แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยม พุทธบริษัททั้งหลาย ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบ ตั้งอกตั้งใจฟังให้ดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
วันอาทิตย์เป็นวันที่เราทั้งหลายได้หยุดงานฝ่ายกาย อันเป็นงานหนักพอสมควร แต่ก็เป็นหน้าที่ๆเราจะต้องทำ เพราะงานกับชีวิตนี้เป็นของคู่กัน แยกจากกันไม่ได้ คนที่ทำงานทางกาย แม้จะเหนื่อยกาย แต่ว่าจิตใจสบาย เพราะได้ใช้ชีวิตให้เป็นประโยชน์ แต่ถ้าอยู่เฉยๆไม่ทำอะไร จิตใจก็จะฟุ้งซ่านออกไปนอกลู่นอกทางได้ง่าย เพราะฉะนั้นการจัดระบบคนเพื่อให้อยู่กันด้วยความเรียบร้อย จึงต้องจัดให้คนทุกคนมีงานทำ เมื่อคนทุกคนมีงานทำแล้วก็จะไม่ฟุ้งซ่าน ไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นในจิตใจ
เมื่อสมัยสงครามญี่ปุ่น เกี่ยวกับสงครามมหาเอเชียบูรพา มีคนไทยไปรับจ้างญี่ปุ่นทำงานมากหลาย เวลาอยู่ว่างญี่ปุ่นเขาจะมาดูว่าอยู่ว่างทำอะไร ถ้านั่งเฉยๆเขาจะไม่ยอมเป็นอันขาด เขาจะหาอะไรมาให้เล่น ให้ทำ หาดินมาให้ปั้นรูปปั้น หาอะไรมาให้ทำ ไม่ใช่งาน แต่ว่าให้มีเรื่องเล่น เขาไม่ให้อยู่นิ่ง คนเราถ้าอยู่นิ่งแล้วจิตใจมันไม่สงบ มันฟุ้งซ่าน ดังนั้นมีอะไรให้ทำ ให้เพลิดเพลินไป ในขณะที่พักผ่อน เพราะถ้าหาก ว่าอยู่นิ่งนี่ก็ต้องคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ คุยกันเรื่องนายจ้างบ้าง เรื่องอันโน้นอันนี้อะไรต่างๆ เดี๋ยวเกิดปัญหา ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในสังคมนั้นๆก็ได้ เพราฉะนั้นเขาจะต้องหาเรื่องให้คนได้เคลื่อนไหว ได้คิด ได้นึกในเรื่องอะไรๆต่างๆอยู่ตลอดเวลา เป็นอุบายที่จะทำคนให้สงบเหมือนกัน นั่นเป็นเรื่องงานที่จะช่วยให้สงบใจได้อย่างหนึ่ง
แต่ว่าถ้าเราคร่ำเคร่งอยู่กับงานมากๆ ก็เกิดความอึดอัดในจิตใจ เพราะมนุษย์เรานั้นไม่ชอบซ้ำซาก ทั้งๆที่ในชีวิตของเรานั้นต้องมีเรื่องซ้ำซากอยู่ตลอดเวลา หาเรื่องที่ไม่ซ้ำหามีไม่ มันซ้ำ กินอาหารก็ซ้ำ หายใจก็ซ้ำ ไปไหนๆมาไหน ทำอะไรอยู่ตลอดเวลา ซ้ำๆอยู่เรื่อยไป บางทีเราก็เกิดความอึดอัดในจิตใจบ้าง เบื่อหน่ายสิ่งเหล่านั้นบ้าง เพราะฉะนั้นต้องมีวิธีการที่จะให้คนได้มาพักผ่อนทางจิตใจ การที่จะให้มาพักผ่อนทางจิตใจนั้นก็ต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับศาสนา เกี่ยวกับธรรมะ เพราะฉะนั้นทุกศาสนาจึงมีวันหยุดไว้สำหรับให้คนได้พักผ่อนทางร่างกายแล้ว จะได้มาสงบทางจิตใจด้วย ทุกศาสนาจึงมีวันพระ ไว้สำหรับคนให้ปฏิบัติกิจในทางศาสนา ทุกศาสนาเหมือนกันในเรื่องนี้
พุทธศาสนาเราก็มีวันพระเหมือนกับศาสนาอื่น แต่เราถือตามแบบโบราณ คือวันพระนี่ถือหลักจันทรคติ วันขึ้นค่ำ แรมค่ำ อะไรตามเรื่อง ก็นับดวงจันทร์ มาในสมัยนี้เราเข้าหลักนิยมที่เรียกว่าเป็นสากล เราหยุดงานกันในวันอาทิตย์ เราจะเปลี่ยนระบบวันพระมาใช้ในวันอาทิตย์ก็ไม่เสียหายอะไร พวกที่ถือวันพระก็ถือไป สำหรับคนที่ว่างงานจริงๆ ไปวัดในวันพระกัน แต่เราทั้งหลายที่ยังไม่ได้ว่างงานอย่างนั้น ต้องทำงานในระยะ ๕ วัน ๖ วันของสัปดาห์ พอถึงวันอาทิตย์เราก็ถือว่าเป็นวันพระของเรา เราก็มาวัดกัน วัดนี่ก็ควรจะเปิดสถานที่ให้คนได้มาศึกษา มาปฏิบัติธรรมะกันในวันพระ เขาจะได้มาสะดวกสบาย
ญาติโยมบางคนก็บ่นอยู่เหมือนกัน บอกว่าราชการของเรานี่ไม่หยุดงานในวันพระ ข้าราชการจะได้ไปวัด ความจริงนั้นถึงหยุดเขาไม่มาหรอก คนที่ไม่มาถึงวันไหนก็ไม่มา หยุดวันพระก็ไม่มา เพราะว่าถ้าจะมาแล้วก็หาเรื่องมาวัดจนได้ ซึ่งหยุดวันอาทิตย์นี่ถ้ารักจะมาก็มาได้
สมัยหนึ่งก็เคยมีเหมือนกัน หยุดวันพระ ในสมัยท่านจอมพลป.พิบูลย์สงคราม มาหยุดกันวันพระกันชั่วระยะ ไม่มีใครไปวัดเหมือนกัน เราหยุดในวันพระ แต่ว่าเป็นข้ออ้างเพื่อแก้ตัวเท่านั้นเอง ว่าแหม มันลำบาก วันพระเขาไม่หยุดให้ ไม่มีโอกาสได้ไปวัดไปวา พูดว่าอย่างนั้น แต่เวลานี้อยากจะบอกญาติโยมว่า ปัญหานั้นมันไม่มีแล้ว เพราะเราจะมาวัดในวันอาทิตย์ก็ได้ เพราะวันอาทิตย์เราจะมาฟังธรรมก็ได้ จะมาถือศีลอุโบสถก็ได้ ไม่เห็นจะลำบากอะไร
บางคนอาจจะพูดว่าศีลอุโบสถนี่มันต้องถือวันพระ ไม่ใช่อย่างนั้น วันไหนก็ถือได้ มันเป็นอุโบสถทั้งนั้นแหละ เพราะคำว่าอุโบสถคือการเข้า พักอยู่ในระบบศีลธรรมนั่นเอง เข้าไปอยู่ในระบบของศีล เรารับศีล ๘ ก็เรียกว่าเราถืออุโบสถ ศีลมันมี ๘ ข้อ ทีนี้ถ้าเรารับเข้าไปแล้วนับถือก็ถือว่าเราเข้าอยู่อุโบสถ อุโบสถวันอาทิตย์ก็ได้ วันเสาร์ก็ได้ หรือวันไหนก็ได้ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นวันพระ เสมอไป เพราะนั่นเป็นแต่กฎที่ตั้งขึ้นเท่านั้น สิ่งเหล่านี้เปลี่ยนได้ เนื้อแท้มันอยู่ที่ว่าเรารักษาศีล เจตนาที่จะงดเว้นการ(06.43) การดื่มกินของมึนเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท การไม่รับประทานอาหารหลังเที่ยง การไม่นั่งนอน ไม่ฟ้อนรำขับร้อง ประโคมดนตรี ดีด สี ตี เป่า ไม่นั่งนอนบนที่นั่งนอนอันสูงใหญ่ ภายในใส่นุ่นและสำลี เมื่อเรางดเว้นวันไหน ก็เรียกว่ามันเป็นอุโบสถสำหรับเราในวันนั้น เนื้อมันอยู่ที่การงดเว้น ที่การปฏิบัติ ไม่ใช่อยู่ที่วัน แต่อยู่ที่ตัวการปฏิบัติ ให้โยมเข้าใจอย่างนี้
