แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ศาสนาคือธรรมะ ธรรมะคือศาสนา ศาสนาพุทธนี้คือศาสนาของผู้รู้คือศาสนาของผู้มีปัญญา เป็นหลักเดียวอันเดียวกับหลักวิทยาศาสตร์ หลักเหตุหลักผล เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มันถึงมี มนุษย์เราเกิดมาคือผู้ที่ประเสริฐ ถึงอาศัยพ่ออาศัยแม่เป็นหลัก เพื่อจะได้ส่งบอลส่งไม้ผลัดให้ลูกให้หลาน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มันถึงมี มันจะเป็นยีน DNA ในความรู้ และเป็น DNA ในกายวาจาใจ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ มนุษย์เราเกิดมาถึงมีการเรียนการศึกษา
การเรียนการศึกษานั้นก็จะรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ รู้แล้วก็เอาความรู้นั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อมาเสียสละเพื่อทุกคนจะได้มาปฏิบัติตัวเองมาแก้ไขตัวเอง เพราะเป็นเรื่องที่ปฏิบัติ อย่างนี้แล้วเราก็จะได้พัฒนาทั้งหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์และพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ถึงเรียกว่าทางสายกลาง พวกผู้ที่เป็นชาวพุทธนี้ก็ต้องพากันเข้าใจ ที่เราไม่เข้าใจตั้งแต่ก่อนเรียกว่า หลงงมงาย บางคนก็ทำตามพ่อตามแม่ พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เราทุกคนต้องถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เพราะว่าพระพุทธเจ้าน่ะ เป็นผู้ประพฤติบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติ พัฒนาตามหลักเหตุผลตามหลักวิทยาศาสตร์ พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เข้าถึงเศรษฐกิจพอเพียง พอดี เพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ไม่ได้ มันอยู่ที่ปัจจุบัน
ทุกท่านทุกคนก็ต้องพาปฏิบัติอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ความถูกต้องเข้าสู่ศีล คือภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบัน ต้องมีความตั้งมั่น เพื่อให้มันเป็นสัมมาสมาธิ ปฏิบัติอย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ทุกท่านทุกคนต้องพากันเอาใจใส่เป็นพิเศษ เพราะสิ่งเหล่านี้มันดับทุกข์ได้ แก้ปัญหาได้ เราไม่ต้องเอาเหมือนการเรียนการศึกษาทุกวันนี้ เรียนเพื่อความเห็นแก่ตัว ศึกษาเพื่อความเห็นแก่ตัว เพื่อเอาความสุขในการเห็นแก่ตัว ที่แท้นี้มันไม่ใช่ความสุข มันคือความทุกข์สร้างปัญหา มันรวยก็จริง ฉลาดก็จริง รวยแบบโง่ๆ ฉลาดแบบโง่ๆ มันมองไม่เห็นแง่มุมต่างๆ เพราะเราต้องพากันเข้าใจ
ผู้ที่มาบวชเป็นพระนี้ ถึงมาฝึกฉลาดนะ ฝึกมีปัญญา เพราะคนเรามันหลงในตัวในตน พระพุทธเจ้าจึงให้พิจารณากาย เอาผมออกให้หมดเอาหนังออกให้หมด เอาอะไรออกให้หมด ทุกอย่างมันจะได้รู้จักว่านี่เป็นสภาวะธรรม หาใช่ตัวใช่ตนไม่ กินข้าวทุกวันถึงอยู่ได้ พักผ่อนทุกวันนี้ถึงอยู่ได้ เราอย่าไปหลงตัวหลงตน เพราะเราเกิดขึ้นมาแล้วมันก็ต้องมีความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก อีกไม่เกิน 100 กว่าปี เราก็ต้องจากโลกนี้ไป ถึงเราจะมีการพัฒนาเทคโนโลยีการแพทย์อย่างดี เราก็ต้องแก่เจ็บตายพลัดพราก ถึงแม้เราจะเปลี่ยนอวัยวะได้ เราก็ต้องตายไปในที่สุด ให้ทุกคนน่ะ ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้นะ ส่วนใหญ่เราทุกคนไม่เข้าใจนะ ต้องให้เข้าใจด้วยตนเอง อย่างนี้ถึงเสียสละ สิ่งที่เป็นอดีตออกไปให้หมด อนาคตก็อยู่ที่ปัจจุบัน เดี๋ยวมันจะเลื่อนไปเอง ถ้าปัจจุบันเราคิดดีพูดดีทำดี เดี๋ยวก็ไปทางที่ดี ดียังไม่พอ เราต้องฉลาดด้วย เพราะทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงเป็นสิ่งที่เรารู้จัก เราก็กำหนดรู้ เหมือนเราต้มเราแกงอาหารด้วยหม้อด้วยไฟด้วยความร้อนนี้นะ พอมันสุกเราก็ยกลงให้มันเย็น เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดรู้ เป็นสิ่งที่เรารู้จัก เราหยุดแล้วหยุดกรรม หยุดเวร มันจะค่อยเย็น เรียกว่าอริยมรรค ทุกท่านทุกคนต้องพากันฉลาด
สิ่งที่มันทำให้เราเจ็บปวด มันทำให้เราฉายหนังม้วนเก่าอย่างนี้แหละ เราก็ต้องรู้จักอริยสัจ ๔ เราทุกคนก็ต้องเสียสละ เราต้องบริโภคทุกอย่างด้วยสติด้วยปัญญา เราจะหยุดอยู่ไม่ได้เพราะเราต้องมีสติสัมปชัญญะ การเสียสละไป เราต้องทำอย่างนี้ ก้าวไปอย่างนี้ เราก็ตั้งใจดีๆ เราเกิดมาเพื่อมามีพระพุทธเจ้าในใจ อาศัยพระธรรม เพราะธรรมะนี้คือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ เราวางแผนดีๆ ในปัจจุบัน จัดแจงดีๆ ในปัจจุบัน ทุกอย่างมันสำเร็จดี ถ้าทำดีๆ ในปัจจุบัน เราก็ต้องสงบ ปลดปล่อยวาง เราจะไม่ทำอะไรเลย มันไม่ได้ เราต้องพากันมาเสียสละ เหมือนกับเราจะจัดงานอะไรต่างๆ ปัจจุบันเราก็ต้องวางแผนคิด วางแผนอะไรๆ อย่างนี้ ทำดีๆ ในปัจจุบัน งานถึงออกมาดี เหมือนกำลังทำธุรกิจ เราก็ต้องวางแผนดีๆ ในปัจจุบัน ปัจจุบันรายรับรายจ่าย เราต้องรู้ คิดไปแล้วหลายๆ ปี มันต้องคิดได้ เราจะทำไปอย่างครึ่งหลับครึ่งตื่นนี้ไม่ได้ เราต้องทำอย่างนี้ๆ เรียกว่าพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนานี้จะช่วยเรา ด้วยการประพฤติการปฏิบัติของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้มาปฏิบัติให้เรา เราอย่าพากันมาเชื่อในศาสนาในเรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ เรื่องขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องของครูบาอาจารย์ ที่ท่านมีบารมี ที่ท่านมีจิตใจที่บริสุทธิ์ เราทุกคนก็ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ คนบางคนหน่ะ อาศัยพ่ออาศัยแม่ที่มีเงินมีสตางค์มีที่ดินมีมรดก แต่ของเรามันยังไม่มีนะ เหมือนพระพุทธศาสนาอย่างนี้แหละ ที่คนทำบุญตักบาตร ก็เพราะเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่เป็นบารมีของเราอะไรหรอก เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราทำอย่างนี้ทุกคนก็จะเก่งจะฉลาด เราต้องพัฒนาตนเองในปัจจุบัน เราจะเรียนเก่งเราจะจบปริญญาหลายปริญญา ตรี-โท-เอก ที่เราจะใช้งานมันก็อยู่ที่ปัจจุบัน ให้เราเอามาใช้เอามาปฏิบัติ ความเป็นพระก็จะปรากฏกับเราทุกคน ความเป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ ก็จะปรากฏ
ทุกคนจะดับทุกข์ได้เองด้วยการประพฤติปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อออกจากทุกข์ (เพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์) ออกจากวัฏฏะสงสาสร เหมือนครั้งพุทธกาลได้ฟังธรรมพระพุทธเจ้า ประชาชนที่ยังไม่ได้ออกบวชก็ได้เป็นพระอริยะเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระ อนาคามี หลายหมื่น หลานแสน หลานล้าน พระผู้ที่ออกบวชก็ได้เป็น พระอริยะเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึง พระอรหันต์ ก็หลายหมื่อน หลายแสน หลายล้านนี้เป็นต้น เพราะทุกว่าทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติเอง โลกนี้ก็ไม่ว่างจากพระอรหันต์ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราก็ได้เป้นผู้ที่โชคดี เราจะได้ปฏิบัติธรรมที่บ้านของเรา ที่ทำงานของเรา ถึงวันเสาร์วันอาทิตย์ก็พากันมาวัด อยู่ที่บ้านเราก็พากันกราบพระไหว้พระนั่งสมาธิ ตอนเช้าตอนเย็น ทำงานก็มีความสุขในการทำงาน ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ไม่งั้นไม่ได้ไม่ไหว พากันเป็นโรคจิตโรคประสาท โรคฟุ้งซ่าน ไม่ดี
พรหมณ์ผู้หนึ่งนามว่า “ภารัทวาชะ” ตามชื่อ โคตร หรือตระกูล เขาเป็นคนหยิ่งทะนง ขี้โมโห ต่อมาพฤติกรรมได้เปลี่ยนแปลงไป เพราะเทคนิควิธีของพระพุทธเจ้า อันได้นาม (ตามภาษากำลังภายใน) ว่า “ยืมดาบศัตรูฟันศัตรู” ศัตรูที่อยู่ตรงหน้าจอมยุทธ์ผู้ทระนงตน ไม่มีดาบอยู่ในมือ แต่ชั่วพริบตาเดียวนั้น ดาบที่อยู่ในมือของตนนั้นไปอยู่ที่มือศัตรูได้อย่างไร และกว่าที่จะรู้ตัวก็ล้มลงไปแล้ว และกำลังจะสิ้นใจพอดี ช่างรวดเร็วอะไรปานนั้น
พราหมณ์คนนี้โกรธพระพุทธองค์ที่ชักจูงพี่ชายน้องชายไปบวชกันหมด พวกพราหมณ์ต่อต้านพระพุทธเจ้า และคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นที่รู้กันอยู่แล้ว การที่พวกพราหมณ์ต่อต้านพระพุทธเจ้า ก็มีเหตุผลที่ฟังขึ้น ถ้าพวกเขาไม่ต่อต้านสิจะเป็นเรื่องประหลาด เพราะพระพุทธองค์ทรงสอนคำสอนที่ “หักล้าง” ความเชื่อดั้งเดิมและการปฏิบัติสืบต่อกันมาของพวกเขา แบบหน้ามือเป็นหลังมือ
พวกเขาเชื่อว่ามนุษย์เกิดมาไม่เท่ากัน เกิดมาตามพระประสงค์ของพรหมัน (พระพรหม) ที่แบ่งสันปันส่วนมา
พระพุทธเจ้าก็ค้านว่ามนุษย์มิได้ถูกแบ่งสันปันส่วนมาโดยเทพองค์ใด มนุษย์มีความทัดเทียมกันโดยความเป็นมนุษย์ และมีศักยภาพที่จะพัฒนาตนได้ โดยไม่ต้องอาศัยอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดๆ
พวกเขาเชื่อกันว่า คนดี คนเลว ตัดสินได้จากวรรณะที่เกิดมา เกิดมาในตระกูลสูงก็เป็นคนดี เกิดมาในวรรณะต่ำก็เป็นคนเลว เพราะเป็นบัญญัติจากพระเจ้า พระพุทธเจ้าก็ค้านว่า คนดี คนเลว ตัดสินกันด้วยการกระทำ คนจะเป็นคนเลวก็การกระทำ เทพไท้ทั้งหลายหามีส่วนไม่
พวกเขาเชื่อในยัญพิธีต่างๆ เช่น บูชาไฟ ฆ่าสัตว์บูชายัญ อาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ ฯลฯ
พระพุทธเจ้าก็ทรงคัดค้านหมด แล้วอย่างนี้จะให้นิ่งดูดายได้อย่างไร
พอต่อต้านได้ก็ต่อต้าน ไม่ต่อต้านออกหน้าออกตาก็ต่อต้านเงียบๆ
ยิ่งพรรคพวกพราหมณ์กันเอง ใครไปเห็นดีเห็นงามด้วยกับ “พระสมณโคดม” (คือพระพุทธเจ้า) ถือว่าไม่รักดี จะถูกพวกพราหมณ์รุกรานเอา
พราหมณ์ปากร้ายคนนี้โกรธมากที่พระพุทธเจ้าชักจูงเอาพี่ชายและน้องชายไปบวชเรียกว่า ขายหน้าพวกพราหมณ์ด้วยกัน จึงตามไปด่าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ คำด่าที่บันทึกเป็น “แบบฟอร์ม” เช่น ไอ้โจร ไอพาล ไอ้หลงเลอะ ไอ้อูฐ ไอ้โค ไอ้ลา ไอ้สัตว์นรก ไอ้สัตว์เดรัจฉาน คนเช่นเจ้าไม่มีหวังได้ไปสู่สุคติ มีแต่ทุคติเท่านั้น อะไรทำนองนี้
พระพุทธองค์ปล่อยให้เขาด่าจนพอใจ ไม่โต้ตอบแม้แต่คำเดียว อันเป็น “วิธีการต่อสู้แบบพุทธ” ก็ว่าได้ หลายครั้งหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นกับพระพุทธองค์ พระองค์จะไม่โต้ตอบ ดังครั้งหนึ่ง นางมาคันทิยาจ้างคนมาด่าพระพุทธเจ้า (เพราะความแค้นแต่หนหลัง) พระองค์ไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอนแม้คำเดียว เล่นเอาพระอานนท์ร้อนใจ ถึงกับกราบทูลให้หนีไปยังเมืองที่ไม่มีใครด่า พระองค์ตรัสถามว่า ถ้าเมืองนั้นเขาด่าอีกล่ะจะไปที่ไหน พระอานนท์ก็กราบทูลว่า ไปเมืองอื่นที่ไม่มีใครด่า พระองค์ไม่เห็นด้วย เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็จะต้อหนีไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะคนเลวมีมาก พระองค์ว่าอย่างนั้น ไปไหนก็ต้องเจอคนเลว และถูกคนเลวด่าจนได้ เมื่อเขาด่าจนพอใจแล้ว พระพุทธองค์ตรัสถามเขาว่า “พราหมณ์ที่บ้านท่านมีแขกไปใครมาไหม” “มีสิ สมณโคดม ข้าพเจ้ามิใช่คนกระจอกนี่” เขาตอบด้วยความทระนงว่า คนอย่างเขาก็เป็นพราหมณ์มีอันดับ มีเพื่อนฝูง และคนนับหน้าถือตามากมาย ย่อมต้องมีแขกไปมาหาสู่มากเป็นธรรมดา
“เวลาแขกมา ท่านเอาอะไรมาต้อนรับ”
“ก็ของต้อนรับแขกตามธรรมเนียมสิ สมณโคดม ข้าพเจ้ามิใช่คนป่าเถื่อนนี่” เขาตอบอย่างทระนงเช่นเคย พราหมณ์มีอันดับอย่างเขาย่อมรู้ขนบธรรมเนียม เวลาใครไปใครมาควรจะต้อนรับอย่างไร ไม่น่าถาม ว่าอย่างนั้นเถอะ
“ถ้าแขกไม่กินของที่ท่านนำมาต้อนรับ ของนั้นจะเป็นของใคร”
“ก็เป็นของข้าพเจ้าตามเดิมสิ” พราหมณ์ตอบ ยังไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าตรัสถามทำไม คำถามพื้นๆ นี้ใครก็ตอบได้ หารู้ไม่ “ดาบศัตรู” ได้มาอยู่ที่พระหัตถ์ของพระองค์โดยที่เขาไม่รู้สึก
พระองค์ตรัสว่า ก็เช่นเดียวกันละนะ เมื่อกี้ท่านด่าเรามากมายด้วยถ้อยคำหยาบคาย เราตถาคตไม่รับคำด่าเหล่านั้น คำด่าเหล่านั้นตกเป็นของท่านตามเดิมสินะ” พระพุทธองค์ตรัสเงียบๆ เขาสะดุ้งดุจถูกเสียบด้วยดาบคมกริบก็มิปาน
เพราะคำด่าเป็นต้นว่า “ไอ้โค ไอ้อูฐ ไอ้สัตว์เดรัจฉาน” เป็นต้น ที่เขาด่า ด่า ด่า และด่าออกไปเมื่อกี้นี้ มันหันกลับมาหาเขาเอง พูดง่ายๆ ว่าเขากำลังด่าตัวเองว่าเป็นโค เป็นอูฐ เป็นสัตว์เดรัจฉาน
เมื่อเขาสำนึก พระพุทธเจ้าจึงตรัสพระคาถา (โศลกธรรม) สอนเขา ความว่า “ผู้ที่ไม่มักโกรธ ผู้ฝึกตนแล้ว มีชีวิตราบเรียบ หลุดพ้นเพราะรู้แจ้ง สงบ และมั่นคง ความโกรธจะมีแต่ที่ไหน (คือ คนเช่นนี้ไม่มีความโกรธแม้แต่น้อย) ผู้โกรธที่ตอบคนที่ด่า เลวกว่าคนด่าเสียอีก ผู้ไม่โกรธตอบคนที่ด่า นับว่าชนะสงครามที่เอาชนะได้ยากยิ่ง คนที่รู้ว่าผู้อื่นโกรธแล้ว มีสติ สงบใจได้ นับว่าได้ทำประโยชน์แก่ตนและคนอื่นทั้งสองฝ่าย คนที่ว่านี้นับว่าได้ช่วยเยียวยาแก่คนทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งตนเองและคนอื่น คนที่ไม่รู้ธรรม (ไม่รู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว) เขาเรียกกันว่า คนโง่”
พราหมณ์ได้สดับฟังพระธรรมเทศนาโดยย่อ ก็ซาบซึ้งใจ ก้มกราบ กล่าวปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะ ถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า และพระสังฆเจ้า เป็นสรณะ (ที่พึ่ง ที่ระลึก เป็นแนวทางดำเนินชีวิต) ตลอดชีวิต จากความเป็นพราหมณ์ขี้ยัวะ หยิ่งทระนงตนว่ามีชาติตระกูลสูง กลายเป็นสงบเสงี่ยม ไม่ถือตนเข้าใจโลกและชีวิต พฤติกรรมได้เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง ตำราขยายต่อไปว่า ในช่วงสุดท้ายแห่งชีวิตเขาได้บวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา
การประพฤติปฏิบัติธรรมมีหลายคนหลายท่านมีความสงสัยว่า ตัวเองปฏิบัติถูกหรือเปล่า เพราะว่าการปฏิบัติที่ผิดนั้นทำให้เดินทางผิดและเสียเวลา
การปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านให้เดินทางสายกลาง เอาศีลเป็นหลัก เอาธรรมเป็นหลัก ศีล คือทางสายกลาง ธรรม คือทางสายกลาง คนเรามันมีตัวมีตน มันไม่เดินทางสายกลาง เอาตัวเองเป็นใหญ่ เอาตัวเองเป็นประธาน
การปฏิบัติที่ถูกต้อง ต้องปรับตัวเองเข้าหาศีลหาธรรม ข้อวัตรปฏิบัตินี้เป็นปลีกย่อย มันได้แก่พระวินัย ที่เราทำวัตรสวดมนต์ ทำกิจวัตรต่างๆ จัดว่าเป็นศีล
ศีลนี้คือการจัดการเรื่องทางกาย เพื่อที่จะเข้ามาหาทางจิตใจ เพราะว่าคนเราใจมันไม่มีตัวไม่มีตน มันต้องอาศัยกายอยู่ การปฏิบัติศีลต้องมาปฏิบัติที่กาย "การมาปฏิบัติที่กาย ก็คือการปฏิบัติที่ใจนั่นแหละ" ผู้ปฏิบัติตามศีลถือว่าปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติตามทางสายกลาง มีเจตนาที่จะงดเว้นในศีลทุกๆ ข้อ ศีลนี่แหละ ถ้าเราไม่มีเจตนา ถ้าเราทำผิดโดยไม่ตั้งใจ เป็นอันว่า ไม่ผิดศีล ถ้าเราสงสัยอยู่แล้วฝืนทำลงไป ถึงแม้จะไม่ผิดศีลโดยตรง มันก็ ผิดศีลในข้อที่สงสัย ยกตัวอย่างเช่น เราเดินไปเหยียบแมลงตายโดยที่เราไม่ตั้งใจ เราก็ไม่ผิดศีล ให้ผู้ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมให้คิดอย่างนี้ ถ้าเราปฏิบัติถูกต้องตามศีลแสดงว่าเราปฏิบัติถูก
การปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติเพื่อละความเห็นแก่ตัว เพราะเรามีตัวมีตนมาก มันถึงต้องมีการเวียนว่ายตายเกิด มันมีอัตตาตัวตนมาก มันถึงมีภพมีชาติ มีการเวียนว่ายตายเกิด การประพฤติปฏิบัติธรรม ให้ทุกๆ ท่าน ทุก ๆ คนเน้นการเสียสละ เน้นการละความเห็นแก่ตัว การรักษาศีล ก็ให้เป็นผู้เสียสละละความเห็นแก่ตัว ละความมักง่ายของตัวเองเสียสละไม่ตามใจตัวเอง
ความคิดของเราก็เหมือนกัน บางอย่างก็เป็นยาพิษ บางอย่างก็เป็นธรรมโอสถ... สิ่งไหนมันเป็นไปไม่ได้ เราก็อย่าไปคิดมัน เสียเวลา เสียสมองเปล่าๆ เช่น เราคิดไม่อยากให้มันแก่ คิดไม่อยากให้มันเจ็บ คิดไม่อยากให้มันตายอย่างนี้ "เราคิดแล้วมันก็ไม่เป็นไปตามความคิด เราคิดแล้วมัน ไม่ได้อะไร แล้วเราจะไปคิดไปทำไม?" เราคิดอยากให้เรารวยมันก็ไม่ได้ เราก็ได้ตามอัตภาพตามการงาน เราคิดอยากได้วันละพันมันก็ไม่ได้ อยากได้มากก็ต้องเพิ่มกิจการงานขึ้นอีก ไม่ใช่คิดไปให้ตัวเองเป็นทุกข์ ถ้าเราคิดไม่เป็นมันก็ทำร้ายตัวเอง หาความทุกข์ให้กับตัวเอง อยู่ดีๆ ก็หาเรื่องหาราวให้กับตัวเอง ลักษณะในการคิด พระพุทธเจ้าท่านให้เราคิดอย่างนี้
การงาน ก็ให้ทำการงานที่ชอบ เป็นการงานที่ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ไม่ทำให้ตัวเองเดือดร้อน ปกติคนเราในชีวิตประจำวัน มันก็ทำแต่สิ่งที่เก่าๆ ซ้ำๆ ซากๆ มันต้องนอน ต้องมีที่อยู่ที่นอน มันต้องจัดที่นอน ดูแลที่อยู่ที่นอน ดูแลห้องน้ำห้องสุขา ทำอย่างนี้ทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านให้เรามีความสุขในการทำการทำงานอย่างนี้ เวลาเรากวาดบ้านก็ดี ทำอะไรทุกอย่างก็ดี ก็ให้ใจของเราอยู่กับเนื้อกับตัว ให้ใจของเราอยู่กับการกระทำสิ่งนั้น เราทำช้า ทำเร็ว ก็ให้ใจเรามีสติ...แล้วแต่เวลามันจะเร่งรัด ให้เราเอาสติ เอาสมาธิ เอาการกระทำของเราเป็นการประพฤติปฏิบัติธรรม ลงรายละเอียดให้กับตัวเองให้มากขึ้น
เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ... เราทำอะไรอย่าไปหวังผลตอบแทน อย่าไปหวังคำว่าขอบคุณ มันมีความทุกข์ ถ้าเราหวังผลมันมีความทุกข์ ถ้าเราหวังคำว่า 'ขอบคุณ' ให้เราทำงานเพื่องาน ทำงานเพื่อเสียสละ จิตใจของเราจะได้สงบ จิตใจของเราจะได้เย็นอยู่กับการทำงาน
คนส่วนใหญ่ไม่รู้นะว่าการทำงาน คือการปฏิบัติธรรม การทำงาน คือการทำความดี การทำงาน คือการเสียสละ การทำงาน คือการฝึกตัวเอง ฝึกสติ เราอย่าไปคิดว่าการปฏิบัติธรรม คือการเดินจงกรม นั่งสมาธิ นั่นมันแค่ขั้นตอนหนึ่ง แต่ชีวิตของคนเรามันมีหน้าที่ที่มองเห็นเป็นหลักใหญ่ๆ ตั้ง ๘ อย่าง ยังมีคนเข้าใจผิดเยอะว่าไม่มีเวลารักษาศีล ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมเลย... อันนี้ก็เพราะว่าเราไม่เข้าใจเรื่องพระศาสนา ไม่เข้าใจเรื่องการปฏิบัติธรรม ในทุกหนทุกแห่งในโลกนี้นั่นคือการปฏิบัติธรรม... เราปฏิบัติธรรมในที่ทำงาน เราปฏิบัติธรรมในที่บ้านของเรานั่นแหละ... เขาอย่าไปมีช้อแม้ว่าอยู่ในที่ทำงานปฏิบัติไม่ได้ มันมีแต่เรื่องวุ่นวาย ถ้ามันไม่มีสิ่งวุ่นวายต่างๆ เหล่านี้แล้ว เราจะรักษาศีลไปทำไม เราจะมีโอกาสทำใจของเราให้มันสงบหรือ เราจะมีโอกาสทำใจของเราให้มันเย็นหรือ?
ในบ้านในสังคมมันต้องมีทั้งคนดีคนไม่ดี เราจะได้มาปรับที่ใจ ปรับที่การกระทำ ปรับที่คำพูดของเรา เราจะไปรอให้ปัญหาต่างๆ ให้มันหมด มันก็ไม่หมด เพราะมันเป็นโลก เป็นวัฏฎสงสาร พอเรื่องเก่าจบเรื่องใหม่ก็มาอีกเหมือนกับตัวเรานี้แหละ วันนี้ก็ทานอาหาร วันต่อไปก็ต้องทานอีก มันไม่จบ...
เราอย่าไปทุกข์ไปร้อนกับสิ่งต่างๆ ว่าสิ่งนี้มันก็ไม่ดี สิ่งนั้นมันก็ไม่ดี เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นกฎของธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เรายึดเราถือ สิ่งต่างๆ ที่เข้ามาทางตาทางหู ถ้าเราเอามาแบกมายึดมาถือมันก็ทุกข์มาก ทุกข์จากขันธ์ ๕ มันก็ทุกข์มากอยู่แล้ว ทุกข์ทางกายทุกข์ทางใจของเรามันก็มากอยู่แล้ว เราก็ยังเอาทุกข์ของคนอื่นมาแบกอีก
ที่เรามีปัญหา ที่เรามีความทุกข์อยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเรายังไม่รู้จัก เราเที่ยวไปแบกเอาทุกข์ของเขา ไปคิดแทนเขา เราเข้าไปมีส่วนร่วมหมด อย่างนี้เขาเรียกว่า 'เป็นผู้เกิดมาแบกโลก'
ทำไมการปฏิบัติของเรามันไม่ก้าวหน้า เราก็ต้องกลับมาดูตัวเอง เป็นเพราะเรารักษาศีลไม่ดี ศีลของเราไม่สะอาดบริสุทธิ์ ศีลด่างศีลพร้อย ก็ให้เรามาดูความประพฤติของตัวเอง มันจะได้แก้ไข มันจะได้ปรับปรุง คนเราถ้าทำอย่างเก่า คิดอย่างเก่า ทำเหมือนเก่า มันก็ไม่มีอะไรจะดีขึ้น สมมุติว่าเราหาเงินได้วันละ ๑,๐๐๐ บาท เราไม่พออยู่พอกินเป็นหนี้เป็นสิน ถ้าเราทำอย่างเก่ามันก็เป็นหนี้อย่างเก่า ไม่มีทางหมดหนี้หมดสินได้ฉันใด เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป
เราจะเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ก็เนื่องมาจากปฏิปทาข้อวัตรข้อปฏิบัติ ด้วยความตั้งมั่นความหนักแน่น มีปฏิปทาที่ดีๆ อย่างเสมอต้นเสมอปลาย อบรมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ ทุกๆ วันด้วยความไม่ประมาท ให้กลับมาดูตัวเอง ถ้าเราหมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องที่เป็นบาปเป็นกรรม ให้ละให้ปล่อยวาง ให้เป็นคนละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป อย่าเป็นคนจิตใจบาป จิตใจสกปรก จิตใจเศร้าหมอง จิตใจก้าวร้าว คนเรามันเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ แล้วจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง
เราต้องเริ่มต้นที่การเปลี่ยนแปลงทางจิตใจ แล้วก็เปลี่ยนแปลงทางคำพูด ในการประพฤติปฏิบัติของเราในชีวิตประจำวัน ให้เรากลับมาดูตนเอง มันชอบมีปัญหาเรื่องคำพูดกับพ่อแม่ กับพี่น้อง กับผู้ใกล้ชิด เพราะเราเป็นคนปากไว ไร้สติ พูดจาเพ้อเจ้อ ขวานผ่าซาก ไม่มีปัญญาในเรื่องพูด ชอบพูดด้วยความสะใจ ถ้าเราพูดบ่อยๆ เราก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะว่ามันชำนาญแล้ว แต่คนอื่นเขาไม่ชอบใจเขารับไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้มันไม่ดี คนเราเรื่องพูดนี้สำคัญมาก ก่อนพูดเราเป็นเจ้านาย เมื่อพูดเสร็จเราก็เป็นบ่าวเป็นลูกน้อง ถ้าพูดดี พูดเพราะ พูดมีเมตตา พูดเกื้อกูลให้กำลังใจกันเพื่อให้เกิดความสามัคคี คนอื่นเขาก็รักก็ชอบเรา ตัวเราเองก็สงบ คำพูดนี้เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ถ้าเราพูดไม่ดีทำให้บรรยากาศสิ่งแวดล้อมเสียไปหมด ทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทำให้เผาไหม้ตัวเอง เผาไหม้คนอื่น เผาไหม้ครอบครัว ญาติพี่น้อง มันเผาทำลายไปหมด
คนอื่นเขาจะเป็นอย่างไรก็ช่างเขา เขาจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เห็นแก่ตัวก็ช่างเขา เราอย่าไปรับเอามาใส่ใจของเรา คนเราส่วนใหญ่มีทุกข์เพราะว่าไปรับเอาสิ่งภายนอกมาให้ตัวเองเป็นทุกข์ ทั้งที่เอามาคิดปวดหัว มันไม่มีอะไร สิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ก็เอามาคิด ถ้าเราใจดีใจสบาย ใจมีความสุข เราไม่เครียด เรายังพอมีโอกาสที่จะแก้ปัญหาได้ นี่เรามันคนฟุ้งซ่าน คนไม่สงบ มันจะไปแก้ปัญหาอะไรได้ เราพยายามพัฒนาตัวเองแก้ไขตัวเอง เพิ่มความสุขให้ตนเอง เพิ่มความดับทุกข์ให้ตนเอง ให้ใจกับกายของเรามันอยู่ด้วยกัน ทำอะไรก็ให้ใจกับกายมันอยู่ด้วยกัน ทำความดีมากๆ มันจะได้มีความสุข มีอาหารใจ
อย่าเป็นคนเห็นแก่ตัวนะ เป็นคนติดสุขติดขี้เกียจ แล้วอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองไปทางที่ดี มันเป็นไปไม่ได้ เรื่องของความขี้เกียจนั้นมันมีมากทุกๆ คน แต่ทุกคนก็ต้องละความขี้เกียจขี้คร้าน เพิ่มความขยันให้กับตนเองทุกๆ วัน ไม่มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนขี้เกียจขี้คร้าน ไม่มีอรหันตสาวกองค์ไหนขี้เกียจขี้คร้าน เราต้องเป็นคนขยัน มีความสุขกับการทำงานกับการขยันหมั่นเพียร เห็นคุณประโยชน์ในการขยันหมั่นเพียร ทำไปบ่อยๆ ทำมากๆ เดี๋ยวขี้เกียจมันก็หายเอง มันขี้เกียจเราก็อย่าไปสนใจช่างหัวมัน ทำไปเรื่อยๆ ความเพียรเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องทำ ถึงมีชีวิตอยู่แค่วันเดียวก็ดี ดีกว่าผู้มีอายุเป็น ๑๐๐ ปี ความขี้เกียจมันทำลายคน ความขยันมันสร้างคน ประวัติครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เป็นพระอริยเจ้านั้นท่านขยันมาก เดินจงกรมมาก นั่งสมาธิก็มาก ทำข้อวัตรข้อปฏิบัติมาก จิตใจเข้มแข็ง กว่าจะได้เป็นพระอริยเจ้าให้เรากราบไหว้ ไม่มีองค์ไหนมักง่ายฟรีสไตล์ไม่มีหลักไม่มีเกณฑ์
เราหางานให้กับตัวเองทำนะ ถ้าเป็นงานของพระนักปฏิบัติก็ให้เดินจงกรม นั่งสมาธิ ถึงเวลาทำกิจวัตรก็ตามเวลา เวลาส่วนรวมเวลาภาคบังคับก็ทำ ต้องทำให้มันดีๆ อย่าไปทำแต่ว่าสักแต่ว่าทำ ทำให้มันเกิดความสุขเกิดความสงบเกิดความเยือกเย็น ให้เราพยายามเอาศีลเอาธรรมเอาข้อวัตรปฏิบัติเปลี่ยนแปลงตัวเอง เพราะว่าเวลามันเปลี่ยนไปทุกวัน ความเกิดความแก่มันก็หมุนเข้ามาหาเราทุกวัน เวลานั้นหมุนเร็วมาก ใจของเรามันก็ร้อนขึ้นทุกที ความอยากของเราก็มาก อยากรวย อยากบรรลุธรรม อยากอย่างโน้นอยากอย่างนี้ ความอยากมันเผาเรา แต่ตัวเราเองก็ไม่ยอมปฏิบัติ ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ติดสุขมากติดสบายมาก มีความขี้เกียจขี้คร้านเป็นที่พึ่งเป็นสรณะ ถึงคราวแล้วที่เราจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเอง ที่พระพุทธเจ้าพาเราปฏิบัติพาเราตรัสรู้ เราก็ต้องตัด ต้องละ ต้องวาง ต้องเสียสละ ต้องตายจากความสุขความขี้เกียจขี้คร้าน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นสิ่งปิดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงคุณงามความดี
พระพุทธเจ้าให้เราเอาความดับทุกข์ด้วยการไม่ตามกิเลส เพราะมันเป็นเรื่องไม่จบไม่สิ้น มันเป็นเรื่องที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนฉายหนังม้วนเก่า มันไม่จบ มันจบก็เอามาฉายใหม่ บางคนก็เบื่อความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ไม่อยากเกิดแต่ก็ไม่ยอมทิ้งไม่ยอมละไม่ยอมปล่อยวาง คงคิดไม่ถึงว่าถ้าเราปล่อยวางกิเลสไม่ทำตามกิเลส มันมีความสุข เขาอยากมีรสชาติอยู่กับกิเลส ถ้าไปพระนิพพานมันจะมีรสชาติจากไหน มันเลยอาลัยอาวรณ์กับภพชาติ อาลัยอาวรณ์กับข้าวของเงินทอง พี่น้อง ยศ ตระกูล มันไม่ได้คิดว่าของพวกนี้มันของชั่วคราว ของเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราปล่อยวางแล้วเราจะมีความสุขมาก ตามพระบาลีตรัสไว้ สุขอันไหนก็ไม่เท่าความสงบ เปรียบเสมือนเราแบกโลกทั้งโลกแล้วเราปล่อยวางมัน เราก็มีความสุข ถ้าเรากลับมาแก้ที่ตัวเราเองปัญหาทุกอย่างก็หมดไป