แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ณ บัดนี้ถึงเวลาของการฟังปาฐกถาธรรมะ อันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ทุกท่านอยู่ในอาการสงบตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดีเพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดขึ้นจากการฟังตามสมควรแก่เวลา
เมื่อวานนี้ได้ไปออกโทรทัศน์ในรายการพุทธประทีปแต่ว่าใช้เวลาพูดไม่นานเพราะว่ามีภาพยนตร์ไทยสลับด้วย พูดเพียง ๑๕ นาที และตอนบ่ายก็ไปอัดเสียงที่กรมประชาสัมพันธ์เพื่อออกในวันอาทิตย์ตอนเช้า และได้ออกมาแล้วท่านทั้งหลายบางท่านคงจะได้รับฟัง เมื่อไปออกโทรทัศน์ไปออกวิทยุแล้วญาติโยมที่มาฟังที่วัดเป็นประจำก็คงจะนึกว่าวันนี้หลวงพ่อคงจะมาพูดได้ก็เลยมาพูดให้ฟังกันเสียหน่อยเท่ากับว่าเป็นการลองเครื่องหลังเข้าอู่มาสองเดือนกว่าแล้ว วันนี้ก็เข็นออกจากอู่มาลองเครื่องกันเสียหน่อยว่ามันจะเรียบร้อยไปได้หรือไม่ ญาติโยมก็จะได้ฟังอะไรๆอันเป็นประโยชน์แก่ชีวิตต่อไป เรื่องที่ใคร่จะนำมาพูดกันในวันนี้ประการแรกก็คือผลแห่งความเจ็บไข้ได้ป่วย ความเจ็บไข้ได้ป่วยนี่เป็นเรื่องคู่กันกับชีวิต เพราะชีวิตของมนุษย์เรานั้นเมื่อมีการเกิดก็ย่อมมีการแก่ มีการเจ็บไข้และก็มีการตายเป็นที่สุด ความแก่ความเจ็บความตายเรียกว่าเป็นเรื่องของธรรมชาติคู่กันกับ มากันกับความเกิด เมื่อคนเราเกิดมาแล้วก็ต้องผ่านสิ่งเหล่านี้ คือ ผ่านความชรา ผ่านความเจ็บไข้ แล้วก็ต้องไปสู่จุดสุดท้ายคือความตายอันเป็นเรื่องธรรมดา ในทางพระพุทธศาสนาจึงถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นกับทุกชีวิต พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้เราพิจารณาอยู่ทุกวันๆ เรียกว่า อภิณหปัจจเวกขณ์ คือให้พิจารณาบ่อยๆ 5 ประการ ประการแรกก็ให้พิจารณาว่าชีวิตร่างกายของเรานี้ มีความแก่ลงไปทุกเวลานาที ประการที่สองให้พิจารณาว่า เราอาจจะเจ็บไข้ด้วยโรคใดโรคหนึ่งเมื่อใดก็ได้ ประการที่สามให้พิจารณาว่าความตายเป็นสมบัติของชีวิตเราหนีจากความตายไม่พ้น ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ว่าความตายเป็นของเที่ยง เราอาจจะถึงความแตกดับลงไปเมื่อใดก็ได้ ประการที่สี่ให้พิจารณาว่าบรรดาสรรพสิ่งทั้งหลายที่เรามีเราได้ไว้ในชีวิตของเรานี้ มันเป็นแต่เพียงของใช้ชั่วครั้งชั่วคราว ไม่สามารถจะติดตัวไปได้ วันหนึ่งเราจะจากสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไป และประการสุดท้ายสอนให้พิจารณาว่าการกระทำ ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยน้ำใจ ในชีวิตประจำวันของเรานั้นเป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผล เราหนีจากผลแห่งการกระทำนั้นไปไม่ได้เป็นอันขาด
ทั้งห้าประการนี้เป็นเรื่องที่พระผู้มีพระภาคเจ้าสอนให้เราพิจารณาบ่อยๆ เพื่ออะไรก็เพื่อจะได้เกิดความไม่ประมาทในชีวิตในเรื่องอะไรๆต่างๆ จะได้รู้ว่าสภาพเหล่านี้จะต้องบังเกิดขึ้นแก่ตัวเราไม่วันใดก็วันหนึ่ง เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้นเราก็จะไม่ต้องวิตกทุกข์ร้อนมากเกินไป แต่คนที่ไม่ได้คิดไว้ล่วงหน้า ว่าอะไรเกิดขึ้นในชีวิต ก็จะมีความทุกข์ความวิตกกังวลถึงกับพูดออกมาว่า เฮ้อ ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเช่นนี้ ใครที่พูดออกมาว่าไม่นึกเลยว่าจะเป็นเช่นนี้นั่นแหละ เป็นการประกาศตัวเองให้ใครๆ รู้ว่าไม่เคยพิจารณา ไม่เคยเตือนตัวเอง จึงได้เกิดการพูดออกมาในรูปเช่นนั้น ในฐานะเราที่เป็นพุทธบริษัท เราไม่ควรจะให้คำพูดอย่างนั้นหลุดออกมาจากปากของเรา แต่ว่าเราควรจะได้เตรียมตัวไว้ล่วงหน้าในเรื่องเกี่ยวกับความเจ็บความตาย ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจอะไรต่างๆ เมื่อสิ่งใดเกิดขึ้นในระยะของชีวิตที่เราผ่านมาถึงเข้า เราก็จะได้พูดกับตัวเองไว้ว่า ฉันนึกไว้แล้วว่ามันจะต้องเป็นอย่างนี้สักวันหนึ่ง อย่างนี้จิตใจจะสบายคลายจากความทุกข์ความเดือนร้อนอันเกิดขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ เราอยู่บ้านอาจจะไม่เห็นคนเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ถ้าไปอยู่โรงพยาบาลก็จะเห็นว่ามีคนป่วยด้วยโรคนานาชนิด นอนกันเต็มไปหมด โดยเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ๆ ในกรุงเทพ เช่น จุฬาลงกรณ์ ศิริราช โรงพยาบาลรามาธิบดี มีคนไข้ล้นเตียง ต้องเอาเตียงเข้าไปซ้อน เพื่อให้คนไข้เหล่านั้นได้นอนพักผ่อน เดินไปดูบริเวณตึกคนไข้แล้วก็ปลงอนิจจัง สังเวชใจ ว่า เออ มนุษย์เรานี้ช่างเจ็บไข้ได้ป่วยกันมากเหลือเกิน แม้ตอนเช้าๆจะไปดูตึกคนไข้นอกที่คนไข้มาให้ตรวจให้รักษา เขามากันตั้งแต่หกโมงเช้า ความจริงสำนักงานเปิดเวลาแปดโมงครึ่งแต่มากันตั้งแต่หกโมงเช้า ถามว่าทำไมมากันตั้งแต่เช้าตรู่อย่างนี้ ตอบว่าไม่ได้คนมันมากเหลือเกินต้องมารอไว้ก่อนมาเข้าคิวกันไว้ก่อน เพื่อจะได้ตรวจก่อนเพื่อน นี่ก็เพราะว่าสถานที่ตรวจไม่พอ คนก็ต้องมากันอย่างนั้น มานั่งทรมานทรกรรมอยู่จนกว่าจะถึงเวลาที่หมอจะเปิดการตรวจดูโรคภัยไข้เจ็บต่อไป เห็นแล้วก็นึกสงสารคนเหล่านั้น แม้แต่สังเกตดูว่ามีการเจ็บประเภทต่างๆกัน บางคนก็เป็นที่ตา บางคนก็เป็นที่หู บางคนก็เป็นที่จมูก บางคนก็เป็นที่ปาก บางคนก็เป็นที่ลำคอ บางคนก็เป็นในท้องในไส้มองไม่เห็น บอกว่ามันเจ็บอยู่ข้างใน บางคนก็เป็นที่หัวข้างในสมอง บางคนก็เป็นที่มือที่เท้า
เมื่อดูแล้วก็รู้สึกว่า เออ มนุษย์เรานี้มันต้องประสบกับชะตากรรมอย่างนี้ด้วยกันทั้งนั้น โรคภัยไข้เจ็บนี้มันเป็นเรื่องที่เราเลือกไม่ได้ เลือกเจ็บไม่ได้ เลือกตายก็ไม่ได้ เลือกอะไรๆในชีวิตนี่มันก็ไม่ได้ทั้งนั้น เลือกได้แต่เรื่องอาหารการกิน อันใดเราชอบเราก็กิน อันใดเราไม่ชอบเราก็ไม่กิน น้ำดื่มนี่ก็พอเลือกได้ แต่จะดื่มน้ำอะไร แต่ว่าเรื่องโรคภัยไข้เจ็บความตายอะไรในชีวิตนี่ ไม่ใช่เรื่องที่จะเลือกได้ ถ้าเลือกได้ใครจะไปเป็นโรคมะเร็ง หรือเป็นโรคไข้ทรพิษ หรือเป็นโรคข้างในเชื้อตายยากต้องผ่าตัดกันหลายหน คนอย่างนี้เขาก็เลือกเอาได้ แต่เพราะเลือกไม่ได้ ทำไมจึงเลือกไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นจากการปรุงการแต่ง ร่างกายนี้ก็เป็นธรรมชาติเกิดจากการปรุงแต่ง โรคภัยไข้เจ็บมันก็เกิดจากการปรุงการแต่งเหมือนกัน โรคนั้นมันเกิดจากการปรุงแต่งของสิ่งทั้งหลาย เช่นว่าความสกปรกจากของเสีย อากาศเสียบ้าง มีไอพิษ มีฝุ่นละออง มีน้ำเน่าเกิดขึ้นในที่ต่างๆ หรือของที่เป็นแก๊สเป็นพิษประเภทต่างๆที่ความเจริญสมัยใหม่ได้สร้างมันขึ้นและคนเราก็หายใจเข้าไป เข้าไปตกขังอยู่ในร่างกาย ทำให้เกิดปฏิกิริยาขึ้นภายในร่างกาย กลายเป็นโรคอย่างนั้นกลายเป็นโรคอย่างนี้ขึ้นมา เมื่อเช้านี่เปิดวิทยุฟังตอนเช้า เขาบอกว่าในประเทศอินเดียมีโรคภัยไข้เจ็บเกิดขึ้นหลายอย่าง เรื่องเสียงก็ทำให้คนเกิดโรคได้ เช่น คนเป็นโรคหูตึง หูหนวกอะไรต่างๆก็เพราะมีเสียง เสียงที่มันดังก้องอยู่ตลอดเวลา จากเครื่องจักรในโรงงานต่างๆ กระทั่งแพทย์โรคหูคอจมูกปาก เขาได้ประชุมกันพิจารณาบอกว่าเสียงนี่ก็เป็นต้นเหตุทำให้คนเกิดโรคเกี่ยวกับหูอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้นต้องหาทางแก้ไขว่าจะทำอย่างไรในคนที่ไปปฏิบัติงานในโรงงานที่มีเสียงมากๆ เช่น อยู่ใกล้เสียงเครื่องยนต์กลไกซึ่งดังอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้คนเหล่านั้นไม่ต้องเป็นโรคหูหนวกหูตึงกันต่อไป เขาก็คิดค้นประเด็นสำคัญว่ามันเป็นเหตุให้เกิดโรคได้ ฝุ่นต่างๆ ที่ฟูขึ้นจากพื้นแผ่นดินจากคนที่เดินไปเดินมาบ้างและลมพัดให้กระจายบอกว่าฝุ่นในประเทศอินเดียในวันหนึ่งๆ มันตกลงมาจากท้องฟ้าเข้าไปในจมูกคนเข้าไปยึดติดในร่างกาย มีจำนวนถึงห้าสิบตันเลย ไม่ใช่น้อยฝุ่นเอามารวมกันแล้วถึงห้าสิบตันเลย รู้สึกว่าแหม มันไม่ใช่น้อย และฝุ่นเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บเกี่ยวกับร่างกายขึ้นมากมายก่ายกอง
เมื่อเขาพูดอย่างนั้นเราอยู่เมืองไทยนับว่าสบาย เพราะว่าบ้านเรามันฝุ่นไม่ค่อยมากเท่าไหร่ ก็มาอยู่วัดชลประทานนี้ก็สบายใจว่าฝุ่นไม่มาก เพราะว่าสนามมีหญ้าเขียวไม่มีฝุ่น เพราะก็มีต้นไม้ซึ่งปลูกขึ้นมาคอยรับขี้ฝุ่นไว้กันกรองไม่ให้เข้าไปในจมูกของเรา อันนี้มันก็ได้ประโยชน์เหมือนกันก็เหมือนบ้านของญาติโยม ควรจะได้ปลูกต้นไม้ไว้หน้าบ้าน ไว้ข้างบ้านข้างเรือน เท่ากับเป็นเครื่องกรองอากาศ ไม่ให้ขี้ฝุ่นเข้ามาเข้าจมูกเรา มันมาติดต้นไม้ฝนตกมันก็ชะลงไปลงพื้นดินต่อไปบริเวณบ้านก็ควรจะทำเป็นสนามหญ้าอย่าให้ขี้ฝุ่นมันเข้ามา แต่ว่าบนถนนนี่ไม่ไหวไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากเจ้าหน้าที่เขามาช่วยทำให้ไม่มีฝุ่นด้วยการลาดยาง ถนนลาดยางเรานึกว่าไม่มีฝุ่น ความจริงมันก็มีเหมือนกัน พอรถวิ่งไปในเวลาที่ฝนตกก็เห็นว่ามันกระจายมาสู่กระจกทำให้เศร้าหมองไป ทำให้เกิดความสกปรก อันนี้ก็แสดงว่ามันมีสิ่งสกปรกอยู่ในที่เหล่านั้น เราหายใจเข้าไปบ้าง ติดตามผิวหนังบ้าง เชื้อโรคก็ลัดเลาะเข้าไปอยู่ในร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สบายขึ้นด้วยประการต่างๆ เขาบอกว่าในเมืองใหญ่ๆ ในต่างประเทศ เช่น เมืองนิวยอร์ค เมืองชิคาโก เมืองลอสแองเจลิส ซานฟรานซิสโก ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในอเมริกา ลอนดอน ปารีส โรม อะไรเหล่านี้ มันก็มีสิ่งสกปรกมากมายที่จะทำให้เกิดเชื้อโรคแก่คนที่ไปในประเทศนั้นๆ แต่รับสิ่งที่เป็นพิษเข้าไปในร่างกาย อันนี้เมื่อได้ฟังดูแล้วก็คิดว่า เอ ไม่อยากจะไปเที่ยวในเมืองใหญ่ๆ แต่ว่าคนก็ชอบไปกัน ลงทุนขึ้นเรือบินไปสูดอะไรต่ออะไรเข้ามาในร่างกายทำให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไป เพราะเกิดจากโรคภัยไข้เจ็บเหล่านั้น คนอยู่ในป่าเสียอีกที่ไม่มีสิ่งที่เป็นพิษเป็นภัย เพราะอากาศบริสุทธิ์สดชื่น แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้ เพราะมันยังมีโรคอันเกิดจากสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย เช่น ยุงบ้าง แมลงบางประเภท สัตว์เลื้อยคลายบางประเภท มันก็มีเชื้อโรคอยู่เหมือนกัน สัตว์เหล่านั้นมาเกาะกัดเราแล้วทำให้เกิดเป็นพิษเป็นภัยแก่ร่างกาย
ที่สวนโมกข์ไชยามีตัวทากชุกชุมในฤดูฝน ถ้าหากว่าเป็นในพงหญ้าล่ะก็อย่าเดินไปเลยเป็นอันขาด ถ้าเดินไปแล้วมันอาจจะมาเกาะจับเราก็ได้หรือว่าอันที่ร้ายกว่าตัวทากคือตัวเห็บ เห็บนี่มองไม่เห็นไม่รู้มันอยู่ตรงไหนแล้วมันก็มาเกาะตามร่างกาย มาเกาะตามขา ตามอะไร เกาะในที่ๆลับๆหน่อยที่รักแร้บ้าง ตามเนื้อ ที่เนื้อระหว่างเนื้ออะไรนี่มันเกาะเข้าแล้วรู้สึกว่าเจ็บๆ คันๆแล้วมันก็ดูดเอาเลือดเราให้โตขึ้นๆ เวลาหยิบมันออกเนื้อติดไปด้วย เพราะว่ามันจับไว้เลย เนื้อติดไปด้วย ถ้าหยิบแล้วมันเนื้อติดออกไปจึงต้องใช้วิธีอื่น คือ เอายามาทาทำให้มันตายฝ่อไปเอง แต่ว่าแม้มันตายแล้ว แผลที่มันตกสะเก็ดนั้น ตกสะเก็ดตั้งยี่สิบสามสิบครั้งจึงจะหายเป็นปกติ ต้องคันกันเรื่อยไปเกากันเรื่อยไป ตกสะเก็ดนานเหลือเกิน นี่ก็เป็นพิษเป็นภัยจากสิ่งต่างๆ แม้ต้นหมากรากไม้บางชนิดก็เป็นพิษเป็นภัย เราไปตำโดนเข้ามันก็เกิดผื่นคันขึ้นตามร่างกาย และเมื่อเราไปกินเข้าก็เป็นพิษต่อร่างกาย โรคภัยไข้เจ็บมันเกิดจากสิ่งแวดล้อมมีมากมายก่ายกอง แต่ว่าธรรมชาติก็ไม่ทารุณกับมนุษย์มากเกินไปนัก เพราะว่าเมื่อมีสิ่งเป็นพิษก็มีสิ่งสำหรับแก้ไขกัน ที่จริงที่แก้มันก็มีเหมือนกัน อ่านหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ คราวหนึ่งไปเที่ยวบนภูเขาเมืองเพชรบุรี ลูกชายท่านเดินลงไปที่ทุ่งหญ้า ไปถูกต้นอะไรเข้ามันคันใหญ่เลยเป็นผื่นแดงขึ้นมาแล้วก็คันยิบๆ ทีเดียว หลวงวิจิตรก็ตกใจ คนขับรถบอกว่าไม่ต้องตกใจ แถวนี้มียาแล้วเขาก็ไปเที่ยวเดินค้นๆหาใบไม้ชนิดหนึ่ง เอามาถึงก็ขยี้ๆ เอาน้ำหยอดให้ ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นพิษเหล่านั้นหายไป หลวงวิจิตรจึงได้บอกว่านี่แหละธรรมชาติไม่ได้ทารุณกับมนุษย์มากเกินไป เมื่อมีสิ่งเป็นพิษก็มีสิ่งแก้พิษควบคู่กันไป ต้นไม้บางอย่างให้โทษแก่มนุษย์ แต่ต้นไม้บางอย่างก็เป็นเภสัชที่เราเอามากินมาใช้ มาต้มยา คนโบราณจึงใช้ยาประเภทยาสมุนไพร เอามาต้มให้กินแก้โรคภัยไข้เจ็บ
สมัยนี้เขาไม่ได้ต้มกันแล้ว แต่เขาเอามาสกัดเอาตัวยาจากสมุนไพรนั้นๆ ผสมเป็นยาวิเศษขึ้นได้เลย แล้วให้คนกินแก้โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ อันนี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เป็นแค่รูปก็เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งเหมือนกัน เป็นตัวสังขารเหมือนกัน แล้วก็มาเกาะจับอยู่ในร่างกายของเรา นี่ในร่างกายของเราแต่ละคนนี่ญาติโยมทุกคน อย่านึกว่าปลอดภัยนะ เราไม่รู้นะ จะมีอะไรอยู่ในตัวของเราบ้างเวลานี้ มีเชื้อโรคชนิดไหนอยู่ที่ลำไส้ ที่ตับที่ไต อยู่กระเพาะหรือว่าที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพราะว่ามันยังไม่แสดงอาการรุนแรงหรือเพราะความต้านทานของร่างกายเรายังดีอยู่ ตราบใดที่ความต้านทานยังดีอยู่เราก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเมื่อใดร่างกายเราอ่อนแอไม่มีความต้านทานเพียงพอเราก็รู้สึกว่าเป็นอาการไม่สบายไปหาหมอ บางทีเมื่อไปหาหมอ หมอบอกว่ามันมากเสียแล้ว ไม่สามารถจะรักษาได้ เช่น โรคมะเร็งนี่เป็นตัวอย่าง มันมาเกิดขึ้นทำร้ายร่างกายเราอยู่ตั้งนาน พอเกิดเจ็บป่วยก็หนักเต็มทีแล้ว พอไปหาหมอก็เรียกว่าเข้าขั้นโคม่า ไม่สามารถจะรักษาได้ แล้วเราก็ถึงแก่ความตายไปตามๆ กัน อันนี้มันเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นแก่ใครเมื่อใดก็ได้ เพราะฉะนั้นเราจึงควรจะได้คิดไว้ล่วงหน้าในเรื่องอย่างนี้ ว่างๆ ก็พูดกับตัวเองว่าเออ อย่าประมาทนะ อย่าเพลิดเพลินนักนะ ร่างกายนี้มันเป็นของแตก มันแตกง่ายมันหักง่าย และมันอาจจะมีอะไรๆ เกิดขึ้นในร่างกายเราเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นอย่าประมาท มีทางใดที่จะป้องกันได้ก็ป้องกัน มีทางใดที่จะแก้ไข ผ่อนหนักให้เป็นเบา พอรู้ว่าจะเริ่มเป็นก็รีบรักษาอย่างนี้เรียกว่าผ่อนหนักให้เป็นเบาแต่ถ้าป้องกันไว้ก่อนล่วงหน้ามันดี เพราะเรารู้ว่าโรคมันมาทางไหน มีอะไรเป็นพาหะ เกิดขึ้นได้อย่างไร
สมัยนี้การศึกษาค้นคว้าเจริญก้าวหน้า เราก็พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไรจึงต้องศึกษาสนใจบ้าง ถ้าเห็นว่ามีอาการผิดปกติก็จะได้รีบรักษา ถ้าไม่มีอาการผิดปกติเราก็จะได้หาทางป้องกันไว้ เช่น ไม่ดื่มของเป็นพิษเข้าไปในร่างกาย ไม่สูดสมของเป็นพิษเข้าไปในร่างกาย ไม่กินอาหารประเภทที่จะเป็นพิษเป็นภัย เช่น บางคนชอบกินอาหารดิบ เนื้อดิบอะไรแบบนี้ เอามาทำลาบทำหลู้อะไรกัน เมื่อก่อนนี้มีพระเพื่อนองค์หนึ่งมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเล่าให้ฟังว่าที่บ้านนี่เขาฆ่าวัว เขาฆ่าเชือดมาทั้งชิ้นเลย สับๆ สับๆ เอาน้ำมะนาวหยอดลงไปเอาตะไคร้มาคลุกกินกันเลย ทั้งๆที่เป็นเนื้อสดๆเลือดสดๆ กินกันอย่างเอร็ดอร่อย ก็ไม่กินแต่เนื้อ ยังแถมเหล้าเข้าไปด้วย เลยกินกันใหญ่ บางทีก็กินแล้วชักดิ้นชักงอตายกันเป็นแถวไปเลยทีเดียวเพราะมันมีเชื้อโรค ตัวจี๊ด ตัวอะไรอยู่ในเนื้อเหล่านั้น อาหารดิบก็ไม่ควรจะกินเข้าไป ไม่ว่าอาหารประเภทใดควรจะมีการต้ม การทำให้สุกเพื่อป้องกันเชื้อโรค คนไม่ประมาทเขาก็คิดป้องกันอย่างนั้น สถานที่ใดที่ไปแล้วมันจะมีการเกิดโรคเกิดภัย เรารักชีวิตรู้คุณค่าของการเกิดมาเป็นมนุษย์ว่ามันมีค่าอย่างไร เราก็ไม่ไปในสถานที่นั้น คนใดมีโรคติดต่อเราก็ไม่เข้าใกล้บุคคลนั้น อันนี้เรียกว่าเพราะเราคิดว่าเราอาจจะเป็นโรค เราจึงคิดป้องกันคุ้มครองไว้ไม่ให้โรคภัยไข้เจ็บนั้นเกิดขึ้น แต่ว่าคนเรานี่ถึงจะระมัดระวังสักเท่าใด ก็มีเวลาเผลอ มีเวลาเผลอ พอเผลอเข้าก็เป็นได้เพราะสมุฏฐานที่จะทำให้เกิดโรคนั้นมีมาก เกิดจากดินฟ้าอากาศ เกิดจากอาหาร เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย เขาเรียกว่าสมุฏฐานมันมีมากมายหลายเรื่องหลายประการ เราระวังอยู่แล้วแต่ก็ยังเผลอจนได้ ขณะเผลอเข้าเป็นโรคขึ้นก็ไปนอนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่โรงพยาบาล หรือว่าเรานอนป่วยอยู่ที่บ้าน เราควรจะทำอย่างไรจิตใจจึงจะสบาย
คนไม่เคยป่วยก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร ขณะป่วยไข้ก็มองเห็นว่า อ้อ ไอ้การเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ มันก็มีประโยชน์อยู่บ้างเหมือนกัน มีประโยชน์ในเรื่องใด มีประโยชน์ในการที่เราจะได้เรียนรู้ เรื่องธรรมชาติของชีวิตจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ไอ้เวลาอื่นมันเรียนไม่ได้ เพราะไม่มีพยานปรากฏเฉพาะหน้า ไม่มีสิ่งให้เราศึกษาแต่เมื่อเรานอนป่วยอยู่บนเตียง เราก็เรียนได้ว่า อ้อ ความเจ็บป่วยนี้มันเป็นอย่างไร เจ็บปวดที่ตรงไหน สภาพจิตใจของเราเป็นอย่างไร เมื่อเกิดความเจ็บป่วยเป็นอย่างไร เขาจะผ่าตัดตรงนั้นตรงนี้ เรามีความรู้สึกอย่างไร มีความสะดุ้งกลัวไหมหวาดเสียวต่อสิ่งเหล่านั้นหรือไม่ เราจะได้รู้กำลังใจของเรา เพราะกำลังใจคนเรานั้นจะรู้ได้เมื่อตกอยู่ในอันตราย ถ้ายังไม่มีอันตรายก็รู้ไม่ได้หรอก คนบางคนอาจจะคุยว่า โอ้ ผมไม่กลัวนั้น ไม่กลัวนี่ มันยังไม่ถึงเวลาก็พอคุยไปได้ แต่ถ้าถึงเวลาเข้าไอ้ที่คุยได้บางทีมันหายไปหมด มันเกิดความกลัวขึ้นโดยไม่รู้ตัว เสร็จแล้วก็เจอเสือนี่ ไม่เจอก็ไม่เป็นไร บางคน เออ เสือไม่เป็นไรหรอก มันแมวดีๆนั่นเอง ไปเจอเข้าก็เอาซี่โครงมาศึกษาซะเลยพอไปเจอเข้าวิ่งเอาอย่างสุดฝีเท้าเลยทีเดียว มันเกิดอาการเช่นนั้นขึ้นมาได้ เมื่อประสบกับปัญหาอย่างนั้น เวลาเราเจ็บไข้ได้ป่วยนี่ก็เหมือนกัน เราก็ได้ศึกษาเรื่องชีวิตของเรากับศึกษาจิตใจของเรา ได้ทดสอบทางด้านตัวเองว่าอย่างนั้นเถอะ ได้สอบไล่ตัวเองว่าที่เราเรียนธรรมะที่เราปฏิบัติธรรมะมา เป็นเวลานานปีนี่ มันใช้ได้ไหม มันเป็นประโยชน์แก่เราเวลาเจ็บไข้ได้ป่วยหรือไม่
นี่แหละเป็นช่วงทดสอบกำลังใจกันว่าเข้มแข็งขนาดไหน มีความวิตกกังวลหวาดกลัวอะไรบ้าง หรือมีอะไรเคลือบแคลงเป็นรูปพร้อม เข้ามาในจิตใจเราบ้างเมื่อเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยนี้ที่จะได้พิจารณาจะได้ศึกษาเรื่องของชีวิตของเรา ขณะที่เรานอนอยู่ เขาว่าเวลาป่วยนี่ไม่ได้ทำอะไร เขานอนเฉยๆ ให้เขาทานยาบ้าง ฉีดยาบ้างอะไรต่ออะไรตามเรื่อง เราก็ควรจะให้เวลานั้นเพื่อศึกษาชีวิตร่างกาย สภาพจิตใจของเราว่ามันมีความรู้สึกอย่างไร มีอะไรเกิดขึ้นในใจของเราบ้าง เป็นความทุกข์เป็นความวิตกกังวลหรือว่าความเฉยๆ หรือมีสติปัญญาพอจะมองเห็นอะไรๆ ที่เกิดขึ้นในร่างกายได้อย่างถูกต้องเพื่อเราจะได้รู้ว่าเรามีสภาพอย่างไร อีกประการหนึ่งเราจะรู้ต่อไปว่าญาติมิตรเพื่อนฝูงทั้งหลายเมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วยเขารู้สึกต่อเราอย่างไร มีความวิตกกังวลหรือไม่ หรือเอาใจใส่ต่อเราขนาดไหนช่วยเหลือเราเป็นประการใดบ้าง เราก็รู้ก็เพราะว่ายามยากก็เห็นใจมิตร เราจะได้รู้ว่าญาติโยมทั้งหลายเพื่อนฝูงมิตรสหายมีความรู้สึกอย่างไร ในเรื่องความเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะได้รู้ ไอ้ปกติก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นอย่างไร พอมีเรื่องขึ้นก็ได้รู้เห็นว่า อ้อ มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนี้ทำให้เกิดประโยชน์แก่จิตใจหลายแง่หลายมุมที่เราจะได้ศึกษาเรื่องนั้นๆ จากความเจ็บไข้ได้ป่วย พอมาเป็นเจ็บป่วยก็ได้รู้สึกหลายอย่างหลายประการในจิตใจ ตามปกตินั้นก็เคยคิดอยู่บ้างเหมือนกัน เตือนๆ ตัวเองไว้ในเรื่องการเจ็บไข้ได้ป่วย เวลาไปป่วยเข้าจริงๆ ละก็รู้สึกว่ามันได้ผลไม่วิตกกังวลไม่หวาดกลัวอะไรเกินไป โดยเฉพาะในเวลาที่เขาจะเอาไปเจาะเอาท่อใส่เข้าไปในหูนี่ นางพยาบาลมาถึงก็บอกว่า หลวงพ่อไปได้ เขาไม่ให้เดิน เขาให้นั่งรถเข็นไปความจริงก็นิดเดียวจากนี่ไปถึงฝาเท่านั้นเอง เขาบอกให้นั่งรถเข็นไป แล้วเขาก็เข็นไปนึกในใจว่า เอ ดูเหมือนเรานี่เป็นคนอ่อนแอซะเหลือเกินถึงกับเดินไม่ได้ เราถามว่าทำไมจะต้องนั่งรถเข็นด้วย ธรรมเนียมเขาอย่างนี้ว่าอย่างนั้น เราก็เอา ทำตามธรรมเนียมหน่อย พูดกับนางพยาบาลเขาอย่างนั้นก็เลยนั่งไป ละก็ถามว่าหนู เข็นได้ไหม เขาก็เข็นได้ไม่เป็นไร ไม่ได้จับต้องตัวของหลวงพระ จับรถ เข็นไปเถอะ เข็นไปก็เข้าไปในห้อง ไปถึงเขาบอกว่าให้ขึ้นนอนบนเตียงนี้นะ ก็นอนบนเตียง พอนอนบนเตียงแล้วหมอเขาก็มา จัดแจงจะฉีดหยูกฉีดยาเอาผ้ามาคลุมเสียหน่อย คลุมตัวเสียหน่อย นางพยาบาลคนหนึ่งก็ถามว่าหลวงตาคะ เรียกเป็นคนแก่ไปซะเหลือเกิน ถ้าเรียกเป็นหลวงพ่อก็ค่อยยังชั่วหน่อย เรียกข้ามขั้น ยกฐานะเป็นหลวงตาเลย บอกว่าหลวงตาเพลียไหม เขาถามมาอย่างนั้น ก็เลยบอกว่า มันไม่ถึงกับตายหรอกหนู ไม่มีอะไรหรอกทำไปเถอะ แล้วเขาก็เอาแอลกอฮอล์ทาหู หมอก็บอกว่านี่แอลกอฮอล์ทาก่อนล้างเชื้อโรค เสร็จแล้วก็บอกว่าเจ็บหน่อยนะเวลาแทงเข็มฉีดยา เขาก็แทงลงไป มันก็เจ็บเหมือนกันแต่ว่าก็ไม่ได้ดิ้นรนกระวนกระวายอะไร
ธรรมชาติร่างกายมันก็บอกว่าเจ็บนะ แล้วน้ำตามันก็ไหลเหมือนกัน ไม่ใช่ไหลเพราะว่ากลัวอะไร มันธรรมชาติมันอย่างนั้น เพราะว่ามันกระทบหูก็กระเทือนถึงตา น้ำตามันก็ออกมาแต่ว่ารู้ว่าน้ำตาออก แต่ว่าจิตใจก็ยังคงเป็นปกติ และเมื่อฉีดยาไปแล้วก็ชาไป ไม่รู้สึกตัว หมอบอกว่าต่อไปนี้จะเจาะแล้ว ให้เอาผ้ามาคลุมแล้วก็ทำเสียงดังตื้ด มันยังได้ยินเสียงเจาะ แต่ไม่รู้สึกว่าเกิดอะไรขึ้น มันตื้ดเท่านั้นเอง เสร็จแล้วก็เอาน้ำออกแล้วก็ใส่ท่อให้ หมอบอกว่าเสร็จแล้ว ไม่ให้ลุกขึ้น เข็นทั้งเตียงเลยทีเดียว ไม่ให้เดินแล้ว เข็นไป แล้วก็มีบุรุษพยาบาลช่วยกันยกให้นอนบนเตียงแล้วบอกว่าให้นอนนิ่งๆ อย่าไปดิ้นอะไร มันไม่มีอะไรจะต้องดิ้น ก็นอนนิ่งๆไว้ ประเดี๋ยวก็เอายามาให้กิน สักพักก็มาฉีดยา ฉีดสะโพกนี้เข็ม สะโพกนั้นเข็ม ฉีดเอาจนกระทั่งสะโพกปวดไปเหมือนกันแหละ พอเห็นเข็มมาละบอก แหม มาอีกแล้ว ก็บอกว่ามาอีกแล้ว มันไม่ปวดแล้วนะฉีดมากๆ ร่างกายมันไม่ไหว ไม่เป็นไร ก็ฉีดต่อไปทำไปตามเรื่องของเขา เราก็ยิ้มกับเขาไป ไม่ได้มีความวิตกทุกข์ร้อนอะไร จากเรื่องเหล่านั้น เพราะไว้ใจหมอ ไว้ใจคนที่รักษาว่าเขาคงรักษาให้เรียบร้อย ไม่ให้ท่านปัญญาตายแน่ๆ ฝากให้แล้วเราก็สบายใจ นอนเป็นปกติ ทีนี้นอนอยู่เฉยๆ ทำอะไร ก็นอนอ่านหนังสือ มีหนังสือบางเล่มที่ไม่ได้อ่าน ก็ได้อ่าน อ่านตั้งแต่เช้าจนเที่ยง จากเที่ยงจนกระทั่งเย็น บางทีก็ฉันเช้าเสร็จแล้วก็หลับสักหน่อยตื่นขึ้นก็อ่านหนังสือ เพลเสร็จแล้วเขาให้พักนี่ก็หลับเสียหน่อยหลับตามสมควรก็ตื่นขึ้นอ่านหนังสือต่อไป มีหนังสืออะไรก็อ่านกันเรื่อยไปนึกในใจว่าถ้าป่วยนานๆ คงจะอ่านหนังสือได้สักครึ่งเล่ม เกิดเขาไม่มีอะไรป่วยนานๆก็รักษาให้หายไวๆจะได้ไปรับใช้ประชาชนต่อไป แล้วก็ต้องมาทำงานตามหน้าที่ เวลาป่วยอยู่จิตใจก็เป็นปกติอย่างนั้นอย่างนี้ ใครมาเยี่ยมก็ดีใจว่า เออ เขามาเยี่ยม ญาติโยมความจริงจะไปเยี่ยมอยู่ แต่ว่าเขาไม่ให้ไปก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ไม่ได้คิดว่า โยมไม่ได้มาเยี่ยมก็ใจดำ ก็คิดว่าโยมก็ต้องคิดถึงอยู่เป็นธรรมดา แต่ว่าวันอาทิตย์ก็มาเจอกัน ไม่ได้เจอกันก็เป็นห่วงกังวล กลัวว่าเสียงมันจะแหบจะแห้งไป จนไม่สามารถจะพูดธรรมะธรรมโม กับประชาชนต่อไปได้ อาตมาก็นอนคิดเหมือนกันว่า เอ ถ้าเราเสียงมันแหบไปเสียเลย พูดไม่ได้ ท่ามันจะไม่ไหว ใจหนึ่งก็ว่าไม่เป็นไร พูดไม่ได้เขียนได้ สามารถจะนั่งเขียนมือยังดี ตายังดี สมองยังแจ่มใส ยังไม่ได้เสียอะไร มันเสียแต่ที่เสียงเท่านั้น ก็ยังเขียนหนังสือได้ ก็เขียนอะไรต่อไปอีกได้เยอะแยะ เพราะไม่ต้องไปพูดที่ไหนต่อไป อยู่แต่กุฏิอันนี้ก็เขียนไปเป็นการใหญ่ จะได้ทิ้งตำราอะไรที่เป็นประโยชน์จากการเขียนต่อไป
เมื่อนึกอย่างนี้ก็สบายใจ ก็ไม่เป็นไรยังรับใช้ญาติโยมต่อไปได้ ด้วยการเขียนซึ่งจะเป็นประโยชน์มากอยู่เหมือนกัน มันก็เบาใจไป ไม่มีอะไรที่จะเกิดปัญหาทางด้านจิตใจ เกิดความคิดความเดือดร้อน นี่คือผลที่ได้รับจากการเจ็บไข้ได้ป่วย ทำให้ได้คิดได้นึกอะไรหลายสิ่งหลายประการขึ้นมา แล้วขณะที่อยู่โรงพยาบาลนี่ก็เดินไปดูบริเวณนั่งพักตามใต้ร่มไม้ ในสนามหญ้าสบายๆ เพื่อจะได้นั่งคิดนึกอะไรต่ออะไรต่างๆ ดูคนที่มาปฏิบัติงานกัน เดี๋ยวก็เข็นคนนั้นไปห้องนั้น เข็นคนนู้นไปห้องนี้ นึกในใจ แหม มนุษย์นี่มันเจ็บไข้ได้ป่วยกันมากจริงๆ เราอยู่บ้านไม่รู้ อยู่วัดก็ไม่รู้ แต่ถ้าไปอยู่โรงพยาบาลจะเห็นได้ว่า โอ้โห มากมายก่ายกองอย่างนี้เป็นเรื่องน่าสังเวชใจ แล้วนึกถึงตัวเราเองไว้ว่า เออ ถ้าเป็นอย่างนั้น เราอย่ามีความวิตกกังวล อย่ากลัวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ให้นึกว่าอะไรมันจะเป็นไปก็ขอให้มันเป็นไปตามเรื่องของมันเถอะ เราจะยอมมันทุกอย่าง เรียกว่าเรายอมแพ้ ยอมแพ้ต่อกฎธรรมชาติ เมื่อเจ็บป่วยก็ต้องแพ้เขา แต่ต้องรักษาไปตามเรื่อง หมอเขามีหน้าที่รักษาร่างกาย เรามีหน้าที่รักษาจิตใจของเรา จิตใจคนอื่นรักษาให้ไม่ได้ เราต้องรักษาของเราเองให้มันมีความสงบใจมีความสบายใจ อย่าให้เกิดความวิตกกังวล ด้วยปัญหาต่างๆ โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นในร่างกายนั้น ถ้าเราใจดี ใจสงบ มันจะหายไว แต่ถ้าใจมีความวิตกกังวล ทุกข์ร้อนด้วยอะไรๆ ต่างๆ โรคมันจะหนักลงไป ยิ่งโรคบางโรคเกี่ยวกับกำลังใจที่สุด เพราะฉะนั้นเราต้องสร้างกำลังใจ เพื่อต่อสู้กับสิ่งที่เกิดในชีวิตของเรา จะทำให้เราสบายใจ อันนี้เรื่องหนึ่ง เรียกว่าเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้น
แล้วก็ต้องทำใจอย่างไร ได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้นอย่างไรบ้าง เอามาเล่าให้ญาติโยมทั้งหลายได้รับฟังไว้ เผื่อว่าเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะว่าเราอยู่ในวัยที่จะป่วยทั้งนั้น เด็กก็ป่วยได้ หนุ่มสาวก็ป่วยได้ วัยกลางคนก็ป่วยได้ ผู้เฒ่าผู้แก่ก็อาจจะมีโรคภัยไข้เจ็บอะไรเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น จึงควรจะได้คิดนึกไว้ ระมัดระวังไว้ มีอะไรพอจะป้องกันรักษาได้ ก็รักษา อย่าทรมานร่างกายให้เกิดโรคเกิดภัย เช่น ทำอะไรก็ต้องรู้จักประมาณให้พอดีๆ ยืนเดินนั่งนอนให้พอดี พักผ่อนให้พอดี รับประทานอาหารก็ปรับให้พอดี ไม่ใช่ทานน้อยเกินไปก็ไม่ได้ ทานมากเกินไปก็ไม่ได้ ทานแต่พอร่างกายสบาย ทานสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ร่างกาย อย่างนี้เราก็จะอยู่ได้ด้วยความสุข ในโลกอันเต็มไปด้วยปัญหาคือความทุกข์ความเดือดร้อน จึงขอฝากให้ญาติโยมเอาไปคิดไปตรองประการหนึ่ง ทีนี้อีกประการหนึ่งที่จะพูดกับญาติโยมต่อไปก็คือว่า เวลานี้ เราเผชิญอยู่กับสิ่งที่เป็นทุกข์ในชีวิตประจำวัน คือ เรื่องข้าวของที่มันแพงขึ้นเรื่อยๆ ข้าวของแพงเพราะเงินมันถูก ค่าเงินแพงข้าวของถูกเป็นธรรมดา บ้านเมืองของเรานี่ก็เคยมีสมัยที่ค่าเงินแพงข้าวของถูก มีอยู่เหมือนกัน อาตมาจำได้ว่าสมัยเป็นสามเณรอยู่ที่ระนองแล้วก็มีคนอำเภอระโนดเขาเขียนจดหมายไปถึงพระบอกว่าข้าวของมันมีเยอะแยะแต่ไม่มีสตางค์จะซื้อ ของมันถูกแต่ไม่มีสตางค์ สตางค์หายาก เงินแพงนี่มันหายาก เงินถูกมันหาง่าย แล้วไม่มีสตางค์จะซื้อก็ไม่รู้ว่าจะไปซื้ออะไรได้อย่างไร ทั้งๆ ที่ของมันก็ราคาน้อยๆ แต่ซื้อไม่ได้ นี่ก็เรื่องที่เคยเกิดเคยมีขึ้นในบ้านเมืองเหมือนกัน ทีนี้มาในสมัยนี้มันก็เปลี่ยนไปอีกเรื่องหนึ่ง คือว่าเงินมันถูกข้าวของมันแพงเพราะค่าของเงินมันลดลงไป เดี๋ยวนี้เงินมันร้อยบาท มันไม่ค่อยสมบูรณ์ร้อยบาทแล้ว พอเอาไปซื้อของจะรู้ว่าเงินมันลดน้อยลงไป ซื้อของได้น้อย
สมัยก่อนร้อยบาทนี่ซื้อได้มากมายก่ายกองอะไรๆ มันก็ถูกพอจะซื้อได้ เช่น ที่ดินสมัยก่อนตารางวาหนึ่ง เก้าบาท สิบบาท แต่ใครมีเงินซื้อบ้างสมัยนั้น ซื้อไม่ได้ สมัยก่อนนี้จากปักษ์ใต้ สมมติว่าจากหาดใหญ่มากรุงเทพนี่ค่าโดยสารรถเขาก็สิบบาทเท่านั้นเอง สิบสองบาท แต่ไม่มีใครเข้ามาเลย คนสมัยนั้นไม่ได้มากรุงเทพกันเลย ทั้งๆ ที่ค่ารถไฟมันถูกเพียงสิบสองบาท เดี๋ยวนี้ราคาค่ารถไฟขึ้นไปตั้งร้อยสองร้อยคนมากันเต็มไปหมดทุกเที่ยวเลย รถด่วนสายใต้หลายขบวนก็จะมีคนเข้ามากันมากเพราะเงินมันหาง่าย เงินมันถูกมันก็หาง่าย แต่เงินแพงมันก็หายาก อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าความไม่เที่ยงนั่นเอง ดังที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าสิ่งทั้งหลายไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจก็เปลี่ยนแปลง อะไรๆ ก็เปลี่ยนแปลงไปสมัยหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่ง มาอีกสมัยหนึ่งก็เป็นอย่างหนึ่ง ญาติโยมที่อายุมากๆ หกสิบปีกว่า เจ็ดสิบปีนี่คงจะประสบพบเห็นมาแล้วว่าในสมัยหนึ่งเราเคยกินของถูก แล้วมาอีกสมัยหนึ่งมันก็ไม่ค่อยแพงเกินไป มาในสมัยนี้ก็อยู่อย่างนี้ ถ้ามีชีวิตต่อไปอีกเก้าปีสิบปีเราจะพบอะไรๆ ที่ไม่นึกว่าจะพบมากขึ้นไปกว่านี้ก็เป็นได้ นี้มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาอย่างไร ก็สิ่งทั้งหลายมันไม่หยุดนิ่งมันมีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นมันมีลงบ้างขึ้นบ้าง ถ้าขีดเป็นเส้นก็มีลงไป ละก็ขึ้นไป ละก็ลงไปบ้าง ขึ้นไปบ้าง บางทีก็ลงไปมาก บางทีก็ขึ้นไปจนสูงสุดเลยทีเดียว นี่มันเรื่องธรรมชาติ ธรรมดา ซึ่งมีอยู่ในสังคมมนุษย์ในโลกนี้ เราผู้เป็นพุทธบริษัท เราเป็นผู้รู้ เราเป็นผู้ตื่น เราเป็นผู้มีปัญญา แม้อะไรมันเกิดขึ้นเราอย่าไปเป็นทุกข์กับสิ่งนั้นให้มันมากเกินไป อย่าไปวิตกกังวล อย่าไปคิดสร้างปัญหา จนกระทั่งว่านอนไม่หลับ หรือจนกระทั่งต้องไปฆ่าตัวตาย เพราะเรื่องนั้น เพราะเรื่องนี้ นั่นมันเป็นความเขลา ทำไปด้วยอำนาจอวิชชา เพราะไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องอะไรต่างๆ เป็นการไม่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมองสิ่งทั้งหลายที่กำลังเป็นอยู่ในบัดนี้ว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก ไม่ได้มีเฉพาะในบ้านเราเท่านั้น มันมีทั่วโลกเวลานี้ เขาเรียกว่าวิกฤตการณ์ของโลก ไม่ใช่วิกฤตการณ์ชั่วครั้งชั่วคราวนะเวลานี้มันมีวิกฤตการณ์ถาวรกันเลยทีเดียว ปั่นป่วนกันไปทั่วๆไป ถ้าไปต่างประเทศก็จะพบว่าคนเขาก็พูดเหมือนกับที่เราพูดบอกว่าเวลานี้ข้าวของมันแพง ประเทศอังกฤษก็แพง ฝรั่งเศสก็แพง เยอรมันก็แพง ออสเตรีย เบลเยียม ประเทศฮอลแลนด์มันก็แพงกันทั้งนั้น มันแพงกันทั้งนั้น เงินมันตกลงไปทั้งนั้น บางประเทศตกมากกว่าบ้านเราเสียอีก แต่เขาก็ยังอยู่กันได้ ก็ต้องทนอยู่กันไปตามประสา จะอยู่ด้วยความทุกข์ทำไม จะอยู่ด้วยความเดือดร้อนอกร้อนใจทำไม เราควรจะอยู่ด้วยอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มใส ต้องต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นเฉพาะหน้า ด้วยใจสงบเย็น ด้วยปัญญา ด้วยการคิดการนึกในแง่ที่ถูกที่ชอบตามสภาพที่เป็นจริง สมัยหนึ่งเราอาจจะเป็นอย่างนั้น เช่น เราเคยมีสตางค์ใช้อย่างสะดวกสบาย จะซื้ออะไรก็ได้ จะหาอะไรก็ได้ ก็ข้าวของมันก็ถูกพอสมควร แต่มาในสมัยนี้จะไปซื้อไปหาเหมือนเดิมก็ไม่ได้ เราก็อย่าไปนึกถึงว่าเมื่อก่อนมันเป็นอย่างนั้น เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้ แต่เรานึกว่าสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในปัจจุบันนี้เราควรจะทำใจอย่างไรเราจึงจะอยู่โดยไม่มีความคิดความเดือดร้อนใจ อันนี้แหละสำคัญ จึงใคร่จะขอแนะนำกับญาติโยมทั้งหลายว่าในเวลานี้เราควรจะมีความรู้สึกในใจในแง่ว่า พอใจในสิ่งที่มีอยู่เฉพาะหน้า
อะไรมันเกิดขึ้นมันมีอยู่เฉพาะหน้าเราก็พอใจในสิ่งนั้นอย่าไปเที่ยวนึกว่าทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมมันเป็นอย่างนี้ นึกอย่างนั้นแล้วมันกลุ้มใจตาย เป็นทุกข์ไปเปล่าๆ แต่เราก็ต้องพอใจว่า แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว เช่นว่าน้ำมันแพง แพงก็ยังพอซื้อหากันได้อยู่ พอซื้อหากันได้ เราก็พอใจว่ายังพอซื้อหาได้ อย่างน้อยวันอาทิตย์ก็ยังพอมีน้ำมันขับรถมาวัดชลประทานได้ว่าอย่างนั้นเถอะ อันนี้ว่ามาวัดชลประทานเสร็จแล้วจะไปไหน กลับบ้านเลย อย่าไปเที่ยวที่อื่นต่อไปเพราะว่าน้ำมันแพง ใช้เท่าที่จำเป็นที่เราจะไปได้ อะไรไม่จำเป็นเราก็ไม่ไป อะไรไม่ใช้เราก็ไม่ใช้เมื่อวานนี้คุยกับนายพลเอกทหารคนหนึ่ง เขาบอกว่าผมเวลานี้ผมไม่เป็นทุกข์เรื่องน้ำมันแล้ว เพราะว่าผมลองคิดบัญชีดูแล้วว่าจะใช้สักเท่าไหร่ในอาทิตย์หนึ่งในเดือนหนึ่งจะใช้เท่าไหร่เมื่อก่อนไม่เคยคิด เติมมันเรื่อยเลย เติมอาทิตย์หนึ่งตั้งครั้งสองครั้ง เดี๋ยวนี้เติมไม่อย่างนั้นแล้ว เติมเพียงครั้งเดียว แล้วจะใช้จำกัด ถามว่าคุณโยมใช้อะไรบ้าง ตอบว่าถ้าเป็นวันเสาร์วันอาทิตย์นี้ออกจากบ้านไปสนามกอล์ฟ ไปสนามกอล์ฟนี่มีระยะทางเท่านั้นกิโล ใช้น้ำมันเท่านั้น ตีกอล์ฟเสร็จแล้ว เมื่อก่อนนี้ตีกอล์ฟเสร็จแล้วไปนั่นไปนี่ไปเรื่อยไป เดี๋ยวนี้ไม่ไปแล้ว เลิกตีแล้วก็กลับบ้านเลย เมื่อกลับบ้านแล้วก็ไม่ไปไหนอาทิตย์หนึ่งไม่ไปไหนสองวัน อยู่กับบ้าน
ทีนี้ถ้าหากว่าจำเป็นจะต้องไปก็ไปเท่าที่จำเป็น ก็ว่ากันไปตามเรื่องมันเกิดขึ้นก็ไป แต่ไปที่นั่นเสร็จแล้วก็กลับมา ไม่เถลไถลไปที่อื่นเพื่อให้มันเป็นการสิ้นเปลืองน้ำมัน เมื่อได้กระทำอย่างนี้ก็รู้สึกว่าลดลงไป ค่าน้ำมันที่จะต้องใช้ลดลงไป แล้วน้ำมันก็พอใช้ไม่ฝืดเคืองไม่ลำบากอะไร อาตมาบอก เออ คุณโยมนี่คิดเข้าที รู้จักปรับตัวเองให้เหมาะแกสถานการณ์ อย่างนี้มันก็ไม่เดือนร้อน แล้วเรื่องอื่นเดือดร้อนไหม อาหารการบริโภค โอ้ ผมในตอนนี้อายุเจ็ดสิบกว่าแล้ว ไม่กินมากอะไรหรอก กินแต่พอสมควร เช้าขึ้นก็ไม่ทานอะไรมาก ตอนเที่ยงทานนิดหน่อยตามแคลอรี่ ให้มันได้แคลอรี่พอสมควร ตอนเย็นก็อีกนิดหน่อยไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร คนในครอบครัวก็ทำตัวอย่างนั้น มีอย่างใดก็ทานไปอย่างนั้น การคบหาสมาคมก็ลดลงไปบ้าง ถ้าจำเป็นก็ไป ไม่จำเป็นก็ไม่ไป อะไรๆ มันก็ลดลงไปบ้าง เวลานี้เรามันต้องลดลง อะไรที่มันเคยกินเคยอยู่เคยใช้เคยสอยก็ต้องตัดทอนลงไปบ้าง เอาเท่าที่จำเป็นที่ร่างกายต้องการ ให้นึกว่าคนที่อยู่ตามบ้านนอกชนบทห่างไกลจากเมืองหลวงนี่ เขาอยู่กันอย่างไร เขามีชีวิตอยู่ได้ไม่ลำบากไม่เดือดร้อนอะไร เราอยู่ในเมืองกรุงมีพร้อมความสะดวก เคยกับความสะดวกสบาย สะดวกสบายในเรื่องโน้นในเรื่องนี้แต่เกิดขัดข้องขึ้นมาหน่อยก็จะไม่สบายใจ อันนี้ไม่ถูกต้อง เราจะต้องทำใจให้สบาย ใจที่จะสบายนั้นจะต้องใช้ธรรมะข้อเดียวคือความพอใจเท่านั้นเอง ซึ่งเรียกว่าสันโดษ สันโดษนี่หมายความว่าพอใจในสิ่งที่มีอยู่เฉพาะหน้าสิ่งใดเกิดขึ้นเฉพาะหน้า เราพอใจสิ่งนั้น ขนาดนั่งลงรับประทานอาหาร
ถ้าสมมติว่าก่อนนี้มีอาหารสามอย่างแต่วันนี้มีอาหารอย่างเดียว เราก็ต้องนึกว่าอย่างเดียวก็ดีแล้ว ดีกว่าไม่มีอะไรจะทานเสียเลย แล้วก็ทานด้วยความพอใจในอาหารนั้น อย่างนี้เรียกว่ามีความสันโดษในอาหาร เครื่องนุ่งห่มก็เหมือนกัน ถ้าสมมติว่าเราเห็นว่าข้าวของมันแพง ผ้าที่เรามีไว้ก่อนก็มีมากมายก่ายกอง ที่แต่ละคนที่มีอยู่แล้วใช้สามปีก็ไม่หมด แม้จะแพงก็ไม่เห็นจะเดือดร้อนเพราะมันมีเยอะแยะแล้ว เรางดการตื่นเต้นในเรื่องแฟชั่นประเภทต่างๆ ในเรื่องของใหม่ ผ้ามาใหม่ แฟชั่นใหม่ หรือว่าต้องไปออกงานนั้นจะแต่งซ้ำมันก็ไม่ได้ อย่าไปคิดอย่างนั้น แต่งซ้ำนั้นแหละดี คนทั้งหลายเขาจะได้เห็นว่า ออ คนนี้เขารู้จักประหยัดไม่ฟุ่มเฟือย ถ้าเราแต่งไม่ซ้ำ เขาก็ว่าสุรุ่ยสุร่ายเหลือเกิน แม่คนนี้เขาจะว่าเอาได้ เราก็นึกว่า โอ เราอยู่อย่างนี้ก็ดีกว่า เราก็พอใจ เราอย่าไปนึกว่าใครจะว่าอะไรกับเรา เรานึกแต่เพียงว่า เรานุ่งพอสบาย เรานุ่งเพื่อกันร้อนกันหนาว กันแดดกันยุง กันสัตว์ที่จะมาขบกัดร่างกาย เพื่อปกปิดความละอาย เพื่ออยู่ได้ในสังคมที่เขานิยมกันอย่างนั้น เท่านี้ก็สบายแล้ว ไม่เห็นจะต้องเดือดเนื้อร้อนใจอะไร ทีนี้ว่าอย่าไปคิดแข่งกับใครๆ ในเรื่องกินเรื่องนุ่งห่มเรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆที่มันต้องแข่ง เพราะการแข่งนี่เป็นเรื่องของกิเลส มีตัวกูของกูมากมายแล้วก็แข่งกัน คนนั้นดีกว่าคนนี้ต่ำกว่าคนนั้นเป็นอย่างนั้นคนนี้เป็นอย่างนี้ ปัญหามาแล้ว แข่งขันกัน เราไม่แข่งกับใคร เราถือธรรมะเป็นใหญ่นุ่งห่มพอสบาย จะไปวัด จะไปสโมสร จะไปตลาด แต่งแค่นี้ก็พอแล้ว คนอื่นเขามองช่างหัวเขา ไม่ใช่เรื่องของเขา มันเรื่องของเรา นึกอย่างนี้มันก็สบาย ไม่วุ่นวายเดือดร้อนอะไร
เหมือนกับพระเราสบาย อาตมานี่มีชุดอย่างนี้ แต่งไปเขาก็ไม่รู้ว่าใหม่หรือเก่าก็ไม่รู้ แต่งซ้ำหรือไม่ซ้ำเขาก็ไม่รู้ เพราะมันสีเดียวแต่งทีไรก็สีนี้ แต่บางทีก็ห่มอยู่หลายวันนะผืนหนึ่ง กว่าจะได้ซักห่มไปๆ พระรำคาญเข้าก็บอก หลวงพ่อเอาไปซักทีเถอะ หลวงพ่อก็ซักให้ ซักเสร็จก็ไม่ได้อะไรกลิ่นก็เฉยๆ พระอยู่ด้วยก็บอก หลวงพ่อห่มมาหลายวันแล้วขอซักเถอะ ก็เอาไปซักทีละก็ห่มกันต่อไป มันก็สบายดีไม่เดือดร้อนอะไรเรื่องเครื่องนุ่งห่ม เราพอใจ ในสถานะของเรา บ้านเรือนที่อยู่อาศัยเราก็มีอยู่แล้ว พออยู่พอใช้ อยู่ตามสบาย เครื่องเฟอร์นิเจอร์มันอาจจะเก่าไปไม่ทันสมัยบ้างก็ไม่เป็นไร ก็ใช้ของเก่าๆ ไป คนในอังกฤษนี่ก็ชอบของเก่าๆ นิยมใช้ของเก่า บ้านช่องเก่าๆ เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ รถยนต์เก่าๆ ยิ่งเป็นผู้ดีมีเกียรติมีชื่อเสียง เป็นท่านลอร์ดเป็นท่านเอิร์ลอะไร ยิ่งชอบของเก่าหนักเข้าไปอีก รถยนต์เก่าๆ ดูคร่ำคร่า ถ้าคนไหนนั่งรถเก่าเป็นชนชั้นผู้ดี ไอ้พวกนั่งรถใหม่เขาเรียกว่าพวกขี้เห่อทั้งนั้นแหละ มีอะไรกูเอาก่อน คนผู้ดีต้องใช้ของเก่าๆ เวลาไปในที่ประชุมคนไหนเก่ากว่าเพื่อน เขายกนิ้วให้คนนี้เก่ง จะใช้ของเก่า ไม่รู้จักทิ้งไม่รู้จักขว้างมันจะอย่างนั้น ไม่เหมือนกับในเมืองอเมริกา อเมริกานี่เขาบอกว่าถ้ารถออกใหม่ใครซื้อก่อน นิโกรซื้อก่อน เพราะนิโกรมีปมด้อย มันรู้สึกว่ามันด้อยกว่าฝรั่ง
เพราะฉะนั้นต้องทำอะไรที่มันเด่นหน่อย พอรถออกคันใหม่ 1970’s ออกปั๊บ นิโกรขี่ก่อนแล้ว เอาก่อนครับ ไม่รอแล้วออกก่อน ขับไม่กี่วันประเดี๋ยวก็เอาไปขายอีกแล้ว เพราะสตางค์ไม่ค่อยมี แล้วเมืองนอกนี่เขาใช้ของผ่อนส่ง ชอบซื้อผ่อนถ้าเราไปซื้อเงินสดเขามองหน้า นี่มันซื้อเงินสดคือคนไทย เขาเคยชินกับคนไทย ไปซื้อของซื้อเงินสดเขาก็มอง ทำไมซื้อเงินสดคน ซื้อเงินสดนี่เขาไม่ชอบเมืองฝรั่งนะ เขาไม่เชื่อ แต่บ้านเราอย่าใช้ เพราะใช้ระบบนี้แล้วฉิบหายแน่ (50.37 เสียงไม่ชัดเจน) คนไหนมีเครดิตมากคนนั้นมีเกียรติ บางทีเขาถามว่าคุณมีเครดิตอะไรบ้าง มีเครดิตการ์ดไหม ตามธนาคารให้ไว้ มีเครดิตการ์ด บางคนมีตั้งสองสามแผ่น การ์ดนั้นก็มีการ์ดนี่ก็มี ก็เออคนเก่ง ก็แสดงว่ามีคนไว้ใจ ให้เครดิตได้เยอะแยะ ไปซื้อรถยนต์ก็ผ่อนส่ง ซื้ออะไรก็ผ่อนส่งทั้งนั้น เขาชอบให้ซื้อผ่อนส่ง จากผู้ขายที่เราไปติดต่อ ถ้าเราไปซื้อรถยนต์ผ่อนส่ง ผู้ขายเขาจะต้องเอาใจใส่กับรถที่เราใช้ก็หมั่นมาตรวจ มาถามว่าสภาพรถเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราซื้อเงินสดเขาไม่เหลียวแลแล้ว มันซื้อไปขาดแล้วคือไม่สนใจ อันนี้ถ้าเสียเขาก็ไม่สนใจนี่มันเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้นพวกนิโกรนี่ก็ไปซื้อกันแบบผ่อนส่ง พอซื้อไปสักพักก็เอาไปขายเสีย แล้วก็ฝรั่งก็ไปซื้อต่อไป กับพวกที่สองพวกเปอร์โตริโก พวกเปอร์โตริโกก็เป็นพวกผิวไม่ขาวเกินไป รูปร่างก็อย่างนั้นๆ พวกนี้เป็นพวกชั้นสอง ฝรั่งก็ฝรั่งเถอะ เขาว่ากันอย่างนั้น พวกขี้ข้าเอาก่อน พวกนายเอาทีหลัง ความนิยมเขามันเป็นอย่างนั้น สิ่งต่างๆ มันแปลกจากบ้านเรา เพราะฉะนั้นเราอย่าไปสนใจในเรื่องของมัน แล้วเมืองไทยเรามันนี่เสียรู้ พอของใหม่เข้ามาแล้ว เราเห่อกันไปซื้อ คนขายก็ขึ้นราคาเพื่อให้คนสนใจให้ของมันมีค่าเพราะอะไร เพราะคนมีราคะนั่นเอง ราคามาจากราคะนั่นแหละ ราคะคือความชอบใจ ความเพลิดเพลิน ความอยากได้ คนไหนอยากได้ก็วิ่งไปซื้อคนขายก็ขึ้นราคา ผ้าชนิดนี้นี่คนชอบ ตอนเช้าขายหลาละสิบบาท พอตอนบ่ายขายสิบห้า ยี่สิบ เพราะเห็นคนซื้อมาก แต่ถ้าออกวางตลาดคนไม่ซื้อเลย สิบวันแล้วไม่เห็นใครสนใจ มันต้องลดราคาแล้ว
คราวนี้ถ้าเราจะซื้อของให้ถูกนี่ อย่ารีบไปซื้อมันออกก็เฉยๆ ทำเฉยๆไว้ แต่มันไม่มีศูนย์กลางสำหรับนัดกันเรื่องนี้ น่าจะ เอ้า ไอ้นั่นออกใหม่เราเฉยๆ อย่าไปซื้อ มันไม่รู้จะนัดกันอย่างไร คราวนี้ต่างคนต่างตั้งไว้ในใจว่าของเราออกใหม่เราไม่ซื้อ เราไม่สนใจ เดินไปดูก็ดูนิดเดียวอย่าไปดูนานๆ ดูนานๆ มันก็อ้อ คนนี้สนใจแล้วก็โก่งราคาหน่อยอย่างนี้ พ่อค้ามันมีลูกตื๊อมันตื๊อเก่งไง บางคนเดินเลยไปแล้วยังอุตส่าห์เดินมาอีก ออ นี่สนใจแล้วต้องโก่งราคาหน่อยเพราะว่าอยากได้ ถ้าเราเฉยๆ มันก็ไม่อะไรนัก เราจะต้องทำใจเฉยๆ ไม่แข่งกันไปซื้อไปหา ตกอกตกใจ ยิ่งพอรู้ว่าน้ำมันจะหมดคนบางคนก็ซื้อกักตุนแล้วนี่แหละทำให้เกิดปัญหาขึ้นมา อย่าเพิ่งไปกักตุนไว้ ไม่จำเป็นอะไร อาหารก็ไม่ต้องไปกักตุน เมืองไทยไม่มีอดตายแน่ๆ เรื่องอาหารการกิน มันยังสมบูรณ์อยู่ไม่เดือดร้อนไม่ว่าจะแพงสักหน่อยก็ไม่เดือดร้อน เช่น หมูแพง จะหยุดกินหมูไหมล่ะ เป็นอิสลามไปเจ็ดวันสิบวันเลิกกินหมูสักที กินปลา กินอะไรอื่น ไม่มีอะไรก็กินผักไป เวลากินผักก็ให้นึกว่าพลเมืองอินเดียห้าร้อยล้านมันกินแต่ผักก็มีชีวิตอยู่ได้ เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตเป็นคนมีปัญญาเยอะแยะ เขากินแต่ผักแต่ก็อยู่ได้ เราก็หัดกินผักกันเสียบ้าง กินเจ นี่เดือนเก้าเขาก็กินเจกันแล้ว พี่น้องชาวจีนคงจะผ่านมาแล้วกระมังเดือนเก้าจีน เดือนเก้าเขากินเจกัน กินเจกันเก้าวันสิบวัน กินเจกันหมดมันก็ไม่สิ้นเปลืองเวลากินเจ แต่ว่าบางทีเจแพงเหมือนกันนะ ก็ชอบกินของแพง ชอบกินเห็ดอย่างดี อะไรต่ออะไรสั่งซื้อมาจากเมืองไต้หวัน มันก็แพง ถ้าเรากินเจผักกาดผักกูดบ้านเรามันก็ไม่แพงเท่าไหร่กินพออยู่ได้ มันก็ไม่เดือดร้อนอะไรเรื่องปัญหาของแพง ก็พอใจในสิ่งที่เรามีเราได้ อย่าเพิ่งเพ่งกับสิ่งที่เขาเอามาขาย อย่าสนใจในเรื่องการจ่ายอะไรมากเกินไป จะใช้จ่ายในเรื่องที่เป็นประโยชน์เป็นคุณเป็นค่าแก่สังคมแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย นี้ก็เป็นเรื่องน่าคิดจึงนำมาฝากกับญาติโยมไว้ ลองเสียงมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ขอยุติไว้แต่เพียงนี้