคิดถึง คิดถึงอะไร คิดถึงคุณงามความดีที่พระนางได้กระทำแก่ข้าพระองค์ หม่อมฉันจึงคิดถึง แล้วเวลานี้ความคิดถึงในรูปนั้นยังมีอยู่หรือเปล่า มีเหมือนกันแต่ว่าคิดด้วยปัญญา เวลานี้ คิดด้วยปัญญาว่าอย่างไร คิดด้วยปัญญาว่าสิ่งทั้งหลายมีเกิดแล้วมันก็ต้องมีดับเป็นธรรมดา ร่างกายวัตถุมันเป็นอย่างนั้น แต่ว่าสิ่งที่เรียกว่าคุณธรรม ความงาม ความดีนี้หาได้แตกดับไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเราคิดถึงความดีก็ไม่น่าเสียใจ เพราะความดีมันไม่ตาย แต่ว่าเราสามารถจะถ่ายทอดความดีนั้นมาไว้ในตัวเราได้ หรือว่าถ่ายทอดความดีนั้นไปให้แก่บุตรธิดารักษาไว้ต่อไปได้ ความดีนั้นจึงไม่ตาย เราจึงควรคิดถึงความดี แล้วเอาความดีนั้นมาใส่ไว้ในจิตใจของเราต่อไปดีกว่า นี่คือพระกรุณาที่เสด็จไปโปรดพระเจ้าแผ่นดินให้คลายจากความทุกข์ความเดือดร้อน แม้คนธรรมดาสามัญพระองค์ก็ไปเหมือนกัน ใครเป็นทุกข์ นางทาสีเป็นทุกข์พระองค์ยังไปปลอบโยนเลย คนใช้เขาเป็นทุกข์พระองค์ยังรู้ว่าแหมเป็นทุกข์ ต้องไปเยี่ยมหน่อย เดินเฉียดไปให้เขาได้ทำบุญหน่อย ทำบุญเสร็จแล้วก็คุยกัน หายคลายความทุกข์ความเดือดร้อน
จิตใจของคนเรานั้นไม่มีคนใช้ ไม่มีนาย ไม่มียากจน ไม่มีมั่งมี จิตมันเหมือนกัน จิตที่จะรู้ธรรมะ จะเข้าถึงธรรมะนี้เหมือนกัน มีทุกคนเท่ากัน อันนี้แหละสิทธิเท่ากันโดยไม่ต้องขอ ไม่ต้องวิ่งเต้นว่าขอสิทธิ์เท่าเทียมกัน มันเท่ากันอยู่แล้ว สิทธิเท่าเทียมกันคือสิทธิในการที่จะรู้ธรรมะ ในการที่จะถึงความเป็นพุทธะนี้มีเท่าเทียมกัน เราจะใช้หรือเปล่าเท่านั้นเอง สิทธินี้ไม่ใช้ ถ้าไม่ใช้มันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่ถ้าเราใช้จะเป็นประโยชน์มาก แล้วเราก็จะมองเห็นว่าไอ้สิ่งที่เราไปขอร้องมันไม่ได้เรื่องอะไร สิทธินี้มันสูงกว่า สิทธิแห่งการเท่าเทียมกันในการรู้ธรรมะ ในการปฏิบัติธรรมะ ในการหลุดพ้นจากความทุกข์ความเดือดร้อนนี้มันมีเท่าเทียมกัน เราใช้หรือเปล่า ถ้าเราใช้สิ่งนี้แล้วสิทธิอื่นมันก็ไม่สำคัญอะไร เพราะเรามีอยู่แล้ว เราก็มายุ่งกับเรื่องนี้สบายใจกว่า ดีกว่าไปยุ่งกับเรื่องที่มันไม่รู้จักจบไม่รู้จักสิ้น อันนี้เป็นสิทธิที่เราทุกคนจะเข้าถึงเหมือนกัน เหมือนกับเหว่ยล่างซึ่งเป็นเด็กบ้านนอกไม่รู้หนังสือ ไปหาอาจารย์ อาจารย์ว่าเฮ้ยเด็กบ้านนอก ชาวป่าชาวโยงจะมาเรียนธรรมะกับเขาด้วยหรือ เหว่ยล่างแม้เป็นเด็กไม่ได้ศึกษาแต่ตอบคมเหมือนกัน ตอบว่าแม้จะเป็นคนป่าคนเมืองก็มีสิทธิ์ที่จะรู้ธรรมะเหมือนกันท่านอาจารย์ ว่าเช่นนั้น อาจารย์ว่าเออพูดจาเข้าที ไปอยู่ในครัวหุงข้าวต้มแกง ให้ไปอยู่ในครัวเสร็จสรรพ ยังเป็นคนใช้อยู่ตามเดิมแหละ แต่ว่ารับใช้แต่เพียงร่างกาย ส่วนจิตใจนั้นหาได้เป็นคนใช้ของอะไรไม่ จิตใจเป็นอิสระ คิดนึกในแง่ธรรมะอยู่ตลอดเวลา ใครพูดธรรมะแกก็เข้าใจทะลุปรุโปร่งในเรื่องนั้น นั่นแหละเขาเรียกว่าอยู่อย่างไท ไม่อยู่อย่างทาส อยู่อย่างมีความคิดอิสระเพราะแนบสนิทอยู่กับธรรมะ อิสระเพราะมีธรรมนี้ไม่ยุ่ง แต่อิสระที่เราต้องการโดยไม่มีธรรมะนี้ยุ่งเพราะมันเป็นเรื่องที่จะเอาเปรียบคนอื่น เป็นเรื่องที่จะเอาอะไรอะไรเหนือคนอื่นตลอดเวลา นี่มันยุ่งไหม แต่ถ้ามีความคิดในด้านธรรมะอิสระคือหลุดพ้นจากสิ่งผูกพันทางจิตใจแล้วสบายโล่งไปหมดเลย
พระพุทธเจ้าท่านมีความกรุณาต่อชาวโลกอย่างนี้ แม้ในเวลาใกล้จะนิพพาน สุภัททะรู้ว่าพระองค์จะนิพพานแล้ววิ่งทีเดียวล่ะ ไม่ได้ เดี๋ยวทรงจะนิพพานปัญหายังเยอะแยะต้องไปถามหน่อย ถ้าพระองค์นิพพานแล้วเราจะชวดความรู้ไปจนตลอดชีวิตเลย ก็วิ่งทีเดียวรีบไปเฝ้า พระอานนท์ห้ามไม่ให้เข้า ทรงประชวนหนักแล้วอย่าไปรบกวนเลย บังเอิญได้ยินไปถึงพระโสตพระพุทธเจ้า บอกว่าอานนท์อย่าไปห้ามเขา อย่าไปตัดทางปัญญาเขา เขาจะถามอะไรหนักหนาปล่อยเข้ามาเถอะ พอหลุดเข้าไปได้ก็ถาม…… (59.25 เสียงไม่ชัดเจน) ไม่ทันเลยทีเดียว ถามใหญ่เลย ทรงบอกว่าเวลามันน้อยอย่าถามมากฟังดีกว่า เราจะพูดให้ฟัง เลยนั่งฟัง พระองค์ก็พูดจุดสำคัญให้เขาฟัง แล้วก็ได้บรรลุมรรคผลในที่นั้น ได้บวชเป็นคนสุดท้าย ก่อนนิพพานไม่กี่นาที ได้บวชเป็นคนสุดท้าย นี่คือน้ำพระทัยที่กรุณาต่อสัตว์โลก แล้วก็ยังได้สั่งเสียอะไรมากมายด้วยความสงสารสัตว์โลกทั้งหลายจะเดือดร้อน สั่งเสียเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทั้งนั้น ไม่เหมือนเราทั้งหลายที่สั่งเสียในเรื่องที่มันยุ่งสั่งลูกสั่งหลานเรื่องยุ่ง ต้องอย่างนั้นต้องอย่างนี้ อะไรต่ออะไร เรื่องมันยุ่ง มากมายก่ายกอง นั่นก็เพราะว่าขาดธรรมะเป็นหลักคุ้มครองจิตใจ พระผู้มีพระภาคทรงมีความกรุณาดุจห้วงมหรรณพซึ่งเราวัดไม่ได้ กว้างเท่าไร ลึกเท่าไร วัดไม่ได้ มากมายก่ายกอง เราก็ต้องเข้าถึงสิ่งนี้ไว้ในจิตใจ สร้างความเอ็นดูกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายไว้ในใจของเรา เราจะได้อยู่กันด้วยความสุขความเจริญต่อไป นี่เอาไปคิดดูทีเดียว พระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์มีพระกรุณาดุจห้วงมหรรณพระองค์ใดมีตาคือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด เป็นผู้ฆ่าเสียซึ่งบาปและอุปกิเลสของโลก ข้าพเจ้าขอไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ไหว้นะหมายความว่าเอาสิ่งนั้นมาไว้ในใจจึงจะไหว้แท้จริง ต้องสร้างสิ่งนั้นให้เกิดขึ้นในใจเรียกว่าไหว้อย่างแท้จริงตามหลักของพระพุทธศาสนา แต่กิริยาที่ไหว้นั้นก็ต้องทำให้ถูกทำให้เรียบร้อยให้น่าดู ใจมันก็ดีขึ้นด้วย ดังที่ได้กล่าวมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ไว้วันอาทิตย์หน้าค่อยต่ออีก ธรรมโมประทีโปต้องว่าพระธรรมต่อไป ต่อไปนี้ก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ ๕ นาที