แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๕๒ การตรึกนึกคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเห็นภัยในรวัฏสงสาร ไม่ตรึกในกามในพยาบาท
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันจันทร์ที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๗
การประพฤติการปฏิบัติของเรา ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อจะเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ มนุษย์เราต้องมี 2 ตาคือตาเนื้อกับตาปัญญาไปพร้อมๆ กัน เพราะการเดินทางของชีวิต มันต้องเดินไปทางกายและทางใจไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง ทางกายก็ไม่ยิ่งหย่อน ทางจิตใจก็ไม่ยิ่งหย่อน เป็นทางสายกลาง การปฏิบัติก็ต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำที่ไหลลงสู่ทะเลสู่มหาสมุทรที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นความสมัครสมาน ยกเลิกความชอบใจความไม่ชอบใจ ความชอบใจไม่ชอบใจนี้ ไม่ใช่เป็นทางสายกลาง หมู่วมลมนุษย์ทั้งหลายต้องเดินทางสายกลาง เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เอาสมมติสัจจะที่เป็นพระวินัยเป็นกฎหมายบ้านเมือง เพราะกฎหมายนี้เป็นสมมติสัจจะ เพื่อยกเลิกความชอบใจความไม่ชอบใจ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่คือการยกเลิกความชอบใจไม่ชอบใจ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ กฎหมายบ้านเมืองที่เป็นสมมติสัจจะ เป็นยานพาหนะให้กายกับใจเดินไปทางสายกลาง การประพฤติการปฏิบัติของเราให้มีความถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิ ร่างกายของเราก็ต้องมียานพาหนะที่เดินทาง ทางบกก็ต้องมีรถยนต์มีเครื่องบิน ถ้าเราจะเดินทางทางน้ำก็ต้องมีเรือ มันต้องมียานเพื่อไปสู่จุดหมายปลายทาง ใจของเราก็ต้องมียาน ใจของเราก็ต้องมียานพาหนะนำทางเราไป ยานนี้ก็ได้แก่ศีล ศีลนั้นคือยาน ยานนั้นแหละคือกฏหมายบ้านเมือง เราทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เห็นภัยในการเกิดการแก่การเจ็บการตายการพลัดพราก การประพฤติการปฏิบัติมันเป็นเรื่องความรู้ความเข้าใจ มันเป็นสัมมาทิฏฐิทั้งกายทั้งวาจากริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เราเกิดมาถึงต้องมีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก มันต้องมีสัมมาทิฏฐิ การดำรงชีวิตมนุษย์ถึงมีการเรียนการศึกษาทั้ง 18 ศาสตร์ ทั้ง 18 ศาสตร์ก็มารวมเป็นพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์ก็คือปัญญาสัมมาทิฏฐิ การที่เราจะทำอะไรทุกอย่างต้องประกอบด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ การที่เราจะพูดจะคิดจะทำอะไรก็ต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกริยามารยาทตลอดถึงอาชีพต้องมีสัมมาทิฏฐิ
ความรู้ความเข้าใจถึงเป็นคู่กันกับการประพฤติการปฏิบัติ เรื่องความตรึกความนึกความคิดถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้เราทุกคนเข้าใจนะว่า การตรึกการนึกการคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ การประพฤติการปฏิบัติเริ่มต้นจากการตรึกการนึกการคิด ถ้าผิดมันก็ผิดตั้งแต่ครั้งแรกถ้าเราตรึกเรานึกเราคิด เพราะการตรึกการนึกการคิดนี้ มันคือเหตุคือปัจจัย เราทุกคนต้องรู้การประพฤติการปฏิบัติของตนเอง มันก็เริ่มต้นจากความคิดนะ พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราว่าอย่าไปตรึกในเรื่องของกาม อย่าไปตรึกในเรื่องพยาบาท กามก็ได้แก่ความชอบใจ อย่าไปตรึกในความพยาบาท ความพยาบาทคือความไม่ชอบใจ การปฏิบัติต้องเริ่มต้นจากความคิด
๑. เนกขัมมสังกัปปะ หรือ เนกขัมมวิตก ได้แก่ ความตรึกปลอดจากกาม หรือความนึกคิดในทางเสียสละไม่ติดในการปรนปรือสนองความอยากของตน เป็นความคำริที่ปลอดจากโลภะ ความนึกคิดที่ปลอดโปร่งจากกาม ไม่หมกมุ่นพัวพันติดข้องในสิ่งสนองความอยากต่างๆ
ความคิดที่ปราศจากความเห็นแก่ตัว ความคิดเสียสละ และความคิดที่เป็นคุณเป็นกุศลทุกอย่างจัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากราคะ หรือโลภะ
คนส่วนมากไม่ได้ยินได้ฟังไม่ได้ศึกษาคำสอนของพระอริยเจ้าว่ากามมีโทษอย่างไรเขา เหล่านั้นเรียนรู้แต่คำสอนแนะนำชักชวนของปุถุชนผู้หมกมุ่นอยู่ในกามด้วยกัน พรรณนาคุณของกาม ชักชวนให้แสวงหากาม สรรเสริญบุคคลผู้มั่งคั่งพรั่งพร้อมไปด้วยกาม คนทั้งหลายผู้ตกอยู่ในอำนาจกรอบงำของสังคม ก็พลอยหมกมุ่นพัวพัน เห็นดีเห็นงามไปด้วย พอต้องประสบทุกข์เพราะกามเข้าก็ไม่มีญาณหยั่งรู้ว่า ทุกข์นั้นเพราะกามจึงต้องเที่ยวโทษคนนั้นคนนี้แล้วปองร้ายกันเบียดเบียนประหัตประหารกันให้สังคมวุ่นวายอย่างที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้
อีกพวกหนึ่ง แม้ได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอริยะเจ้า เห็นโทษของกามอยู่แต่ยังไม่อาจปลีกตนออกจากกามได้เพราะเหตุอื่น เช่นภาระความรับผิดชอบในครอบครัวบ้างกำลังใจยังไม่แข็งพอที่จะต่อสู้เอาชนะอำนาจความยั่วยวนได้บ้าง เห็นแก่ความอยากเล็กน้อยที่กามนั้นหยิบยื่นให้ พอเป็นเหยื่อเหมือนเหยื่อที่เบ็ดเกี่ยวไว้บ้าง จึงยังไม่สามารถปลีกตนออกไปจากอำนาจครอบงำของกามได้ เปรียบเหมือนคนที่เป็นทาสเขาเห็นโทษของความเป็นทาสแล้ว อยากมีความอิสระแต่ไม่มีกำลังพอที่จะถอนตนออกเป็นของเสรีภาพได้จึงตกอยู่ในอำนาจครอบงำของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าต่อไป
ในความเป็นทาสทางใจ คือการเป็นทาสของกิเลสนั้นผู้ต้องการเสรีภาพจะต้องอาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว กล้าในสิ่งที่คนทั้งหลายอื่นไม่กล้าทำ กล้าเสียสละในสิ่งที่คนทั้งหลายอื่นหวงแหน จึงจะถอนตนออกจากอำนาจครอบงำของกิเลส เช่นกามเป็นต้นได้ ความคำริในการออกจากกาม เป็นมรรคหนึ่งที่นำไปสู่ความหลุดพ้นจากบ่วงกามอันมีลักษณะผูกพันบุคคลไว้ในโลกในภพ แม้มันจะผูกหย่อนๆ แต่แก้ได้ยากยิ่งมีน้อยคนนักจะพ้นไปจากอำนาจกรอบงำของกาม แต่ผู้พ้นก็มีอยู่ ผู้ใดพ้นได้ผู้นั้นย่อมประจักษ์ด้วยตนเองว่า สภาวะที่อยู่เหนือกามนั้นเป็นความปลอดโปร่งผาสุกร่มเย็นห่างจากภัยอันตราย สะอาด สว่าง และสงบ
๒. อพยาบาทสังกัปปะ หรือ อพยาบาทวิตก ได้แก่ ความตรึกปลอดจากพยาบาท หรือความนึกคิดที่ประกอบด้วยความรัก ความหวังดี ไม่ขัดเคืองหรือเพ่งมองในแง่ร้าย คือ ความดำริที่ไม่มีความเคียดแค้น ชิงชัง ขัดเคือง หรือเพ่งมองในแง่ร้ายต่างๆ โดยเฉพาะมุ่งเอาธรรมที่ตรงข้าม คือเมตตา ซึ่งหมายถึงความปรารถนาดี ความมีไมตรี ต้องการให้ผู้อื่นมีความสุข จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากโทสะ และพยาบาท การมีจิตใจที่สะอาด สดชื่นแจ่มใส ไม่หมักหมม รุงรังด้วยความพยาบาทเคียดแค้น ย่อมช่วยแต่งใบหน้าให้มีสง่าราศีงดงามน่าเคารพกราบไหว้ เป็นเสน่ห์ดึงดูดคนให้มองดูแล้วเกิดความรู้สึกชื่นฉ่ำขึ้นมาในดวงใจ
โดยปกติภาพของจิตนั้นสะอาดผ่องใสไม่ต้องการความเศร้าหมองใดๆ ทั้งสิ้นเพราะฉะนั้น เมื่อสิ่งเศร้าหมองมากระทบจิตจึงได้มีอาการดิ้นรนมีปฏิกิริยาโต้ตอบจะคายสิ่งเศร้าหมองนั้นออก แต่เมื่อสิ่งเศร้าหมองนั้นมากระทบบ่อยๆ และจิตไม่มีกำลังใดมาช่วยกำจัดสิ่งเศร้าหมอง จิตจึงตกอยู่ใต้อำนาจของสิ่งเศร้าหมองที่เรียกว่ากิเลส เมื่อนานเข้าก็กลายเป็นทาสของความเคยชินอันนั้นไป เช่นความโลภ ความโกรธ ความหลง ความริบยาพยาบาท พวกนี้ล้วนเป็นสิ่งเศร้าหมองของจิตเป็นของเสียที่เข้าสู่จิตทำให้จิตเสียปกติภาพไป ส่วนคุณธรรมคือ การให้อภัย เมตตากรุณา ความเสียสละ ความเห็นแจ้งตามเป็นจริงในสิ่งทั้งปวง เหล่านี้เป็นยาใจ เป็นเครื่องฟอก ชำระล้างสิ่งเศร้าหมองของจิต เมื่อจิตได้เสพโอสถคือธรรมสม่ำเสมอและได้คุณภาพปริมาณเพียงพอที่จะกำจัดโรคคือกิเลสแล้ว ธรรมโอสถนั้นก็จะทำลายโรคคือกิเลสโดยสิ้นเชิง ไม่ให้หวนกลับมารบกวนจิตอีก จิตก็จะดำรงอยู่อย่างสะอาดผ่องใส สงบ และสว่างตามปกติภาพเดิมของตน
๓. อวิหิงสาสังกัปปะ หรือ อวิหิงสาวิตก ได้แก่ ความตรึกปลอดจากการเบียดเบียน หรือความนึกคิดที่ประกอบด้วยกรุณาไม่คิดร้ายหรือมุ่งทำลาย โดยเฉพาะมุ่งเอาธรรมที่ตรงข้ามคือ “กรุณา” ซึ่งหมายถึงความคิดช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์ จัดเป็นความนึกคิดที่ปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลงซึ่งเป็นอกุศลมูล คือต้นตอหรือรากเจ้าของความชั่วทั้งมวล บุคคลย่อมเบียดเบียนผู้อื่นเพราะมีโลภะ โทสะ หรือโมหะ อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ในใจ หรือเพราะทั้ง ๓ อย่างรวมกัน เมื่อคิดเบียดเบียนเขาใจของตนก็เศร้าหมองเร่าร้อน ตนก็ย่อมเดือดร้อนเหมือนกัน บุตรและภรรยา ญาติพี่น้องก็พลอยเดือดร้อนกันอีก บางทีถึงกับรวมกลุ่มเบียดเบียนกันทั้งสองฝ่าย ต่างก็เดือดร้อน นอกจากเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว มนุษย์ยังมีการเบียดเบียนตนเองโดยการทำตนเองให้เดือดร้อนอีกด้วย ตัวอย่างเช่น การติดยาเสพติดอันเป็นตัวการทำลายสุขภาพอนามัยของตน ความจริงเรื่องนี้ไม่เพียงแต่เบียดเบียนตนเองเท่านั้น ยังชื่อว่าเบียดเบียนพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเพื่อนที่รักอีกด้วย เพราะทำให้คนเหล่านั้นพลอยเดือดร้อน เฉพาะอย่างยิ่งบิดามารดาอาจเดือดร้อนเพราะการติดยาเสพติดของบุตรธิดา ยิ่งกว่าตัวผู้ติดยาเองเสียอีก ความวิตกกังวลต่างๆ จนต้องกลายเป็นคนหวาดผวาขาดความเชื่อมั่นในตน เป็นโรคประสาทพิการ ถือว่าเป็นการเบียดเบียดตนเองอีกลักษณะหนึ่งเช่นกัน
เราทุกคนต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏะสงสารนะ ต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ต้องไม่ตรึกไม่นึกไม่คิดในเรื่องกามเรื่องพยาบาท ความคิดมันมาจากกรรมเก่า มันเป็นพลังงานของกรรมเก่า กรรมเก่าก็ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ อันนี้กรรมเก่ามันก่อภพก่อชาติจากการตรึกการนึกการคิดนี้แหละ จนเป็นพลังงานรูปเวทนาวิญญาณสังขาร คือ ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 นี้คือกรรมเก่า เพราะเราอาศัยการตรึกการนึกการคิดนี้ที่มันเป็นกรรมติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนต้องหยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท พากันเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันถึงจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ที่เราหยุดตรึกนึกคิดในกามในพยาบาท พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ของพระภิกษุที่มีในพระวินัยปิฎก 21000 พระธรรมขันธ์ ความมุ่งหมายจุดมุ่งหมายที่ทำให้เราหยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท ถ้าเราตรึกในกามในพยาบาทจิตใจของเรามันจะทำบาปทำกรรม การตรึกนึกคิด มันเป็นภพเป็นชาติ หัวใจของเราก็จะมีผัวมีเมีย เราตรึกนึกคิดก็คือหัวใจหรือว่าจิตใจของเรามีลูกมีเมียมีสามี ถ้าเราตรึกนึกคิดในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท ศรัทธาในพระพุทธเจ้าในพระธรรมในพระอริยสงฆ์ของเราทุกคนก็จะลดลง ทำไมศรัทธาในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ลดไป เพราะเราตรึกในกามตรึกในพยาบาท มันทำเหตุปัจจัยให้ศรัทธาของเราลดลง เราต้องรู้ต้นสายปลายเหตุนะว่าที่ศรัทธาเราลดลงน้อยลง เพราะเราตรึกในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท พระพุทธเจ้าให้เราเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ไม่พากันตรึกในกามตรึกในพยาบาท ต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติของเรา อย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท ให้รู้จักข้อวัตรข้อปฏิบัติของเรา ให้พวกเรารู้จักกรรมเก่า ที่มันเป็นอายตนะภายในที่มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะว่าอันนี้เป็นกรรมเก่า ต้องยกเลิกด้วยการภาวนาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์อย่างนี้ เพื่อเป็นการทำงานเป็นการปฏิบัติธรรม ที่หยุดตรึกนึกคิดในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท เรารู้เราเข้าใจไม่ตรึกในกาม ไม่ตรึกในเรื่องพยาบาท เราถึงจะมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ศรัทธาในพระธรรม ศรัทธาในพระอริยะสงฆ์
เราทุกคนต้องรู้จักกรรมใหม่ กรรมใหม่เป็นสิ่งที่อยู่ภายนอก ที่เป็นรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์อันนี้คือกรรมใหม่ เป็นสิ่งภายนอกที่มากระทบกับสิ่งภายใน กรรมเก่ากรรมใหม่มันจะมาทำงานเป็นกระบวนการที่ติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนต้องพากันรู้ทั้งกรรมเก่ากรรมใหม่ เพื่อเราจะไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท เราจะได้ยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติของเราในปัจจุบัน การประพฤติการปฏิบัติอาศัยการติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำเป็นแม่น้ำ ไหลสู่ทะเลสู่มหาสมุทร การปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่องด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา ไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท รู้จักกรรมเก่ากรรมใหม่ จะได้หยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท นักบวชทั้งหลายมีอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่บวชเป็นพระภิกษุมีอาวุธยุทโธปกรณ์ 84000 พระธรรมขันธ์ เพื่อมายกเลิกกรรมเก่าแล้วก็กรรมใหม่ อุปกรณ์สิ่งเหล่านี้เป็นยานพาหนะ ความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาปเห็นภัยในวัฏฏะสงสารที่เป็นยาน เราทุกคนต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในยานพาหนะ ว่าพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นั้นคือยานพาหนะ ทุกคนต้องไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท ต้องพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ เราต้องอาศัยความสม่ำเสมอติดต่อต่อเนื่อง เป็นปฏิปทาจนกว่าต้นไม้นั้นจะใหญ่โตถึงที่สุด ต้องอาศัยการดูแลอุปัฏฐากสม่ำเสมอ เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัยต้องติดต่อต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นน้ำเป็นสายน้ำ ไม่ต้องเอาความชอบความไม่ชอบ ต้องติดต่อต่อนื่องสม่ำเสมอ มีความสุขในการดูแลในการอุปัฏฐากต้นไม้นั้นสม่ำเสมอ รู้คุณรู้ประโยชน์ในการดูแลสม่ำเสมอ มีความตั้งมั่นตลอดกาลตลอดเวลา เป็นอุดมการณ์เป็นอุดมธรรม ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ที่ติดต่อต่อเนื่อง การประพฤติการปฏิบัติคือการเดินทาง การเดินทางของเรานั้นเดินทั้งกายทั้งวาจาทั้งกริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เป็นการเดินทางไม่หยุดสม่ำเสมอ เรื่องจิตเรื่องใจก็ไม่หยุด ไม่หยุดในเจตนาความตั้งใจตั้งมั่นในอุดมการณ์อุดมธรรม มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
การปฏิบัติธรรมมันก็เหมือนการเดินธุดงค์นี้แหละ เดินธุดงค์ในป่าใหญ่ผจญภัยในสิ่งต่างๆ เราต้องเดินผ่านอุปสรรค์ทั้งหลายทั้งปวงต่างๆ นานา เป็นการอพยพตลอดกาลตลอดเวลา การเดินหมายถึงไม่หยุด ถ้าหยุดก็คือไม่เดิน เราทุกคนต้องก้าวไปด้วยศีลก้าวไปด้วยสมาธิก้าวไปด้วยปัญญา ไม่หยุด ศีลสมาธิปัญญาที่เป็นคุณ มันถึงมีคุณมีประโยชน์มาก เพราะการเดินผ่านอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวงต่างๆ นานา มันต้องไปด้วยยานคือศีลสมาธิปัญญา งานของเรานี้เราไม่หยุดนะ มันต้องทำไปเรื่อยๆ ก้าวไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเหมือนคนอพยพนี้แหละ คนอพยพคือคนเดินทางเป็นบุคคลที่ไม่หยุด เราไปเดินธุดงค์ในป่าใหญ่เราจะไปหยุดไม่ได้ เราต้องเดินไปเรื่อยๆ เพื่อให้มันเป็นสายน้ำเป็นแม่น้ำไหลสู่ทะเลสู่มหาสมุทร ทุกคนน่ะมันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนน่ะ มันตกอยู่ในสัญชาตญาณแห่งนิติบุคคลตัวตน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งทุกคนน่ะ มันขี้เกียจขี้คร้าน มันไม่อยากเดิน เพราะตัวตนทุกคนมันขี้เกียจขี้คร้าน เราทุกคนต้องรู้จักว่าความขี้เกียจขี้คร้าน มันคืออาการของจิตใจที่เราตรึกในกามตรึกในพยาบาท เราต้องรู้จักอาการของจิตของใจ รู้เรื่องจิตเรื่องใจ เราทุกคนจะได้เดินก้าวไปติดต่อต่อเนื่องเป็นกระแสน้ำ ทุกๆ คนนั้นจะขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ เพราะธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นสัญชาตญาณแห่งนิติบุคคลตัวตน เราทุกคนต้องพากันรู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ที่เราทุกคนติดสุขติดสบายไม่ชอบความทุกข์ เพราะเรามีตัวมีตน เราทุกคนถึงขี้เกียจขี้คร้าน พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราว่าให้เรารู้จักนะ เพื่อเราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ นี้เป็นไฟท์เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราทุกคนอย่าไปติดในความสุขความสะดวกความสบาย ที่มันเป็นนิติบุคคล ให้พวกเราเข้าใจ การเข้าใจอย่างนี้เรียกว่ารู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้ก้าวไปเดินไป เราต้องอพยพไป ตัวตนมันก็ไม่อยากอพยพ มันไม่อยากยกขาซ้ายไม่อยากยกขาขวา เราทุกคนต้องยกไปก้าวไป ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจทั้งวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง เราทุกคนต้องมองข้ามช็อตที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เราจะเอาตัวตนนี้เป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะตัวตนนี้มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป เราทุกคนถึงพากันตรึกในกามในพยาบาทที่มันเป็นนิติบุคคล ไม่ยอมก้าวไป ไม่ยอมเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ให้เราทุกคนถือว่านี้คือยาน เราต้องเข้าสู่ยาน เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันคือความสงบคือความวิเวก ทั้งกายวาจากริยามารยาททั้งอาชีพ ความวิเวกหมายถึงการยกเลิกตัวตนนี้แหละ เพราะตัวตนคือความสับสนคือความไม่วิเวก ถ้าเราเอาตัวเอาตนนำชีวิต เราก็เป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนนี้จิตใจมันสับสนจิตใจมันวุ่นวายจิตใจมันไม่สงบ เพราะคนนี้มันเป็นนิติบุคคลตัวตน คนนี้คือความไม่วิเวก เอาตัวตนคือความไม่วิเวก คำว่าวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยเข้าสู่ความวิเวกทางกายวาจากิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ
พวกเราต้องพากันเข้าใจการสร้างบารมี บารมีนี้คือมาปฏิบัติตนเองแก้ไขตนเอง พวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่รู้จักคำว่าบารมี ไปเอาแต่ภาษาวัตถุ บารมีต้องเน้นที่ใจ อย่างทุกคนเข้าใจว่า เราไม่มีบารมีหรือว่าเรามีบารมี หรือว่าคนอื่นมีบารมี อันนั้นคือไม่รู้จักความหมายของบารมี ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ความหมายของคำว่าบารมี “บารมี” มาจากคำบาลีว่า "ปารมี" ซึ่งมาจากคัพท์เดิมว่า "ปรม" มีคำแปลที่ใช้กันหลากหลายทั้งในคัมภีร์เก่า เช่น อรรถกถา และฎีกา รวมถึงตำราที่เขียนขึ้นในภายหลัง มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
๑. ปรม แปลว่า ผู้เป็นเลิศ, ปารมี แปลว่า ภาวะหรือการกระทำของผู้เป็นเลิศ ๒. ทำให้เต็ม หรือยังให้เต็ม ๓. แปลว่า "อย่างยิ่ง" คือบุคคลผู้ขัดสี หรือชำระตนอย่างยิ่งจากมลทินคือกิเลส ๔. แปลว่า "บรรลุ" หมายถึงผู้บรรลุถึงธรรมอันวิเศษอย่างประเสริฐ... เหล่านี้เป็นต้น
ซึ่งโดยสรุปแล้วมี ๒ นัยยะหลักด้วยกัน คือ ๑. หมายถึง "ความเป็นเลิศ" ๒. หมายถึง "ธรรมเครื่องถึงฝั่ง" หรือธรรม ๑๐ ประการ ที่ผู้ปฏิบัติแล้วจะบรรลุพระโพธิญาณ ส่วนในทางปฏิบัติ บารมีมีความหมาย ๒ นัยยะด้วยกัน คือ
๑. บุญที่มีคุณภาพพิเศษที่เกิดจากการสร้างความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
๒. นิสัย ที่เกิดจากการสร้างความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
บารมี เรืยกอีกอย่างหนึ่งว่า "พุทธการกธรรม" คือ ธรรมซึ่งทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต้องบำเพ็ญสั่งสมไปตามลำดับ จนกว่าคุณธรรมที่เป็นพุทธการกธรรมนี้จะสมบูรณ์ จึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
การสร้างบารมีนี่แหละคือยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งกายวาจาทั้งจิตใจทั้งกิริยามารยาท ที่ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วต้องติดต่อต่อเนื่อง อย่างพระพุทธเจ้าปฏิบัติติดต่อในการสร้างบารมี หลายล้านชาติ อย่างนี้เขาเรียกว่าสร้างบารมี ยกเลิกตัวตนเหมือนหลวงปู่ชา บอกลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมนี้นะบอกสอนตัวเอง 100% บอกสอนพวกท่านที่เป็นพระ เณร แม่ชี ประชาชนเพียง 5% เท่านั้นเอง อย่างนี้มันถึงพอไปได้ ถ้าเราไปเอาความหลงเอาความไม่เข้าใจเป็นที่ตั้ง ก็ไปแก้แต่ภายนอก ไม่ได้แก้ไขที่ตัวเอง อย่างนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสร้างบารมี มันเป็นความหลง เราไปแก้ไขที่ภายนอกไม่กี่เดือนไม่กี่ปี มันก็มีแต่ความฟุ้งซ่านมันก็สับสน ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ บารมีนั้นมันก็เหมือนปลูกต้นโพธ์ต้นไทรนี้แหละ ปลูกเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ก็ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้แสงแดด ให้อ็อกซิเจน ให้มันพอดี ให้สม่ำเสมอเป็นความดีเป็นปฏิปทา อย่างนี้แหละเราทำแบบนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราทำหน้าที่ให้ถูกต้องทั้งกาย ทั้งวาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ เราพัฒนาให้กาย วาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ครบวงจร เน้นมาหาตัวเราที่ปัจจุบันนี้แหละ เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้หลายปี ต้นโพธ์ ต้นไทรมันก็ใหญ่ เดี๋ยวมันก็ออกลูกออกผลน่ะ ลูกมันสุก พวกฝูงนกฝูงกระรอกกระแตก็มาบริโภค เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เพราะบารมีเป็นอย่างนี้ เมื่อเราเข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ ทุกอย่างมันจะเป็นไปของมันเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีอย่างนี้แหละ
เมื่อก่อนคิดว่าเราไม่มีบุญไม่มีวาสนาไม่มีบารมี เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จะมีบุญมีวาสนามีบารมีได้ไง เพราะตัวตนมันทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ มันไม่ใช่บารมีนะ ทุกคนเอาแต่คิดในใจว่า ทำไมเราไม่มีบารมี ตัวตนมันไม่มีบารมี ต้องเข้าใจ อย่างวัดทุกวัดในปัจจุบันนี้ มันไม่มีใครมาบวช เพราะว่าผู้ที่เป็นเจ้าอาวาส ผู้ที่เป็นประธานสงฆ์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เป็นแต่เจ้าอารมณ์ เป็นเจ้าอาละวาด ใครเขาอยากจะมาบวช ทั้งที่รู้ว่าบวชนี้มันดีนะ ได้อบรมบ่มอินทรีติดต่อต่อเนื่อง เป็นสถานประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นสถานที่ยกเลิกตัวตน ทุกคนก็อยากบวช เมื่อวัดนั้นสถานที่นั้นไม่สับปายะ ที่นั่นไม่มีพระ ที่นั่นมีแต่โจร มีแต่แหล่งของโจร ทุกคนต้องพากันเข้าใจ อย่าไปโทษกุลบุตรลูกหลานสมัยใหม่ว่าไม่มีใครอยากจะบวช เพราะเดียวนี้แสงสีศิวิไลซ์ ไม่มีใครอยากบวช เขาจะอยากบวชทำไม เพราะเจ้าอาวาสทั้งหลายทั้งปวง ไม่ได้เป็นพระกัน พากันตั้งแก๊งค์กัน พวกตกงานทั้งหลายนี้ พวกที่ไม่มีสมรรถภาพหาอยู่หากิน เขาเลยไม่อยากบวชอย่างนี้ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เข้าใจใหม่ เราจะไปว่าแต่คนอื่นเขาผิด ตัวเองนี้แหละ ไม่ได้เป็นแบบเป็นพิมพ์ ไม่ได้เป็นพ่อเป็นแม่ ให้ทุกคนต้องรู้ภาษาคนภาษาธรรม เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่รู้ภาษาคน ภาษาธรรม ต้องเข้าใจนะ เราดูตัวอย่างแบบอย่างความเสื่อมความเจริญ ความเสื่อมคือเราทุกคนเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็คือความเสื่อม
เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็มีแต่เน่ามีแต่เหม็น เขาเรียกว่าเหม็นหลายประเทศตัวตนมันเหม็นหลายประเทศ มันเหม็นไกล เราต้องเข้าใจอย่างนี้ คนเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็ว่าตัวเองไม่มีบารมี มันจะมีบารมีได้ที่ไหน เพราะมันมีตัวตนมันทำลายบารมี คนมีตัวมีตนมันจะมีบารมีมาจากไหน เพราะตัวตนมันเหม็นตั้งหลายประเทศ ตัวตนมันเป็นลูกระเบิดที่ทำร้ายตัวเองทำร้ายคนอื่น มันจะมีบารมีอะไร มันก็ไม่มีใครอยากไปอยู่ด้วย เพราะตัวตนมันร้อนทั้งตัวเองร้อนทั้งคนอื่น เราต้องรู้จักตัวเอง ต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องรู้จักคำว่าบารมีนะ เราจะได้บำเพ็ญบารมีถูก ต้องเอาความเข้มแข็งเอาพุทธะนำชีวิต เอาศีลสมาธิปัญญานำชีวิต แล้วก็มาเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต ต้องเข้าใจอย่างนี้
ทุกคนส่วนใหญ่ก็ฟุ้งซ่าน สังเกตุดูพวกเจ้าอาวาสพวกนักปกครองอะไรต่างๆ พวกข้าราชการนักการเมือง พวกนี้ฟุ้งซ่านเหลือเกินมันน่าเกลียด มันจะไปแก้ที่คนอื่น พวกนี้คือพวกฟุ้งซ่าน เป็นพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จะแก้ที่คนอื่นแก้ที่ปลายเหตุ แต่ตัวเองไม่แก้ ต้องเข้าใจนะ เราอย่าเอาความฟุ้งซ่าน คนเราเอาแต่ตัวตน มันก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย มันก็สงสัยไปเรื่อย อยากไปนู่นอยากไปนี่ เห็นนู่นเห็นนี่ ก็อยากกินนู่นอยากกินนี่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ทะเลมันไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ... เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็อย่างนี้แหละ ให้รู้จักจิตให้รู้จักวาระจิต ให้พากันรู้เหตุรู้ผล รู้อริยสัจ 4 ให้พวกเราพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน เหมือนไก่จะฟักไข่ต้องใช้เวลา 3 อาทิตย์ ฟักด้วยแม่ไก้สมัยโบราณ สมัยปัจจุบันนี้ฟักด้วยไฟฟ้าก็ 3 อาทิตย์เหมือนกัน สมองของเรามันเป็นเหมือนชิปที่ฝังอยู่นะ มันต้องติดต่อต่อเนื่องให้เป็นปฏิปทา มนุษย์เรามีปัญญามาก มันยิ่งฟุ้งซ่าน สมาธิความตั้งมั่น 5 นาทีมันก็ไม่ได้ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สมาธิก็สมาธิหินทับหญ้า เราต้องยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนเราก็เป็นลูกศิษย์พระเทวทัต พระเทวทัตคือตัวตนนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งถึงได้เป็นพระเทวทัต เราดูตัวอย่างเอาตัวตนเป็นที่ตั้งสงครามครั้งที่โลก 1-2 ให้เราพากันรู้ มันก็เริ่มจากนิติบุคคลการมีตัวมีตนนี้แหละ ให้เราพากันรู้จัก ไม่รู้จักไม่ได้ เราจะได้รู้จุดหมายปลายทางว่า เราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งการดับทุกข์นะ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อประกอบทุกข์สร้างปัญหา มีความทุกข์ไม่รู้จักจบ อดีตมันผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดมัน ต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่างประเทศไทย เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันก็ยากจน ยากจนแล้วก็พากันมาบวช คนจน คนระดับกลางก็พากันมาบวช คนส่วนใหญ่นี้ก็ไม่ใช่พวกเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ใน 100 % มีถึง 99.9% ก็เป็นพวกที่เอาศาสนามาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เสียหายมาก ท่านบอกว่ายากจนไม่เป็นไร ด้อยในการเรียนการศึกษา ในธุรกิจหน้าที่การงานไม่เป็นไร เรามาบวชเราก็มามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราจะได้เดินทางสายกลาง พัฒนาใจไปในทางที่ถูก คนเราหัวไม่ดีอยู่แล้ว เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันก็ยิ่งหัวไม่ดี คนเราบอดจนเกือบสนิทแล้ว ก็ยิ่งเอาไม้มาแทงตาตัวเอง มันก็ยิ่งบอดไปอีก ตัวตนมันเป็นอย่างนี้ ที่พูดนี้ก็พูดพอดีนะ การเอาศาสนามาหาอยู่หาฉันมาเลี้ยงอาชีพน่ะ ทุกคนก็ย้อนมาดูตัวเอง เอาตัวเองมาเป็นที่ตั้งก็มีแต่สีลัพพตปรามาส ลูบคลำในข้อวัตรข้อปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เอาอย่างนี้ ก็ไปเอาอย่างอื่น มันถึงไปทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ พวกเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้นะ
ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ทุกคนอย่าไปถือนิสัยของตัวเอง ถืออวิชชาความหลง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ผู้ที่บวชมา พระพุทธเจ้าก็ทรงสอน ให้มันแน่น ให้ได้มาตรฐาน ถือธรรมถือวินัยให้ติดต่อต่อเนื่องกันสัก 5 พรรษา ประเทศไทยเรามองดู สำนักเรียนก็ดี สำนักปฏิบัติก็ดี ต้องอยู่ในโอวาทของพระที่ได้มาตรฐานน่ะ พวกเราต้องเข้าใจ การที่เราไปอยู่ที่ดีที่มาตรฐาน มันเป็นสิ่งที่ดีที่สำคัญ เพราะอาศัยหมู่คณะ อาศัยส่วนรวม ครูบาอาจารย์ที่ได้มาตรฐาน จะไปไหน ท่านก็ไม่ให้ไป ต้องเข้าเรียนตามเวลา ต้องคอนโทลเข้าสู่พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ต้องเข้าสู่สมมติสัจจะเรียกว่าพระวินัย จะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ ต้องเข้าใจ เพราะกรรมฐานต้องเป็นฐานของการงาน เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา เรียกว่าพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เรียกว่าเป็นฐานแห่งความดับทุกข์ การยกเลิกตัวตน การงานที่เป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้ไม่ไขว้เขว เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไขว้เขว เพราะตัวตนมันคือความหลง ตัวตนคือไสยศาสตร์ ตัวตนมันไม่ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องต้องมายกเลิกตัวตน อบรมบ่มอินทรีย์สร้างบารมีอย่างนี้ เราต้องมาแก้ที่ใจเรา ถึงจะมีความสงบร่มเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee