แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๔๕ มีความสว่างทางตาเนื้อ และต้องมีความสว่างของตาปัญญาคือตาทางเรื่องจิตเรื่องใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันอังคารที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๗
ในวันนี้คณะกรรมการการเลือกตั้งทุกๆ จังหวัด ทั้งส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค ได้มาร่วมรวมกันประพฤติปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมารามแห่งนี้ ประเทศไทยของเราเป็นโควิดมาหลายปี ปีนี้ก็มาร่วมรวมกันได้ ทุกคนมีความเห็นเหมือนๆ กัน ว่าประเทศไทยของเราต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต เอากฎหมายบ้านเมืองที่เป็นสมมติสัจจะ เพื่อจะได้โฟกัส เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทั้งกาย ทั้งวาจา กริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพที่ถูกต้อง ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อเอาธรรมนำชีวิต ยกเลิกตัวยกเลิกตน เพื่อทุกคนจะได้เดินทางไปพร้อมๆ กัน มีความคิดเห็นเหมือนกัน มีปฏิปทาการปกครองตนปกครองคนอื่นปกครองประเทศชาติ ต้องเอาธรรมนำชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกๆ ประเทศ ถึงได้ทรงเอาทศพิธราชธรรมเอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิต ประธานาธิบดีที่เลือกตั้งมาเพื่อบริหารประเทศก็เอาทศพิธราชธรรม เอาธรรมนำชีวิตเหมือนกัน ข้าราชการนักการเมืองทุกๆ คน ก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต นักบวชทุกๆ ศาสนา ก็ต้องเอาธรรมนำชีวิต
ในโลกนี้ ในปัจจุบันปี 2567 นี้ มีประชากรของโลกอยู่ 8000 กว่าล้านคน แบ่งเป็นประเทศเพื่อปกครอง จำนวน 195 ประเทศจะร่วมๆ 200 ประเทศนี้ ทุกประเทศการปกครองมันก็เหมือนกันคือเอาธรรมนำชีวิต ทางศาสนาก็เอาธรรมนำชีวิต ชีวิตของเราทุกคนถึงได้มีการเรียนการศึกษา ตั้งแต่อนุบาล จนถึง ปริญญาเอก เพื่อให้มีสัมมาทิฏฐิ คิดเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทั้งกาย วาจา กริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ จึงได้มีการเรียนการศึกษา มนุษย์เรามี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นอายตนะภายใน เป็นกรรมเก่า เป็นพลังงาน ที่เวียนว่ายตายเกิดจากเหตุจากปัจจัย เพราะสิ่งเหล่านี้สิ่งต่อไปมันถึงมีได้ ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ถึงต้องมีการเรียนการศึกษาเพื่อความเข้าใจ เพราะทุกอย่างนั้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย กรรมเก่านั้นมันเป็นสัญชาตญาณ เป็นสังขารที่มีใจครอง เป็นสัญชาตญาณที่ทุกคนเกิดมารักสุขเกลียดทุกข์ มีการป้องกันภัย สิ่งเหล่านี้เป็นสัญชสตญารเป็นกรรมเก่า ปัจจุบันเป็นกรรมใหม่เป็นสิ่งภายนอก มาจากสิ่งภายนอก ได้แก่รูปที่เรามองเห็นด้วยตา ได้แก่เสียงที่เราได้ยินทางหู ได้แก่กลิ่นที่เรากระทบสัมผัส ได้แก่สิ่งที่มากระทบทางส่วนของร่างกายที่ทำให้เกิดอารมณ์ สิ่งเหล่านี้มันเป็นกรรมใหม่ มันเป็นขั้วบวกขั้วลบ กรรมใหม่กับกรรมเก่า ล้วนแต่เป็นกรรมเหมือนกัน พระพุทธเจ้าให้พวกเรารู้กรรมเก่ากรรมใหม่ เราจะได้ยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าสิ่งเหล่านั้นมันเป็นกรรมเก่ากรรมใหม่ มากระทบกันแล้วมันก็จากไป ในชีวิตประจำวันมันก็จะมีกรรมเก่ากรรมใหม่ 2 อย่างนี้แหละ สิ่งเหล่านี้พระพุทธเจ้าให้พวกเรามองเห็นเป็นข้อสอบแล้วก็เป็นข้อตอบ เพื่อทุกคนจะได้พากันอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อสร้างบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ เพื่อเป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ ในชีวิตประจำวัน พวกเราพากันประพฤติปฏิบัติ โฟกัสมาที่ปัจจุบัน เพราะอดีตมันก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตมันก็ยังไม่มาถึงไม่ใช่เวลาปฏิบัติ ปัจจุบันเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ปัจจุบันเราก็พากันยกเลิกความเป็นนิติบุคคลความเป็นตัวตน พากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำเหมือนแม่น้ำ เพื่อไหลลงสู่มหาสมุทรเพื่อสู่ทะเล
ศาสนาทุกศาสนาก็เอาธรรมนำชีวิต ศาสนาก็คือเอาธรรมนำชีวิต ศาสนาทุกศาสนาก็มีแนวทางอันหนึ่งอันเดียวกัน ให้ทุกคนพากันเข้าใจศาสนานะ ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกข์ ทุกศาสนาก็คือธรรมะ ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะความมั่นคงของโลกอยู่ที่เอาธรรมนำชีวิต ที่เป็นชาติ เป็นศาสนา เป็นพระมหากษัตริย์ ก็คือสัมมาทิฏฐิ เอาความถูกต้องนำชีวิต เอาความปัญญานำชีวิต ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกประเทศได้รับความเสียหาย เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่เข้าใจเรื่อง ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ไม่เข้าใจถึงมีทุจริตเกิดขึ้น ตัวตนก็คือทุจริต ประเทศไทยอยู่ในระดับโกงกินคอรัปชั่นสูง เป็นอันดับที่ 108 ของโลก ความไม่เข้าใจนี้ทำให้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียนหนังสือก็คิดว่าจำเป็น ทำงานก็เพราะจำเป็น
ความถูกต้องนั้น หมู่มวลมนุษย์ที่เกิดมา เขามีตา 2 ตานะ 1 ตาทางร่างกาย อีกตาหนึ่งเป็นตาทางปัญญา เราต้องมีความสว่างทางตาเนื้อคือตาทางร่างกาย และมีความสว่างของตาปัญญาคือตาทางเรื่องจิตเรื่องใจ การเดินทางของมนุษย์ต้องเดินทางทั้งกายและเดินทางทั้งใจ ไปทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กันเป็นทางสายกลาง ไม่งั้นไม่ได้มันสุดโต่ง เราจะเอาเรื่องจิตเรื่องใจอย่างเดียวก็ไม่ได้มันสุดโต่ง เราจะเอาเรื่องวัตถุอย่างเดียวก็ไม่ได้มันสุดโต่ง เราต้องมีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เพื่อมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ทั้งทางเรื่องจิตเรื่องใจ ทั้งทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ทางวัตถุก็ไม่ยิ่งหย่อน ทางจิตใจก็ยอดดเยี่ยม มันต้องเป็นทางสายกลาง การพัฒนาโลกนี้ทางยุโรปก็ก้าวไปไกล พัฒนาตั้งแต่เทคโนโลยีพัฒนาวิทยาศาสตร์ พวกนี้ก็สามารถไปบนดวงจันทร์ โดยมีทั้งหมด 12 คน มี นีล อาร์มสตรอง เป็นคนแรก
แต่ส่วนใหญ่ก็พัฒนาแต่เรื่องวิทยาศาสตร์ พัฒนาแต่เรื่องวัตถุมันไม่ใช่ทางสายกลาง ถ้าเราเอาทางใดทางหนึ่งไม่ได้ ถึงมีการประพฤติการปฏิบัติทั้งกาย วาจา กริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ความคิดเห็นที่ไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง มันทำความเสียหาย มันเลยมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี ความไม่เข้าใจของเรามันเผาเรา ทำให้หมู่มวลมนุษย์ร่างกายเป็นมนุษย์นี้เป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่อวิชชาเป็นได้แต่ความหลง พระพุทธทาสภิกขุ ที่เป็นทั้งคนฉลาดเป็นทั้งคนดีของโลก ท่านถึงได้ประพันธ์
เป็นมนุษย์ เป็นได้ เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูง มีดี ที่แววขน
ถ้าใจต่ำ เป็นได้ แต่เพียงคน ย่อมเสียที ที่ตน ได้เกิดมา
การพัฒนามนุษย์เขาถึงพัฒนาให้เป็นสายกลาง ยกเลิกตัวตนเขาเรียกว่าสายกลาง ชอบเราก็ไม่เอา ไม่ชอบเราก็ไม่เอา ดีใจเราก็ไม่เอา เสียใจแล้วก็ไม่เอา เพราะอันนี้มันเป็นความปรุงแต่งอยู่ มันเป็นอารมณ์ เพราะตัวตนมันทำทุกอย่างมันยิ่งมีความปรุงแต่ง เป็นนิติบุคคลเป็นตัวตนเป็นทุกอย่างที่เราต้องรู้จัก พระพุทธเจ้าตรัสบอกเราถึงอริยสัจ 4 น่ะ รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ที่เป็นความสุขความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย ที่เกิดมาเป็นผู้ที่ประเสริฐเอาธรรมนำชีวิต เพื่อยกเลิกนิติบุคคลตัวตน โฟกัสเข้าหาความดับทุกข์ของเราเอง ให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ เราจะได้เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เราจะได้เห็นคุณค่าในกาลเวลา เพราะว่าสิ่งที่สำคัญคือความถูกต้อง เอาตัวเอาตนคือความไม่ถูกต้องนะ พระพุทธเจ้าถึงบอกเราให้รู้ถึงหลักการหลักวิชาการ รู้เรื่องกรรมเก่าและกรรมใหม่ พระพุทธเจ้าตรัสบอกเราให้เข้าใจนะ กรรมเก่าก็ได้แก่ตาหูจมูกลิ้นกายใจ กรรมเก่าที่เป็นพลังงานที่สรรพสัตว์ทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิด มันออกทางนามธรรมรูปธรรม มาเป็นตาหูจมูกลิ้นกายใจ นี่คือกรรมเก่า ให้เราเข้าใจ แล้วกรรมใหม่ก็ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ที่มันมากระทบกันกับกรรมเก่า เรียกว่ากรรมเก่ากับกรรมใหม่มันมาชนกัน เรียกว่าอายตนะภายนอกและอายตนะภายใน นี้มันกรรม 2 อย่าง นี้มันเป็นขั้วบวกขั้วลบน่ะ กรรมเก่ากรรมใหม่ มันจะสนับสนุนกัน เราต้องรู้จัก ถ้าเราไม่รู้จัก มันจะติดต่อต่อเนื่องไม่รู้จบ เพราะรูปก็สวยที่สุดในโลก เสียงมันก็เพราะที่สุดในโลก อะไรมันก็อร่อยที่สุดในโลก หัวใจของเรามันก็เลยเวียนว่ายตายเกิด มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่และทุกข์ดับไป หัวใจของเรามันถึงมีผัวมีเมีย กายมันไม่มีผัวมีเมีย แต่หัวใจเรามีผัวมีเมียมันมีทุกข์ หัวใจมันเห็นรูปสวยๆ มันก็ร้องโอ๊ยๆ ไป ได้ยินเสียงเพราะๆ มันจะร้องโอ๊ยๆ ไป อาหารอร่อยมันก็ร้องโอ๊ยๆ มันคือความชอบความไม่ชอบ
เราทุกคนต้องรู้จัก เราจะได้เห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านถึงบอกว่า กรรมเก่าคือตาหูจมูกลิ้นกายใจ และกรรมใหม่คือรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ที่มากระทบสัมผัสกับเรา เปรียบเสมือนอาคันตุกะหรือแขกที่มาเยี่ยมเรามาเยี่ยมบ้านเรา มาเยี่ยมเรา ไม่นานเขาก็จากไป ไม่มีอะไรที่ไม่จากไป เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ในชีวิตประจำวันของเรามันก็เป็นอย่างนี้แหละ ให้เราเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า กรรมเก่ามันไม่ใช่เรา กรรมใหม่มันก็มาอีกแล้ว เราต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ไม่ให้เราหลงไม่ให้เราเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เราต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ต้องรู้จักภัย คือความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ต้องเข้าใจ เมื่อสมัยโบราณยังไม่มีไฟฟ้ายังไม่มีน้ำประปา สมัยก่อนมันเป็นโบราณ การใช้ไฟในชีวิตประจำวันในครัวเรือน ก็ใช้ยางไม้ที่ไปทำเชื้อเพลิงผสมกับไม้ผุ เขาเรียกว่าขี้ไต้ ขี้ไต้มันเป็นเชื้อเพลิง เด็กน้อยมันไม่รู้จักไฟ ห้ามอย่างไรมันก็ไม่หยุด คนเฒ่าคนแก่ก็ให้ลองจับสักครั้ง ทีนี้แหละมันเห็นไฟมันร้องไห้เลย คนเราต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสารอย่างนี้ คนเราต้องรู้จักภัยในวัฏฏะสงสารนะ เราอย่าไปหลงอย่าไปเพลิดเพลินอย่าไปตั้งอยู่ในความประมาท จิตใจของมนุษย์มันคิดได้ทีละอย่าง เราต้องรู้จัก เราต้องเห็นภัยในวัฏสงสารในความคิด อันไหนไม่ดีเราก็ไม่คิด เช่นว่าคิดในกามในพยาบาท เราอย่าไปคิดอย่าไปนึกอย่าไปตรึก ต้องเห็นภัยในวัฏสงสาร รถเขาก็มีเบรค มีเบรกยังไม่พอ ยังมีพวงมาลัยเพื่อขับไปตามถนน เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ มีเบรกมีคอนโทรลเพื่อควบคุมให้เราเข้าสู่รันเวย์ ให้เราเข้าใจ
ให้พวกเราพากันเห็นภัยในวัฏฏะสงสารนะ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว ผู้ที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด คือเจ้าความคิดเจ้าอารมณ์ เราต้องรู้จักอย่างนี้ แล้วก็เข้าสู่ความประพฤติภาคปฏิบัติ แล้วก็ยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันเป็นเกมส์ เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติหรือเป็นข้อสอบข้อตอบให้เราปฏิบัติ มันถึงเป็นไฟต์ในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนะ ไม่ให้เราหลงไม่ให้เราตั้งอยู่ในความประมาท ถ้าเราประมาทมันคือสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในข้อวัตรในข้อปฏิบัติ มันผัดวันประกันพรุ่ง คิดว่าเรียนหนังสือจบก่อนแล้วค่อยเข้าสู่ภาคปฏิบัติ หรือคิดว่าพรุ่งนี้ก่อนแล้วค่อยประพฤติปฏิบัติ ความคิดอย่างนี้มันจะไปของมันเรื่อยจนเขาเอาเราไปประชุมเพลิงน่ะ พวกที่มียศมีตำแหน่งเขาก็เอาเราไปพระราชทานเพลิง
ความคิดอย่างนี้ ความคิดเหมือนกับนักเรียนนักศึกษา ที่ท่านพุทธทาสภิกขุท่านเห็นภัยในวัฏสงสาร ท่านมาเรียนมาศึกษานักธรรมบาลีในกรุงเทพฯ แล้วท่านสอบเปรียญธรรมได้ 3 ประโยค ท่านมาเห็นนักเรียนนักศึกษานิสิตนักศึกษา เอาแต่เรียนเอาแต่ตัวตน ทิ้งการประพฤติการปฏิบัติ ท่านก็กลับไปบ้านเกิดของท่านที่สวนโมกขพลาราม ท่านไปตั้งอกตั้งใจค้นคว้าหนังสือตำรับตำราปฏิบัติด้วยตนเอง เพราะการทำตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองคือผู้ไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสารนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือไม่รู้อริยะสัจ 4 นะ คือไม่รู้ทุกข์เหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์นะ คือเอาตนเองมาตั้งอยู่ในความหลงตั้งอยู่ในความประมาท ให้เราเข้าใจนะ การเรียนการศึกษามันเป็นความรู้คู่การประพฤติการปฏิบัติ เห็นไหมมหาวิทยาลัยนาลันทามีพระภิกษุตั้งหลายพันหลายหมื่นรูป พากันเรียนพากันศึกษาพากันก่อกันสร้าง เอาแต่นิติบุคคลเอาแต่ตัวตน ทิ้งการประพฤติการปฏิบัติ คิดว่าเรียนศึกษาจบแล้วถึงจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันคิดไปอย่างนี้ เขาเรียกว่ามันไม่รู้อริยสัจ 4 สุดท้ายเห็นไหมเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ประจบแต่คฤหัสถ์ คนรวยเอาแต่ นะจ๊ะๆ คนจนไม่ปฏิสันถาร ให้พรไม่ดัง เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เขาเผามหาวิทยาลัยนาลันทา เขาใช้เวลาเผาตั้ง 3 เดือน ตัวตนมันไม่ใช่ขาขึ้น มันคือขาลง
