แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๓๙ ให้รู้จักทั้งภาษาคนภาษาธรรม พัฒนาใจให้มีปัญญาจักษุคือดวงตาปัญญาเกิดขึ้น
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๖๗
เราทุกคนที่เกิดมาต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ ทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เพื่อทำความดับทุกข์เรียกว่าทำที่สุดแห่งความไม่มีทุกข์ เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้นมีแต่ทุกข์ตั้งอยู่มีแต่ทุกข์ดับไปนอกจากทุกข์นั้นไม่มี เราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ เราทุกคนนั้นมีตา 2 อย่าง อย่างหนึ่งก็คือตาในส่วนทางร่างกายภายนอกเรียกว่ามังสจักษุ อีกส่วนหนึ่งคือตาทางปัญญา เรียกว่าปัญญาจักษุ ดวงตาทางปัญญานั้นเกิดจากการเรียนการศึกษาจากพ่อจากแม่จากคุณครูอาจารย์ที่โรงเรียน การเรียนการศึกษาตั้งแต่โบราณที่มีอยู่ 18 ศาสตร์ เพื่อเราจะได้ประพฤติจะได้ปฏิบัติ เราทุกคนจะได้รู้จักผิดรู้จักถูกรู้จักดีรู้จักชั่วความรู้ถึงเป็นคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนจะทำตามความไม่รู้ความไม่เข้าใจนั้นไม่ได้ เพราะมันเป็นความเสียหายเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ ยังตอนเด็กๆ เมื่อไม่เข้าใจก็อาศัยพ่ออาศัยแม่อาศัยครูบาอาจารย์จนกว่าจะช่วยเหลือตัวเองได้ เป็นผู้ที่มีความรู้มีความเข้าใจ เพราะชีวิตของเรานั้นมันคือรายรับคือรายจ่ายนะ การดำเนินชีวิตนี้คือรายรับรายจ่าย เพื่อให้รายรับรายจ่ายมันสมดุลกัน เพราะเราไม่เข้าใจ ถึงต้องพากันมาถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คือผู้ที่รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ ท่านผู้นี้คือพระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันเข้าใจ เราต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เพื่อเราจะได้เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติให้ถูกต้องถ้าเราหลงเราติดก็เข้าสู่ภาคบำบัด ให้เป็นไปตามหลักการหลักวิชาการ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าเพราะเสียงนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ทุกอย่างมันขึ้นอยู่ที่เหตุขึ้นอยู่ที่ปัจจัย ขึ้นอยู่ที่ความรู้ความไม่รู้ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เมื่อเราติดเมื่อเราหลงก็เข้าสู่ภาคบำบัด การบำบัดก็ต้องติดต่อต่อเนื่องให้เป็นปฏิปทา อาศัยเหตุอาศัยปัจจัยอาศัยการติดต่อต่อเนื่อง อันไหนไม่ดีไม่คิด เพราะใจเรามันคิดได้ทีละอย่าง อันไหนไม่ดีก็ไม่พูดเพราะปากเราก็พูดได้ทีละอย่าง กิริยามารยาทอันไหนไม่ดีเราก็ไม่แสดงออก เรามีตัวมีตนเป็นที่ตั้งก็ต้องยกเลิกตัวตน เราทุกคนมันขี้เกียจขี้คร้านก็เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง แม้แต่หายใจก็ไม่อยากหายใจ เพราะตัวตนมันทำให้ขี้เกียจขี้คร้าน อาชีพไหนไม่ถูกต้องเราก็ยกเลิกอาชีพนั้น เรายังเห็นแก่ตัวอย่าเห็นแก่ปากแก่ท้อง อย่าเห็นแก่ความเอร็ดอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายใจมันไม่ถูกต้อง เราก็ต้องยกเลิกอาชีพนั้นๆ อย่าไปกลัวตายกลัวอดตาย เพราะความดับทุกข์ของมนุษย์มันอยู่ที่เรายกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตนทุกคนก็จะมีความสุข
เราดูตัวอย่างแบบอย่างของพระพุทธเจ้าท่านยกเลิกตัวตน ไม่เอาตัวตนดำรงชีวิตดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะ ท่านยกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาความหลงไม่เอาอวิชชานำชีวิต พระพุทธเจ้าท่านมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าท่านยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกระบบชนชั้นวรรณะ ความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เมื่อเรายกเลิกความเป็นนิติบุคคลตัวตนเราถึงจะมีความสุข พระพุทธเจ้าจึงเป็นบุคคลที่เสียสละ เคารพในสิ่งที่ถูกต้อง เคารพในพระธรรม เป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านยกเลิกตัวตนท่านก็มีความสุข วันหนึ่งคืนหนึ่งพระพุทธเจ้าทรงบรรทมวันละ 4 ชั่วโมง อีก 20 ชั่วโมงพระพุทธเจ้าทรงทำงานรับใช้หมู่มวลมนุษย์ทวยเทพเทวดาและสรรพสัตว์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าคือผู้รับใช้คือผู้เสียสละ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ ตำแหน่งของพระพุทธเจ้าคือตำแหน่งที่ยกเลิกความเป็นนิติบุคคลตัวตน
เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราถึงจะมีปัญญาจริงรู้จริง ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายวาจาใจกิริยามารยาททั้งอาชีพ เน้นมาที่พวกเราทุกคนนี่แหละ พระพุทธเจ้าถึงไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน เราถึงต้องรู้ทั้งภาษาคนและภาษาธรรม ภาษาคนก็เน้นเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ภาษาธรรมคือเน้นที่ปรมัตถสัจจะ เอาธรรมนำชีวิตเอากฎหมายบ้านเมืองนำชีวิต รู้ภาษาทางกายภาษาทางจิตทางใจไปพร้อมๆกัน เพราะการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของเราต้องไปทางสายกลาง พัฒนาทั้งจิตทั้งใจทั้งทางวัตถุไปพร้อมๆกัน ทางใจก็ไม่ยิ่งหย่อนทางวัตถุก็ไม่ยิ่งหย่อน เป็นอริยมรรค การประพฤติการปฏิบัติเป็นการพัฒนาการวาจากิริยามารยาทอาชีพ เพื่อเป็นธรรมนำชีวิต ยกเลิกตัวตน เพื่อให้รายรับรายจ่ายสมดุล รอทุกคนต้องลงรายละเอียดให้กับตัวเอง ในการจับจ่ายใช้สอยมันต้องสมดุล เราอย่าได้เพลิดเพลินอย่าได้ประมาท พระพุทธเจ้าทรงเป็นห่วงเป็นใยเราว่าจะเพลิดเพลินว่าจะประมาท จะเสียดุลรายรับรายจ่าย เพื่อเราจะได้ไม่มีหนี้ไม่มีสินทั้งทางร่างกายวาจาใจกิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งชีวิตนี้ย่อมมีหนี้มีสิน เป็นชีวิตที่ไม่สมดุล สิ่งแวดล้อมมากมายทั้งตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราทุกคนต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องดีเรื่องชั่ว การดำเนินชีวิตนี้คือรายรับรายจ่าย คนเราน่ะถ้าตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท หลายวันหลายเดือนหลายปี ก็ต้องเป็นหนี้เป็นสินแน่ ทั้งส่วนตัวจนถึงประเทศชาติ
พระพุทธเจ้าท่านให้รู้หลักการประพฤติการปฏิบัติ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธัมมารมณ์ที่มากระทบกับเรา เหมือนกับแขกเหมือนกับอาคันตุกะที่มาเยี่ยมบ้านเรา ปกติแล้วแขกมาเยี่ยมเรามาเยี่ยมบ้านเราแล้วเขาก็จากไป ในชีวิตประจำวันของเราก็จะมีอยู่อย่างนี้แหละ สมัยปัจจุบันเรามีการพัฒนาเทคโนโลยีวิทยาศาสตร์ เราต้องพากันเข้าใจจะได้ไม่หลงใหลเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความหลงตั้งอยู่ในความประมาท เราต้องเข้าใจยกสิ่งเหล่านี้ที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสู่พระไตรลักษณ์ว่า มันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย เขามาเยี่ยมมายามแล้วก็จากไป ให้เราเข้าใจให้เราพิจารณาอย่างนี้ ถ้าเราไม่พิจารณาอย่างนี้ เราจะพากันเพลิดเพลินพากันหลงตั้งอยู่ในความประมาท จิตใจเราหลงเรียกว่ามันติด จิตใจมีหนี้มีสิน จิตใจมันก็ไม่เป็นธรรมไม่เป็นปัจจุบันธรรม มันก็เป็นตัวเป็นตน ให้ทุกคนพากันเข้าใจนะ จะได้พากันประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง สิ่งที่ผ่านมาแล้ว มันก็คือผ่านไป เราไม่ต้องไปอาลัยอาวรณ์ ไม่ติดไม่หลง ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความติดความหลง มีค่าอย่างเดียวกันกับคนป่วยที่นอนติดเตียงที่อยู่โรงพยาบาลหรืออยู่ที่บ้าน ความติดความหลงมันเป็นคนป่วย เป็นคนไข้ติดเตียง คนไข้ติดเตียงต้องเข้าสู่การบำบัด ต้องให้ยาให้อากาศให้ออกซิเจน เพราะความติดความหลงก็คือความป่วยติดเตียง เราทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเราถึงจะมีภูมิต้านทาน ไม่รับเอาเชื้อไวรัสเข้ามาสู่จิตสู่ใจ สิ่งที่เราเจ็บเพราะป่วยเราอาพาธในปัจจุบันมันเป็นไวรัส ไวรัสที่มันกระจายสู่สรีระร่างกายมันทำให้เราป่วย เราติดเราหลงเราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาทนั้น เราต้องรู้เราต้องเข้าใจ เราจะได้มีภูมิต้านทาน
พระพุทธเจ้าถึงบอกพระภิกษุผู้มาบวชในพระพุทธศาสนาที่มาบรรพชาเป็นสามเณรที่มาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ตาเห็นรูปหูฟังเสียงจมูกได้กลิ่นลิ้นลิ้มรสกายถูกต้องสัมผัสใจนึกคิด ต้องยกสิ่งเหล่านี้พิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยงมีความเปลี่ยนแปลงไปไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพื่อจะได้มีภูมิต้านทาน เพราะไวรัสทางจิตทางใจ ถ้าเราไม่ภาวนาพิจารณาอย่างนี้ ผู้มาบวชก็จะต้องอาบัติตั้งแต่ทุกกฎจนถึงถุลลัจจัย เพื่อพัฒนาภูมิคุ้มกัน ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทุกคนก็พากันมาเน้นที่เราที่ตัวเรานี่แหละ หมู่มวลมนุษย์ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ถ้าเรามีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ทุกอย่างมันจะราบรื่นไม่มีปัญหา เพราะใจมีความสุขเวลามันผ่านไปเร็ว เหมือนชีวิตของมนุษย์จะมีความสุขมากกว่าคน เพราะมนุษย์เป็นผู้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ส่วนพวกคนเนี่ยทำตามอวิชชาทำตามความหลงทำตามความฟุ้งซ่าน มีแต่ความทุกข์เกิดขึ้นมีแต่ความทุกข์ตั้งอยู่มีแต่ความทุกข์ดับไปสำหรับพวกคนนี้นะ คนนี้มันมีภพภูมิต่างๆ อยู่ในตัว เป็นอบายมุขอบายภูมิ ร่างกายยังไม่ตายแต่ก็ตกนรกทั้งเป็น ตามวาระจิต ตามอวิชชาตามความหลง ตามไสยศาสตร์ตามสายมู สายโมหะสายความหลง ภพภูมิของคนนี้จะมีความทุกข์มาก ให้พวกเราพากันเข้าใจเรื่องภาษาคนภาษาธรรม เทพเทวดานั้นมีความสุขมาก เวลาของเทพเทวดา อย่างสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งเป็นชั้นที่สอง 1 วัน 1 คืนก็เท่ากับโลกมนุษย์ 100 ปี ตรงเวลาของมนุษย์เป็น 100 ปี ในชั้นพรหมโลกยิ่งมีความสุข 1 วัน 1 คืนของพรหมโลกเท่ากับโลกมนุษย์นานเป็นกัปเป็นกัลป์ เราถึงต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เรามีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ สุขภาพจิตเราก็ดีสุขภาพกายเราก็ดี ให้พากันเข้าใจอย่างนี้
ความสมดุลรายรับรายจ่ายเราในชีวิตประจำวัน คนเราจะได้สมดุลกัน เราจะได้ไม่หลง ความดับทุกข์หรือว่าความไม่มีทุกข์ ก็มีอยู่กับเราทุกๆคน ในทุกหนทุกแห่ง ข้อความทุกข์มันก็เป็นสากล ความดับทุกข์ก็เป็นสากล ไม่เลือกชั้นวรรณะ ให้พวกเราพากันเข้าอกเข้าใจ เพื่อเราจะมีความรู้เข้าสู่ภาคปฏิบัติ เราจะได้รู้จักผิดรู้จักถูกรู้จักดีรู้จักชั่ว พากันเน้นมาที่เรามาที่ตัวเรา ถ้าเราเอาความไม่ถูกต้องนำชีวิต มีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด อะไรมันก็ผิดหมด เหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านท่านบอกว่า ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อเราติดกระดุมอันแรกผิดต่อไปมันก็ผิดหมด ต้องเข้าใจเรื่องธรรมะ เข้าใจเรื่องตัวเรื่องตน เราจะได้ไม่ตรึกไม่นึกไม่คิดในเรื่องกามในเรื่องพยาบาท เราต้องรู้ความจริงรู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เวลาจะได้เข้าสู่นิโรธความดับทุกข์ทั้งกายวาจากิริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ
วันหนึ่งคืนหนึ่งหมู่มวลมนุษย์เราทั้งหลายพากันนอนพากันพักผ่อนให้เพียงพอ กลางวันเป็นเวลาทำงานกับการปฏิบัติธรรม การทำงานกับการปฏิบัติธรรมเป็นอันเดียวกัน ยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรมนะ กลางวันเราก็ทำอย่างนี้ กลางคืนมันเวลานอนเวลาพักผ่อน เราทุกคนอย่าไปคอรัปชั่นเวลานอน อย่าไปคอรัปชั่นเวลาพักผ่อน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างมันมักทำให้หลงเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความประมาท เราต้องคอนโทลตัวเรา เหมือนกับรถตามถนนน่ะ ต้องคอนโทรลดีๆ มันถึงไม่มีอุบัติเหตุ คอนโทรลเหมือนเครื่องบินตั้งเข็มทิศไว้เพื่อเดินสู่จุดหมายปลายทาง เพื่อเข้าสู่รันเวย์ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราเป็นผู้ใหญ่ในวัยทำงาน เราต้องพักผ่อน 6-8 ชั่วโมง เห็นเวลาสำคัญ เห็นธรรมะเป็นสิ่งสำคัญ เพราะร่างกายของเราก็เป็นธรรมะ ถ้าเรานอนเราพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองของเราก็ไม่สมดุล สมองเราก็จะไปสั่งการสั่งงานคอนโทรลอะไรก็ไม่ได้ เพราะการนอนการพักผ่อนของเรามันไม่เพียงพอ หลายเดือนหลายปี สุขภาพเราก็ไม่ดี ร่างกายทรุดโทรมเจ็บป่วย นักบวชพากันนอนพากันพักผ่อน 5-6 ชั่วโมง พระภิกษุอาพาธ พระแก่พระชรา นอน 6-8 ชั่วโมงเป็นต้น เราต้องเข้าใจชีวิตที่ประเสริฐ เราต้องปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลาอย่างนี้ เราอย่าไปคอรัปชั่น เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เอาอวิชชาความหลงเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าคอรัปชั่น เขาเรียกว่าทุจริตนะ เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าทุจริต ประเทศไทยเราที่ยากจนมีเรื่องมีปัญหาก็มาจากทุจริต ไม่ใช่ปัญหาอื่นปัญหาทุจริตเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ไม่ถูกต้องเขาเรียกว่าทุจริต เราเอารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรา เขาเรียกว่าทุจริต มันไม่ถูกต้อง เราทุกคนก็เลยพากันมีความทุกข์น่ะ ตกอยู่ในสัญชาตญาณแห่งความเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เรียกว่าชีวิตนี้เป็นชีวิตที่ทุจริต เป็นชีวิตที่สีเทา สีดำ สีมืด เป็นมนุษย์เดือนมืด มีแต่ตาทางร่างกายไม่มีตาทางปัญญา เป็นมนุษย์เดือนมืด เป็นมนุษย์ที่ป่วยติดเตียง ไปไหนไม่ได้ อัมพฤกษ์อัมพาต เป็นไข้ติดเตียงอยู่นะ เข้า ICU สายพะรุงพะรังไปหมด เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันเป็นอย่างนี้ มันมีตาแต่ทางร่างกาย แต่ทางจิตทางใจมันไม่มีตาคือไม่มีแสงสว่างทางปัญญา
การเรียนการศึกษาถึงเป็นสิ่งที่สำคัญกับเราทุกคน เราจะได้รู้ว่าการเรียนการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องมีความสุขในการเรียนการศึกษา เพื่อความรู้เพื่อความเข้าใจ เมื่อเราเข้าใจแล้ว เราจะได้เอาไปประพฤติเอาไปปฏิบัติทุกหนทุกแห่ง ทั้งกายวาจากริยามารยาททั้งอาชีพ อย่าเอาอวิชชาความหลงเป็นที่ตั้ง อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะชีวิตของเราคือความสมดุล พัฒนาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง เราจะเอาแต่ตัวเอาแต่ตน เอาแต่ความสงบหรือความเพลิดเพลินมันไม่ได้ เราทุกคนต้องพากันรู้อริยสัจ 4 คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พระอรหันต์ทุกรูปเขาถึงรู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พระอรหันต์ทุกรูปต้องรู้อย่างนี้ รู้เรื่องกายวาจากริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ต้องเอาธรรมนำชีวิต พระอรหันต์ทุกประเภทถึงรู้อริยสัจ 4 อย่างนี้หมด ที่ว่ามีศาสตร์อยู่ 18 ศาสตร์ พระอรหันต์น่ะไม่มีความรู้ไม่มีความเข้าใจถึง 18 ศาสตร์ แล้วแต่ใครจะสร้างบารมีมา ที่จะได้อภิญญาทั้ง 6 มันคือการเรียนการศึกษาเรื่องศาสตร์ แต่พระอรหันต์ทุกรูปต้องรู้อริยสัจ 4 รู้เรื่องกายวาจากริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ อาชีพต้องยกเลิกความเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ต้องยกเลิก ถ้าไม่ยกเลิกก็คือมีโรงงานคือการตั้งโรงงานแห่งวัฏสงสาร พระพุทธเจ้าถึงบอกให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราจะได้หยุดโรงงาน เราจะได้ยกเลิกโรงงาน หยุดการผลิตวัฏทุกข์ มารู้จักกายวาจากริยามารยาทอาชีพ ให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งรายรับรายจ่าย ทั้งกายวาจา กริยามารยาท ทั้งอาชีพ มันจะได้สมดุลกัน ผู้ที่จะเป็นพระอรหันต์ทั้งหลาย มันต้องเข้าใจอย่างนี้ ความเป็นพระอริยเจ้าทั้งหลายนั้นมีอยู่กับเราทุกๆ คน ทั้งที่เป็นประชาชนที่ไม่ได้บวช หรือผู้ที่บวชมันเป็นได้พอๆ กัน แต่ผู้ที่มาบวชได้สิทธิพิเศษนะ สิทธิพิเศษทางกฎหมายบ้านเมือง บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ มีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน ท่านก็เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย
พระธรรมพระวินัยในพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าทรงอบรมสั่งสอน ทั้งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามี 84000 พระธรรมขันธ์ แบ่งเป็นปิฎก 3 ปิฎก มีพระวินัยปิฎกอยู่ 21000 พระธรรมขันธ์ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ที่สวดทุกกึ่งเดือน 227 ข้อ มีพระสูตร 21000 พระธรรมขันธ์ มีพระอภิธรรมปิฎก 42000 พระธรรมขันธ์ ให้พวกเราเข้าใจ กฎหมายบ้านเมืองที่แต่ละประเทศ ที่เราเอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ เป็นการบังคับกายวาจากริยามารยาท เพื่อให้ทุกคนยกเลิกความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด กฎหมายบ้านเมืองที่บังคับ มีการปรับสินไหม ระวางโทษ เอาประชากรของโลกไปติดคุกติดตาราง หรือประหารชีวิต นี้คือสมมติบัญญัติเพื่อจะโฟกัสเข้าหาความถูกต้อง เพื่อจะยกเลิกความเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้ทุกคนพากันเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้ว เราก็จะไม่เห็นคุณค่าในการประพฤติในการปฏิบัติ เราต้องเห็นคุณค่าเรื่องกฎหมายบ้านเมือง เพื่อเราทุกคนจะได้รู้ว่าอันนี้คิดไม่ได้อันนี้พูดไม่ได้ อันนี้ทำไม่ได้อันนี้ทำได้ อันนี้ต้องมีความตั้งมั่นในการประพฤติในการปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เพื่อเราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เราจะได้โฟกัสเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติภาคบำบัด เพื่อให้เป็นกฎหมายบ้านเมือง เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ให้เราเข้าใจ เราทุกคนจะได้มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทุกคนต้องยกเลิกตัวตน ชีวิตของเราจะได้ไม่สับสน ชีวิตของเรามันสับสน สมองของเรามันสับสน เพราะเรามีตัวมีตน มันเลยสับสนมันเลยวุ่นวาย มันเลยขัดข้อง ที่พระยสกุลบุตรได้เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ถึงจะรวยเป็นมหาเศรษฐี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่สงบ มันยังมีความฟุ้งซ่าน ก็เพราะตัวตนมันเป็นความฟุ้งซ่าน เลยต้องเดินไปบ่นไปว่าวุ่นวาย ว่าขัดข้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกยสกุลบุตรว่า ที่นี่สงบ ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง เธอจงมาที่นี่เถิด พระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาให้ฟัง ว่าเราต้องเสียสละตัวตน ยกเลิกตัวตน ต้องให้ทานต้องเสียสละ ต้องปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา มีความสุขในการยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งกาย วาจา กริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ต้องยกเลิก ถ้าเราไม่ยกเลิกเราก็ไม่มีความสงบไม่มีความวิเวก การที่เรายกเลิกตัวตน มันถึงเป็นความสงบเป็นความวิเวก กายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก ถึงแม้อยู่ในทุกหนทุกแห่ง มีตึกรามบ้านช่อง สูงตระหง่านฟ้า อลังการ มีผู้คนมากมาย เช่นในเมืองหลวง เมื่อเรายกเลิกตัวตน ทุกหนทุกแห่งนั่นคือความสงบ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจอย่างนี้
เราอย่าพากันเข้าใจผิดนะว่า เราเป็นประชาชนเป็นฆราวาสครองเรือนปฏิบัติไม่ได้ ประชาชนคนที่เป็นฆราวาสครองเรือนเป็นผู้ที่เสียภาษีอากร เป็นผู้ที่ดูแลประเทศชาติ บำรุงศาสนาทุกศาสนา มันก็ปฏิบัติได้ทุกคน เพราะการปฏิบัติเป็นเรื่องของเรา เรื่องกายวาจากริยามารยาทอาชีพ ต้องเน้นมาที่ตัวเรา ท่านถึงบอกว่า เราอย่าไปแยกธรรมะออกจากกายวาจาใจกริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ เราอย่าไปแยก ต้องปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน เราเป็นฆราวาสเป็นผู้ครองเรือนมันก็เป็นได้พอๆ กัน เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราจะเอาตัวอย่างแบบอย่าง เหมือนที่เราส่วนใหญ่เข้าใจ เราต้องรอให้โอกาสที่เราร่ำเรารวย เรามีอยู่มีกันมีใช้ ลูกหลานเป็นฝั่งเป็นฝา เราจะได้มีเวลาประพฤติปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เราคิดอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้น่ะ มันคือความคิดผิดเข้าใจผิด มันจะคิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คิดไปอย่างนี้จนเขาประชุมเพลิงเรา หรือพระราชทานเพลิง เราต้องเข้าใจใหม่นะ การประพฤติการปฏิบัติธรรม มันต้องอยู่ในปัจจุบันชีวิตประจำวัน เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ คิดดีๆ พูดดีๆ กริยามารยาทดีๆ อาชีพก็ถูกต้อง ยกเลิกตัวตน การประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ทำให้เราทุกคนเป็นพระอริยเจ้า ต้องยกเลิกตัวตน หรือว่ายกเลิกความเห็นผิด เราก็เป็นพระอริยเจ้า
เราไม่ต้องไปหาพระภายนอก เพราะว่าพระอยู่ที่เรา อยู่ที่กายวาจากริยามารยาทตลอดถึงอาชีพ พระต้องอยู่อย่างนี้ เราเอาแต่พระภายนอก มันเป็นความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิดนะ เราจะถูกเขาหลอกเอา เพราะว่าพระภายนอกมันเป็นการแต่งตั้ง แต่งตั้งว่าเป็นพระภิกษุสามเณรหรือว่าเป็นแม่ชี พวกนี้เป็นพระแต่งตั้ง ถ้าท่านเอาตัวตนเป็นที่ตั้งท่านก็ไม่ได้เป็นพระ เป็นแต่คนอาศัยวัด อาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉัน เดี๋ยวนี้น่ะ พระแบบนี้มีในพุทธศาสนาเยอะ ประเทศไทยคิดเป็นเปอร์เซ็น พวกที่ได้รับการแต่งตั้ง ไม่เอามรรคผลนิพพาน มาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ คิดเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่า ไม่น้อยกว่า 99.9% นะ จะว่า 100% ก็ไม่ใช่ เพราะยังมีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ ให้เราเข้าใจ เราต้องเน้นมาหาพระที่ตัวเรานี้แหละ เรามีตาเรามีหูจมูกลิ้นกายใจ เราก็ได้รู้ได้เห็นความเสียหายของผู้ที่มาบวช มาทำความเสียหายของความเป็นมนุษย์ ทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ พวกนี้แหละ เห็นคนรวยเห็นคนมีอำนาจวาสนาพูดเหมือนกันหมด พูดนะจ๊ะๆ คนจนก็ไม่อยากจะต้อนรับ ให้พรก็เสียงไม่ดัง ต้องเข้าใจ เราทุกคนต้องมาหาพระที่เราที่ตัวเรา เราจะได้รู้จักพระที่แท้จริง มันอยู่ที่ตัวเรานี้แหละ พระพุทธศาสนาได้ล่วงกาลเวลาได้ 500 ปีน่ะ ถึงได้สร้างพระพุทธปฏิมากรรมเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า เพราะสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถึงจะเป็นพระ เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ ทั้งผู้ที่เป็นนักบวชที่เป็นฆราวาส เราต้องเข้าใจว่า พระที่แท้จริงอยู่ที่ตัวเรา ความรู้ถึงคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เราจะเป็นประชาชนเป็นฆราวาส เราก็เป็นพระได้เหมือนกัน
ให้เข้าใจอย่างนี้ที่เรามาร่วมรวมกันมาปฏิบัตินี้ เรียกว่าวัดภายนอก ที่มีโบสถ์ มีวิหาร มีเจดีย์ มีศาสนวัตถุ เป็นศูนย์รวมแห่งการทำความดี ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เป็นศีล สมาธิปัญญา เหมือนเราทุกคนมีครอบครัวก็ต้องมีอาคาร มีบ้านมีที่อยู่อาศัย บ้านก็เป็นที่อยู่ของกาย ธรรมก็เป็นที่อยู่ของใจ เราต้องมีบ้านทั้งกายมีบ้านทั้งใจ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราต้องเข้าใจเรื่องวัดเรื่องข้อวัตรข้อปฏิบัติ การที่เราเอาธรรมนำชีวิต ทั้งกายวาจากริยามารยาทตลอดถึงอาชีพนำชีวิต เขาเรียกว่า ข้อวัตรข้อปฏิบัติ ยกเลิกนิติบุคคลตัวตน ชีวิตเราก็มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เข้าสู่ระบบของความดับทุกข์ เป็นการทำที่สุดแห่งการดับทุกข์อย่างนี้ เราจะได้มีบ้านทั้งทางกายทางใจอย่างนี้ ทั้ง 2 อย่างต้องไปพร้อมกันเป็นทางสายกลาง เอาแต่ทางวัตถุเอาแต่ตัวอาแต่ตนอย่างนี้มันก็สุดโต่ง ทั้งวิทยาศาสตร์ทั้งทางธรรมะ มันต้องไปพร้อมๆ กัน เราทุกคนจะได้ไม่เป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า โรคที่มีแต่ความทุกข์เกิดมีแต่ความทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ความทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์มันไม่มีอะไรเลย เรียกว่าเห็นรูปสวยๆ ก็ร้องโอ้ยๆ ไป เสียงเพราะๆ ก็ร้องโอ้ยไป อาหารอร่อยก็ร้องโอ้ยๆ ไป มีความหลงก็ร้องโอ้ยๆทั้งวันทั้งคืน หัวใจมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น หัวใจมันมีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ หัวใจมันมีแต่ทุกข์ดับไป เราต้องเข้าอกเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ประพฤติปฏิบัติ เพื่อความสมดุลทางกายวาจากริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ เราต้องรู้จัก เราถึงจะสมดุลไม่มีหนี้ไม่มีสิน เราจะได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม มีความสงบมีความอบอุ่น ดับทุกข์ได้ตั้งแต่ยังไม่ตาย การตายมันมี 2 อย่างนะ ตายทางร่างกายกับตายทางจิตใจนะ เราต้องเข้าใจ ร่างกายของหมู่มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ก็อยู่ได้ไม่ถึง 100 กว่าปีหรอก ตามสรีระร่างกายที่มันต้องเป็นอย่างนี้ แล้วก็ตายทางจิตทางใจ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งแล้วเราก็เป็นมนุษย์ได้ไม่กี่วินาทีหรอก เราเอาความหลงเป็นที่ตั้งเราก็ตายจากมนุษย์เป็นผี เป็นมาร ยักษ์ อสูรกาย เราก็เปลี่ยนภพภูมิตลอดเวลา
การเกิดการตายมันเป็นพลังงานแห่งความหลงนะ ที่ทุกคนมีการเวียนว่ายตายเกิด มีผู้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วศูนย์ พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่า แล้วแต่เหตุแล้วแต่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าเราไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้มี เราก็ยกเลิกเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเข้าสู่ภาคบำบัด เราจะได้หยุดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิดนะ เพราะว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ เหมือนพระสารีบุตรที่ยังไม่เข้าสู่พระพุทธศาสนาเดินไปเจอพระอัสสชิ เห็นกายวาจากริยามารยาทงดงาม เพราะท่านยกเลิกตัวตนท่านถึงงดงาม สวยงาม สง่างาม เมื่อได้โอกาสได้เวลาท่านก็ไปกราบถามว่า ใครเป็นครูใครเป็นอาจารย์ของท่าน ท่านถึงงดงามสง่างาม มีความสุขที่มองเห็นด้วยตาได้อย่างนี้ ให้ท่านแสดงธรรมพูดให้เข้าใจหน่อย พระอัสสชิว่า เราพึ่งบวชใหม่ เรายังไม่เข้าใจธรรมวินัยกว้างขวาง พระสารีบุตรก็บอกว่า ไม่ต้องเอากว้างขวางหรอก เอาแค่หลักการที่พอจะจับหลักในการประพฤติในการปฏิบัติได้ พระอัสสะชิก็บอกว่า “ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย พระตถาคตตรัสแสดงเหตุและความดับแห่งธรรมเหล่านั้น” เมื่อพระสารีบุตรได้ฟังก็เข้าใจ ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน แต่ก่อนมีแต่ตาทางกาย ไม่มีตาปัญญา เมื่อท่านได้ฟัง ท่านก็ได้ธรรมจักษุ ท่านก็ได้บรรลุธรรมเกิดแสงสว่างขึ้นทางปัญญา
เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมึนตึ๊บมันมืดตึ๊บ การเรียนการศึกษาของเราตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ตั้งแต่นักธรรมตรี จนถึง ป.ธ.9 ทำไมมันไม่เกิดปัญญา เกิดปัญญาก็เป็นเพียงแต่ปัญญาหาอยู่หาฉัน หรือว่าหาอยู่หากิน มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป พระพุทธเจ้าตรัสบอกเราว่าให้เรามีสัมมาทิฏฐินะ เรียนหนังสือ ทำงาน ทำธุรกิจหน้าที่ต่างๆ ก็เพื่อเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง แล้วปฏิบัติถูกต้อง เพราะความถูกต้องมันจะดับทุกข์ทางกาย วาจา กริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ให้เราพากันเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มีฉันทะมีความพอใจมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติตั้งมั่น เน้นปัจจุบันให้เข้าหาพลังงานแห่งซุปเปอร์พาวเวอร์เลย มันจะเป็นสิ่งที่กลมกล่อม เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ เราจะเป็นประชาชนที่ไม่ได้บวชหรือบวช พระพุทธเจ้าก็ให้เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ สิ่งที่มันแล้วก็แล้วไปนะ ทุกๆ คน เอาใหม่ตั้งใจใหม่ แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่เราทุกคนว่าเรารักตัว รักตนรักพ่อแม่ รักประเทศชาติบ้านเมืองมันไม่จริง ถ้าเรารักตนเอง เราไม่ปล่อยให้ตนเองเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารหรอก เวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป นี่แสดงถึงเราไม่รู้จักอริยสัจ 4 เรายังไม่รักตัวเองเลย เรายังไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร เมื่อเราไม่เห็นภายในวัฏสงสาร เราก็ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป หัวใจของเราก็มีตัวมีตน หัวใจของเราก็เวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าตรัสว่าพวกที่เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง พวกนี้แหละร่างกายไม่มีบุตร ไม่มีภรรยา ไม่มีสามี แต่หัวใจมันมีตัวมีตน มันก็มีบุตร มีสามี มีภรรยา ทั้งวันทั้งคืนเลยพวกนี้นะ พวกที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความหลงเป็นที่ตั้ง พวกนี้หัวใจมันมีบุตรมีภรรยา มีสามีทั้งวันทั้งคืนเลย พวกนี้เน้นแต่ทางวิทยาศาสตร์ เน้นแต่ที่ตัวที่ตน พวกนี้มีความคิดเห็นมีความเข้าใจว่า ตายไปแล้วก็แล้วไปนะ ไม่ได้เกิดใหม่หรอก เมื่อมีชีวิตอยู่ เราต้องพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ เพื่อเราจะมีอยู่มีกิน เหลือกินเหลือใช้ไว้ให้ลูกให้หลานเรา เราจะได้มีรถหรูมีบ้านหรู มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบายต่างๆ พวกที่มีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ก็จะไปพัฒนาแต่เรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องวิทยาศาสตร์ แต่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พวกพัฒนาวิทยาศาสตร์ถึงพากันเป็นแต่โรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า แทบทุกตระกูลใหญ่ๆ ทั้งหลาย มหาเศรษฐีทั้งหลายพากันทะเลาะกันทั้งตระกูลเลย ไม่มีตระกูลไหนไม่ทะเลาะเลย อันนี้ให้ 100% เลยทะเลาะกัน ตัวตนมันทะเลาะวิวาท เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จิตใจของเราทุกคนมันเลยหยาบ มันเลยสกปรก มันไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป เอาความอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ จากความทุกข์ของคนอื่น ความคิดเห็นอย่างนี้ทางวิทยาศาสตร์ต้องเข้าใจนะ เราต้องเอาทางวิทยาศาสตร์ด้วยพัฒนาทางจิตใจของเราด้วย เพื่อเราจะได้ไม่หลงในความเป็นนิติบุคคลตัวตน ให้ทุกคนพากันมีสติมีสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมนะ ถ้าไม่อย่างนั้นมันฟุ้งซ่านไปเรื่อย มันจะเอาแต่เหตุเอาแต่ผลเอาแต่วิทยาศาสตร์กัน มันทะเลาะไปเรื่อย เหมือนพวกที่อยู่ในสภาทั้งหลาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเลยทะเลาะกันในสภา มันแย่นะมันเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้รักคนอื่นไม่ได้รักประเทศชาติ เอาตัวเอาตน ถ้าเรามีตัวมีตนเราจะรักใครได้ แม้แต่ตัวเองก็ไม่รัก เราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินในความประมาท พวกที่เอาตัวเอาตนมันเสียหายมาก ตัวตนน่ะมันเก่งฉลาดเป็นมหาเศรษฐี ยังส่งลูกไปเรียนต่อเมืองนอก เพื่อพัฒนาตัวตน พากันมากินบ้านกินเมืองต่ออีก ต้องเข้าใจนะ อันนี้มันเป็นตัวเป็นตนนะ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นไสยศาสตร์ เป็นโมหะ มันเป็นสายมู เป็นอวิชชาความหลง ทุกคนพากันเข้าอกเข้าใจ เรามาเข้าคอร์สมาปฏิบัติธรรม เราทุกคนต้องจัดหนักให้ได้ กลับไปเราก็เอาเรื่องที่เราเข้าใจ เอาไปประพฤติปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เหมือนเด็กไปเรียนหนังสือแล้วเข้าใจ อ่านออกเขียนได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง การประพฤติการปฏิบัติของเราถึงจะเป็นอย่างนั้น เพื่อเราจะพัฒนาติดต่อต่อเนื่องกันว่าเป็นพระที่แท้จริง ว่าไม่มีความทุกข์ที่แท้จริง มันอยู่ที่เราคิดเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เข้าใจอย่างนี้ เราทุกคนจะได้ไม่ไปโทษคนอื่น ไม่ต้องไปโทษพ่อโทษแม่โทษเพื่อนโทษฝูงโทษรัฐบาลโทษดินฟ้าอากาศ สารพัดโทษ แต่ก่อนเรามีความคิดผิด เข้าใจผิด คิดจะไปแก้แต่ภายนอก จนเป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า
เมื่อก่อนคิดว่าเราไม่มีบุญไม่มีวาสนาไม่มีบารมี เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จะมีบุญมีวาสนามีบารมีได้ไง เพราะตัวตนมันทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ มันไม่ใช่บารมีนะ ทุกคนเอาแต่คิดในใจว่า ทำไมเราไม่มีบารมี ตัวตนมันไม่มีบารมี ต้องเข้าใจ อย่างวัดทุกวัดในปัจจุบันนี้ มันไม่มีใครมาบวช เพราะว่าผู้ที่เป็นเจ้าอาวาส ผู้ที่เป็นประธานสงฆ์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เป็นแต่เจ้าอารมณ์ เป็นเจ้าอาละวาด ใครเขาอยากจะมาบวช ทั้งที่รู้ว่าบวชนี้มันดีนะ ได้อบรมบ่มอินทรีติดต่อต่อเนื่อง เป็นสถานประพฤติปฏิบัติธรรม เป็นสถานที่ยกเลิกตัวตน ทุกคนก็อยากบวช เมื่อวัดนั้นสถานที่นั้นไม่สับปายะ ที่นั่นไม่มีพระ ที่นั่นมีแต่โจร มีแต่แหล่งของโจร ทุกคนต้องพากันเข้าใจ อย่าไปโทษกุลบุตรลูกหลานสมัยใหม่ว่าไม่มีใครอยากจะบวช เพราะเดียวนี้แสงสีศิวิไลซ์ ไม่มีใครอยากบวช เขาจะอยากบวชทำไม เพราะเจ้าอาวาสทั้งหลายทั้งปวง ไม่ได้เป็นพระกัน พากันตั้งแก๊งค์กัน พวกตกงานทั้งหลายนี้ พวกที่ไม่มีสมรรถภาพหาอยู่หากิน เขาเลยไม่อยากบวชอย่างนี้ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้เข้าใจใหม่ เราจะไปว่าแต่คนอื่นเขาผิด ตัวเองนี้แหละ ไม่ได้เป็นแบบเป็นพิมพ์ ไม่ได้เป็นพ่อเป็นแม่ ให้ทุกคนต้องรู้ภาษาคนภาษาธรรม เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่รู้ภาษาคน ภาษาธรรม ต้องเข้าใจนะ เราดูตัวอย่างแบบอย่างความเสื่อมความเจริญ ความเสื่อมคือเราทุกคนเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็คือความเสื่อม การปกครองประเทศชาติต้องเอาธรรมนำชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของทุกๆ ประเทศ คือเอาธรรมนำชีวิต เขาเรียกว่าทศพิธราชธรรม ประธานาธิบดีก็คือผู้ที่เอาธรรมนำชีวิต เป็นผู้ที่ทรงทศพิธราชธรรมเหมือนกัน กฎหมายบ้านเมืองเป็นทศพิธราชธรรม ธรรมวินัยเป็นทศพิธราชธรรม เอาธรรมนำชีวิต เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่ามันเสียเอกราช มันเสียหลักการเสียจุดยืน มีความรู้แล้วไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันถึงได้เป็นอย่างนี้ เราทุกคนเมื่อยกเลิกตัวตนมันถึงจะงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายไปมัวแต่ศัลยกรรมภายนอก ทางภายนอกเราก็ศัลยกรรมตกแต่ง ทางกายวาจาใจกริยามารยาทอาชีพ เราก็ตกแต่งไปด้วยเหตุด้วยปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีให้ถูกต้อง ยกเลิกความไม่ถูกต้อง ชีวิตของเรามันถึงจะสงบอบอุ่นเย็นเป็นพระนิพพาน เพราะพระนิพพานเป็นความดับทุกข์ ทั้งทางกายวาจาใจกริยามารยาท ที่อยู่ท่ามกลางความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากนี้แหละ ถ้าเรายกเลิกตัวตน พระนิพพานมันก็อยู่กับเราทุกๆ ท่านนะ ไม่ว่าเราจะเป็นนักบวช เป็นข้าราชการ เป็นทหารตำรวจ เป็นพ่อค้า ประชาชน มันก็ดับทุกข์ได้ทุกหนทุกแห่ง ความเที่ยงแท้แน่นอนคือทุกอย่างไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนนะ เราอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนะ หลวงปู่มั่นถึงกล่าวสอนว่า “ความไม่ยั่งยืนเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และแน่นอน ความยิ่งใหญ่คือความไม่ยั่งยืน ชีวิตที่ยิ่งใหญ่คือชีวิตที่อยู่ด้วย ทาน ศีล เมตตาและกตัญญู ชีวิตที่มีความดีอาจมิใช่ความยิ่งใหญ่แต่ชีวิตที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัยคุณธรรมความดีเท่านั้น”
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee