แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขึ้น ๑๔ ค่ำ เป็นวันใกล้วันเข้าพรรษา ใกล้วันสำคัญที่เรียกว่า อาสาฬหบูชา วัน ๑๕ ค่ำนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา คือวันที่ ๑๙ เดือนนี้ ญาติโยมที่เคารพนับถือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ถ้ามีความตั้งใจว่าเราจะปฏิบัติให้ดีขึ้นเป็นพิเศษ ตั้งแต่วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ ตลอด ๔ เดือนในฤดูฝน ฤดูฝนปีนี้ สมศักดิ์ศรีหน่อย เรียกว่าพอจะเข้าพรรษา ฝนก็ตกเรื่อย เมื่อคืนอยู่ที่เชียงใหม่ ฝนตกตลอดคืนเสียงดังกระทบใบไม้ซ่า พูดกับพระที่อยู่ที่นั่นว่า มันสมศักดิ์ศรีของการเข้าพรรษา ก็การเข้าพรรษาเป็นการหยุดในฤดูฝน การเดินทางไม่สะดวกพระพุทธเจ้าจึงให้พระหยุดอยู่จำพรรษาตลอดฤดูฝน ๔ เดือน แต่ให้อยู่เพียง ๓ เดือน เดือนสุดท้ายเป็นเดือนสำหรับทำจีวร เราจีงได้ทอดกฐินเอาผ้ามาถวายพระกันในวันนั้น
ในวันเข้าพรรษาหรือวันอาสาฬหบูชา ซึ่งเป็นวันสำคัญวันหนึ่งในทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่พระพุทธเจ้าได้เทศนาครั้งแรก เรียกว่า ปฐมเทศนา การเทศนาครั้งแรกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นการประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่แก่ชาวโลก ชัยชนะของชาวโลก ก็คือชนะการแข่งขัน ของเขาแข่งขันกันที่โน่น ที่อเมริกา คนทั่วโลกไปแข่งกันที่นั่น คนไทยก็ส่งนักกีฬาไปแข่งจำนวนหลายสิบ แล้วที่จะได้อะไรบ้างก็คือ กีฬามวย เวลานี้ก็ชนะไปบ้าง แพ้ไปบ้าง แต่ว่าคงจะไม่ถึงเหรียญทองก็ได้ เอาเหรียญทองแดงมาสักเหรียญก็ดีใจกันเต็มบ้านเต็มเมือง สมัยก่อนได้เหรียญทองแดงมาอันหนึ่ง ก็แห่แหน สนุกสนานกันพอสมควร คราวนี้ก็ให้เป็นเหรียญงินก็ยังดี แต่ถ้าได้เหรียญทองก็ดีเหมือนกัน นั่นเป็นชัยชนะแบบชาวโลก การชนะของชาวโลก ชนะแล้วกลับแพ้ก็มี ชนะแล้วไม่แพ้ก็มี นักมวยที่ได้รับชัยชนะ ได้เข็มขัด แต่ว่ายังแพ้ คือแพ้ตัวเอง แพ้กิเลสที่เกิดขึ้นในตัว เอาตัวไม่รอด ผลที่สุดก็เป็นคนพิกลพิการ ชนะในการชก แต่ไม่ชนะตัวเอง จึงไม่เป็นชนะที่ประเสริฐอะไร พระพุทธเจ้าท่านว่า (3:35) จัตตาฮาเว ชิตังไสโย แปลว่าชนะตนนั่นแหละดี พระพุทธเจ้าท่านพูด ชนะตนคนแรกในโลก ชนะกิเลสประเภทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในใจเด็ดขาด ไม่กลับแพ้อีกต่อไป พระองค์ได้รับชัยชนะตั้งแต่วันออกบวช แต่ว่ายังไม่ชนะเด็ดขาด การออกบวชก็เป็นชัยชนะส่วนหนึ่ง แต่ว่าโดยปกติคนเราทั่วไปนั้น มักจะติดอยู่ในความสุขความสบาย เราเรียกว่า ติดวัตถุ ติดความสบายที่ได้รับจากวัตถุ เรียกว่า กามคุณ ๕ ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส สิ่งนี้ทำให้เราแพ้ บางคนแพ้เอาหนัก แพ้จนแก่แล้วยังไม่รู้สักที แพ้จนตาย เกิดมาเพื่อการแพ้ ไม่ได้เกิดมาเพื่อการชนะ เดี๋ยวแพ้ เดี๋ยวชนะ กลับไปกลับมา ไม่เด็ดขาด แต่ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าของชาวเราทั้งหลายนั้น ท่านเกิดมาเพื่อความชนะ ท่านตัดสินใจออกบวชเป็นการชนะส่วนหนึ่ง ทิ้งหมดทุกสิ่งทุกอย่าง ทิ้งมเหสี พระนางพิมพา ทิ้งลูกน้อย พระราหุล ทิ้งราชสมบัติ อันเป็นสิ่งที่ใคร ๆ ต้องการ โหรทำนายไว้ว่า เจ้าชายนี้ ถ้าอยู่ครองเมือง ก็จะได้เป็นพระจักรพรรดิ์ยิ่งใหญ่ ถ้าออกบวชก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้า แต่ว่าโหรหนุ่มชื่อโกณฑัญญะ บอกว่าเจ้าชายนี้ต้องออกบวชแน่ๆ และจะได้เป็นบรมครูของโลก แล้วแกก็ไปบวชก่อนเลย การตัดสินใจออกบวชเป็นชัยชนะส่วนหนึ่ง เป็นชัยชนะขั้นพื้นฐาน ไม่กลับแพ้ คือออกแล้วไม่กลับบ้าน กลับบ้านก็ต่อเมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มาโปรดพระญาติพระวงศ์ที่กรุงกบิลพัสดุ์ นี่เป็นชัยชนะเบื้องต้นคือการออกบวช บวชแล้วก็ไปศึกษาเล่าเรียนในสำนักอาจารย์ต่าง ๆ ที่มีชื่ออยู่ในสมัยนั้น และปฏิบัติตามคำสอนของอาจารย์ เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นศิษฐ์ที่ดีของครู ตั้งใจเรียน ตั้งใจศึกษา ตั้งใจปฏิบัติ ทำได้เหมือนครู ครูไปยกย่องว่า เรารู้อะไร ท่านรู้อย่างนั้น เราทำอะไรได้ ท่านก็ทำได้อย่างนั้น อยู่นี่เถอะ อย่าไปไหน ช่วยกันสอนศิษฐ์ต่อไป แต่พระองค์ทรงเห็นว่าความรู้ที่ได้รับยังไม่ถึงขั้นเด็ดขาด ยังไม่สามารถจะตัดกิเลสได้หมด จึงไม่ยอมอยู่ ออกจากสำนักนั้นไปศึกษาค้นคว้าต่อไป ได้ไปกระทำความเพียรอย่างแรงกล้าเพื่อให้บรรลุผลที่ต้องการ แต่ว่าไม่สำเร็จ ร่างกายซูบผอม เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก นับว่าเป็นการทรมานตนอย่างยิ่งใหญ่ แต่กลับเปลี่ยนวิถีทาง มาเสวยพระกระยาหาร ดำรงร่างกายให้แข็งแรง แล้วก็ทำความเพียรใหม่ จนถึงวันเพ็ญเดือน ๖ ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชา ก็ได้สำเร็จเป็นพุทธะ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้มีความเบิกบาน แจ่มใส เราเรียกว่าพระพุทธเจ้า หรือเรียกว่า ชินะพุทธะ แปลว่า พระพุทธผู้ชนะโลกทั้งปวง นี่เป็นชัยชนะอันสูงสุด เพราะไม่กลับแพ้อีก ไม่ย้อนหลังมาอีก เดินบุกไปข้างหน้าอย่างเดียว จนได้ชัยชนะ จึงเรียกว่า (9:03) อายะมันติมาชาธิ …… ทิหิทานิ ……
ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย เราจะไม่กลับมาเกิดอีก ที่ไม่กลับมาเกิดอีกเพราะอะไร เพราะตัดเหตุของความเกิดได้หมดแล้ว ทำลายตัณหาอันเป็นเสมือนนายช่าง ที่สร้างบ้านสร้างเรือน ดังคำกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า อันเนคชาสิถังขารา สังขาวิ …… ตัณหานัง …… (9:35) ตรัสภายหลังตรัสรู้แล้ว
เพราะด้วยตัณหา เราเที่ยวแสวงหาเป็นเวลาหลายภพหลายชาติ ยังไม่พบผู้สร้างเรือน ผู้สร้างภพ สร้างชาติ สร้างเรือน ก็คือตัวตัณหานั่นเอง เรายังตามหาไม่พบ แต่บัดนี้เราพบท่านแล้ว หลังคาเรารื้อทิ้งเสียแล้ว ยอดปราสาทเราหักทิ้งเสียแล้ว โครงสร้างต่าง ๆ เราทำลายหมดแล้ว เราไม่ให้เจ้ามาทำให้เราเกิดอีกต่อไป การเกิดครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย จะไม่มีการเกิดอีกต่อไป
ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะทรงรู้จักแนวทางของการเกิด ว่าเกิดจากอะไร รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาทถูกต้อง ดังที่พระองค์เปล่งวาจาว่า อนิจาปัจจยาสังขารา แล้วมันก็ดับไปโดยลำดับ หมดเชื้อ เหมือนไฟที่หมดเชื้อ จะเป่าให้ลุกอีกไม่ได้ จะจุดให้ติดอีกก็ไม่ได้ เป็นชัยชนะอย่างเด็ดขาด เมื่อพระองค์ชนะแล้ว เป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ ผู้ประเสริฐได้ สำคัญดังว่า ชาวโลกทั้งหลายยังเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์มากมาย น่าสงสารชีวิตของคนเหล่านั้น ที่อยู่กับความทุกข์ในชีวิตประจำ เราญาติโยมทั้งหลายก็มีความทุกข์กันอยู่เป็นประจำ ทุกข์เล็ก ทุกข์น้อย ทุกข์ขนาดใหญ่ ทุกข์ขนาดที่เรียกว่า ปวดหัว นอนไม่หลับ กลุ้มใจ ไม่รู้จะแก้ความทุกข์นั้นอย่างไร มีอยู่ทั่ว ๆ ไป คนมั่งมีก็ทุกข์แบบคนมั่งมี คนจนก็ทุกข์แบบคนจน คนฉลาดก็ทุกข์แบบคนฉลาด คนโง่ก็ทุกข์แบบคนโง่ มีความทุกข์อยู่ด้วยกันทั้งนั้น เพราะยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ความคิดเกิดมาจากอะไรเราไม่เข้าใจ เราคิดเพียงเพื่อแก้ได้ เราก็ไม่เข้าใจ ไม่ได้แก้ เพียงแต่การแก้แบบไสยศาสตร์ พอกลุ้มใจขึ้นมาก็ไปวัด ไปหาหมอดู ไปทำนายทายทักว่าจะดีเมื่อไหร่ จะรวยเมื่อไหร่ จะถูกหวยเมื่อไหร่ อะไรอย่างนั้น ไม่ใช่ทางแก้ที่ถูกหรอก ไม่ใช่แนวทางที่พระพุทธเจ้าค้นพบ แต่เป็นทางแก้ที่เก่าแก่ ขึ้นสนิม ถ้าเปรียบเป็นถนนก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เป็นโคลน เป็นเลน ขับรถจะกระแทกกระทั้นอยู่ตลอดเวลา เอาไปใช้ในถนนอย่างนั้น รถดี ๆ ก็จะเสียหมด ลำบากเดือดร้อนไปตามกัน ก็ไม่รู้จักแก้ไข พระองค์ท่านทรงเห็นความทุกข์ของชาวโลก ว่าควรจะสอนให้เขาเข้าใจเพื่อจะได้แก้ไขปัญหาได้ จึงได้อธิษฐานใจว่า ต่อไปนี้เราจะมีชีวิตอยู่เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลายไม่ได้อยู่เพื่อพระองค์แล้ว เพราะพระองค์ไม่มีตัวจะอยู่แล้ว ทำลายตัวตนหมดไปแล้ว ไม่เหลืออะไร แต่ว่าทรงอยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย ถ้าธรรมะที่เราได้ค้นพบนี้ ยังไม่ตั้งมั่นในโลก เราจักยังไม่ปรินิพพาน อันนี้เป็นคำสำคัญมาก ญาติโยมจำไว้ให้ดี ว่าพระพุทธเจ้าอธิษฐานใจว่าอะไร อธิษฐานใจว่า เราจะอยู่เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ชาวโลกทั้งหลาย พูดง่าย ๆ ว่า อยู่เพื่อให้ พระพุทธเจ้าท่านอยู่เพื่อให้ ไม่ได้อยู่เพื่อจะเอาอะไรจากใคร เพราะไม่มีจิตคิดจะเอา มีจิตคิดจะให้ มีจิตคิดว่าจะทำอะไร แก่ใครได้บ้าง ถ้าพบใคร พระพุทธเจ้าก็คิดว่า จะทำอะไรกับคนนี้ได้บ้าง จะสอนเขาด้วยอะไร เพื่อให้เขารู้จักคิด รู้จักเหตุของการคิด รู้จักว่าทุกข์ดับได้ รู้จักทางที่จะดับทุกข์ได้อย่างเด็ดขาด ในความคิด ในน้ำพระทัยของพระองค์ อยู่ด้วยความเมตตา ปรารถนาความสุข ความเจริญแก่เพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จึงไม่มีใคร ไม่มีเวร ไม่มีใครจะทำร้ายพระพุทธเจ้าได้ เพราะว่าพระองค์ไม่ได้คิดร้ายใคร คิดแต่จะทำประโยชน์แก่ผู้อื่นจึงไม่มีศัตรู ถึงจะมีก็แพ้ภัยตัวเอง เช่น พระเทวทัต เป็นศัตรูตัวฉกาจของพระพุทธเจ้า เป็นยอดอันธพาลของโลก คือหาเรื่องกับพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เล็กน้อย เป็นยอดอันธพาล แต่ผลที่สุดเทวทัตก็แพ้ภัยตัวเอง จมดินไปเลย เรียกว่า ธรณีสูบจมดินหายไปเลย เพราะบาปเวรที่ตนได้กระทำไป ไม่สามารถจะทำให้พระพุทธเจ้าเดือดร้อนได้ จ้างคนให้ไปดักยิงพระพุทธเจ้า 7 คน คนนี้ยิงแล้ว เดินมา ไอ้คนนี้มายิงคนนี้ ไอ้คนนั้นยิงคนนั้น ยิงหมด ตัดหมด ไม่เหลือคนเบิกความได้ต่อไป สมัยนี้ก็อย่างนั้น มือปืนทั้งหลายที่เขาจ้างให้ยิงคน ยิงแล้วมือปืนถูกฆ่า ไอ้คนฆ่ามือปืนก็ถูกฆ่า ฆ่าหมด จะไม่เหลือให้ไปเบิกความที่ตำรวจ หรือที่ศาลได้ ทำลายกันอย่างนั้น เทวทัตก็วางแผนอย่างนี้ แต่ว่าคนที่ไปยิงพระพุทธเจ้า แพ้พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเดินมา จะเข้าไปยิงแล้ว พระพุทธเจ้าเดินเฉย เดินด้วยน้ำใจเมตตาต่อคนนั้น ไม่ได้โกรธ ไม่ได้เกลียดคนนั้น แต่ว่าแผ่ความเมตตาปรานีไปยังคนนั้น คนนั้นยืนงงอยู่อย่างนั้น เขาเรียกว่าจังงัง ยืนงงอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะทำยังไง พระพุทธเจ้าเข้าไปถาม ถามด้วยเสียงที่อ่อนหวานว่า มาทำอะไร ตาคนนั้นตอบว่า จะยิงพระองค์ ยิงฉันทำไม ยิงให้ตาย เลยถามว่า ถ้าไม่ยิงฉันไม่ตายรึ ตายเหมือนกันแต่มันช้าไปหน่อย ไม่ทันใจ พระองค์ก็เลยเทศน์ให้ฟัง คนนั้นก็เลยทิ้งดาบ ทิ้งธนู ลงกราบแทบเท้า ทุกคน เดินตามหลังพระพุทธเจ้าไป ยอมเป็นลูกศิษฐ์พระพุทธเจ้าหมด ไม่ใช่เพราะมีคาถาดี ไม่ใช่มีเครื่องราง ไม่ใช่มีของขลัง แต่มีคุณธรรมคือความเมตตาปรานี ความเมตตาปรานีนี้เป็นคุณธรรมสำคัญที่เอาชนะข้าศึกศัตรูได้ ชนะด้วยคุณธรรม คุณงามความดี พวกเหล่านั้นก็เป็นลูกศิษฐ์หมด ไม่ได้คิดร้ายต่อพระองค์ เทวทัตคิดร้ายต่อพระองค์ถึงขนาดขึ้นไปยืนอยู่บนยอดภูเขาคิชฌกูฏ เขามันเอียงนะ เห็นหินก้อนหนึ่งมันเหมาะดี กลิ้งไปตามไหล่เขา ตามความลาดดี พระพุทธเจ้าเดินมาก็ชนปังเลย พระพุทธเจ้าเดินเฉย ๆ โดยทำไม่รู้ไม่ชี้ ความจริงรู้แล้ว ว่ามีคนปองร้ายยืนอยู่บนยอดเขา แล้วจะกลิ้งหินลงมาทำร้าย ก็เดินธรรมดา แผ่เมตตาให้เขา ไม่โกรธไม่เกลียด เทวทัตก็เห็นเข้ามาเข้าเส้นตรงก็ซัดหินกลิ้งลงมา เพื่อให้ไปชนพระพุทธเจ้า แต่หินไปชนต้นไม้ ไม่ไปชนพระพุทธเจ้า สะกิดหน้าแข้งของพระพุทธเจ้าเลือดไหลซิบ ๆ เรียกว่า ทำพระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต เป็นบาปหนัก บาปหนักของชาวบ้านที่ทำอย่างนี้ พระทำก็บาปหนัก ให้เลือดไหลออกซิบ ๆ ขนาดแมลงวันกินอิ่มนะ เป็นบาปหนักแล้ว เทวทัตทำบาปหนักเลย ทำหลายเรื่อง ในที่สุดก็แพ้ภัยตัวเอง พอมาหาพระพุทธเจ้าเพื่อขอโทษ ก็ไม่ถึงที่อยู่ของพระพุทธเจ้า ถูกแผ่นดินสูบลงไป จมหายไป บาปหนักแบบนี้ บาป ๕ อย่างนี้มันหนัก ฆ่าแม่ ฆ่าพ่อ ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้าให้เลือดออกซิบ ๆ แล้วก็ทำสงฆ์ให้แตกกัน ถ้าเป็นพระก็ทำลายหมู่คณะ ทำลายสงฆ์ ชางบ้านก็ยุยงให้พระแตกกันหมดทั้งวัด เรียกว่าเป็นเรื่องจัญไร เรื่องไม่ถูกต้อง คนบาปหนัก คฤหัสถ์อยู่ในหมู่ ในพรรค ในพวก แล้วก็ยุแยงตะแคงรั่วให้พรรคพวกแตกกันแบบบ่างช่างยุในนิทานสุภาษิต คนกระทำเช่นนั้นเป็นภัยแก่ตัว พอเพื่อนรู้เขาก็ไม่คบค้าสมาคมด้วย คนที่เพื่อนไม่คบเขาเรียกว่า ธรณีสูบไปแล้ว อยู่ในโลกก็ไม่มีใครเอ่ยถึงต่อไป จมหายไปเลย อย่างนี้เป็นบาปหนักไม่ควรทำ แบบเทวทัตทำ อยู่ในโลกก็ไม่มีใครเอ่ยถึงต่อไป จมหายไปเลย ไม่ควรทำ แต่เทวทัตทำ แล้วยังทำบาปหนักไปถึง คบหากับพระเจ้าอชาตศัตรู เจ้าฟ้าของนครราชคฤห์ คบกันแล้วยุยงส่งเสริมให้เจ้าชายอชาตศัตรูทรยศต่อพ่อ เพื่อต้องการราชสมบัติ เมื่อได้แล้วก็ทุบจนตาย ต่อมาก็ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า เดินขาสั่น ตัวสั่นไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเห็นก็ตรัสว่า เอหิอชาตศัตรู อชาตศัตรูมาที่นี่ ใจก็ชื้นขึ้นมา แล้วก็ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร เพราะบาปหนักที่ฆ่าพ่อ เพียงแต่เลื่อมใสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ต่อมาก็ช่วยเหลือในการทำสังคายนาครั้งที่ ๑ ที่เมืองราชคฤห์ ทำอย่างนี้ ใครเบียดเบียนพระพุทธเจ้าก็แพ้ภัยตัวเอง ครั้งหนึ่งเทวทัตเอาเหล้าให้ ช้าง (22.50) ตาลบาล (นาฬาคีรี-ผู้ถอดเทป) มอมเหล้าช้าง ช้างก็ดื่มเหล้า เมาเดินโซเซ นายควาญช้างก็บังคับให้ไปแทงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเดินมากับพระอานนท์ จะทำร้ายพระพุทธเจ้า พระอานนท์เดินมาข้างหลัง ก็ถลาออกมาข้างหน้า เพื่อรับอันตรายจากช้าง แต่ว่าช้างไม่ได้ทำร้ายพระพุทธเจ้า กลับทรุดลง หมอบลงไป พระอานนท์ปลอดภัย พระพุทธเจ้าก็ปลอดภัย ทำไมช้างจึงไม่แทงพระพุทธเจ้า อำนาจจิตที่มีความเมตตาแรงกล้าส่งไปตะครุบช้างเชือกนั้น แรงมาก ช้างต้องหมอบเลย เลยไม่ทำร้ายพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ปลอดภัย อันนี้ก็เรียกว่า เอาชนะไม่ได้ พ่ายแพ้ต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วที่พระองค์ชนะอย่างเด็ดขาดคือ ชนะมาร เราเคยเห็นภาพเขียนตามฝาผนังโบสถ์ หลังพระพุทธรูปเค้าเขียนภาพ พระพุทธเจ้านั่งใต้ต้นโพธิ์ ตอนนั้นยังไม่เป็นพระพุทธเจ้า ยังทำความเพียรอยู่ แต่ว่าใกล้จะตรัสรู้แล้ว ทีนี้ตอนเข้าด้ายเข้าเข็ม พญามารก็ส่งลูกสาว ๓ คน คือ นางตัณหา นางราคา นางอรดี มายั่วพระพุทธเจ้าให้ลงมาจากที่นั่ง แล้วนางก็จะจูงไปได้ตามชอบใจ แต่ว่าเอาชนะไม่ได้ พระองค์มั่นคง มีขันติ มีความอดทนอยู่ ธิดามารก็พ่ายแพ้เป็นยายแก่ไปเลย เอาชนะไม่ได้ เมื่อพระองค์เห็นเป็นยายแก่ ไม่มีความเซ็กซี่ หน้าตาผิวหนังเหี่ยว พญามารโกรธ ส่งลูกสาวไปก็เอาชนะไม่ได้ ไปเองดีกว่า ขี่ช้างเชือก ถืออาวุธครบมือ ยกพลมาเพื่อแย่งบัลลังก์ของพระพุทธเจ้า พระองค์ก็นั่งเฉย ๆ ในหนังสือของหลวงพ่อ ด้านหนึ่งเป็นมารถืออาวุธ อีกด้านหนึ่งเป็นมารถือดอกไม้ คนเดียวกันนั่นแหละ แต่เค้าทำภาพให้เห็นเป็น ๒ ภาพ ว่า มาเพื่อรุกรานถืออาวุธ แต่เมื่อเอาชนะไม่ได้ก็เลยถวายดอกไม้ ดอกบัว บูชาพระพุทธเจ้า เรียกว่าชนะมาร จึงมีชื่อว่า มาระจิน มาระจิโน (26.00) แปลว่า ผู้ชนะมาร
มารนั้นไม่ใช่วัดเป็นตัวตน ไม่ได้วัดที่ช้าง แต่หมายถึง กิเลสที่เกิดขึ้นในใจ คำว่ามาร แปลว่า ผู้ขัดขวางความก้าวหน้า อย่างเราทำดี มีเพื่อนที่เหลวไหลเข้ามา คบหาสมาคมกับเรา เราไม่มีปัญญาเอาชนะคนเหล่านั้นก็เลยแพ้ เพื่อนจูงไปเที่ยวไปเตร่ นักเรียนกำลังเรียนหนังสือดีใกล้สอบไล่ ไปเจอเพื่อนเหลวไหลเข้า กลับหลงใหลได้ปลื้มกับเพื่อนพวกนั้น เสร็จแล้วก็ชวนไปเที่ยวไปเล่น ไปสนุกกัน เฮกัน อย่างนี้เรียกว่า มารพาไป พ่ายแพ้ สอบไล่ไม่ได้ ต้องรีไทร์ออกไปจากมหาวิทยาลัย มาอยู่บ้านให้คุณแม่เป็นทุกข์ คุณแม่มีลูกอย่างนี้ก็กลุ้มใจ ตกนรกวันหนึ่งไม่รู้ตั้งกี่ร้อยหน คือเห็นหน้าลูกก็ตกนรกทุกที ได้ยินเสียงลูกก็ตกนรกทุกที เพราะเป็นลูกที่เกิดมาเพื่อฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ไม่ได้เกิดมาเพื่อช่วยให้พ่อแม่ขึ้นสวรรค์ อย่างนี้อันตราย ถ้าเรามีลูกแบบนี้ก็กลุ้มใจ ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็เป็นความผิดของพ่อแม่ด้วย คือไม่อบรมมาตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่ฝึกไม่สอน ให้อ่อนน้อมถ่อมตัวให้เชื่อฟังพ่อแม่ ตามใจเกินไป จนลูกเสียผู้เสียคน ส่วนมากแม่ตามใจ เพราะอยู่ใกล้ลูก แล้วก็ตามใจลูกมากเกินไป กลัวลูกจะลำบาก ตามใจ ต้องการอะไรให้ เด็กมันก็เมา เมาความสุข ความสบาย เห็นว่าชีวิตสะดวกไม่ต้องเรียนหนังสือก็ได้ ขอสตางค์ทีไรก็ได้ ได้มากด้วย ให้ตั้ง ๑๐๐, ๒๐๐ ได้เงินแล้วก็ไปเที่ยวไปสนุกเหลวไหล ชีวิตตกต่ำ มีอยู่พวก มาหาหลวงพ่อบ่อย ๆ ตัวแม่มา พ่อไม่ค่อยมา เพราะว่าแม่รับผิดชอบ มาเล่าให้ฟัง บอกว่าทำยังไงดี ให้พยายามพามาวัด มาวันอาทิตย์ตอนบ่าย เย็น ๆ ก็ได้ มาแล้วก็ปล่อยให้ลูกอยู่กับหลวงพ่อ ส่วนแม่ออกไปเดินเล่นรอข้างนอก อย่ามานั่งใกล้ ฉันจะสอนเอง สอนโดยไม่ให้เขารู้ว่าคุณแม่พามาให้สอน แต่จะเล่าเรื่องอะไรต่ออะไรประกอบ ให้เขาได้คิด ให้เกิดความรู้สึกตัว จะได้เปลี่ยนจิตใจเข้าหาความถูกต้อง
วันก่อนนี้พ่อแม่ก็พาลูกมา ไม่เรียนหนังสือ อยากบวช เอ้า บวชก็ได้ มาบวช บวชแล้วส่งไปไว้โน่น สวนอิทัปปัจจยตาราม (29.03) จ.สระบุรี พุแค ให้ท่านศีลควัฒน์ ดูแล เดี๋ยวนี้เรียบร้อย ขยัน ทำงานทำการ อ่านหนังสือ เรียนหนังสือ จะให้เรียนบาลี แต่พ่อบอกว่า เรียนบาลีจะไม่สึกสิ ไปเรียนบาลีก็สึกได้ มหา ๙ ประโยคยังสึกเยอะแยะ แกเลยให้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียนที่ลพบุรี พ่ออุตส่าห์ไปส่งทุกวัน ลูกก็ตั้งใจเรียน อยู่กับพ่อแม่มันไม่ดี พ่อแม่ก็ไม่รู้จะสอนยังไง คือสอนไม่เป็น เอาความรักท่วมตัวลูก รักลูกจนท่วมตัว มองไม่เห็นลูกแล้ว ลูกก็ไม่เห็นแม่แล้ว เห็นแต่การตามใจตัวเอง ทำอะไรตามชอบใจ เลยไปไม่รอด เสียหาย
แต่นี่พระพุทธเจ้าทรงชนะมาร มารคือผู้ทำลาย มารมีหลายอย่าง กิเลสมาร มีหลายอย่าง ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริษยา พยาบาท อาฆาตจองเวร มานะ ฯลฯ กิเลสทุกตัวเป็นมารทั้งนั้น ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตเราดีขึ้น กิเลสมาร แล้วก็ สังขารมาร คือความเป็นอยู่ในร่างกายของคนเรา เรากำลังทำงานก้าวหน้ามันป่วยอย่างแรง เป็นมาร ประมาทไม่ได้ ป่วยจนกระทั่งนอนลุกไม่ขึ้น สังขารร่างกายมันเป็นโรคเกิดขึ้น มีเยอะแยะ ก็ต้องจ่ายเงินให้แก่โรงพยาบาล ไปอยู่โรงพยาบาลเสียวันเป็นหมื่น แพงกว่าค่าเช่าห้องเสียอีก อยู่หลาย ๆ เดือนมันก็แย่ ทรัพย์สมบัติก็ล่มจม เดือดร้อน นี่แหละมารทำให้เราเสียหาย
แล้วก็มีมารอีกประเภทหนึ่งเรียกว่า อภิสังขารมาร หมายถึงผู้ปฏิบัติธรรมภาวนา เมื่อเจริญภาวนา ใจมันพลุ่งพล่าน ไปเที่ยวเห็นอะไรต่ออะไร ติดสิ่งนั้น สิ่งที่เห็น ไม่ก้าวหน้า มารมันขวางทางไม่ให้ก้าวหน้า ก็ติดอยู่กับสิ่งนั้น หลงไหลได้ปลื้มอยู่กับสิ่งนั้น มันเป็นตัวมารเหมือนกัน ให้เราก้าวหน้าไม่ได้
ความตาย ก็เป็นมารสำหรับคนที่ยังไม่ควรตาย การมีชีวิต พอทำงานได้ พอก้าวหน้าได้ แต่มาตาย พอตายด้วยอะไรก็ตาม การตายนั้นเค้าเรียกว่า เป็นมาร
อีกอันเค้าเรียกว่า เทวปุตตมาร ผู้ใหญ่เป็นมารขวางทาง เราทำงานกับเจ้านายที่ไม่มีธรรมะ มีอคติ ลำเอียงด้วยประการต่าง ๆ คอยทำลายเรา เขาเรียกว่า เทวดาเป็นมาร เทวปุตตมาร ทำให้เราเสียหายในชีวิตด้วยประการต่าง ๆ มีเยอะเหมือนกัน คนทำงานดี ๆ ไม่ถูกกับนาย เพราะนายปฏิบัติไม่เหมาะกับตน ตนก็เดือดร้อน ลาออกไป หางานใหม่ กว่าจะได้งานก็หลายเดือน ก็เรียกว่า เทวปุตตมาร มารเกิดจากผู้ใหญ่ เป็นอธิบดี เป็นหัวหน้ากอง เป็นรัฐมนตรีก็เป็นมารได้เหมือนกัน ทำให้เสียหายด้วยประการต่าง ๆ เป็นสิ่งขัดขวางไม่ให้เราก้าวหน้า
สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าชนะหมด ไม่มีมารทั้งหลายเกิดขึ้นต่อไป เพราะพระองค์รู้ว่าอะไร มันเป็นอะไรถูกต้อง ไม่หวั่นไหวด้วยอารมณ์ที่มากระทบ ไม่เห็นอะไรก็ไม่เกิดอะไร พระองค์จึงตรัสว่า พระราหุล ช้างกาลบาล พระเทวทัต พระราหุลเป็นลูก ก่อนบวช ช้างกาลบาล ช้างเมามันที่พระเทวทัตให้มาแทงพระพุทธเจ้า แล้วก็เทวทัต ในสายตาของพระองค์นี้เท่ากัน ไม่ได้มีความลำเอียง ด้วยความรัก ความชัง ความโกรธ ความหลง ไม่รู้สึกเกลียดชังหรือรักอะไร เห็นเป็นเรื่องธรรมดา ไม่มีความยินดี ไม่มีความยินร้ายในสิ่งนั้น ใจคงที่ คนเราธรรมดานี่มันยังขึ้น ยังลง ไอ้นี่ลูกข้า ไอ้นี่หลานข้า ไอ้นี่ศิษย์ข้า ไอ้นี่คนของข้า กิเลสทั้งนั้น ลำเอียงเพราะเรื่องรัก ลำเอียงเพราะเรื่องชัง ลำเอียงเพราะกลัว ลำเอียงเพราะหลง ไม่รู้เท่า รู้ทัน ยังมีหลง
แต่ในน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้า ไม่มีแล้ว ในพระทัยของพระองค์สะอาด สว่าง สงบอยู่ตลอดเวลา อะไรมากระทบก็ไม่เป็นไร เหมือนเสาหินใหญ่ปักลงดิน ลมพัดไม่สะเทือน ไม่หวั่นไหว ไม่โยกเอน จะเป็นพายุอะไรมาหินนั้นก็ไม่สะเทือน คงอยู่กับที่มั่นคงฉันใด น้ำพระทัยของพระองค์ก็เป็นเช่นนั้น นี่เป็นสิ่งที่ได้รับจากใต้ต้นโพธิ์พุทธคยา เป็นผลของการตรัสรู้ แล้วก็นำเอามาใช้ในชีวิตตลอดชีวิต ใครจะมาด่าพระพุทธเจ้า พระองค์ก็นั่งเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนกับไม่ได้ยิน เหมือนกับไม่ได้เห็น เช่นว่าพราหมณ์คนหนึ่งมาด่าพระองค์มากมาย ด่าจนเหนื่อย เสร็จแล้วพระองค์ถามว่า ท่านด่าเรามากมาย ถ้าสมมติว่ามีแขกมาที่บ้านท่าน ท่านทำอย่างไร ...ก็ต้อนรับ เอาขนม นมเนยให้กินตามเรื่อง ..ไอ้ขนม นมเนย ที่ท่านต้อนรับถ้าแขกไม่กิน ขนมนมเนยนั้นเป็นของใคร พราหมณ์ที่ด่าคนนั้นบอก ก็เป็นของเจ้าบ้าน...เหมือนกัน ท่านต้อนรับเราด้วยคำด่าว่า เราไม่เอาละ พระพุทธเจ้าบอกว่าให้เอาความรู้สึกเหมือนคนที่ตายแล้ว คือไปด่าคนที่ไม่รับคำด่า ท่านไม่เอาคำด่าของเขา ไม่ไปยึดไปติด
พราหมณ์ก้มลงกราบ แล้วพระองค์ก็เทศน์วัคกะละสูตร (36.20) สูตรที่ว่าด้วยความเลวให้พราหมณ์คนนั้นฟัง จนพราหมณ์คนนั้นก็บรรลุมรรคผล ยอมเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า
ในพระไตรปิฎกมีเยอะ หลายเรื่อง ใครมาว่าพระองค์ พระองค์ก็ฟังเฉย ๆ แต่ว่าโต้ตอบไปในทางที่ให้เขาฉลาดขึ้น ไม่โต้ตอบด้วยความร้อน แต่โต้ตอบด้วยสติปัญญา เพื่อให้เขาเกิดความสำนึกรู้สึกตัวว่า เราทำผิด แล้วก็เลยคิดเปลี่ยนใจเข้าหาความถูกต้อง เป็นอย่างนั้น พระองค์ไปไหนก็ไปได้สบาย ไปสอนคนให้เป็นผู้ชนะ ไม่อยู่อย่างผู้แพ้ การอยู่อย่างผู้แพ้ไม่สมควร แต่อยู่อย่างผู้ชนะดีกว่า ในวันเพ็ญเดือน ๘ ท่านก็ประกาศความชนะให้ชาวโลกรับทราบ
ในพระสูตรเรียกว่า ธรรมจักรก็คือธรรมะ เหมือนกับกงล้อ พระองค์หมุนกงล้อธรรมจักร ให้หมุนไปฆ่าความโง่ ความหลงผิด ความคับแค้น เข้าใจผิดต่าง ๆ ธรรมะของพระพุทธเจ้าทำลายไสยศาสตร์ ทำลายความเชื่อเหลวไหลที่ไม่ถูกต้องให้หมดไป กลิ้งไปไหนก็ทำลายสิ่งเหล่านั้น ทำคนให้ฉลาด ให้มีปัญญามากขึ้น เราที่นับถือพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนี้ มีจำนวนไม่ใช่น้อยที่ยังไม่รู้จักถูกต้องในหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ยังมีความเชื่อไม่ถูกต้อง มีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง ทั้งพระทั้งชาวบ้าน ตัวพระเป็นตัวการใหญ่ เที่ยวทำตนให้หลงให้งมงาย ด้วยเรื่องอะไรต่าง ๆ ด้วยการปลุกเสก ลงเลข ลงยันต์ การทำพิธีซึ่งไม่ใช่เรื่องพุทธศาสนา ขายพระเครื่องราคาแพงให้คนซื้อ คนที่ไม่รู้อะไรก็ไปซื้อ เราอย่านึกว่าคนที่มีความรู้ ความฉลาด เช่นเป็นรัฐมนตรีทำไม …… (38.48 เสียงไม่ชัดเจน) รัฐมนตรียังปัญญาอ่อนหลายคน คนปัญญาอ่อนมันไปชุมนุมกัน ทะเลาะเพื่อแย่งผลประโยชน์กัน ไม่ลงรอยกัน ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อย ๆ ว่ามันเป็นพวกปัญญาอ่อน ก็ทำไมคนปัญญาอ่อนได้เป็นผู้แทน ก็เพราะคนเลือกมันปัญญาอ่อนด้วย ไปเลือกผู้แทนปัญญาอ่อน เห็นแก่เงิน เขาเอาเงินมาให้ นาย ก ให้เงิน ก็ไปเลือกนาย ก นาย ข ดีกว่า ก็ไม่เลือก เพราะไม่ได้ให้เงิน บ้านเมืองมันก็ล่มจม เพราะว่าเราเลือกคนไม่ถูกต้อง ยังเห็นแก่อามิสสินจ้าง ไม่เลือกอย่างผู้ชนะ แต่เลือกอย่างผู้แพ้ คือแพ้เงิน เขาเอาใบสีม่วงมาแจก ก็เลือกไอ้คนนี้ ผลที่สุดก็ได้เรื่อง พอเข้ามาก็กอบโกยกัน จนบ้านเมืองจะพังไปตาม ๆ กัน เกิดความเสียหาย อย่าไปเลือกคนที่ให้อะไรแก่เรา
แต่เราต้องเลือกด้วยปัญญา ด้วยความคิดถูกต้อง เลือกคนที่ไม่ซื้อคะแนน ให้ไปทำงานในหน้าที่และเป็นคนดีด้วย มีความรู้ ประพฤติดี ประพฤติชอบ มีความเสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม ถ้าเลือกเข้าไปแล้วมันไม่เอาไหน คราวหน้าอย่าเลือก ไอ้พวกที่ชอบตอแหลนี่อย่าเลือกเข้าไปเป็นผู้แทน มันจะกินบ้านกินเมือง ไม่ได้ไปช่วยบ้านช่วยเมืองให้เจริญก้าวหน้า อันนี้ก็สำคัญเหมือนกัน
วันชัยชนะของพระพุทธเจ้า คือวันอาสาฬหบูชา วันอาทิตย์ วันพรุ่งนี้ เข้ามาก็มาแต่เช้า มารับศีล ฟังธรรม อยู่วัดปฏิบัติภาวนา อยู่วัดเพื่อเข้าเงียบ ไม่ใช่มาคุยกันเสียงดังก้องศาลา ไม่ได้เรื่อง ต่างคนต่างนั่งเงียบ พูดกับตัวเองว่าฉันคือใคร ฉันอายุเท่าไหร่ มีอะไรครอบงำจิตใจฉัน ฉันอยู่อย่างผู้แพ้ หรือว่าฉันอยู่อย่างผู้ชนะ ฉันอยู่อย่างก้าวหน้า หรือว่าอยู่อย่างถอยหลัง ฉันอยู่กับพระหรือฉันอยู่กับผี ถามตัวเอง พิจารณาตัวเอง ตักเตือนตัวเอง แก้ไขตัวเองให้ดีขึ้น ได้ประโยชน์ เป็นการบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ในวันอาสาฬหบูชา และวันนี้เป็นวันเข้าพรรษา เขามีการชักชวนให้มาถือศีล ๓ วัน ถือศีลวันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธก็ไปทำงาน สำนักงานต่าง ๆ เปิด ก็ขอให้โยมได้ตั้งใจปฏิบัติจิตใจ ให้อยู่อย่างผู้ชนะตลอดไป ทั่วกัน ทุกท่าน ทุกคนเทอญ