เพราะฉะนั้นเราจะถือวันอะไรก็ได้ที่เราว่างจากงานจากการ เช่นวันอาทิตย์นี้ เราหยุดงาน เราก็มารับศีลก็ได้ ถือศีลอุโบสถ แล้วก็การรับศีลนั้นเราจะรับจากพระก็ได้ ตั้งใจเอาเองก็ได้ เรียกว่าเจตนาวิรัติ นี่หมายความว่าตั้งใจเอาเอง เช่นเรารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่เราควรหยุดงาน เราก็ตั้งใจว่าเราจะอยู่ในศีล ๘ ในวันหนึ่ง กับคืนหนึ่ง ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป พอตื่นเช้าวันอาทิตย์เราก็ถือ หรือว่าตื่นเช้าวันเสาร์เราก็ถือ ถือมาจนถึงวันอาทิตย์ แล้วก็ไปเลิกตอนเช้าวันจันทร์ ถือ ๒ วันได้ ๓ วันก็ได้ ๕ วันก็ได้ ๑๐ วันก็ได้ หรือถือจนตลอดชีวิตก็ได้ ไม่ใช่ว่าจำกัดอย่างนี้ ไม่ได้จำกัดอะไร เราถือสักเท่าไหร่ก็ได้ ตามใจของเราที่ตั้งไว้ เมื่อตั้งไว้อย่างใดแล้วเราก็ถืออย่างเคร่งครัดตามสัจจะที่เราได้ปฏิญาณไว้กับตัวเอง ไม่ได้เป็นการขัดข้องอะไร เนื้อแท้มันอยู่ที่การตั้งใจงดเว้น แล้วก็ชำระจิตใจของเราให้สะอาด ปราศจากสิ่งเศร้าหมองใจ เราต้องมุ่งเอาแก่น อย่าไปเอาแต่เปลือกกับ (08.45) มันไว้ ถ้าถึงแก่นแล้วเราก็ทำอย่างนั้น ก็เรียกว่าใช้ได้ ไม่ลำบาก
อย่าต้องปฏิเสธว่า แหม ไม่ถึงวันพระสักที ไม่รู้ว่าจะหยุดงาน เมื่อไหร่จะถึงวันพระ จะได้ไปถือศีล (09.00) กันเสียหน่อย ทีนี้ไม่ต้องอ้างอย่างนั้น เพราะเราตั้งใจจะถือเมื่อไหร่ก็ได้ ปฏิบัติเมื่อใดก็ได้ ณ สถานที่ใดก็ได้ เหมือนกับเราอาบน้ำ เวลาร้อนก็อาบได้ทั้งนั้น ถ้าไม่ร้อนเราก็ไม่ต้องอาบ อาบเมื่อร้อน อาบเช้าก็ได้ เย็นก็ได้ กลางคืนดึกดื่นมันเหงื่อไหลไคลย้อยตื่นขึ้นมาอาบเสียหน่อยก็ยังได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกับเครื่องระงับดับร้อน เราจะเอามาใช้เมื่อไหร่ก็ได้ เมื่อเรารู้สึกว่าจิตใจของเรานี่มันชักจะไม่ค่อยจะเรียบร้อย จะเดือดร้อนรุ่มกลุ้มใจด้วยปัญหาอะไรต่างๆมากเหลือเกิน เราก็มาตั้งใจระงับดับร้อนเสียทีหนึ่ง ด้วยการปฏิบัติถือวัตรในศีล อันเป็นเรื่องที่ช่วยแก้ไขปัญหาชีวิต อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่เรากระทำได้ ไมลำบากยากเข็ญอะไร ขอให้ญาติโยมเข้าใจไว้อย่างนี้
ทีนี้เรื่องเกี่ยวกับจิตใจของคนเรานี่ เราต้องศึกษาทำความเข้าใจกันให้ดี ว่าสภาพจิตของเรานี้ควรจะมีการปรับปรุงอะไรบ้าง ควรจะแก้ไขอะไรกันบ้าง ในเบื้องต้นก็ควรจะเข้าใจกันเสียก่อนว่า จิตของเรานั้นโดยปกติอย่างที่เคยกล่าวมาแล้วหลายครั้งหลายหน ว่าเป็นสิ่งที่สะอาดอยู่ ไม่ได้เศร้าหมองอยู่ตลอดเวลา หรือเรียกว่าไม่ได้เป็นบาปอยู่ตลอดเวลา คนเราไม่มีบาปมาตั้งแต่เดิม ไม่ได้เศร้าหมองมาตั้งแต่เดิม แต่บาปหรือสิ่งเศร้าหมองนั้นมันเกิดขึ้นในใจเราเป็นครั้งๆคราวๆ เมื่อใดเราหลงผิดไป เมื่อใดเราขาดสติปัญญา เราก็ไปรับอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ แล้วก็เกิดความพอใจยินดีในเรื่องนั้นบ้าง ไม่พอใจ ไม่ยินดีในเรื่องนั้นบ้าง ถ้าพอใจยินดีก็เกิดความหลงเพลิดเพลิน ถ้าไม่พอใจไม่ยินดี ก็เกิดความอึดอัดขัดใจ นี่มันเป็นเรื่องที่เรียกว่าจิตใจเปลี่ยนสภาพไปแล้ว จากหน้าตาที่เคยเป็นเคยอยู่ เปลี่ยนเป็นหน้าอื่นไป แล้วก็เกิดความเศร้าหมอง เร่าร้อน วุ่นว่ายขึ้นในจิตใจของเรา เป็นเหตุให้เกิดวามทุกข์ ความเดือดร้อน
ทีนี้เมื่อเกิดความทุกข์ ความเดือดร้อนขึ้น เราก็ควรจะรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ของเดิม แต่มันเป็นของใหม่ที่เกิดขึ้นในจิตใจของเรา เมื่อขณะที่ได้พบกับอารมณ์ภายนอก เช่นตาพบกับรูป หูพบกับเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส ตาได้ถูกต้องสิ่งใดสิ่งหนึ่งเข้า แล้วก็เกิดความรู้สึกขึ้นในใจ คือมันถูกกลืนไป เขาเรียกว่าเป็นสังขาร สังขารคือการปรุงแต่งของใจ ปรุงแต่งให้เป็นฝ่ายชอบก็ได้ เป็นฝ่ายชังก็ได้ ถ้าไม่ปรุงแต่งมันก็เฉยๆ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น สภาพเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะยอมรับในหลักการอันนี้ไว้ ว่าบาปทั้งหลายไม่ใช่ของสุขอยู่โดยธรรมชาติ แต่มันเกิดขึ้นในใจของเรา เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราไม่ชำระชะล้าง เราหลงผิดไป ปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดบ่อยๆ เมื่อเกิดบ่อยๆก็เลยกลายเป็นนิสัยขึ้นมา เป็นนิสัย เป็นสันดารขึ้นมาในตัวบุคคลนั้น
เช่นบุคคลบางคนมีนิสัยขี้โกรธ เดิมก็ไม่ได้ขี้โกรธอะไร แต่ว่าปล่อยตัวปล่อยใจมากไป ให้โกรธบ่อยๆ มันไม่ใช่ของเดิมทั้งนั้นแหละ มันเพิ่งเกิดขึ้นในใจของเรา แต่เพราะเราไม่รู้ ไม่เข้าใจสภาพของสิ่งนั้น ว่ามันเป็นฝ่ายสร้างสรรค์ หรือฝ่ายทำลาย เป็นฝ่ายดี หรือว่าฝ่ายเสีย เราไม่เข้าใจ เมื่อไม่เข้าใจในเรื่องอย่างนั้นก็เลยปล่อยมันไปตามเรื่องตามราว โกรธบ่อยๆ เกลียดบ่อยๆ ริษยาบ่อยๆ พยาบาท อาฆาต จองเวรบ่อยๆ หลงใหลมัวเมาในเรื่องอะไรๆบ่อยๆ ก็เลยกลายเป็นนิสัย
นิสัยเกิดขึ้นจากการคิดบ่อยๆ ทำบ่อยๆในเรื่องนั้นๆ ถ้าเรารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ดี เราหยุดเสีย มันก็สร้างนิสัยเราไม่ได้ มันสร้างไม่ได้ เพราะเราหยุดยั้งไว้เสียก่อน ไม่ยอมให้มันเกิดมากๆ เกิดหลายหน มันก็หยุด ไม่เจริญงอกงาม แต่ถ้าเราไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่เห็นพิษเห็นภัยของสิ่งเหล่านั้น เราก็ปล่อยให้มันเกิดเรื่อยไป เกิดบ่อยๆ เช่นว่าตื่นแต่เช้า นี่ ยกตัวอย่าง พอตื่นแต่เช้าเราเป็นคนหน้านิ่วคิ้วขมวด เห็นอะไรมันขวางหูขวางตาไปหมดเลย แล้วก็ต้องดุคนนั้น ต้องว่าคนนี้เรื่อยไป ทำเช้า ตื่นเช้าก็ทำอย่างนี้ เลยทำบ่อยๆ ๕ วัน ๑๐ วัน ๒๐ วัน เดือนหนึ่ง ชักจะชินเสียแล้ว พอตื่นเช้าถ้าไม่ได้ด่าใครแล้วดูเหมือนว่าจะรับประทานอาหารเช้าไม่ค่อยจะได้ อะไรก็ต้องด่าคนนั้น ว่าคนนี้ เรื่อยๆไป นี่กลายเป็นการสร้างนิสัยขึ้นในตัวแล้ว เป็นคนชอบด่า ชอบว่า ชอบติด้วยคำหยาบคาย นี่มันเกิดทีหลัง เมื่อก่อนไม่ได้เป็นอย่างนั้น แล้วเมื่อว่าบ่อยๆ ติบ่อยๆ พอตื่นเช้าก็ต้องเอาละ ต้องทำเรื่องแล้ว
อาตมารู้จักเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นพระเหมือนกัน แต่ว่าถ้าไปพักที่กุฏิทีไร พอตื่นเช้าก็ได้ยินเสียง บางทีอาตมายังไม่ตื่น เขาตื่นก่อนแล้ว ได้เยินเสียงด่าเด็ก (15.09) ไอ้คนนั้นอย่างนั้นๆ ว่าเรื่อยเลย อาตมาก็บอกว่านี่เราด่ากันมากี่เดือนแล้วนี่ ที่ด่าเด็กนี่ด่ามากี่เดือนแล้ว ว่ากันเรื่อยๆไป นี่ถ้าไม่ได้ด่าแล้วจะกินข้าวไม่ได้แล้วในเวลานี้ เพราะเห็นตื่นมาก็ด่าทุกที มาพัก ๓ วันก็เห็นด่า ๓ วัน ตอนนี้ก็คงด่าอยู่อย่างนี้ รู้ไหมว่ามันจะเสียผู้เสียคนกันเพราะเรื่องอย่างนี้ แล้วก็วันรุ่งขึ้นก็หยุดไปหน่อย พอวันต่อมาก็เอาอีกแล้ว ด่าอีกแล้ว ถ้าจะให้เลิกได้มันต้องนั่งเฝ้าอยู่ พอตื่นเช้าก็เทศน์เสียก่อน ดักเสียก่อน แล้วก็เทศน์ดักอยู่สักเดือน ๒ เดือน แล้วค่อยเบาไป จะไม่ด่าต่อไป
ก่อนนี้ไม่ได้อย่างนั้น แต่ว่าเพิ่งมาเป็นเข้า เมื่อเป็นผู้ เรียกว่าเป็นหัวหน้า เขาให้เป็นสมภารเจ้าวัด พอเป็นสมภารก็เรื่องเด็กบ้าง เรื่องสามเณรบ้าง เรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง แล้วก็เอาแล้ว พรุสวาทออกมาแต่เช้าเลย ไม่เป็นมงคลแก่ตัว ไม่เป็นมงคลแก่บ้านแก่เรือน ไม่เป็นมงคลอะไรแก่ผู้ฟังเลยแม้แต่น้อย จึงควรจะไม่ทำอย่างนั้น แต่ว่าถ้าเคยทำแล้วมันอดไม่ค่อยได้ ฟึบ (16.23) ออกไปเลย ว่ามัน
แล้วดูเหมือนว่ามีปฏิภาณคล่องแคล่วเหลือเกินในการด่า มีคำแปลกๆเอามาด่า ด่าได้แปลก แล้วก็ว่าออกมาได้ทันท่วงที บางทีอาตมาก็บอก แหม สมองนี่ไวจริงๆ แต่ไวไม่ได้เรื่องเลย ไวแต่เรื่องจะด่าคนเท่านั้น แล้วมันจะได้เรื่องอะไรขึ้นมา หยุดๆเสียบ้างสิ ทำใจเย็นๆ มองอะไรเช้าๆมันน่าทำเสียบ้าง เห็นขยะมูลฝอยอะไรสกปรกก็ดูมันเฉยๆเสียบ้าง แล้วเรียกเด็กมา กวาดก็เรียกธรรมดาๆ อย่าใช้ถ้อยคำรุนแรง อย่าไปดุไปว่ามัน มันไม่ได้เกิดความชื่นใจแก่ผู้ถูกว่า แล้วมันก็จะไม่ชอบเราผู้ว่าด้วย แต่มันต้องอยู่ ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ก็ต้องอยู่กับเรา แต่ถ้ามีทางไปมันคงไปแล้วไอ้พวกนี้ (17.17 เสียงขาดหายไป) เสียนิสัยเพราะว่าทำบ่อยๆ
คนเราอยู่บ้านก็เหมือนกันนะ ถ้าตื่นเช้าทำอะไรทันทีบ่อยๆ นานไปมันก็ชิน ตื่นขึ้นบ่นแล้วก็บ่นอยู่อย่างนั้น บ่นเรื่อยไป ถ้าขึ้นนั่งสงบจิตสงบใจ ทำบ่อยๆจิตใจก็สงบ แล้วจะพูดอะไรกับใครก็เรียกว่าพูดด้วยอารมณ์เย็น ไม่ใช้อารมณ์ร้อน น้ำร้อนนี่ไม่ดี มันไหม้ มันทำให้ผิวหนังเสีย แต่น้ำเย็นนี่ไม่เป็นไร เราพูดเย็นๆ ค่อยพูดค่อยจา ถ้ารู้สึกว่าตัวเรานี้มันชักจะไม่ค่อยดีในเรื่องอะไร ตื่นขึ้นอย่าลุกขึ้นก่อน ให้นอนเฉยๆ แล้วก็สำรวมใจ เตือนตัวเองว่าถ้าลุกขึ้นจากที่นอน เปิดประตูออกไปเห็นอะไรทำใจเย็นๆได้ไหม อย่าพูดจาหยาบคาย อย่าใช้คำพูดที่ไม่เหมาะไม่ควร เป็นการแสดงความอ่อนแอทางจิตใจ ต้องค่อยพูดค่อยจาให้สุภาพ ให้เรียบร้อย พูดด้วยเหตุด้วยผล พูดด้วยสติด้วยปัญญา เราพูดกับตัวเองอย่างนั้น แล้วก็ลุกขึ้นเดินยิ้มออกไป พอเห็นอะไรก็ยิ้มๆไว้ก่อน แล้วค่อยเรียกมาพูดมาจา
บางคนอาจจะนึกว่าไม่ได้ ทำเหมือนท่านเจ้าคุณว่านี่ไม่ได้ เด็กมันจะได้ใจ มันต้องดุต้องว่า นี่เราคิดไปในแง่ร้ายอีกเหมือนกัน คนเรามีใครบ้างชอบให้เขาดุ ให้เขาว่า ใครบ้างชอบได้ยินคำหยาบ ไม่มีใครชอบ แต่คำอ่อนหวานสมานใจนั้นใครๆก็ชอบทั้งนั้นแหละ คำหยาบนี้ไม่มีใครชอบ เราก็ต้องพูดคำอ่อนหวาน ให้คนเขาสบายใจ
สอนให้เขาทำอะไรด้วยวาจานิ่มนวล ดีกว่าสอนให้เขาทำอะไรด้วยวาจาดุดัน เพราะถ้าเราพูดด้วยวาจาดุดัน หน้าตาเราก็ดุ เสียงก็ดุ ท่าทางก็พลอยดุไปด้วย ถ้า (19.28) นานๆเข้าพูดไมได้แล้ว ต้องใช้อะไรต่ออะไรเข้าไปบ้างแล้ว ทีนี้ก็ไปกันใหญ่ เสียหายมากมาย เรื่องนี้น่าคิด สำหรับคนเราทั่วไปที่สร้างอะไรขึ้นในจิตใจโดยไม่รู้เท่าถึงการณ์ โดยขาดการพิจารณาตัวเอง ขาดการตักเตือนตัวเอง จึงได้สร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นในจิตใจ เลยกลายเป็นคนใจร้อน ใจเร็วไป อันเป็นเรื่องเสียหาย ความจริงความใจร้อนใจเร็วนั้นมันไม่ได้มีอยู่ก่อน มันเพิ่งเกิดตามมาทีหลัง เพิ่งเกิดขึ้นทั้งนั้น ของใหม่ทั้งนั้น ไม่ใช่ของเก่า ให้เรารับอันนี้ไว้ แล้วคอยเตือนตัวเองว่านี่ไม่ใช่ของฉัน เดิมที่ฉันมี แต่มันเป็นของใหม่ เพิ่งเกิดขึ้น เพิ่งมีขึ้นในจิตใจของฉัน ฉันจะต้องไม่เก็บสิ่งนี้ไว้ให้มันรกใจต่อไป ต้องกวาด ต้องล้าง ให้คิดไว้อย่างนั้น สิ่งทั้งหลายจิตใจก็จะดีขึ้น นี่ประการหนึ่ง
อีกเรื่องหนึ่งที่ควรเข้าใจก็คือว่า เมื่อก่อนนี้ไม่มีหลักการอะไร เกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์นี่ไม่มีหลักการ ไม่มีผู้รู้ ไม่มีผู้มีปัญญามาค้นคว้าในเรื่องนี้ แต่ว่าต่อมานี่คนที่อยู่ในหมู่คนนี้ เขามาดูคนนี่ บางคนใจเย็นโดยธรรมชาติ แต่บางคนก็ใจร้อนวู่วาม บางคนพูดจานิ่มนวลชวนฟัง แต่บางคนก็พูดจาไม่ไพเราะ กริยาท่าทางไม่ดี เขาได้เห็น ได้พบสิ่งเหล่านี้ คนที่เป็นนักคิดนี่เขาจะเอาไปคิด คิดว่ามูลฐานมันอยู่ที่อะไร ทำไมจึงได้เป็นอย่างนั้น ทำไมจึงได้เป็นอย่างนี้ แล้วจะแก้ไข จะปรับปรุงในสิ่งเหล่านี้ได้หรือไม่ ก็เกิดเป็นปัญหาขึ้นในใจ
คนประเภทนี้แหละที่ไปนั่งคิดนั่งค้นอยู่ในป่าเงียบๆ ซึ่งในสมัยก่อนเขาเรียกว่ามุณี มุณีนี่คือผู้ที่แสวงหาทางดับทุกข์นั่นเอง เป็นผู้แสวงหาทางดับทุกข์เรียกว่าเป็นมุณี มุณีนี่จะต้องออกจากบ้านจากเรือน ไปอยู่ในป่า กินอาหารแต่น้อยๆ นุ่งห่มแต่พอสมควร ที่พักอาศัยก็ไม่ค่อยจะสนใจอะไร เรียกว่าอยู่ง่ายๆ อยู่ตามใต้ต้นไม้ อยู่ในถ้ำ อยู่ในป่าเงียบๆ แล้วก็ยกปัญหาเรื่องมนุษย์นี้มานั่งคิด นั่งตรอง ว่าสิ่งที่ได้พบมา จิตใจคนทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ เอามานั่งคิด นั่งตรอง เมื่อคิดไปคิดมาก็มองเห็นว่า สภาพความคิดของคนนี้แบ่งออกได้หลายอย่าง แต่ว่าถ้าแบ่งสั้นๆย่อๆ ก็เอาเพียง ๒ ประการ เรียกว่าฝ่ายดีอย่างหนึ่ง ฝ่ายชั่วอย่างหนึ่ง
ฝ่ายดีนี่ถ้าพูดเป็นศัพท์เป็นแสงก็เรียกว่า ฝ่ายกุศล ฝ่ายชั่วก็เรียกว่า อกุศล กุศลนั่นแหละแต่ว่าเอาตัว อ. มาใส่ไว้ข้างหน้า เป็นเรื่องปฏิเสธไป กุศลนี่หมายถึง ดี ฉลาด ประเสริฐ แต่พอ อ. เข้ามาใส่ข้างหน้า มันจะตรงข้าม ไม่ดีไปเสียแล้ว ไม่ประเสริฐเสียแล้ว ไม่น่ารักไปเสียแล้ว ไม่ดีไม่งามแล้ว เป็นอกุศลไป
ก็เลยเรียกความคิดที่เกิดขึ้นในใจคนว่าเป็น ๒ อย่าง ฝ่ายกุศลพวกหนึ่ง ฝ่ายอกุศลพวกหนึ่ง ทีนี้ฝ่ายอกุศลนั้นได้แก่เรื่องฝ่ายไม่ดีทั้งนั้น ก็ดูอาการของจิตคนว่าคิดอะไรบ้างคนเรานี่ หากคิดอยากได้ คิดในทางโกรธ คิดในทางหลงงมงาย เขาก็แบ่งออกไปว่า พวกหนึ่งนะใจเฉยๆไม่อยากได้อะไร พวกหนึ่งใจเย็นๆ ไม่โกรธ ไม่ประทุษร้ายใคร พวกหนึ่งอะไรมากระทบก็รู้เท่ารู้ทันต่อสิ่งนั้น ก็เป็น ๒ ฝ่ายขึ้นมา ฝ่ายดีก็คือพวกที่เรียกว่าใจเย็น ไม่อยากได้อะไรมากเกินขอบเขต แล้วก็ไม่โกรธใครเคืองใคร ไม่หงุดหงิดงุ่นง่านในทางจิตใจ แล้วก็มีใจประกอบด้วยสติปัญญา รู้เท่ารู้ทันในสิ่งที่มากระทบ ไม่เกิดความหวั่นไหวกับอารมณ์นั้นๆ เรียกว่าเป็นคนหนักแน่น ถ้าเปรียบวัตถุก็เรียกว่า แน่นเหมือนแผ่นดิน เหมือนกับแผ่นหินที่มันไม่โยกโคลง แม้ถูกลมพัดอย่างแรงแต่หินก็ไม่เคลื่อน แผ่นดินก็ไม่เป็นไร หนักแน่นมั่นคง อีกฝ่ายหนึ่งนั้นอยากได้ ใจร้อน ขี้โกรธ แล้วก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจในเรื่องอะไรทั้งนั้น
ก็เลยแบ่งออกเป็น ๒ พวก ฝ่ายดีพวกหนึ่ง ฝ่ายไม่ดีพวกหนึ่ง เพื่อเอาไปสอนคน เพื่อให้คนรู้จักแยกแยะ วิเคราะห์ วิจัยเรื่องของตัวเอง เรื่องจิตของตัว หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตัวเรา เพราะว่าการเรียนธรรมะดังที่เคยพูดให้ญาติโยมฟังหลายครั้งหลายหน บ่อยๆก็ว่าได้ ว่าเราเรียนเพื่อรู้จักตัวเอง เพื่อรู้จักสิ่งที่เกิดขึ้นในตัว เพื่อรู้สาเหตุของสิ่งนั้น เพื่อแก้ไขสิ่งนั้นทันท่วงที จุดมุ่งหมายมีอยู่ ๓ ประการนี้เป็นหลักสำคัญ
เรื่องที่เกิดขึ้นในตัวเรานั้น ก็คือเกิดขึ้นในใจ เรื่องร่างกายนั้นไม่สำคัญ เย็นร้อนอ่อนแข็งอะไรมากระทบก็ไม่สำคัญ ถ้าใจไม่เข้าผสมโรงแล้วไม่มีเรื่องอะไร แต่ถ้าใจเข้าไปผสมโรงด้วยแล้วก็มีเรื่องขึ้นมาทันที เพราะฉะนั้นความสำคัญของเรื่องทั้งหลายที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรานั้น จึงอยู่ที่ใจของเราไม่ได้อยู่ที่อื่น
เมื่อรู้ว่าอยู่ที่ใจเขาก็เลยแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย เพื่อให้พิจารณาง่าย เรียกว่าฝ่ายขาวกับฝ่ายดำ กุศลนี่เป็นฝ่ายขาว ฝ่ายดี ฝ่ายมีประโยชน์ ไม่ก่อให้เกิดทุกข์ เกิดโทษแก่ใครๆ อีกฝ่ายหนึ่งนั้นเป็นฝ่ายดำ มืดบอด ไม่ดี ไม่งาม ไม่เกิดประโยชน์อะไร
หากแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย เรียกว่า ดี-ชั่ว สุก-ทุกข์ เสื่อม-เจริญ หรือว่าฝ่ายดำ-ฝ่ายขาว พอจะได้เป็นหลักเบื้องต้นที่จะวินิจฉัยว่าอะไรมันเกิดขึ้นในใจของเรา เช่นเรามีความรู้สึกขึ้นในใจว่าเห็นอะไรแล้วก็พอใจ เมื่อพอใจแล้วก็อยากได้ แต่ว่าของนั้นมันมีเจ้าของ แต่เราก็อยากได้ และความอยากได้นั้นรุนแรงขึ้นในจิตใจ เมื่อเกิดความรุนแรงขึ้นในจิตใจ ยับยั้งไม่ได้ เมื่อยับยั้งไม่ได้ก็เกิดโทสะ คิดประทุษร้ายต่อบุคคลนั้น ต้องไปทุบมัน แล้วก็แย่งเอาของนั้นไป คนจึงได้เข้าไปทุบตีคนอีก เพื่อแย่งเอาทรัพย์ ไปทุบให้เขาบาดเจ็บ แล้วก็เอานาฬิกา เอาแหวน เอาสายสร้อย เอากระเป๋าถือไป ทุบให้เจ็บเสียก่อน เพื่อไม่ให้ลุกขึ้นสู้ นี่เป็นเรื่องของโทสะ
การกระทำในเรื่องอยากก็ดี ในเรื่องโทสะก็ดี เกิดเพราะโมหะ คือความรู้ไม่เท่า รู้ไม่ทันในเรื่องนั้น ไม่ได้คิดตรองอย่างรอบคอบ ไม่ได้ตั้งปัญหาขึ้นถามตัวเอง ว่าถ้าสิ่งเหล่านี้มันเกิดขึ้นแก่เรา เราจะชอบใจไหม เช่นใครมาทุบเรา เอาของๆเราไป เราจะชอบใจไหม เขาไมได้คิดอย่างนั้น เพราะเวลานั้นแสงสว่างไม่มี แสงสว่างที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดความรู้สึกผิดชอบชั่วดี รู้ประโยชน์ รู้ไม่มีประโยชน์นั้นไม่เกิดขึ้นในใจเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความมืดครอบงำจิตใจ คิดอย่างเดียวว่ากูต้องเอาให้ได้ๆ นี่คือโมหะแล้ว พอจะเอาให้ได้ แล้วจะทำอย่างไร คิดวางแผน กิเลสหนุนหลังทั้งนั้น ความโลภหนุนหลัง โทสะหนุนหลัง ความหลงเข้ามาหนุนหลังจิตใจ ทำให้มืดมัวไปหมด มองอะไรไม่ชัด ตามสภาพที่เป็นจริง ก็เลยกระทำความผิดลงไป
ดังที่เราได้เห็นเป็นข่าวปรากฏอยู่บ่อยๆ อันคนที่ได้กระทำความผิดลงไปเพราะอำนาจ ความคิดฝ่ายดำ จะดึงความโลภ ความโกรธ ความหลงอะไรก็ตาม คนๆนั้นเป็นคนที่ขาดการควบคุมตนเอง ไม่เคยนั่งลงพิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง เพื่อแก้ไขตัวเอง เพราฉะนั้นเขาจึงไม่รู้จักตัวเอง แล้วก็ไม่รู้จักว่าอะไรมันอยู่ในใจของตัว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นให้ทุกข์ ให้โทษ ให้ประโยชน์ ให้ความไม่มีประโยชน์อย่างไร คิดไม่ออก เลยไม่รู้ ทำไปโดยไม่รู้
ถ้าทำสำเร็จไปครั้งหนึ่งแล้วก็มีความภูมิใจในตัวเอง ภูมิใจว่าฉันสิที่ทำสำเร็จได้วันนี้ เราต้องวางแผนทำอะไรต่อไป แล้วเขาก็เพลินไปในเรื่องนั้น เป็นความเพลินด้วยบาป ด้วยอกุศล เรียกว่าบาปด้วยความเพลิดเพลิน ถ้าพูดตามภาษาเขาเรียกว่านาปาปะนันทิ ปาปะคือบาป นันทิคือความเพลิดเพลิน ปาปะนันทิเรียกว่าเพลิดเพลินในการบาป สนุกในทางบาป หาเรื่องบาปมาปลอบโยนจิตใจอยู่ตลอดเวลา
เขาก็คิดไปในเรื่องอย่างนั้น ทำสำเร็จก็ภูมิใจ สบายใจ และทุกครั้งที่ทำจิตใจก็ต่ำลงไป ทุกครั้งที่ดีใจก็จิตใจต่ำลงไป ตกลงไปเรื่อยๆ ตกลงไปเรื่อยๆ จนไม่สามารถจะฟื้นตัวได้ กลายเป็นคนเสียผู้เสียคนไป บางทีก็ต้องถูกเจ้าหน้าที่ยิงตาย หรือจับตัวได้ก็ส่งเข้าไปอยู่ในคุก ในตาราง ไปอบรมบ่มนิสัยกันต่อไป พอรู้สึกตัวขึ้นก็สายไปเสียแล้ว ไม่สามารรถจะกลับจิตกลับใจไปเป็นคนดีได้ คือมันแก่เต็มทีแล้วทำอะไรไม่ได้ อย่างนี้น่าเสียดายชีวิตอย่างนั้น ก็เพราะว่าขาดอะไรบางอย่าง คือขาดการเข้าใกล้คนดี ขาดการได้ยินได้ฟังสิ่งดีสิ่งงาม เลยมองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นคนบกพร่องอะไร มีความเสียหายในเรื่องใดบ้าง อย่างนี้มีอยู่ไม่ใช่น้อย
จึงเป็นหลักที่ควรจะได้วิเคราะห์จิตใจของเราเองบ้าง จิตใจของคนอื่นบ้าง โดยเฉพาะพ่อ แม่ ปู่ ตา ย่า ยาย มีผู้อยู่ในปกครอง ผู้ที่อยู่ในปกครองก็คือลูกหลานของเรานั่นเอง เราจะต้องคอยสังเกตการพูดจา กริยาท่าทาง การกระทำอะไรต่างๆของเด็กของเราไว้ ว่าเด็กของเรานี้มีความโน้มเอียงไปในทางไหน โน้มเอียงไปในทางทำลายหรือว่าโน้มเอียงไปในทางสร้างสรรค์ เขามีปกติคิดอะไร พูดจาอย่างไร กริยาท่าทางเป็นอย่างไร เราต้องคอยสังเกต คอยกำหนดไว้
เช่นการพูดนี้ เขาพูดคำประเภทใด พูดคำหยาบ ไม่มีหางเสียง ไม่มีความอ่อนน้อม พูดจาแบบเด็ดขาด ปฏิเสธก็ง่ายๆไหม อะไรอย่างนี้ เราจะต้องสังเกตดูว่าทำไมเขาพูดอย่างนั้น กริยาท่าทางแข็งกระด้าง อะไรต่างๆ ตรงนี้มีพื้นฐานมาจากจิตใจของเขา เราก็ต้องคอยอธิบายทำความเข้าใจเด็กเหล่านั้น ให้เขารู้ว่ากริยาเช่นนั้นไม่ดี การพูดถ้อยคำเช่นนั้นไม่ดี
สิ่งนี้มาจากความคิดในใจ ความคิดที่เกิดขึ้นในใจนั้นเป็นฝ่ายดำ เป็นฝ่ายอกุศลมันขึ้นแล้วสนับสนุนให้ลูกทำอย่างนั้น ให้หลานทำอย่างนี้ ถ้าทำอย่างนี้บ่อยๆต่อไปจะเสียผู้เสียคน ไม่สามารถจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ แล้วชีวิตจะลำบาก จะเดือดร้อน เราก็ช่วย ค่อยสอน ค่อยฝึกไป อธิบายให้เขาเข้าใจ อย่าเอาแต่เพียงว่าไม่ได้ ทำอย่างนั้นไม่ได้ เด็กมันชอบเหตุผลเหมือนกัน เราต้องพูดให้เข้าใจ เพื่อให้เขาคิดได้ว่าอะไรมันไม่เหมาะไม่ควร
ในเรื่องชาดกมีเรื่องเล่าไว้เรื่องหนึ่ง เข้าทีดีเหมือนกัน ว่าองค์พระมหากษัตริย์ และพระมเหสีที่ครองเมืองนั้น มีพระโอรสองค์หนึ่ง โอรสนี่คือผู้ชาย พูดง่ายๆว่ามีลูกชายคนหนึ่ง ทีนี้ลูกชายนี่มีนิสัยค่อนข้างจะเกเรเกตาสักหน่อย ชอบทำอะไรตามใจตัว ตามใจปรารถนา ใครจะทักท้วง ว่ากล่าว ก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง ไม่เอาใจใส่ทั้งนั้น แล้วก็ดุขึ้นไปเรื่อยๆ เวลาไปไหน ติดต่อกับใครต่อใคร ก็ใช้อำนาจดุ ว่า เตะ ต่อย ให้มหาดเล็กจับตัวมาลงโทษ เฆี่ยนตี ในรูปต่างๆอย่างนี้บ่อยๆ
คราวนี้พระราชาก็นั่งทรงพระรำพึง คิดว่าไม่ได้การแล้ว ลูกชายของเรานี้ เติบโตขึ้นไปจะต้องเป็นพระเจ้าแผ่นดินแทนเราต่อไป ถ้านิสัยอยู่ในรูปอย่างนี้แล้วก็ จะไปเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้อย่างไร ขืนเป็นพระเจ้าแผ่นดินก็สั่งฆ่าคนได้วันยังค่ำเท่านั้นเอง แล้วบ้านเมืองจะไปรอดได้อย่างไร ท่านคิดมาก คิดแล้วก็อึดอัดอยู่เหมือนกันว่าไม่รู้จะทำอย่างไร
วันหนึ่งก็เรียกประชุมคนฉลาด คนฉลาดก็คือพวก เขาเรียกว่า ปุโรหิต ตำแหน่งปุโรหิตนี่เขาเรียกว่า ตำแหน่งที่ปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดิน ปุโรหิตนี่มีหน้าที่จะต้องกราบทูลให้ทรงทราบว่าอะไรดี อะไรเสีย อะไรควร อะไรไม่ควร ปุโรหิตนี่ต้องเป็นพวกที่ใจเข้มแข็ง ไม่เห็นแก่ลาภ แก่สักการะ กล้าทูลพระเจ้าแผ่นดิน ในเมื่อเห็นว่าอะไรมันจะเสียกายเกิดขึ้น ไม่กลัว แต่กล้าที่จะเข้าไปกราบทูลให้ทรงทราบ ว่าเรื่องนั้นเป็นอย่างนั้น เรื่องนี้เป็นอย่างนี้ ถ้าขืนปล่อยไว้แล้วก็จะเสียหาย อันนี้สำคัญมาก
ผู้ที่เป็นปุโรหิต หรือผู้หลักผู้ใหญ่ พระเจ้าแผ่นดินท่านตั้งไว้เพื่อให้เป็นสตินั่นเอง ให้เป็นสติคอยเตือนท่าน ในเมื่อท่านเผลอไป ท่านประมาทไป เพราะอะไร เพราะว่าคนใหญ่คนโตเรานั้น ไม่ว่าผู้ใด ตั้งแต่โบราณมาจนถึงกาลบัดนี้ จะเสียผู้เสียคนก็เพราะคนใกล้นั่นเอง โยมคิดดู คนใกล้นี่ทำให้ผู้ใหญ่เสียนะ คนใกล้ที่ทำให้ผู้ใหญ่เสียนะ ทำให้หัวหน้าเสียก็คนใกล้
ทีนี้ทำไมจึงทำให้หัวหน้าเสีย เพราะว่าคนนั้นเป็นคนเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่อามิสอะไรต่างๆ กลัวว่าตัวจะขาดประโยชน์ที่ตนจะพึงมีพึงได้ไป ก็เลยคอยประจบประแจง คอยบอกเรื่องนั้นเรื่องนี้ แม้เรื่องเสียก็ไม่ทักท้วงอะไร มีแต่คำว่าดีขอรับๆ เรื่อยไป ดีขอรับ ดีพะยะค่ะ ดีเพคับ เรื่อยไป ทีนี้มันก็เสียคน ผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ใกล้คนประเภทนี้จะเสียคน เพราะว่ายังมีอีกอย่างหนึ่ง คนที่อยู่ใกล้นี่ต้องการเอาใจนาย ยิ่งเจ้านายหนุ่มๆอะไรอย่างนี้นะ ต้องการเอาใจ แล้วก็คอยหาเรื่องทูลให้ทราบว่าควรจะทำอะไร ควรจะสนุกอย่างไร ตัวก็จะพลอยสนุกด้วยนะไม่ใช่เรื่องอะไร
ทีนี้คนหนุ่มๆนี่ยังไม่ประสีประสาในเรื่องอะไรมากนัก คนเราไม่ใช่ว่าจะฉลาดในทางถูกทางชอบเสมอไป แม้ว่าจะเกิดในตระกูลใหญ่ ตระกูลสูง เกิดในตระกูลมั่งคั่ง ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นวัตถุ ไม่ได้เป็นเครื่องช่วยให้คนเข้าใจอะไรถูกต้อง เพราะวัตถุนี่พูดไม่ได้ ความเป็นใหญ่มันก็สอนคนไม่ได้ แต่ว่าคนที่อยู่ใกล้นั่นแหละ คอยกระตุ้นเรื่องนั้น เรื่องนี้ บางทีก็ไปเอาเรื่องอะไรมาเล่าให้ฟัง ให้เกิดความเพลิดเพลิน คราวนี้เมื่อฟังบ่อยๆก็ แหม ฉันอยากไปเที่ยวบ้าง อยากจะสนุกบ้าง พวกนั้นพอได้ยินอย่างนั้น ดีแล้ว กูจะได้ไปด้วย แล้วก็พาหัวหน้าไปเที่ยว พานายไปเที่ยว หาความสนุกสนานเพลิดเพลิน
นี่คนอย่างนี้ คนเราที่เป็นใหญ่เป็นโตมาเสียคนเพราะผู้น้อยที่อยู่ใกล้ๆ บริวารไง บริวารมันทำให้คนเสียมามากแล้ว ลองอ่านประวัติศาสตร์โลกดูนะ ประเทศไหนๆก็เหมือนกัน ตั้งแต่โบราณเขาก็ว่าไว้อย่างนั้น ในเรื่องชาดกกก็ยังสอนไว้อย่างนั้น ให้รู้ว่าไอ้คนอยู่ใกล้นี่จะทำลายคนที่อยู่ใกล้ตัว คนใช้ที่ไม่ดีนี่จะทำลายนาย บริวารที่ไม่ดีนี่จะทำลายผู้ที่เป็นหัวหน้าของตนให้เสียหาย เพราะฉะนั้นจึงต้องมีคนไว้ประเภทหนึ่ง เรียกว่าปุโรหิตนี่ ผู้คอยแนะนำ ตักเตือน ทักท้วง ในเรื่องอะไรต่างๆที่มันไม่เหมาะไม่ควร ปุโรหิตนี่ต้องกล้า ขลาดไม่ได้ เพราะจะเป็นความเสียหายแก่ส่วนรวม คุณต้องกล้ากราบทูล
พระเจ้าแผ่นดินท่านก็อึดอัด แล้วก็เลยประชุมปุโรหิตทั้งหลาย ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้ลูกชายฉันหายเกเรเสียหน่อย จะได้เป็นผู้มีความคิดที่ถูกที่ชอบต่อไป ปุโรหิตทั้งหลายก็มองหน้ามองตากัน ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แต่ว่ามีคนดีอยู่คนหนึ่งในหมู่นั้น ลุกขึ้นกราบ เอาหัวโขกพื้นเลย แล้วก็กราบทูลว่ามีทางทำได้พะยะค่ะ พระราชาก็ถามว่าจะทำอย่างไร บอกว่าเรื่องนี้เป็นความลับ ต้องพูดกัน ๒ คนเท่านั้น แล้วพระองค์ก็ไล่คนอื่นออกไปหมด พวกที่ไม่มีความคิดนี่ไล่ออกไป เหลือไว้คนเดียวที่มีความคิด แล้วก็กราบทูลให้ทรงทราบว่า เขามีแผนที่จะปราบปรามเจ้าชายซึ่งมีนิสัยดุร้ายเกี้ยวกราดนี้ได้ พระองค์ก็เลยบอก เอ้า, ฉันมอบเรื่องให้แก่เธอทุกประการ ขอให้เธอจัดทำ รับผิดชอบในเรื่องนี้ พอตั้งแต่นั้นมาก็ ปุโรหิตก็เข้าใกล้เจ้าชาย ไปไหนก็ไปด้วยกัน คอยหาโอกาสที่จะกราบทูลแนะนำตักเตือนอยู่เสมอ
ทีนี้วันหนึ่งก็ไปเที่ยวสวน ในสวนมันมีต้นไม้เยอะๆ แม้แต่พืชที่เรียกว่าขม กินเข้าแล้วขมปื้ดก็มี เปรี้ยวก็มี หลายอย่าง ต่างๆนานา ปุโรหิตก็จะสอนจ้าชายแล้ววันนี้ เลยพาเดินลัดเลาะไปๆ อธิบายต้นไม้นั้น ต้นไม้นี้ ก็ไปถึงต้นไม้ขมต้นหนึ่ง ขมเหมือนบอระเพ็ดอย่างนั้น แต่มันเป็นไม้ต้น เลยบอกว่าพระองค์ลองเก็บใบไม้นี้เสวยดูหน่อยรสชาติมันเป็นอย่างไร ให้เสวยใบไม้นี่มาก่อนแล้ว วันก่อนๆนี้ เจ้าชายก็เสวยแต่มันไม่มีอะไร ก่อนนั้นไปเจอต้นไม้ขมเข้า พอถึงก็เด็ดใบมาเขี้ยว สักพักเบี้ยวไปเลยนะ หน้าบูดเบี้ยวไปเลย มันขมจัดไง พอขมจัดก็ฟิ้วเลย คนใจร้อนฟิ้วถอนต้นไม้นั้นเลย ถอนต้นไม้ฟาดลงไป เหยียบกับพื้นอีก ปุโรหิตยืนยิ้มอยู่ในใจ ไม่ยิ้มมากอะไร พอค่อยสร่างเบาโกรธแล้ว ปุโรหิตก็บอกว่าพระองค์ นี่แหละพะยะค่ะ พระองค์นี่เหมือนกับต้นไม้ต้นนี้ ต้นไต้ต้นนี้เป็นต้นไม้ไม่มีประโยชน์แก่การรับประทาน เพราะมันขม ใครๆก็ไม่ชอบ พระองค์ที่ประพฤติปฏิบัติมาก่อน มันมีสภาพเหมือนต้นไม้ต้นนี้ แล้ววันหนึ่งคนทั้งหลายก็จะจับพระองค์ขยี้ แล้วจะทำร้ายพระองค์ ถ้าหากว่าประพฤติเกะกะอย่างนี้ต่อไปแล้ว เขาจะขยี้พระองค์จนเสียหาย ไม่เป็นผู้เป็นคนอีกต่อไป ราษฎรทั้งหลายจะประท้วงแล้ว รู้สึกพระองค์ทันที คนมันมีแวว มีแววฉลาดอยู่หน่อย ลูกพระเจ้าแผ่นดินนี้ ทีนี้พอปุโรหิตกราบทูลเช่นนั้นก็สำนึกได้ สำนึกได้ในความผิดของตัว ยกมือขึ้นไหว้ปุโรหิตผู้นั้นเพราะว่าเป็นคนแก่ ท่านก็ไหว้บอกว่า ท่านช่วยชี้ทางสว่างให้แก่ข้าพเจ้านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ท่านต้องอยู่ใกล้ข้าพเจ้าเป็นพี่เลี้ยงข้าพเจ้าในการกระทำกิจการงานทุกอย่าง ทีนี้ปุโรหิตก็ต้องอยู่ใกล้ คอยแนะนำตักเตือน ในสิ่งที่ควรแนะควรเตือนตลอดเวลา เจ้าชายองค์นั้นก็เรียบร้อย ไม่เกะกะระรานอีกต่อไป พูดจากับคนก็ดี ไม่ดุไม่ร้าย ประชาชนก็พอใจ พอใจว่าเจ้าชายของเราเรียบร้อยแล้ว มีความประพฤติดีงาม เวลาพระเจ้าพ่อสวรรคต เขาก็ยกเจ้าชายขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินต่อไป นี่เรียกว่าเอามาเล่าให้ฟัง ว่าในเรื่องชาดกนี่เขาก็มีเรื่องอย่างนี้อยู่เหมือนกัน เขาสอนไว้เพื่อให้คนได้คิด ได้แก้ไข เรามีลูกมีหลาน มีคนในปกครอง อะไรต่างๆก็เหมือนกันแหละ เราจะต้องหาวิธีการว่าจะช่วยเขาอย่างไร ถ้าเขามีนิสัยดุดัน เหี้ยมโหด ใจร้อน ใจเร็ว ต้องหาวิธีที่จะแนะนำพร่ำเตือนเขา พูดจาอุปมาอุปไมย
ในเรื่องนี้สำคัญมาก พระพุทธเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ถ้าเราอ่านในเรื่องพระสูตร เขาเรียกว่าสุตตันตะ หรือพระสูตร เป็นคำสอนทั่วๆไปที่พระองค์สอนชาวบ้าน พระองค์มักจะเปรียบเทียบตลอดเวลา อุปมาว่าเหมือนอย่างนั้น เหมือนอย่างนี้ ยกข้อเปรียบเทียบให้คนเห็น เป็นข้อเปรียบเทียบทั้งนั้น มีมากมายก่ายกองที่เปรียบเทียบเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้คนเข้าใจ ให้คิดด้วยปัญญา แล้วจะได้แก้ไขปัญหาต่างๆต่อไป
เราก็ควรใช้อุบายอย่างนี้ สำหรับที่จะเอามาเปลี่ยนนิสัยคนที่ไม่เหมาะไม่ควร ด้วยการพูดจาแนะนำตักเตือน ทำความเข้าใจ ที่แนะให้เขาเห็นว่าสภาพคนเรานั้น เดิมมันไม่ได้อย่างนี้ ถ้าเขาเป็นคนใจร้อน บอกว่าเธอนี่ไม่ได้ใจร้อนมาก่อนหรอก มันเพิ่งร้อนขึ้น เพราะความต้องการที่ไม่ได้ดั่งใจ
โทสะนี่มันเกิดเพราะอะไร ความโกรธนี่เกิดเพราะอะไร เกิดเพราะไม่ได้ดั่งใจ ใจร้อน อยากจะได้อะไรก็ร้อน ถ้าให้คนไปเอาอะไรมา ใจร้อน กว่าจะมาถึง มาถึงบอกทำไมเธอช้านัก ความจริงเด็กบางทีมันไม่ช้าหรอก แต่มันไปหา ไปจับอยู่กว่าจะได้ยกมา แต่ว่าเรานี่ต้องการไวไป เลยมองเป็นช้าไป พอเขาได้มาแล้ว ก็ดุเขาว่าทำไมเธอช้า อย่างนี้แหละจะทำให้เสียหาย ความจริงมันก็ไม่ช้าอะไร ทำเฉยๆไว้ก่อน เว้นไว้แต่ว่ามันไถลเกินไป เราก็ค่อยเรียกมาพูดมาจา ทำความเข้าใจ
และเวลาจะพูดจากันนั้น อย่าพูดด้วยอำนาจโทสะ คือต้องให้สงบเสียก่อนแล้วจึงค่อยพูดค่อยจากัน เหมือนคนในครอบครัว สามีภรรยา ที่ทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องอะไรหรอก ร้อนทั้ง ๒ ฝ่าย ฝ่ายผู้โกรธสามีก็ร้อน ภรรยาก็ร้อน เลยพ่นพิษใส่กัน บอกไฟไหม้บ้าน ถ้าพ่นพิษใส่กันแล้วไฟไหม้บ้านทุกที อย่างนี้ไมได้ ต้องเย็นเสียข้างหนึ่ง คือต่างคนต่างรู้กัน ถ้าเห็นคนหนึ่งเสียงดัง นิ่งเสีย เงียบเสีย ให้เขาดังยู่คนเดียว ดังคนเดียวไม่นานเดี๋ยวหยุดแล้ว แต่ถ้าดัง ๒ ฝ่าย มันก็ก้องบ้าน บ้านระเบิดเลย ทำให้เกิดความเสียหาย
นอกบ้านก็เหมือกัน มีอะไรติดต่อกัน บางทีเกิดผิดใจกัน เดี๋ยวนี้ไม่ได้นะโยมนะ คนมันผิดใจกัน แหม มันทารุณนะ พอเกิดผิดใจกันไป เปรี้ยงป้างกันแล้ว สังเกตดูที่ยิงๆกัน นิดๆหน่อยๆ ผิดใจกัน เปรี้ยงป้างขึ้นมาแล้ว นี่คนมันร้าย ดังนั้นต้องใช้วิธีเรียกว่า นุ่มนวลกันดีกว่า อย่าพูดจาด้วยถ้อยคำรุนแรงกับใจใคร
พระผู้มีพระภาคท่านก็ตรัสเหมือนกันเรื่องนี้ บอกว่าเธออย่าใช้ถ้อยคำพรุสวาท คือคำรุนแรงนั่นเอง กับใครๆเป็นอันขาด ต้องค่อยพูดค่อยจา ทำความเข้าใจกัน เรื่องทั้งหลายจึงจะเรียบร้อย นี่เป็นเรื่องที่แสดงให้เห็นว่า โลภะ โทสะ โมหะนี่มันหนุนความคิด หนุนการพูด หนุนการกระทำ ให้เกิดขึ้นในทางเสียทั้งนั้น ไม่มีอะไรดีเลยแม้แต่น้อย อย่าใช้ เราต้องใช้ตรงกันข้าม คือไม่มีความโลภ
ไม่มีความโลภก็หมายความว่า พอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ ได้เท่าใดก็พอใจเท่านั้นไว้ก่อน เมื่อยังไม่ได้สิ่งอื่นมาก็พอใจไปก่อน เช่นเราทำการค้าขาย ทำธุรกิจการงาน แล้วเราก็ได้กำไรมาเท่านี้ อย่าไปหงุดหงิดว่า แหม ทำไมมันน้อยไป มันควรจะได้มากกว่านี้ ถ้าว่ามีคนจัดงานจัดการ บางทีไปดุคนจัดเสียอีกนะ ว่าทำไมมันน้อยไป มันควรจะได้มากกว่านี้นะ สมัยนี้เขาขายขึ้นราคาทั้งนั้นแล้ว ทำไมเธอไม่ไปขึ้นกับเขาบ้าง ทำไมถึงขายไม่ได้ ไปกันใหญ่ ยุ่งกันใหญ่แล้ว ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ โลภะมันเกิด ความไม่ดีเกิดในใจ เราก็ต้องนึกว่าได้เท่านี้ดีถมไปแล้ว ดีกว่าไมได้อะไรเสียเลย อย่างนี้ก็สบายใจ ไม่มีเรื่อง ไม่มีปัญหา
ถ้าเราจะพูดจาแนะแนวการทำงานเพื่อให้ดีขึ้น เวลาอื่น อย่าเอาอารมณ์ใช้ แต่ว่าใช้สติปัญญา ใช้เหตุใช้ผล เพื่อจะไปพูดจาตักเตือน (47.23) กับใครๆในทางที่ถูกที่ชอบ เรื่องมันก็ไม่เสียหาย ไม่กระทบกระเทือนจิตใจ จึงต้องใช้หลักว่าเท่านี้ก็ดีแล้ว คือพอใจไง พอใจเท่าที่ได้ รถเรามันวิ่งได้ชั่วโมงละเท่านี้ อย่าไปขืนมันเข้า เครื่องมันจะระเบิด แล้วมันก็จะสิ้นเปลืองมาก ก็วิ่งไปตามเรื่อง ใครเขาจะวิ่งขึ้นหน้าก็ช่างเขา เขารีบไปเรื่องของเขา เรามันไม่รีบกับใคร เราไม่แข่งกับใคร อันนี้ไม่ได้ คนหนุ่มไม่ได้ พอเห็นเพื่อนขึ้นหน้า รถอย่างนั้นมันจะขึ้นหน้ากู วิ่งรถใหญ่เลย จะให้ไปทันคันหน้า บางทีก็เกิดเรื่องเกิดราว อาตมาเคยพบ นั่งไปด้วยก็บอกไม่ต้องไปสน ไปธรรมดา รีบไปไหน เวลายังอีกเยอะ ยังไม่ (48.10) ขี่ช้าๆ ไปช้าๆก็ได้ มันเป็นอย่างนี้ก็มี เราต้องคอยยื้อมันไว้ คอยเตือนไว้
คนโบราณเขาจึงพูดว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงาม ทำพลีพลามมักขาดทุน ว่าไว้ดีนะโยมนะ ช้าๆนี่ได้พร้าเล่มงาม แต่ถ้าทำพลีพลามนี่ไม่ได้เลย เกิดความเสียหาย คนจีนเขามีฮกเกี้ยนนะ จีนแต้จิ๋วเขาพูดไว้เหมือนกัน ฮกเกี้ยนนี่ พอใครมาหามาสู่แล้ว เวลาจะลาไป เขาว่าไง เขาว่าไปช้าๆ เขาว่าบั่นๆเตี่ย หมายความว่าเดินช้าๆ แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เดินช้า แต่ว่าให้ทำอะไรด้วยความระมัดระวัง หมายความว่าเดินช้านี่คือว่าทำด้วยความระมัดระวัง จะค้าขาย จะประกอบธุรกิจ จะไปติดต่ออะไรกับใครนี่ต้องช้าๆ ระมัดระวัง อย่าพลุนพลัน อย่าใจร้อน อย่าใจเร็ว เขาเตือนอย่างนั้นนะ เตือนว่าให้ช้าๆ อาตมาได้ฟังคำนี้บ่อยๆ เมื่อสมัยอยู่ปีนังมลายู เมื่อเรียนมาแล้วก็มานึกว่า เอ๊ะ, ทำไมเขาพูดอย่างนั้น ทำไมต้องพูดให้เดินช้าๆ เลยมาคิดได้ว่า อ๋อ, เขาสอนธรรมะนั่นเอง สอนว่าให้ระมัดระวัง อย่าไปเร็วๆ มันจะเสียหาย
เหมือนกับรถยนต์ที่เขาซื้อมา ถ้าเจิมไว้ว่าขับช้าๆ เขียนตัวไทยมันอ่านได้ อักษรขอมมันอ่านไมได้ และคนขับรถนี่ไม่อ่านอักษรขอมได้สักคนเดียว มีแต่คนเขียนมันอ่านได้ แล้วมันจะได้เรื่องอะไร ทีนี้เราก็ต้องเขียนไว้ว่า ขับช้าๆปลอดภัย เขียนอย่างนั้น พิมพ์ลงไปในกระดาษดีกว่า จากที่เขียนพิมพ์ลงไปในกระดาษแล้วปิดไว้ที่ เป็นสติ๊กเกอร์เลย แล้วก็ปิดไว้ที่กระจกไปเลย แทนการเจิมด้วยแป้ง ไอ้เจิมด้วยแป้งนี่ไม่เท่าใดก็กะเทาะหลุดหมด แต่สติ๊กเกอร์นี่ถาวรดีกว่า อันนี้ต้องบอกหลวงพ่อที่เจิมรถหน่อย บอกว่าเปลี่ยนวิธีการเถิดหลวงพ่อ เจิมแป้งนี่มันไม่ดีแล้ว มันหลุดง่าย ทำสติ๊กเกอร์ดีกว่า แล้วสติ๊กเกอร์นี่ต้องเขียนภาษาไทยว่า ขับช้าๆปลอดภัย ขับไวๆอายุสั้น เป็นสติ๊กเกอร์ติดหน้ากระจกเลย พอมันขึ้นนั่งก็มองเลย อ๋อ, ขับช้าๆปลอดภัย ขับไวๆอายุสั้น มันเห็นบ่อยๆ พอเห็นบ่อยๆก็มาช่วยดู ช่วยยับยั้งชั่งใจ ไม่ทำอะไรให้เสียหาย
แม้คนไม่ขับรถก็ต้องระวังอย่างนั้นเหมือนกัน เพราะว่าทำอะไรมันต้องทำอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ทำอย่างหุนหันพลันแล่น คนทำหุนหันพลันแล่นนี่มันเสียท่าเขาง่าย ใจร้อนก็เสียท่าง่าย ต้องเย็นจึงจะดี ต้องควบคุม ต้องสร้างคุณธรรมฝ่ายดีขึ้น คือหัดพอใจ ยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า สมมติว่าเราเดินทาง รถเสีย อย่าไป (51.15) อย่าทำใจร้อน มันเรื่องธรรมดา เรามันนักธรรมะ เรื่องสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยง มันก็ต้องเสียบ้างนะ คนขับเขาทำงานของเขา อย่าไปยุ่งกับเขา เรามันไม่ใช่โชเฟอร์ เราไม่รู้ รู้แต่นั่งเท่านั้น ปล่อยมันไปตามเรื่อง อย่าไปเที่ยวบ่นเที่ยวอะไร บ่นมันเดี๋ยวมันทำเสียหายหมด อยากแกล้งขึ้นมา ขี้บ่น แกล้งไม่ไปเสียเลย
รถเสีย อย่าไปเร่งกับเขา ปล่อยเขาตามเรื่อง เราก็เดินชมวิวทิวทัศน์ข้างๆไป นึกว่า แหม, แถวนี้ยังไม่เคยมาเดินดูเลย วันนี้ดีจริงๆรถมาเสียตรงนี้ ได้ชมวิวแถวนี้สักหน่อย วิวมันก็น่าเข้าทีดีเหมือนกัน ทุ่งนาแถวนี้ ต่อไปเขาจะทำอะไรบ้างแถวนี้ก็ไม่รู้ จะได้วางแผนมาซื้อที่ดินไว้ก่อนล่วงหน้า คิดเรื่อยๆไป ในทางที่มันไม่ยุ่งใจ ให้คนขับเขาก็แต่งเรื่อยๆไป เขาไม่ต้องใจร้อนใจเร็ว เขาทำไปตามหน้าที่ พอเขาแต่งเสร็จ สตาร์ทติด เขาก็ เอ้า, ขึ้นได้ เออ เรียบร้อยดี (52.15) เรียบร้อยไหม ไปๆต่อกัน ไม่มีเรื่อง
ถ้าหากว่าเราไปบ่น ทำไมไม่ดูให้ดี อะไรต่ออะไร พึมพำๆ คนขับรถบางคนไม่ใช่มีการศึกษาสูงอะไรเท่าใด พึมพำๆหนักเข้า เดี๋ยวเอาประแจเลื่อนฟาดกบาลเอา เราก็จะเจ็บเปล่านะทีนี้ สำคัญนะโยมนะ ต้องใจเย็น ทำเฉยๆ เรื่องมันเล็กน้อย เสียเล็กน้อย ไม่เป็นไรหรอก เห็นเวลารถเสีย (52.48) ห้อมล้อมกันตรึมเลย ดูอย่างนั้น ไม่ได้เรื่องอะไรหรอก ไปยุ่งกับเขาทำไม ปล่อยเขาดีกว่า คนรู้ก็มี เราไปทำเรื่องอื่นตามเรื่องตามราว ทำใจให้สบายดีกว่า อย่าไปห้อมล้อม
ทุกคนทั้งหญิงทั้งชายก็ไปมอง เสียอะไร ก็ไม่รู้ว่าเสียอะไร เพราะไม่ได้เรียนเครื่องยนต์จะไปรู้ได้อย่างไร ไปดูให้มัน (53.10) ให้มันเกิดอารมณ์ร้อนกับคนขับเปล่าๆ คนไปห้อมมากๆ ก็ร้อนนะสิ ร้อนแล้วอารมณ์ก็เสีย เราไปยืนห่างๆ ปล่อยเขา หน้าที่ของเขา ให้เขาทำไปตามเรื่อง แก้ด้วยทำใจให้สบาย ยินดีในสิ่งที่เรามีอยู่เฉพาะหน้า โลภมันก็ไม่เกิดครอบงำจิตใจ
ทีนี้โทสะมันก็ต้องแก้ด้วยใจเมตตา หัดเมตตาสงสารผู้อื่น เห็นอกเห็นใจผู้อื่น นึกไว้เสมอว่าคนเราจะทำอะไร จะพูด จะแสดงอย่างไร เพื่อให้คนอื่นสบายใจ ให้มีความสุขใจ ไม่ให้มีความเดือดเนื้อร้อนใจ ต้องคิดต้องหา เห็นใครก็ลองนึกว่า เป็นสุขๆเถิด อย่าเดือดร้อน อย่ามีความลำบากกายลำบากใจอะไรเลย อย่านึกว่าเรื่องเล็กน้อยนะที่นึกอย่างนี้ โยมอย่านึกว่าเล็กน้อย มันมีอิทธิพลมาก คือกำลังใจของคนนี่มีอิทธิพลมาก ที่จะไปสร้างอะไรๆขึ้นในคนที่อยู่ใกล้ เช่น ใครมาเรามองไปแล้ว ถ้ามองไปในทางร้าย มันก็มีอิทธิพลดลบันดาลจิตใจคนนั้น ให้รู้สึกต่อเราในทางร้าย แต่ถ้าเรามองไปในทางเมตตา สงสาร เอ็นดูเขา ทำให้เขาได้รับความรู้สึกในทางดีต่อเรา เมตตาต่อเขาก็มีเมตตาตอบมา ถ้าดุร้ายออกไป ดุร้ายมันก็กลับเขามา ส่งอะไรออกไปก็จะได้อันนั้นส่งกลับมา มันเป็นคลื่นกลับมาอย่างนั้น
ดังนั้นเราต้องส่งเรื่องดี หัดคิดเรื่องดี หัดอวยพรแก่คนที่เราได้พบได้เห็น หัดนึกให้เขาเป็นสุขๆ นึกว่า เออ เป็นสุขๆเถิด สบายเถิด อย่ามีอะไรเดือดร้อนข้องใจเลย ทำบ่อยๆ ก็จิตมันก็คุ้นกับความดีความงาม ห่างจากโทสะ คือความประทุษร้าย เบียดเบียนคนอื่น แล้วหน้าตาเราจะเบิกบาน แจ่มใส มีอารมณ์ดี อารมณ์ดีเกิดจากใจดี คนเราถ้าใจดีแล้ว อารมณ์สดชื่นรื่นเริง มองอะไรก็สดไปทั้งนั้น เห็นต้นไม้ก็สบายใจ เห็นคนก็สบายใจ เห็นสุนัขแมวก็สบายใจ ไม่ได้มีเรื่องร้อนใจ
คนเราถ้าไม่มีเรื่อง เป็นเรื่องร้อนใจแล้ว นั่นแหละยอดสุขไปเลย ยอดสบาย อยู่ตรงนั้น ดังนั้นเราต้องคิด มันเกิดจากความคิดทั้งนั้น ทุกข์ก็เกิดจากความคิด สุขก็เกิดจากความคิด ดีชั่วก็เกิดจากความคิดของเรา เราจึงต้องควบคุมจิตใจให้มีความคิดในด้านดี ด้านงาม ต่อคนทั่วไป เราไม่เป็นศัตรูกับใคร เราไม่โกรธใคร เราไม่เคืองใคร เราไม่กระทบกระทั่งกับใคร อยู่อย่างนี้สบาย ลองพิจารณาดู ญาติโยมลองพิจารณา ถ้าพิจารณาแล้วจะเห็นว่า โอ้, นี่ยอดสุขมันอยู่ตรงนี้เอง เราจะมีความสุขทางใจ
แต่ความประทุษร้าย หรืออีกอันหนึ่งเขาเรียกว่าปฏิฆะ ปฏิฆะหมายความว่าหงุดหงิด ใจคอหงุดหงิด อะไรกระทบก็ ฝนตกก็หงุดหงิด แดดออกก็หงุดหงิด เดินไปเหยียบกรวดก็หงุดหงิดขึ้นมาแล้ว มันมีอารมณ์อย่างนี้ ไมได้เรื่องอะไร เรียกว่าสร้างแต่ความไม่สบายให้เกิดขึ้นในใจของตัว แล้วก็อยู่ด้วยอารมณ์ประเภทร้อนอยู่ตลอดเวลา มันจะดีที่ตรงไหน เราลองคิดดู ไม่ได้เรื่อง ดังนั้นสงบดีกว่า เย็นดีกว่า แผ่เมตตา ปรารถนาความสุขแก่คนอื่นทั่วๆไป
ส่วนโมหะนั้นต้องศึกษา ต้องแยกแยะ วิเคราะห์ วิจัย ถ้าพูดตามแบบวัดก็เรียกว่าต้องเจริญวิปัสสนา คำว่าวิปัสสนานั้นหมายความว่า คิดค้นในเรื่องอะไรต่างๆที่เกิดขึ้นในตัวเรา เราโกรธแล้วก็มาคิดว่าโกรธทำไม โกรธใคร เขาทำอย่างใดจึงโกรธ และเราโกรธเขาใครเป็นผู้เดือดร้อน เรานั่นแหละเดือดร้อน คนถูกโกรธบางทีเขาไม่รู้ว่าเราโกรธด้วยซ้ำไป เขานั่งสบาย นอนสบาย เรานี่มาผุดลุกผุดนั่ง ไม่สมประดีอยู่ในบ้าน เพราะเอาอารมณ์นั้นมาฝังไว้ในใจของเรา มันไม่ได้เรื่องอะไร ใครคิดแยกแยะไป โอ๊ย, ไม่ได้เรื่อง ต่อไปนี้ฉันจะไม่เอาแล้วเรื่องนี้ ทำให้ฉันร้อนเปล่าๆ หรือว่าเราเกลียดใคร เราเกลียดเขาทำไม เวลาเกลียดเขานี่เราได้อะไร เอามาคิดมาตรอง พิจารณา เรื่องอะไรต่างๆที่มันไม่ดี ถ้าเกิดขึ้นแล้ว เอามาแยกออกๆไป วิเคราะห์ดู ค้นคว้าดู ว่ามันดีหรือชั่ว มันสุขหรือทุกข์ มันให้ความเสื่อมหรือให้ความเจริญ ให้ความเย็นหรือว่าให้ความร้อนแก่เรา เอามาพิจารณา แยกแยะออกไป เราก็จะเห็นว่าไม่ได้เรื่อง เรานี่มันโง่ ไปสร้างแต่สิ่งชั่วร้ายขึ้นในจิตใจ ต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนฉลาดเสียทีแล้ว ไม่สร้างสิ่งโง่ๆขึ้นในความคิดของฉันอีกต่อไป เราก็เดินยิ้มได้ สบายใจไม่ได้ยิ้มเหมือนคนสูบกัญชา แต่ว่าเรายิ้มอยู่ข้างใน อารมณ์สดชื่นว่าอย่างนั้นเถิด มันก็สบายใจ นี่โยมเอาไปคิดดู เรื่องอย่างนี้ มันจะมีความสุขในทางจิตใจขึ้นมาทันที ถ้าเราได้นึกไปในรูปอย่างนั้น วันนี้พูดมาก็สมควรแก่เวลาแล้ว ขอจบไว้แต่เพียงเท่านี้ ต่อนี้ไปก็ขอเชิญญาติโยมนั่งสงบใจ เป็นเวลา ๕ นาที