การเรียนการศึกษาเราต้องเข้าใจ การเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก นักธรรมตรีจนถึง ป.ธ.9 เพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อทุกคนจะได้ยกเลิกตัวตน เพราะตัวตนไม่ใช่ปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ ตัวตนมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์มันไม่มีนะ พระพุทธเจ้าถึงตรัสบอกพวกเราทั้งหลายว่า เราทั้งหลายอย่าไปตั้งอยู่ในความประมาทเพลิดเพลิน อย่าไปหลงอยู่ในความอร่อย ให้ทุกคนเข้าใจ ความสุขของมนุษย์มันอยู่ที่เรายกเลิกสิ่งที่ความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง เอาธรรมนำชีวิต เอาเวลานำชีวิต เอากฎหมายบ้านเมืองนำชีวิต เห็นความสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ ไปก่อนเวลา เราเป็นผู้ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ ให้พากันเข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม เราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งการดับทุกข์นะ ไม่ใช่เราเกิดมามีทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป อย่าไปร้องโอดโอย ร้องครวญครางอย่างนี้ เราจะไปโทษใครหล่ะ เราต้องเน้นมาที่เราต้องโฟกัสมาที่เรา เพราะการเดินทางแห่งชีวิตที่ประเสริฐ มันคือเราคนเดียว เราเกิดมาเราก็เกิดมาคนเดียว ถึงจะมีฝาแฝดบ้าง เราก็ต้องเข้าใจเราต้องจัดการที่เรานี่แหละ เราอย่าไปโทษดินฟ้า โทษพ่อโทษแม่ โทษรัฐบาล มันโทษแต่คนอื่น เห็นโทษคนอื่นเข้าภูเขา เห็นโทษของเราไม่มีเลย มันถึงพากันเวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้นะ
เราทุกคนต้องรู้จักความจริงรู้อริยสัจ 4 ถึงมันจะอร่อยก็ต้องรู้ พระพุทธเจ้าตรัสสอนให้เราทุกคนต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมว่าเรากำลังยืน นั่งก็รู้มีสติรู้ตัวทั่ว เดินก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ทำงานก็มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม เราถึงเข้าสู่ภาคปฏิบัติ เห็นความสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติอย่างนี้ ทางวัตถุก็มีพออยู่พอกิน เหลือกินเหลือใช้ ได้บำรุงได้เสียภาษีอากร ได้บำรุงพระพุทธศาสนาอย่างนี้ ทุกๆ ศาสนาก็ไปทางเดียวกัน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ทะเลาะกัน ท่านบอกว่า การที่เราออกกฎหมายบ้านเมืองหรือพระวินัยต่างๆ ก็เพื่อที่จะโฟกัสยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกตัวตน ไม่ให้เราทะเลาะกัน ตัวตนคือทะเลาะกันนะ ตัวตนคือสังฆเภท ตัวตนคือความเกิดแก่เจ็บตาย จะมีตัวตนไม่ได้ ให้เราเข้าใจ ตัวตนคือยินดีในลาภสักการะเสียงเยินยอ ตัวตนน่ะมันคือพระเทวทัต ตัวตนคือลูกศิษย์พระเทวทัต เราเห็นไหมตัวตนคือเหมือนฮิตเลอร์ที่เยอรมันเมื่อ100 ปีก่อน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเลยฆ่าล้างหมู่มวลมนุษย์ไปตั้งหลายล้านคน ตัวตนมันทำให้มีสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 มันจะมีไปเรื่อยๆ เพราะตัวตน เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี
ถ้าเอาตัวตนนำชีวิต ก็เป็นข้าราชการไม่ได้ ถ้านักการเมืองเอาตัวตนนำชีวิต มันก็เป็นนักการเมืองไม่ได้ เพราะตัวตนมันคือทุจริต เราทุกคนเอาตัวตนเป็นที่ตั้งให้เข้าใจไว้เลยว่า ตัวเองกำลังทุจริต ทุจริตคือความทุกข์นะ ทุจริตมีแต่ความทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป เพราะว่าคือการเดินทางผิดของชีวิต มันหันหลังให้ความถูกต้อง เขาเรียกว่ามันมีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เรียกว่าทุจริต ในประเทศไทยของเรามีการทุจริตมากมายก่ายกอง พวกนักบวชพากันทุจริตไป 60-70% ข้าราชการก็พากันทุจริต 60-70% นักการเมืองก็ทุจริตโกงกินคอรัปชั่นไป 80% พูดตรงไปตรงมาพูดพอดีอย่างนี้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งทุกคนถึงไม่มีความสุขในการทำงาน ตัวตนมันคือไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ตัวตนมันคือความขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่หายใจมันก็ไม่อยากหายใจ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตัวตนนี่แหละมันคืออบายมุขอบายภูมิ ตัวตนมันเป็นได้แต่เพียงคน ตัวตนมันไม่มีศีล 5 ไม่มีศีล 8 ไม่มีศีล 227 ให้รู้จักว่าตัวตนมันไม่รู้อริยสัจ 4 นะ
ให้พวกเราพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง แล้วเราจะได้พัฒนาตัวเองปฏิบัติตนเอง มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ มีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิต มีความสุขในการเอากฎหมายนำชีวิต เอาเวลานำชีวิต อย่าเอานิติบุคคลตัวตนเลย มันจะตั้งอยู่ในความหลงความเพลิดเพลินความประมาท ให้พวกเราเข้าใจ นี้แหละคือความจริง นี้แหละคือความถูกต้อง นี้แหละคืออริยะสัจ 4 คือทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงการดับทุกข์ นิโรธคือผลของกรรม จากที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมันถึงจะดับทุกข์ แก้ปัญหาได้ ชีวิตของเราจะมีความสุขความสงบอบอุ่น มีซุปเปอร์พาวเวอร์ในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันคิดว่าเรียนหนังสือก็เพราะจำเป็น ทำงานก็เพราะจำเป็น เพราะจำเป็นๆ ความจำเป็นอย่างนี้แหละมันคือทำให้เรามีโรคประสาทโรคจิตโรคซึมเศร้า มีทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป ประชากรในปัจจุบันพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาวิทยาศาาสตร์เพื่อตัวเพื่อตน พากันเป็นโรคจิตโรคประสาทเยอะ พวกเราต้องพากันรู้นะ รู้คุณค่ารู้เวลา ต้องเข้าใจ เพราะเราไม่เข้าใจ ฐานของเราจะไม่แน่นไม่ตั้งมั่นนะ เขาจะก่อสร้างอะไร ทำงานใหญ่ มันก็ต้องฐานใหญ่ฐานลึก มันต้องมีฐาน เราต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ ก็ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท ความเพลิดเพลินประมาทเรียกว่าไม่รู้จักอริยสัจ 4 นะ เขาเรียกว่าไม่รู้จักบ้านที่แท้จริง บ้านที่แท้จริงคือธรรมะ คือความดับทุกข์ทั้งทางกายวาจากิริยามารยาทตลอดถึงจะอาชีพ คือบ้านที่แท้จริง คนเราเอาตัวตนมันเรียกว่าเป็นคนไม่มีบ้าน คนโฮมเลส ตัวตนมันคือคนคนไม่มีบ้าน คนฟุ้งซ่านคนไม่สงบ ท่านถึงบอกว่าว่าต้องมีความสงบและมีปัญญาไปพร้อมๆ กัน ถ้าติดในความสงบมันก็จะไม่มีปัญญา ถ้าติดปัญญามันก็จะไม่มีความสงบ มันก็จะฟุ้งซ่าน ตัวตนมันทำลายสมองสติปัญญา มันต้องเป็นคนที่มีบ้าน คนไม่มีบ้านมันทุกข์ไหม คนไม่มีที่ดินทำมาหากินมันทุกข์ไหม มันทุกข์ เพราะไม่มีบ้านไม่มีที่ดิน คนเรามันต้องมีบ้านทางร่างกาย มีบ้านทางจิตใจคือธรรมะ พระนิพพานคือบ้านของเรานะ คือความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทั้งทางความคิด กริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ นั่นคือบ้านที่แท้จริง มันคือความสงบอบอุ่น เย็นเหมือนติดแอร์คอนดิชั่น บ้านภายนอกมันร้อนก็ติดแอร์คอนดิชั่นให้มันเย็น ถ้าประเทศไหนหนาวก็ต้องติดฮีตเตอร์ให้มันอุ่น
ให้ทุกคนพากันเข้าอกเข้าใจ เราจะพากันคิดว่าถ้าเรารวยเราเก่งเราฉลาดเราจะครองโลกนี้ได้ เราจะเป็นคนได้รับความสำเร็จในชีวิตมันไม่ใช่ ความสำเร็จในชีวิตมันต้องพัฒนาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจพัฒนาทั้งวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราจะได้เข้าถึงพระนิพพานบ้านที่แท้จริง เราจะได้รู้คุณค่า เราอย่าพากันไปก๋าไปกร่าง เรารวยมันก็ยังถูกครอบงำด้วยความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก แล้วเขาจะเอาเราไปประชุมเพลิงพระราชทานเพลิงนะ เราอย่าไปก๋าไปกร่างว่าเรามีอำนาจวาสนามียศใหญ่ ใส่สูทผูกเน็คไทเก้อ เวลาละสังขารวายชนม์ ความถูกต้องมันก็คือความถูกต้อง ถ้าจะพูดเป็นภาษาคนภาษาธรรม ยมบาลเขาถามว่าเกิดเป็นมนุษย์มีความดีอะไรบ้าง เราจะไปบอกยมบาลว่าได้เป็นเศรษฐี หรือว่าเป็นพลเอกอย่างนี้ เราจะถูกไม้เรียวนะ ว่าทำไมมันเซ่อเบลอ พระพุทธเจ้าไปตรัสรู้ในภัทรกัปในโลกไม่ใช่หรอ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตำแหน่งเศรษฐีตำแหน่งในข้าราชการนักการเมือง มาโอ้มาอวดอย่างนี้มันไม่ได้ ให้เราเข้าใจ หมู่มวลมนุษย์ต้องพากันรวยอย่างฉลาด ต้องมีปัญญา รู้จักเรื่องพระไตรลักษณ์ รู้จักว่าทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พากันเข้าอกเข้าใจ แล้วพากันประพฤติพากันปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ คนเราต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ มีความสุขในการเรียนหนังสือมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการทำในสิ่งที่ถูกต้องอย่างนี้ มันถึงจะไม่เป็นโรคจิตโรคประสาท ชีวิตของเราจะได้เป็น Super Power แห่งความดับทุกข์ เน้นที่ปัจจุบัน เพราะว่าปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะได้โฟกัสมาหาตัวเรา
เอาตัวตนมันฟุ้งซ่าน มันไม่ดีนะ มันนอนไม่หลับ เราต้องเข้าใจนะ ว่ากายกับใจมันต้องไปด้วยกัน ความสงบกับปัญญามันต้องไปด้วยกัน ไปห้องน้ำก็มันต้องใจกับกายไปด้วยกัน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน กายกับใจมันก็จะไม่ไปพร้อมกัน เพราะเราไม่รู้จักภาษากายภาษาธรรม ทุกคนนี้เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าไม่รู้เรื่องอริยสัจ 4 ไม่รู้เรื่องภาษาธรรมนะ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะประพฤติที่จะปฏิบัติ ยกเลิกตัวตน จะได้เข้าสู่ความเป็นพุทธะทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ ที่ยกเลิกตัวตน การปฏิบัติกับการทำงานก็คือสิ่งเดียวกัน ความเป็นพระมันต้องเป็นอยู่กับเราทุกคนอย่างนี้ เราอย่าพากันโง่ไปหาพระภายนอก เราเข้าใจไหมว่า พระพุทธศาสนาล่วงมา 500 ปีถึงได้มีการปั้นพระพุทธปฏิมากร เพราะคนเมื่อก่อนนั้นเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอากฎหมายบ้านเมืองนำชีวิต เอาธรรมนำชีวิต ยกเลิกตัวยกเลิกตน มีพุทธะ มีหลักวิชาการ 18 ศาสตร์ นั่นคือการปฏิบัติธรรม พุทธทางจิตใจคือการปฏิบัติ แล้วรู้ว่าพระพุทธศาสนาที่แท้จริง คือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ พระพุทธศาสนาได้เสื่อมได้เจริญ ได้ทำสังคายนา เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เพราะเอานิติบุคคลตัวตนมาครอบครอง ถึงได้ทำสังคายนากัน ในรัชสมัยของพระเจ้าอโศกมหาราชได้อาราธนาผู้ที่ไม่เอาธรรมนำชีวิต ให้พากันลาสิกขาไปใส่กางเกงเสีย ไม่ต้องมาโกนผมนุ่งห่มจีวร อย่าเอาพระศาสนามาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เพราะตัวตนมันทำให้ศาสนาเสื่อม จึงทำให้ได้เกิดมีพระอรหันต์หลายพันหลายร้อยหลายหมื่นรูป เพราะตัวตนมันคือปุถุชน ให้ทุกคนพากันเข้าอกเข้าใจนะ เราจะได้รู้คุณค่าความเป็นพระศาสนา
ในปัจจุบัน ในประเทศไทย ในหลายประเทศ รู้ว่าพระพุทธศาสนาดีจึงมาบวชเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ได้มาบวชมาบรรพชา เอาพระพุทธศาสนาหาอยู่หาฉันหากิน คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ 99.9% คือพวกที่เอาศาสนาหาอยู่หากินหาฉัน จะว่าถึง 100% ก็ไม่ได้ เพราะยังมีผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่นิดหน่อย ให้ทุกคนพากันเข้าอกเข้าใจนะ หมู่มวลมนุษย์จะได้กระตือรือร้น เห็นภัยในวัฏสงสาร ปฏิบัติในตนเอง เราจะได้เป็นผู้งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่งามหรอก แม้จะไปทำศัลยกรรมในประเทศไทยหรือนอกประเทศที่ประเทศเกาหลี อันนั้นมันงามภายนอก งามภายนอกนั้นมันดี แต่มันต้องงามภายใน งามทั้งกายวาจาใจ กิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เราต้องยกเลิกตัวตน มันถึงงามภายนอกงามภายใน เป็นผู้มีบุญที่แท้จริง
คนมีบุญมากคือใคร? คนที่มีบุญมาก คือคนที่สบายใจง่าย อยู่ที่ไหน ในเวลาใด ก็สุขง่าย ทุกข์ยาก มีแต่ความเบาจิตเบาใจ ปลอดโปร่งโล่งสบาย ท่านล่ะเป็นเช่นว่าหรือยัง คนที่สามารถจ่ายค่าอาหารแพงๆ ในร้านดีร้านดัง แต่ยังปล่อยให้ตัวเองหงุดหงิดกับบริการ หรือเรื่องอะไรที่ไม่ได้ดั่งใจ อาจเรียกได้ว่าเป็นคนมีสตางค์มาก แต่ยังไม่ใช่คนมีบุญมากจริงๆ
คนที่มีบุญมากจริงๆนั้น มักจะอยู่ง่ายกินง่าย ปรับตัวได้ง่าย ไม่ค่อยถือสาอะไรมากมายให้เป็นทุกข์ อะไรที่เป็นทุกข์ก็เพียงรู้ว่าเป็นทุกข์ แต่ไม่นำทุกข์มาแบก
คนที่มีบุญมากจริงๆ มักไม่ค่อยถือตัวถือตน เข้าใจว่าสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นสิ่งสมมุติ ไม่มีอะไรที่ยั่งยืนถาวร มีเกิดแล้วตั้งอยู่ ในที่สุดก็ดับไป มีความรู้สึกปล่อยวางมากกว่าเอามาแบกทับถมตัวเองให้เป็นภาระหนักตลอดเวลา
คนที่มีบุญมากจริงๆ มักไม่คิดว่าตนเองพิเศษอะไรกว่าใคร ในทางตรงกันข้าม เขาจะรู้สึกขอบคุณเวลาที่ใครทำอะไรให้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ จนรู้สึกว่าตนเองเป็นคนโชคดี แม้ถึงคราวที่ต้องประสบกับเหตุการณ์ใดๆที่ไม่ดี ก็ยังเห็นเป็นบทเรียน หรือยังพอเห็นด้านดีได้อยู่ หรือมักมองเห็นด้านบวกได้เสมอ
คนที่มีบุญมากจริงๆ ไม่จำเป็นต้องมีอะไรเพียบพร้อม หรือดีพร้อม ถึงกระนั้นเขาก็ไม่รู้สึกต่ำกว่า หรือสูงกว่าใคร ดีกว่าใคร หรือเลวกว่าใคร ฉลาดกว่าใคร หรือโง่กว่าใคร เพราะเขาให้เกียรติความเป็นคนของทุกคน รวมทั้งตนเอง จึงไม่นำตนเองไปเปรียบเทียบกับใคร หรือนำใครมาเปรียบเทียบกับตนเอง ถึงกระนั้นเขาก็ยินดีรับฟังคำแนะนำจากผู้อื่น โดยไม่หลงเป็นเหยื่อคำสรรเสริญและคำนินทา
คนมีบุญมากจริงๆ มองไปที่ไหน เมื่อใด ได้ยินอะไร ก็สบายอกสบายใจ เพราะเข้าใจความเป็นเช่นนั้นเองของทุกๆชีวิต เห็นคนได้ดี ก็รู้ว่าเขาคงเคยทำสิ่งดีๆมาก่อน เห็นคนลำบากที่พอช่วยเหลือได้ ก็ช่วยไปตามกำลัง อะไรที่เกินกำลังก็ไม่ปล่อยให้ตนเองว้าวุ่น กังวล ทุกข์ร้อนใจไปกับสิ่งนั้น เข้าใจดีว่าทุกคนมีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นมรดก แต่ละคนย่อมเป็นไปตามกฎแห่งกรรมที่ตนได้เคยกระทำ ไม่ทำสิ่งที่ไม่ดี ละอายชั่ว กลัวบาป ทำสิ่งที่ดีๆ หาเวลาทำจิตให้ผ่องใสด้วยการมีสติในการปฏิบัติธรรม โดยทำในที่ใดๆก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปทำที่วัด หรือที่สำนักปฏิบัติธรรมใดๆ ทำที่บ้านก็ได้ ทำได้ในทุกแห่งด้วยความมีสติในปัจจุบันขณะ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีสติรู้เท่าทันกาย ย่อมจะไม่พูดชั่ว และไม่กระทำชั่ว สามารถรักษาตนอยู่ใน ‘ศีล’ ได้อย่างสมบูรณ์ เมื่อมีสติรู้เท่าทันจิต ก็จะมี ‘สมาธิ’ ตั้งมั่น ไม่ซัดส่ายหวั่นไหววุ่นวาย และเมื่อมีสติรู้เท่าทันถึงเหตุผลอย่างชัดเจน ‘ปัญญา’ ก็จะเกิดขึ้น เป็นเครื่องดับทุกข์ได้อย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee