แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันจันทร์ที่ ๘ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง มนุษย์ที่สมบูรณ์ ตอนที่ ๖๕ สละทิ้ง DNA คือตัณหามานะ ที่เป็นพ่อแม่แห่งการเวียนว่ายตายเกิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พื้นฐานของเราทุกคนที่พากันเวียนว่ายตายเกิด เนื่องมาจากความไม่รู้ ความไม่รู้นั่นคือความเห็นผิดเข้าใจผิดเราพากันปฏิบัติผิด เราก็ไม่รู้ญาติบรรพบุรุษของเราก็ไม่รู้ความไม่รู้มัน เป็น DNA ที่มันฝังอยู่ มันเป็นชิปที่ฝังอยู่ มันเป็นรากเหง้าเป็นโคนเป็นพันธุ์เป็นเมล็ดพันธุ์ที่ครองใจของเรา มันเลยเป็นสังขารที่มีใจครอง มันครองด้วยอวิชชาครองด้วยความหลง มันเลยเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม ลูกหลานเหลนที่เกิดมาต้องมารับเอาอวิชชารับเอาความหลง รับเอากรรมรับเอาการกระทำที่ทำให้เราท่านทั้งหลายพากันเวียนว่ายตายเกิด สิ่งเหล่านี้มันเป็น DNA มันเป็นไวรัส พระพุทธเจ้าคือผู้ที่บำเพ็ญพุทธบารมี คือผู้ที่จะมาแก้ไขปัญหา ด้วยการใช้เวลานานนับเป็นเวลาตั้งหลายล้านชาติ ได้มารู้เรื่องหยุดเวียนว่ายตายเกิด มีหลักการมีหลักวิชาการ ด้วยเหตุด้วยปัจจัยทั้งภาคความรู้ทั้งภาคปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ เรื่องการประพฤติการปฏิบัติน่ะ ทุกท่านทุกคนต้องพากันปฏิบัติด้วยตัวของท่านเอง เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตน ให้ทุกท่านทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วพากันปฏิบัติให้มันถูกต้อง ต้องพากันกลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะ สตินั้นได้แก่ความสงบความสงบได้แก่การหยุดวงจรของอวิชชาของความหลง มาเอาความถูกต้องเป็นการดำเนินชีวิต คือธรรมะไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจนะ ถึงพ่อแม่บรรพบุรุษของเราเคยพาทำมาหลายร้อยหลายพันปี หลายหมื่นหลายแสนหลายล้านชาติ นั่นคือความไม่ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาหาสติคือความสงบ กลับมหาสัมปชัญญะคือความถูกต้อง ความถูกต้องที่ไม่เป็นอวิชชาไม่เป็นความหลง ความถูกต้องไม่ได้เป็นความถูกใจของเรา ทุกท่านทุกคนต้องพากันแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ต้นเหตุคือความไม่ถูกต้อง คือความเห็นไม่ถูกต้องความเข้าใจไม่ถูกต้องแล้วเราก็ปฏิบัติไม่ถูกต้อง นั่นแหละเป็นต้นเหตุ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนที่เป็นพุทธะ เราต้องทำอย่างท่านปฏิบัติอย่างท่าน เราถึงจะได้เป็นพระอรหันต์ ได้เป็นพระอริยเจ้า เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันถึงจะหยุดความทุกข์ได้ทั้งกายหยุดความทุกข์ได้ทั้งใจ พระพุทธเจ้าถึงเป็นตัวธรรมะธรรมะถึงเป็นตัวของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ถึงเป็นตัวธรรมะ ธรรมะถึงเป็นตัวพระอรหันต์ สละคืนนิติบุคคลในตัวในตนของเราทุกคน
เมื่อสมัยพุทธกาลเมื่อสมัยพระพุทธเจ้าทรงพระชนม์อยู่ทางสรีระร่างกายผู้ที่เกี่ยวข้องได้เห็นพระพุทธเจ้าด้วยตาได้ฟังด้วยหูได้เห็นตัวอย่างแบบอย่างได้พบพระพุทธเจ้าคือบัณฑิต ได้รับ DNA แห่งความเป็นพุทธะอย่างเต็มๆ ได้อนุตตริยะ คือ ได้สิ่งที่ยอดเยี่ยมถึง ๖ ประการ คือ
๑. ทัสสนานุตตริยะ การเห็นอันยอดเยี่ยม คือ ได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพระสาวกผู้ปฏิบัติดี ทรงศีล ทรงธรรม น่าเข้าใกล้ เพื่อจะได้ฟังธรรม
๒. สวนานุตตริยะ การฟังอันยอดเยี่ยม คือ ได้ฟังธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมที่จะนำผู้ปฏิบัติให้พ้นจากทุกข์ได้จริง
๓. ลาภานุตตริยะ การได้อันยอดเยี่ยม คือ ได้ความศรัทธาในพระรัตนตรัย และอยากศึกษาพระธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
๔. สิกขานุตตริยะ การศึกษาอันยอดเยี่ยม คือ ได้ศึกษาพระธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
๕. ปาริจริยานุตตริยะ การบำรุงอันยอดเยี่ยม คือ ได้ อุปัฏฐากบำรุงพระบรมศาสดา หรือพระสาวกผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศ
๖. อนุสสตานุตตริยะ การระลึกอันยอดเยี่ยม คือ ได้ระลึกถึงพระรัตนตรัยซึ่งเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด เป็นแหล่งแห่งความสะอาดบริสุทธิ์ นี่คือความโชคดีของผู้ที่ได้เกิดในดินแดนที่พระพุทธศาสนากำลังรุ่งเรือง
พระอานนท์ได้กราบทูลองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าเมื่อสรีระร่างกายของพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วจะเอาใครแทนสมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า พระธรรมวินัยที่ได้แสดงและบัญญัติจะเป็นศาสดาหลังจากที่พระพุทธองค์ได้ล่วงลับดับไป ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องที่เป็นธรรมวินัยแห่งพุทธะซึ่งเป็นอมตะเป็นสิ่งที่ไม่ตาย พุทธจะอยู่คู่กับผู้ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอยู่ตลอดกาล
เราทุกคนได้รับ DNA จากพ่อจากแม่จากบรรพบุรุษ เกิดขึ้นมาลืมตาอ้าปาก เราก็เห็นพ่อแม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เห็นพ่อแม่ดำรงชีวิตด้วยเอาความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น เหมือนที่เราพากันเห็นอยู่ทุกวันนี้ ความรู้สึกนึกคิดที่มันเป็น DNA ฝังลึกทางสายเลือดทั้งทางจิตวิญญาณ ความคิดของเราเกี่ยวข้องกับอวิชชาเกี่ยวข้องกับความหลง เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ไม่รู้ เกี่ยวข้องกับคนพาล ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทถึงมีความจำเป็นที่ต้องสละคืนซึ่งนิติบุคคลซึ่งเป็นตัวเป็นตน มันไม่มีตัวมีตนที่เหลืออยู่ มีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะที่เรียกว่าธรรมวินัย ผู้ที่บวชมาถึงเรียกบุคคลนั้นว่าพระธรรมพระวินัย ทุกคนต้องสละเสียซึ่งนิติบุคคลตัวตน มีแต่พระธรรมพระวินัยบุคคลพวกนี้ถึงได้แยกตัวออกจากเรือน เพราะความสุขความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พระพุทธเจ้ากับพระอรหันต์ถึงมีความสุขมีความดับทุกข์อยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะความสุขความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสติมีสัมปชัญญะไม่เกี่ยวข้องกับวัตถุเลย เป็นสติเป็นสัมปชัญญะล้วนๆ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พระพุทธเจ้าอยู่โคนไม้อยู่เรือนว่างอยู่ป่าอยู่เขาอยู่ในบ้านในกรุงก็ทรงมีความสุข เพราะท่านไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะท่านมีแต่สติมีแต่สัมปชัญญะ
พวกที่บรรพชาอุปสมบทในครั้งพุทธกาลจึงไม่มีใครบวชมาเพื่อสร้างกุฏิสร้างโบสถ์สร้างศาลาสร้างวิหาร การที่เราสร้างกุฏิสร้างโบสถ์สร้างศาลาวิหารเจดีย์นี้ ถ้าจะคิดดูดีๆ ก็เท่ากับเราแยกครอบครัวจากการเป็นฆราวาส แล้วก็มาสร้างครอบครัวเป็นนักบวช มันก็ไม่ต่างกัน เพราะเราไม่ได้มีสติมีสัมปชัญญะเลยเรายังมาเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอยู่ การประพฤติการปฏิบัติของเราอย่างนี้ มันก็เป็นพระธรรมพระวินัยไม่ได้ เพราะเราไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพราะใจของเรายังเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ใจของเรายังเป็นผู้มีอวิชชามีความหลงยังครองเรือนอยู่ ความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดทำให้เราเป็นพระธรรมพระวินัยไม่ได้ เป็นพระศาสนาไม่ได้ ยังเอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมาเป็นเราอยู่ ยังไม่ได้สละคืนเสียซึ่งนิติบุคคลตัวตน ความไม่เข้าใจอย่างนี้เรียกว่า ยังเป็นบุคคลที่ตรึกในกาม ยังเป็นบุคคลที่ตรึกในพยาบาทอยู่ ยังเป็นบุคคลที่มีผัวทางความคิดมีเมียทั้งอารมณ์ ไม่สามารถที่จะเป็นพระอริยสงฆ์ได้ เพราะท่านได้ทำกรรม ด้วยเหตุที่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงการหยุดการเวียนว่ายตายเกิด รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของผู้ที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ ที่มันก็พบก่อชาติให้เราทุกคนต้องเวียนว่ายตายเกิด เมื่อทุกคนไม่สละคืนเสียซึ่งตัวตน สติสัมปชัญญะนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะท่านเอาอวิชชาเอาความหลงเป็นการครองธาตุครองขันธ์ เมื่อใจของเราทุกคนมันคิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะมาเป็นตัวเรา สติสัมปชัญญะหรือว่าพุทธะนั้นก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะใจของเราคิดได้ทีละอย่าง การปฏิบัติธรรมนั้นมันถึงเป็นการลบอดีตเป็นศูนย์ ว่างจากนิติบุคคลว่างจากตัวตน ปัจจุบันก็ว่าจากนิติบุคคลจากตัวตน ชีวิตของเราก็จะก้าวไปทางวัตถุทางจิตใจด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง
ท่านทั้งหลายต้องพากันมาเอาพระนิพพานเรื่องความดับทุกข์ อยู่ที่เราพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้มันถูกต้อง เพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม การปฏิบัติธรรมน่ะมันแก้ปัญหาได้ เพราะเราได้พัฒนาทั้งทางวัตถุได้พัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน มันไม่ใช่เรื่องสุดโต่ง มันเป็นเทคโนโลยีทางวัตถุ มันเป็นเทคโนโลยีทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะเอาแต่ทางวัตถุทางตัวตน ทุกท่านทุกคนก็ปฏิบัติตัวเองให้เต็มที่ เราจะไปว่าคนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่นี้เขาไม่เอาทางธรรมเลย เอาแต่วัตถุเอาแต่ความหลงน่ะ เราทุกคนน่ะต้องพากันแก้ไขตัวเองอย่างเต็มที่ อย่าเป็นบุคคลที่ถือสีลัพพตปรามาส ควบคุมตัวเองให้อยู่ในศีลในข้อวัดในข้อปฏิบัติ เพื่อเราทุกคนจะได้เป็นพระ เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย เพื่อไม่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะได้ส่งผลัดให้บุคคลอื่นให้ลูกให้หลาน ความฟุ้งซ่านมันก็ไปเรื่อย ถมเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มหรอก ความฟุ้งซ่านน่ะ ถมเท่าไรมันก็ไม่เต็มหรอก ด้วยอำนาจแห่งอวิชชาความหลง ทุกท่านทุกคนต้องกลับมาหาสติความสงบมาแก้ที่ใจของเรานี่แหละ มาแก้ที่กายวาจากิริยามารยาท ไม่อย่างนั้นเราจะร้องโอ๊ยๆ อย่างไม่มีที่จบ ใจของเราจะไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ มันจะไปอยู่กับโทรศัพท์ อยู่แต่สิ่งภายนอก สิ่งเหล่านี้ถมเท่าไหร่มันก็ไม่เต็มหรอก ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ ความโลภความโกรธก็ไม่อิ่มด้วยอวิชชาด้วยความหลง
เมื่อสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราได้รับเชื้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิดที่เป็นอวิชชาเป็นความหลง ให้ทุกท่านทุกคนจับหลักในการที่จะออกจากวัฏสงสาร โดยถือเอาพระพุทธเจ้า 100% ถือเอาธรรมะ 100% พระอริยสงฆ์ที่ถือตามพระพุทธเจ้า เราต้องถือนิสัยต้องถอดแบบให้มันได้ 100% ด้วยการหยุดตัวเอง หยุดทำตามพ่อแม่บรรพบุรุษ พ่อแม่ที่เป็นอวิชชาเป็นความหลงที่มันเป็นรากเป็นเหง้าที่มันเป็นตัวเป็นตน ทุกท่านทุกคนต้องพากันทิ้งพ่อทิ้งแม่ทิ้งอวิชชาทิ้งความหลง เพื่อจะมารับเอาพระธรรมพระวินัย ที่เป็นสติความสงบที่เป็นสัมปชัญญะ เป็นความงามในเบื้องต้นคือศีล เป็นความงามในเบื้องกลางคือสมาธิ เป็นความงามในเบื้องปลายคือปัญญาสัมมาทิฏฐิ
วันหนึ่งภิกษุอาคันตุกะหลายรูปด้วยกัน เข้าไปเฝ้าพระศาสดาผู้ประทับนั่ง ณ ที่ประทับกลางวัน ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง. ขณะนั้น พระลกุณฏกภัททิยเถระเดินผ่านไปในที่ไม่ไกลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระศาสดาทรงทราบวารจิต (คือความคิด) ของภิกษุเหล่านั้นแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอเห็นหรือ? ภิกษุนี้ฆ่ามารดาบิดาแล้ว เป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไปอยู่" เมื่อภิกษุเหล่านั้นมองดูหน้ากันและกันแล้ว แล่นไปสู่ความสงสัยว่า "พระศาสดา ตรัสอะไรหนอแล?" จึงกราบทูลว่า "พระองค์ตรัสคำนั่นชื่ออะไร?" เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา ราชาโน เทฺว จ ขตฺติเย รฏฺฐํ สานุจรํ หนฺตฺวา อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ.
บุคคลฆ่ามารดาบิดา ฆ่าพระราชาผู้เป็นกษัตริย์ทั้งสอง และฆ่าแว่นแคว้นพร้อมด้วยเจ้าพนักงานเก็บส่วยแล้ว เป็นพราหมณ์ ไม่มีทุกข์ ไปอยู่.
ก็ในพระคาถานี้ บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยว่า ตัณหา ชื่อว่ามารดา เพราะให้สัตว์ทั้งหลายเกิดในภพ เพราะบาลีว่า "ตัณหายังบุรุษให้เกิด." (เอตฺถ หิ "ตณฺหา ชเนติ ปุริสนฺติ วจนโต ตีสุ ภเวสุ สตฺตานํ ชนนโต ตณฺหา มาตา นาม.)
อัสมิมานะ ชื่อว่าบิดา เพราะอัสมิมานะอาศัยบิดาเกิดขึ้นว่า "เราเป็นราชโอรสของพระราชาชื่อโน้น หรือเป็นบุตรของมหาอำมาตย์ของพระราชาชื่อโน้น" เป็นต้น. ("อหํ อสุกสฺส นาม รญฺโญ วา ราชมหามตฺตสฺส วา ปุตฺโตติ ปิตรํ นิสฺสาย อสฺมิมานสฺส อุปฺปชฺชนโต อสฺมิมาโน ปิตา นาม.)
ทิฏฐิทุกชนิด ย่อมอิงสัสสตทิฏฐิ และอุจเฉททิฏฐิทั้งสอง เหมือนชาวโลกอาศัยพระราชาฉะนั้น เพราะฉะนั้น สัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ จึงชื่อว่าพระราชาผู้กษัตริย์สองพระองค์.
สัสสตทิฏฐิ ความเห็นว่าเที่ยง อุจเฉททิฏฐิ ความเห็นว่าขาดสูญ กล่าวสั้นง่ายๆ คือ เห็นว่าตายเกิด กับ เห็นว่าตายสูญ แต่ต้องเข้าใจว่าเห็นว่าตายเกิดที่เป็นสัสสตทิฏฐินั้น คือต้องเกิดกันร่ำไปไม่มีสิ้นสุด แต่กล่าวสั้นว่า เห็นว่าตายเกิด กับเห็นว่าตายสูญ
อันความเห็นดั่งนี้เป็นความเห็นที่ผิดจากสัมมาทิฏฐิในอริยสัจจ์ คือสัมมาทิฏฐิในองค์มรรค สัมมาทิฏฐิคือความเห็นชอบในองค์มรรคในอริยสัจจ์นี้ แสดงเป็นวิภัชวาทะ คือกล่าวจำแนกตามเหตุและผล ทุกข์เป็นผล สมุทัยเป็นเหตุ นิโรธเป็นผล มรรคเป็นเหตุ ทุกข์กับสมุทัยเป็นผลและเหตุ ในด้านก่อทุกข์ นิโรธกับมรรค เป็นผลและเหตุ ในด้านดับทุกข์ สำหรับในด้านก่อทุกข์นั้น คือทุกข์กับสมุทัย ทุกข์นั้นก็ดังที่ได้สวดได้ทราบกันอยู่แล้วเนืองๆ เริ่มต้นด้วย ชาติปิทุกขา แม้ความเกิดเป็นทุกข์ คือชาติเป็นทุกข์ และสมุทัยนั้นก็ได้แก่ตัณหาความดิ้นรนทะยานอยาก ฉะนั้น เมื่อยังมีตัณหาเป็นสมุทัยอยู่ ก็จะต้องมีทุกข์ มีชาติความเกิดเป็นต้น กล่าวสั้นเมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ต้องเกิด ส่วนนิโรธและมรรคนั้น เป็นผลและเหตุในด้านดับทุกข์ นิโรธคือดับตัณหาได้ ก็ดับทุกข์ได้ กล่าวโดยตรงก็คือเมื่อดับตัณหาได้ ก็ดับทุกข์ ตั้งต้นแต่ชาติคือความเกิดได้ ฉะนั้นเมื่อดับตัณหาได้ ก็ไม่เกิดอีก แต่ทั้งนี้จะต้องปฏิบัติในเหตุคือมรรคมีองค์ ๘ ฉะนั้นตามหลักพุทธศาสนาจึงไม่ยืนยันตายตัวว่าตายเกิด และไม่แสดงว่าตายสูญ แต่แสดงไปตามเหตุผล เมื่อยังมีตัณหาอยู่ก็ยังต้องเกิด เมื่อดับตัณหาได้ สิ้นตัณหาเสียได้ ก็สิ้นชาติคือความเกิด คือไม่เกิดอีก ฉะนั้น ตามหลักพุทธศาสนาจึงตายเกิดกันตลอดเวลาที่ยังมีตัณหา แต่เมื่อดับตัณหาได้ จึงจะไม่เกิดอีก
อายตนะ ๑๒ ชื่อว่าแว่นแคว้น เพราะคล้ายคลึงกับแว่นแคว้น โดยอรรถว่ากว้างขวาง. ความกำหนัดด้วยอำนาจความยินดี ซึ่งอาศัยอายตนะนั้น ดุจบุรุษเก็บส่วย จัดการส่วยให้สำเร็จ ชื่อว่าเจ้าพนักงานเก็บส่วย.
บทว่า อนีโฆ ได้แก่ ไม่มีทุกข์. บทว่า พฺราหฺมโณ ได้แก่ ผู้มีอาสวะสิ้นแล้ว.
ในพระคาถานี้ มีอธิบายดังนี้ "ผู้ชื่อว่ามีอาสวะสิ้นแล้ว เพราะกิเลสเหล่านั้นมีตัณหาเป็นต้น อันตนกำจัดได้ด้วยดาบ คืออรหัตมรรคญาณ จึงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ ไปอยู่." ในกาลจบเทศนา ภิกษุเหล่านั้นดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว.
แม้ในพระคาถาที่ ๒ เรื่องก็เหมือนกับเรื่องก่อนนั่นเอง. แม้ในกาลนั้น พระศาสดาทรงปรารภพระลกุณฏกภัททิยเถระเหมือนกัน เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่ภิกษุเหล่านั้น จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :-
มาตรํ ปิตรํ หนฺตฺวา ราชาโน เทฺว จ โสตฺถิเย เวยฺยคฺฆปญฺจมํ หนฺตฺวา อนีโฆ ยาติ พฺราหฺมโณ.
บุคคลฆ่ามารดาบิดา ฆ่าพระราชาผู้เป็นพราหมณ์ทั้งสองได้แล้ว และฆ่าหมวด ๕ แห่งนิวรณ์มีวิจิกิจฉานิวรณ์ เช่นกับหนทางที่ เสือโคร่งเที่ยวไปเป็นที่ ๕ แล้ว เป็นพราหมณ์ ไม่มีทุกข์ ไปอยู่.
ก็ในพระคาถานี้ พระศาสดาตรัสสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิให้เป็นพระราชาผู้เป็นพราหมณ์ทั้งสอง เพราะพระองค์เป็นใหญ่ในพระธรรมและเพราะพระองค์เป็นผู้ฉลาดในวิธีเทศนา.
บัณฑิตพึงทราบวิเคราะห์ ในบท เวยฺยคฺฆปญฺจมํ นี้ว่า หนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไป มีภัยรอบด้าน เดินไปลำบาก ชื่อว่าทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้ว. แม้วิจิกิจฉานิวรณ์ ชื่อว่าเป็นดุจทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้ว เพราะความที่วิจิกิจฉานิวรณ์นั้น คล้ายกับหนทางอันเสือโคร่งเที่ยวไปแล้วนั้น, วิจิกิจฉานิวรณ์เช่นกับหนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้วนั้น เป็นที่ ๕ แห่งหมวด ๕ แห่งนิวรณ์นั้น เพราะฉะนั้น หมวด ๕ แห่งนิวรณ์ จึงชื่อว่ามีวิจิกิจฉานีวรณ์ เช่นกับหนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้วเป็นที่ ๕.
ในพระคาถาที่ ๒ นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า "ก็บุคคลฆ่าหมวด ๕ แห่งนีวรณ์มีวิจิกิจฉานีวรณ์ เช่นกับหนทางที่เสือโคร่งเที่ยวไปแล้วเป็นที่ ๕ นี้ไม่ให้มีส่วนเหลือ ด้วยดาบคืออรหัตมรรคญาณ เป็นพราหมณ์ ไม่มีทุกข์ เที่ยวไปอยู่."
มีปริศนาธรรมข้อหนึ่งกล่าวว่า หากพบพระพุทธเจ้าระหว่างทางนั้นจะทำเช่นไร คำตอบคือ จงฆ่าพระพุทธเจ้าเสีย
กล่าวมาอย่างนี้ หากเผลอตัดสินโดยไม่ได้ยั้งคิดด้วยสติปัญญาก่อนแล้ว เราอาจมองว่านี่เป็นการยั่วยุให้ทำร้ายพระสงฆ์องค์เจ้าใช่ไหม หรือหากคิดปรุงแต่งเกินเลยไปอีกอาจไพล่เห็นว่านี่ต้องเป็นทัศนคติคนศาสนาอื่นต้องการบ่อนทำลายศาสนาพุทธเป็นแน่ หากแต่ตามจริงแล้ว นี่ปริศนาธรรมในศาสนาพุทธนี้เอง ซึ่งมุ่งตรงไปสู่คำถามสำคัญที่ว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตากันแน่
แล้วที่ผ่านมาก็มีเพียงคนศาสนาเดียวที่บ่อนทำลายศาสนาพุทธ ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว นั่นคือพุทธศาสนิกชนและพระสงฆ์องค์เจ้าเอง ที่ยึดเอาศาสนาพุทธไปผิดทางและสอนธรรมะไปผิดทิศ นั่นแล
คำกล่าวของปริศนาธรรมข้างต้น ไม่ได้หมายถึงให้เราประทุษร้ายพระพุทธเจ้าหรือสงฆ์องค์ไหน แม้จะเป็นสงฆ์แท้หรือเทียมก็ตาม หากแต่หมายถึง ขจัด “พระพุทธเจ้าตามทัศนะของท่าน” ออกไปเสียให้พ้นทาง เพราะนี่คือเหตุหนึ่งที่ทำให้เราทั้งหลาย ไม่เข้าถึงพุทธธรรม คือไม่เข้าใจหลักธรรมตามที่พระพุทธเจ้าได้สอนไว้ หรือปฏิบัติเท่าใดก็ไม่อาจพ้นทุกข์
กล่าวให้ชัดเจนขึ้นคือ การยึดมั่นใน “พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์” อย่างสำคัญมั่นหมายเป็นตัวเป็นตนนั่น คือภูเขาลูกใหญ่ที่บดบังเราจากพุทธธรรมไว้ ทึกทักไปเองว่านั่นคือ “พระพุทธเจ้าของกู พระพุทธแบบที่กูเชื่อ พระธรรมที่กูศรัทธา พระสงฆ์ของกู ศีลที่กูสะอาด อาจารย์ที่กูเคารพ ศาสนาของกู” ทั้งหลายเหล่านี้เป็นต้นที่พาเราไปไกลสุดกู่จากพระนิพพาน
พระนิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราชอบแนวคิดไหนหรือหลักการไหนเราพึงพอใจ หรือครูอาจารย์ที่ใดสอนสั่ง เหล่านั้นล้วนแต่เป็น พระพุทธเจ้าตามทัศนะของเราที่บดบังเราจากพุทธธรรมทั้งสิ้น นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตาขึ้นอยู่กับนำเราไปสู่หนทางหลุดพ้นทุกข์สิ้นเชิงหรือก่อทุกข์มากมี เพราะป่ากว้างใหญ่ พระพุทธเจ้าเพียงหยิบใบไม้มากำมือ เอาแค่เพียงธรรมะที่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ได้แล้ว ธรรมะอย่างอื่นมิใช่สิ่งจำเป็นที่จะต้องใส่ใจ
เราทั้งหลายมิจำเป็นต้องนำหลักธรรมใดใดมาชี้วัดตัดสินว่า นิพพานเป็นอัตตาหรืออนัตตา เสมอไป แค่ดูให้ดีว่า การเชื่อและปฏิบัติแบบใดของพวกใดที่นำมาสู่ความสุขอย่างแท้จริงด้วยปัญญา และลดละความทุกข์อย่างแท้จริง แล้วพวกอื่นที่เชื่อแบบใด ปฏิบัติและรวมหมู่อย่างไร ก่อให้เกิดความทุกข์และความสุขจอมปลอมที่ต้องใช้เงินและความหลงซื้อมา.
แต่ละนิกายในพุทธศาสนาย่อมมีวิธีการเล่าเรื่องราวและลักษณะเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันในบางจุดบ้างและหลายจุดบ้าง แต่มิว่าแบบใดเหล่านั้นล้วนแต่สามารถเป็น “พระพุทธเจ้าในทัศนะของท่าน” อันขวางทางท่านจากธรรม คือสำคัญมั่นหมายยึดเอาว่า พระพุทธเจ้าเป็นแบบนั้นแบบนี้ เป็นอัตตาตัวตนตามแต่ที่พอใจ มีรูปร่างลักษณะ มีที่อยู่ดินแดนแห่งหน หรือยศตำแหน่งอะไร ยึดมั่นเอามันก็พาให้การปฏิบัติและใจหลงทาง
เราจึงเห็นว่าพุทธศาสนิกชนจำนวนหนึ่งไปหลงอยู่กับรูปเคารพสักการะ ถือว่าอิฐปูนเป็นพระพุทธเจ้า คิดเอาเองว่าพระองค์นั้นซึ่งนิพพานไม่เหลือแล้วยังมีตัวตนตามต้นไม้ หรือเสด็จอยู่ใน นิพพานที่มีความหมายของภพภูมิที่เป็นอัตตา บางพวกก็ทึกทักเอาว่าพระพุทธเจ้าสอนไม่หมดบ้างก็มี กล่าวกันว่าไตรลักษณ์ไม่ใช่ความจริงทั้งหมดก็มี
หากเราพบพระพุทธเจ้าบนทางเดิน หรือ พบเจอว่าท่านกำลังนั่งอยู่ในศูนย์กลางกาย และในคติความคิดใดใด ก็จงฆ่าท่านเสีย คือฆ่าภาพลักษณ์และอัตตวาทุปาทานที่จิตตนคิดให้เสียสิ้น
พระพุทธเจ้าที่เห็นเป็นท่านก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า ความว่างที่เราทึกทักเอาว่า “ว่าง” ก็มิใช่ความว่าง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ที่เราคิดว่า “ใช่” ก็ไม่ใช่อย่างที่ยึด หากจิตยื้อยุดว่าจะให้มัน “ใช่” นั่นก็เพราะภูเขามันบังตาเราอยู่อย่างนั้น พระพุทธองค์ทรงใช้สรรพนามแทนตนว่า “ตถาคต” หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวสรุปว่า “ฉะนั้น คําว่า “ตถาตา” จึงได้แก่ พระไตรลักษณ์ ได้แก่ ปฏิจจสมุปบาท ได้แก่ อริยสัจ ๔. เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ทําไมจะไม่เรียกว่านี้คือหัวใจของพระพุทธศาสนา ซึ่งสรุปเข้ามาเหลือเพียงคําคําเดียวว่า “ตถตา” คือความเป็นเช่นนั้น แม้จะใช้คําว่า “ตถาตา” ก็ยังเป็นคําที่มีความหมายอย่าง เดียวกัน จงจําคําว่า “ตถตา” หรือ ความเป็นเช่นนั้น ไว้ให้แม่นยํา อยู่กับเนื้อกับตัว ; เหมือนกับเอามาแขวนไว้ที่คออย่างพระเครื่อง ให้มันคล่องปาก คล่องใจ ว่า ตถตา เป็นเช่นนั้น จะพูดเป็นภาษาชาวบ้านสักหน่อยก็ได้ว่า มันเช่นนั้นเอง เพื่อเป็นภาษาคนธรรมดามากขึ้นกว่า เช่นนั้นเอง เอา เช่นนั้นเอง มาแขวนไว้ที่คอเป็นพระเครื่อง แล้วจะคุ้มครองทุกอย่าง แล้วก็จะส่งเสริมให้เจริญก้าวหน้าเป็น ลําดับไป จนถึงการบรรลุมรรค ผล นิพพาน.”
ยิ่งยึดเอาพระสงฆ์เป็นของกูมากเท่าใด ความเป็นพระสงฆ์ยิ่งเสื่อมถอยลงเท่านั้น ยิ่งยึดเอาพระพุทธเจ้าตามใจกูมากเพียงใด ศาสนาพุทธยิ่งเสื่อมถอยลงมาเท่านั้น ยิ่งมองธรรมะเป็นไปเพื่อส่งเสริมตัวกูของกูเพียงใด ธรรมะยิ่งหมองลงเพียงนั้น บุญใดเอามาเสริมส่งตัวกูของกูแล้วบุญนั้นก็อกุศล วัดใดเอาอัตตาเป็นที่ตั้งแล้ว ย่อมเสื่อมความเป็นวัดลงไปฉันนั้น
พระพุทธเจ้าท่านให้เราพระพุทธเจ้าท่านให้เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อทุกคนช่วยเหลือตัวเองได้ มันถึงจะช่วยเหลือคนอื่นได้ ต้องพากันหลีกออกจากนิติบุคคลหลีกออกจากตัวตน พระพุทธเจ้าให้เราหลีกออกจากกามด้วยการไม่ตรึกนึกคิด หลีกออกจากพยาบาทเหมือนกับหลีกออกจากกลุ่มคนที่เป็นโรคเป็นหวัดกัน เราก็ต้องหลีกออกจากเขา ถ้าไม่หลีกออก เราก็ต้องเป็นหวัดเหมือนเขา การหลีกออกก็คือเราไม่ให้ใจของเราคิดในเรื่องกามเรื่องพยาบาท มีความสงบวิเวกด้วยองค์ภาวนา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ว่ามันคือธรรมะ
ทุกท่านทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะอย่างนี้ เราก็จะมีความสุขอยู่ทุกคนทุกแห่ง กลับมาหาความสงบตัวผู้รู้ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเรารู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตา กลับมาหาพุทธะที่ไม่เป็นนิติบุคคลตัวตน ที่นั่นก็จะมีความสงบวิเวกอยู่ทุกหนทุกแห่ง เราทุกคนมันครองใจด้วยนิติบุคคลตัวตนว่า ในเราในญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลเป็นเราเป็นของเรา นี่มันไม่ใช่ความสงบ มันเอาความหลงเป็นที่ตั้งเป็นสรณะ เราต้องมามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ด้วยการพัฒนาพุทธะทางวัตถุพุทธะทางจิตใจ เราจะได้สร้าง IQ EQ RQ ทุกคนจะได้มีพลัง Power ด้วยสติด้วยสัมปชัญญะ เพราะพลังพาวเวอร์ที่มีอยู่ในสติอยู่ในสัมปชัญญะ ที่มีอยู่ในพระธรรมวินัย ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ นี่เป็นพลังเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ ด้วยเรากลับมาหาสติมาหาสัมปชัญญะ กลับมาหาพุทธะในปัจจุบันที่สงบเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee