แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๒๙ ท่านไม่ให้เราเอาแต่ใจ ท่านให้เราเอาธรรมเป็นใหญ่ ต้องเสียสละตัวตนให้ได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๗
ความรู้ความเห็นความเข้าใจ ความตั้งมั่นในการประพฤติในการปฏิบัติในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่กริยามารยาท ที่การงาน เพื่อให้เกิดความชำนิความชำนาญของเราทุกๆ คน โฟกัสการปฏิบัติมาที่ตัวเราเอง ธรรมะที่เราเรียนในหนังสือในตำรา ทุกข้อทุกเรื่องให้เข้าใจ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำแม่น้ำ เพื่อไหลสู่ทะเลมหาสมุทร ปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง เป็นทั้งศีล เป็นทั้งสมาธิ เป็นทั้งปัญญา ทุกคนต้องรู้ความหมายของสมมติสัจจะ พ่อแม่คือผู้ที่เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ต้องรู้จักที่พึ่งที่แท้จริง อยู่ที่ไหน ทุกๆ อย่างในชีวิตประจำวันเรามีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วทรงบอกให้เราเข้าใจง่ายๆ เปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน มีรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ มากระทบกัน อายตนะภายใน พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจเปรียบเสมือนอาคันตุกะมาเยี่ยมมายาม เมื่อมาเยี่ยมมายามแล้วก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรเลยที่ไม่จากไป แม้แต่ตัวเราของเรามันก็เป็นสิ่งที่จากไป
พระพุทธเจ้าถึงบอกถึงสอนให้ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท ให้มาพิจารณาร่างกายของเราทุกๆ คน ร่างกายของเราทุกๆ คน หรือของมนุษย์นี้มีอุปกรณ์อยู่ 32 ชิ้น ให้มาพิจารณาแยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนสู่พระไตรลักษณ์ เริ่มจากผมขนเล็บฟันหนัง ทำอย่างนี้เพื่อสู่ความรู้แจ้ง ทุกๆ วันในชีวิตประจำวัน เพื่อเราทุกคนจะได้มองตนเอง มองคนอื่นว่าไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นธรรมะ เป็นสภาวะธรรม แล้วเป็นความสงบ ในชีวิตประจำวันเราต้องภาวนาให้ติดต่อต่อเนื่อง อย่าได้ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท ถ้าเราไม่พินิจพิจารณาพากันผิดศีลพากันต้องอาบัตินะ ต้องอาบัติตั้งแต่ทุกกฏถึงอาบัติถุลลัจจัย ทำไมถึงต้องอาบัติ เพราะเอาตั้งอยู่ในความประมาท ตั้งอยู่ในความหลง ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน เพิ่มความชำนิเพิ่มความชำนาญ เพิ่มความแจ่มแจ้ง เพื่อให้ทุกคนเข้าถึงความเป็นธรรมในธรรมในปัจจุบันธรรม พวกเราทั้งหลายยกเลิกตัวตนจะพากันเข้าถึงพระพุทธศาสนา ความรู้คู่การประพฤติคู่การปฏิบัติ ซึ่งเป็นพุทธะทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกริยามารยาท ทั้งอาชีพ
วันหนึ่งคืนหนึ่งมีกลางวันกลางคืนตามการหมุนเวียนของโลกของดวงอาทิตย์ กลางวัน 12 ชั่วโมง กลางคืน 12 ชั่วโมง กลางคืนเป็นเวลาพักผ่อน กลางวันเวลาทำงาน เหมือนปัจจุบันมีไฟฟ้าแทนดวงอาทิตย์ ทำงานกลางคืนก็ได้ สมมติบัญญัติที่โฟกัสให้เราประพฤติให้เราปฏิบัติ ไม่ให้เราทำตามอัธยาศัย ก็เพื่อโฟกัสเข้าหาทางสายกลาง เพื่อไม่ให้สมองของเราทุกคนสับสน มีฉันทะมีความพอใจมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ พวกเราจะได้ไม่เป็นโรคจิต โรคประสาท ไม่เป็นโรคซึมเศร้า การพัฒนาวิทยาศาสตร์เพื่อดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ ให้ติดต่อต่อเนื่อง ให้ชำนิชำนาญชัดเจน ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่ายิ่งฉลาด จิตใจทุกคนก็ยิ่งมีความสุข
ศาสนาทุกศาสนาก็คือหนทางอันเดียวกันมุ่งไปในทางดับทุกข์ มุ่งไปหาที่สุดแห่งความดับทุกข์ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เรื่องพระศาสนา เข้าใจเรื่องสมมติสัจจะ เรื่องกฎหมายบ้านเมือง เราทุกคนจะได้โฟกัสเข้าหาตัวของเราเอง เราเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เราทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เรื่องธาตุเรื่องขันธ์ เรื่องอายตนะของเราทุกคน ทุกอย่างเขาก็ทำหน้าที่ของเขา ทุกอย่างเขาก็เป็นใหญ่ของเขา ไม่มีการก้าวก่ายกัน สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เมื่อพวกเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มาเป็นความสะอาด สว่าง สงบ พระพุทธเจ้าตรัสบอกสอนว่านี้คืออริยะมรรค คือหนทางเดิน ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกริยามารยาท ไม่มีสับสน ที่สมมติสัจจะนำชีวิต มีปรมัตถสัจจะ ปล่อยวาง สิ่งที่ผ่านมาที่จากไป ไม่มีอะไรได้ ไม่มีอะไรเสีย มีแต่ความเกิดขึ้น ความตั้งอยู่ แล้วก็จากไป เป็นสิ่งที่มีอยู่ว่างจากนิติบุคคล ว่างจากตัวว่างจากตน เรียกว่าไม่มีได้ ไม่มีเสีย ถ้ามีตัวมีตนทุกคนเลยว่า มันทำยากมันทำไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเรา ทรงสั่งสอนพวกเรา นั่นเป็นตัวเป็นตน เป็นอวิชชาเป็นความหลง เราต้องพากันรู้จัก ให้พากันยกอารมณ์ ยกจิตนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราอย่าพากันสนใจ ให้พวกเราพากันเข้าใจ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ
เราทุกคนต้องขอบใจ ความเกิด ความแก่ความเจ็บความตาย ความพลัดพราก ที่เอาข้อสอบมาให้เราได้ตอบมาให้พวกเราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ แล้วก็พากันมีความทุกข์กัน ที่ว่ามันยากมันลำบาก เราทำไปปฏิบัติไปมันก็จะชำนิชำนาญเอง เพราะในชีวิตประจำวันก็มีเรื่องตาหูจมูกลิ้นกายใจอย่างนี้แหละ เป็นข้อสอบเป็นข้อตอบ ทุกคนอย่าคิดว่ามันเป็นของยาก จะได้มีความสุข จะได้มีความดับทุกข์ทางใจของเราทุกคน เราจะเอาแต่ความสงบ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนนั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสบอกสอนพวกเราทั้งหลาย พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกเป็นหลานของศาสนาพารหมณ์มาก่อน ปัจจุบันก็คือศาสนาฮินดู เอาแต่ความสงบ เอาแต่สมาบัติ เลยไม่รู้อริยสัจ 4 เมื่อออกจากสมาธิออกจากสมาบัติมันก็เหมือนถูกฟ้าผ่าอย่างนี้แหละ การพัฒนาการปฏิบัติของเรา ต้องมีศีล มีการประพฤติมีการปฏิบัติ ไม่ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ในการดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ ติดต่อต่อเนื่อง เป็นภาคประพฤติเป็นภาคปฏิบัติ เป็นสัมมาสมาธิทั้งกายทั้งวาจาทั้งกริยา อาชีพ ที่อยู่ในปัจจุบันที่เป็นธรรมเป็นความยุติธรรม
ถ้าเรามีความหลงมีความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท มันก็เปรียบเสมือนเมล็ดพันธุ์เล็กๆ มันก็จะเจริญเติบโต สูงตระหง่านฟ้าตามกาลตามเวลา ให้พวกเรารู้หน้าที่รู้การประพฤติรู้การปฏิบัติ เราทุกคนจะได้หาความสงบความดับทุกข์ อยู่ที่ตัวของเรา ไม่ต้องไปหาที่อื่น เรื่องศีลเรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ถึงโฟกัสมาหาตัวเรา เราไม่ต้องไปหาพระพุทธเจ้าภายนอกตัวเรา ไม่ตามหาพระธรรมนอกตัวเรา ไม่ต้องไปตามหาพระอริยะสงฆ์นอกตัวเรา ก็อยู่กับเราทุกคนนี้แหละ คำว่าปล่อยวางให้เราทุกคนเข้าใจ ปล่อยวางความคิดเห็นผิด ความเข้าใจผิด ความปฏิบัติผิด นี้คือการปล่อยวาง การปล่อยวางที่ไม่ถูกต้อง เราก็ไปปล่อยวางธุระกิจหน้าที่การงาน สิ่งที่ทุกคนพากันเสียสละ ปล่อยวางความเห็นที่ไม่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง การปฏิบัติไม่ถูกต้อง ปล่อยวางความชอบความไม่ชอบ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ อย่าพากันหลงประเด็น
เรามีตัวมีตนเราไม่ใช่รักตัวเองนะ มันคือการหลงตัวเอง หลงตัวเองแล้วก็ไปหลงคนอื่น มันไม่ใช่ปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณนะ มันเป็นอวิชชา มันเป็นความหลง เราต้องประพฤติเราต้องปฏิบัติเพื่อข้ามวัฏฏะสงสาร ที่มันเป็นสัญชาตญาณ ที่เราต้องข้ามสิ่งที่เกิดจากการประพฤติจากการปฏิบัติของเราเอง ทุกคนมีกรรมเกิดจากการกระทำที่เป็นอวิชชาเป็นความหลงเป็นต้นทุน ที่มันเป็นวิบากในปัจจุบัน ที่มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ เรียกว่าวิบากกรรม เราทุกคนต้องรู้จัก ผลของกรรม ที่เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ที่มันเป็นวิบากกรรม ที่มันเป็นจากกวิชชาจากความหลง ที่มันเกิดมันแก่มันเจ็บมันตายมันพลัดพราก มันคือวิบากกรรมของเราทุกๆ คน มันเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ เราต้องมีความสุขกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากของเรานี้แหละ เราจะได้รู้จักเรื่องของกาย เรื่องของกายนั้นมันคือวิบากจากกรรม จากอวิชชา จากความหลง เพื่อพระพุทธเจ้าให้เรารู้จักเหมือนพระมหาโมคคัลลานะรู้จัก พระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ที่ฤทธิ์มากมีปาฏิหาริย์มาก แต่จะหนีกรรม หนีกรรมมันหนีไม่ได้ ก็แค่ปล่อยให้ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากให้เขาทำงานตามปกติของเขา ถึงได้กราบทูลลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วละสังขารนิพพาน
"กัมมุนา วัตตตี โลโก" สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม
กัมมปัจจัย หมายถึงการกระทำของจิตใจที่เป็นเหตุให้เกิดผล หรือให้สำเร็จกิจในหน้าที่ของตนเรียกว่า "กรรม" ดังพุทธภาษิตกล่าวไว้ในอังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาตว่า "เจตนาหํ ภิกฺขเว กมฺมํ วทามิ เจตยิตฺวา กมฺมํ กาเยน วาจาย มนสา - ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า เจตนาคือตัวกรรม สัตว์ทั้งหลายที่ทำกรรม ด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจก็ดี ย่อมมีการปรุงแต่ง คือคิดนึกก่อนแล้วจึงทำ"
ดังจะเห็นได้ว่าการกระทำด้วยกาย ด้วยวาจา ด้วยใจ จะเป็นกุศล หรืออกุศลก็ตาม ต้องอาศัยเจตนาเป็นใหญ่ เป็นหัวหน้าในการกระทำนั้นๆ ฉะนั้น เจตนาจึงเป็นตัวกรรม หรือเป็นหัวหน้าของสังขารขันธ์ทั้งหลาย
กัมมปัจจัยที่กล่าวว่า เป็นปัจจัยให้เกิดผล ก็เพราะทำหน้าที่เพาะพืชพันธุ์ให้เกิดผลในอนาคต เรียกว่า พีชนิธานกิจ คือ ทำกิจสั่งสมพืชเชื้อเพื่อให้งอกต่อไปในอนาคต เป็นนานักขณิกกัมมปัจจัย
พุทธศาสนา เป็นศาสนาที่ถือการกระทำเป็นใหญ่ เป็นกรรมนิยม ซึ่งผิดกับศาสนาอื่นที่ถือเทวนิยม เป็นต้น เพราะเข้าใจว่าทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยการบันดาลของเทพเจ้า แต่ส่วนของพระพุทธศาสนาถือว่า สัตว์ทั้งหลายจะดีหรือชั่วย่อมขึ้นอยู่กับการกระทำของตนเอง ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับผู้อื่น หรือขึ้นอยู่กับวงศ์ตระกูล เพราะการทำดีทำชั่วต้องทำด้วยตนเอง ไม่ใช่มีผู้อื่นมาทำให้ได้ เหตุนี้สัตว์ทั้งหลายจึงมีกรรมเป็นของตน เรียกว่า...
กมฺมสฺสโกมฺหิ เมื่อทำกรรมไว้อย่างไร ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นตามที่ทำไว้
กมฺมทายาโท คือเป็นทายาทของกรรมที่ทำแล้ว จึงจำแนกสัตว์ให้ไปเกิดในที่ต่างๆกัน
กมฺมโยนิ คือมีกรรมเป็นกำเนิด และกรรมที่ทำแล้วยังจะติดตามไปทุกหนทุกแห่ง จะไม่สูญหายไปไหน
กมฺมพนฺธุ คือมีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แม้พ่อ-แม่ญาติพี่น้อง ก็ไม่ชื่อว่าเป็นเผ่าพันธุ์วงศ์ญาติที่แท้จริง คือชาตินี้เป็นญาติกัน แต่พอตายแล้วก็แยกย้ายกันไป แต่ส่วนกรรมที่ทำแล้วย่อมจะติดตามตนไปทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน.
ถ้าทำกรรมดีก็เหมือนมีวงศ์ญาติที่ดี ญาติดีก็จะอุปถัมภ์ค้ำชูให้มีความสุข ความเจริญ แต่ถ้าทำกรรมชั่ว ก็เหมือนมีวงศ์ญาติที่ชั่ว ญาติชั่วก็จะติดตามล้างผลาญให้เป็นทุกข์เดือดร้อนเรื่อยไป กรรมจึงเป็นที่พึ่งอาศัยของสัตว์โลก
กมฺมปฏิสรโณ เพราะเมื่อกรรมชั่วให้ผลอยู่ แม้ญาติพ่อ-แม่พี่น้องตลอดจนผู้มีอำนาจราชศักดิ์ ก็ไม่อาจช่วยให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่ถ้ากรรมดีให้ผลอยู่ แม้ใครจะคิดร้ายทำลายชีวิตก็ไม่อาจถูกทำลายได้เลย.
อีกนัยหนึ่ง ท่านเปรียบกรรมคือการทำกุศล อกุศล ส่วนผลคือวิบาก เปรียบเหมือนเงา เมื่อมีคนที่ใหนก็ต้องมีเงาที่นั่น คือมีกรรมก็ต้องมีวิบากรับผล.
เราทุกคนก็ต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เป็นผู้ที่ไม่หลงเพลิดเพลิน ไม่ตั้งอยู่ในความประมาท ตามใจตามอัธยาศัย พากันเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร มีความละอายต่อบาปมีความเกรงกลัวต่อบาป ตั้งใจตั้งเจตนา ที่เป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา ติดต่อต่อเนื่อง เราต้องกลับมาพึ่งการประพฤติ พึ่งการปฏิบัติของตัวเราเอง มันเป็นโอกาสดีของเราทุกๆ คนนะ ทุกๆ คนนั้นอย่าให้เข้าใจเหมือนแต่ก่อน เข้าใจเหมือนแต่ก่อนเข้าใจอย่างไร ก็พากันไปแก้แต่ภายนอกไปเน้นตั้งแต่วัตถุ ตั้งแต่ตัวตั้งแต่ตน มันได้แต่ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันไม่ยอมบอกพวกเราว่า มันต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมกัน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เราก็ประพฤติเราก็ปฏิบัติเราก็พัฒนาได้ ทางกาย ทางวัตถุ เราก็พัฒนาได้ ไม่ใช่ปฏิบัติไม่ได้ ก็ให้เป็นทางสายกลางอย่างนี้
ความไม่ถูกต้องเหมือนนาฬิกามันตายนาฬิกามันหยุดนี้แหละ ปกตินาฬิกามันมีเหตุมีปัจจัย มันมีวันคืน มันเป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท มันเป็นนาฬิกาดิจิตอล เป็นไฟฟ้า มันก็มีกระบวนการ เหมือนกระแสไฟฟ้า มันส่งกันมาติดต่อต่อเนื่อง ที่พวกเรามีไฟฟ้าใช้ ในโลกใหม่ในโลกสมัยใหม่ ทุกๆ อย่างมันมีเหตุมีปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ต้องให้ติดต่อต่อเนื่อง นาฬิกานั้นมันจะไม่หยุดไม่ตาย เราเห็นสิ่งภายนอกเราก็น้อมมาสู่ภายในจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้มีคติเตือนใจ เพื่อจะได้เอาพระพุทธเจ้ามาตั้งไว้ในใจ ในกายวาจากริยามารยาทตลอดถึงอาชีพมาตั้งไว้ในตัวเรา อย่าให้พระพุทธเจ้าเป็นเรื่องภายนอก ต้องกำชับในการประพฤติในการปฏิบัติ พวกเราทุกคนมันต้องเอาทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาไปพร้อมๆ กันในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้เป็นทางสายกลาง ปัจจุบันเราต้องสมบูรณ์ ทั้งความรู้ความเข้าใจ ทั้งความรู้ของการปฏิบัติในปัจจุบัน
ปัจจุบันเราทุกคนต้องเก่งต้องฉลาด ถ้าเราเอาตัวเอาตน เราทุกคนก็ไม่เก่งไม่ฉลาด เพราะความรู้นั้นมันไม่ได้อยู่ที่ปัจจุบัน มันไปอยู่ที่ตำรับตำรา มันไม่ได้อยู่ที่ปัจจุบัน พระอรหันต์ทุกท่านถึงให้พวกเราพากันเน้นพากันประพฤติพากันปฏิบัติในปัจจุบัน เพื่อศีลเพื่อสมาธิ เพื่อปัญญาของเราจะได้สมบูรณ์ เพราะความจำนั้นมันจำไม่ได้สมบูรณ์หรอก เพราะความจำนั้นคือพระไตรลักษณ์ มันไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน บางครั้งก็จำได้บางครั้งก็จำไม่ได้ ปัจจุบันนี้เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง การที่มีตัวมีตนมันทำลายระบบสมอง มันทำลายสติปัญญาของเรา มันไม่นิ่งสงบมันไม่มีปัญญา เอาแต่กระดุกกระดิกยิ่งกว่าลิงเสียอีก ให้เราทุกคนเน้นมาที่ศีล เน้นมาที่สมาธิ เน้นมาที่ปัญญาในปัจจุบัน สมองเราถึงจะไม่สับสน สมองเราทุกคนมันสับสนนะ ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง สมองมันสับสนแน่นอน ถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกตนมันก็ไม่สับสน กฎหมายบ้านเมืองมันเป็นการยกเลิกตัวยกเลิกตน พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นการยกเลิกตัวยกเลิกตน เรายืนเราเดินเรานั่งเรานอน สิ่งที่เป็นกรรมเก่า ที่เป็นสัญชาตญาณ ที่เราท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารมันก็ผุดขึ้นมาที่ใจของเราในทุกๆ วัน เหมือนกับปลาอยู่ในน้ำ ปลาบางชนิดก็หายใจเอาออกซิเจนบนบก ต้องโผล่ขึ้นมาหายใจบนผิวน้ำ ปลาบางชนิดก็ไม่ต้องโผล่ขึ้นมา สัญชาตญาณก็เหมือนกัน ผู้ที่ยังเป็นสามัญชนก็ย่อมมีจิตใต้สำนึกที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน มันก็ย่อมเป็นอย่างนี้เอง ให้เราพากันรู้จัก ต้องหยุดสัญชาตญาณของตัวเอง
สามเณรน้อยที่เป็นอรหันตขีณาสพได้บอกได้สอนพระอาจารย์ที่มีความรู้มีความเข้าใจในพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกว่ามีจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีรูอยู่ 6 รู เราต้องปิดไว้ 5 รู เหลือไว้รูนึง เพื่อเราจะได้ดูแลให้ง่ายขึ้น หมายถึงสามเณรน้อยนั้นให้พระอาจารย์รูปนั้นเน้นที่ปัจจุบัน ไม่ต้องไปวุ่นวายในเรื่องอดีต เรื่องอนาคต ให้โฟกัสมาที่สติมาที่สัมปชัญญะในปัจจุบัน เพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะอนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ ปัจจุบันนี้พอที่จะประพฤติปฏิบัติได้ เพื่อให้ง่ายต่อการประพฤติต่อการปฏิบัติ ไม่ต้องมีปลิโพธในเรื่องอดีตในเรื่องอนาคต โฟกัสมาที่ปัจจุบัน แต่ก่อนเราสันสนไปหมด เรื่องอดีตเรื่องอนาคต ฟุ้งซ่านไปหมด เราต้องรู้การประพฤติรู้การปฏิบัติ รู้กาละ รู้เทศะ เราทุกคนจะได้ไม่เวียนหัว เราทุกคนจะได้ไม่เผาตัวเอง เราทุกคนได้เผาตัวเองในปัจจุบัน หรือว่าถูกเผาทั้งเป็นเลยนะพวกเราน่ะ ใจมันมีความทุกข์ เลยไม่มีความสุข ใจมันดิ้นเหมือนลิงอยู่ในป่า ใจมันเป็นหลักการหลักวิทยาศาสตร์ ใจมันเผาตัวเอง ตัวนี้คือความบกพร่องของตัวนี้ ตัวตนคือการรอคอย ตัวตนนี้คือความช้า ตัวตนนี้คือความเร็ว ตัวตนนี้คือการหยุดอยู่ ให้พวกเราพากันรู้ อย่าพากันกระดุกกระดิก ดิ้นด้วยความเจ็บความปวด ด้วยอวิชชาด้วยความหลง พระพุทธเจ้าตรัสบอกให้เราทุกคนกลับมาหาสติ กลับมาหาสัมปชัญญะ กลับมามีความสุขในการหายใจเข้าหายใจออก มามีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิต มามีความสุขเอาเวลาชีวิต เอาหน้าที่การงานที่พวกเราทุกคนพากันมาเสียสละ เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เราทำอย่างนี้จิตใจเราจะได้ไม่สับสน จิตใจเราจะได้ไม่กระดุกกระดิกเหมือนเด็กน้อยไม่รู้เดียงสา
การประพฤติการปฏิบัติธรรมการเจริญอานาปานสติ ต้องมีอยู่กับทุกอิริยาบถ เพื่อใจของเราจะได้มีความสุขมีความเบิกบาน ไม่เฉพาะเวลานั่งสมาธิ เดิน เหิน นั่ง นอน ต้องหายใจเข้าหายใจออกมีความสุข คู่กับกาย วาจา กริยามารยาท ตลอดอาชีพในการทำงาน ต้องคู่กับอานาปานสติ เพื่อเราทุกคนจะได้กลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะ อานาปานสติเป็นได้ทั้งศีล เป็นได้ทั้งสมาธิ เป็นได้ทั้งปัญญา ศีลสมาธิปัญญากับอานาปานสตินี้แหละ ความสงบกับปัญญาก็อยู่ด้วยกันนี่แหนะ ถ้าเราใช้ปัญญามากเราก็ฟุ้งซ่าน มันทำลายระบบสมองของเรา เราเอาแต่ความสงบมันก็ทำลายปัญญา พระพุทธเจ้าถึงตรัสบอกพวกเราว่าศีลสมาธิปัญญา ต้องไปพร้อมๆ กัน เหมือนรถคันหนึ่งมันต้องสมบูรณ์แบบ เพื่อให้เป็นพุทธะทางจิตทางใจ พุทธะทางกายวาจากริยามารยาท พุทธะในการทำงาน พุทธะในอาชีพ เพื่อพัฒนาความสมบูรณ์แบบ
ถ้าพวกเราเป็นนักบวชพากันประพฤติพากันปฏิบัติ มีความเข้าใจ เอาความรู้คู่การปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่ออบรมบ่อินทรีย์ อย่างเร็ว 7 วัน อย่างกลาง 7 เดือน อยากช้าก็ไม่เกิน 7 ปี อินทรีย์บารมีของเราก็จะสมบูรณ์ ด้วยความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เน้นมาที่ตัวเราทุกๆ คน ถึงพวกเราจะมาอยู่ร่วมรวมกัน หลากหลายเชื้อชาติ ชนชั้นวรรณะ ยากดีมีจน ท่านบอกเราว่าไม่มีปัญหา เพราะเรายกเลิกปัญหาคือนิติบุคคล ยกเลิกตัวยกเลิกตน เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เรื่องปฏิปทา เรื่องเวลา เรื่องธรรมะ เรื่องปัจจุบัน ท่านบอกว่าต้องโฟกัสเข้ามาอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มีความเชื่อมั่น มีความตั้งมั่น มีจิตใจที่เบิกบานที่เป็นพุทธะ ใจของเรานั้นคือพุทธะที่ว่างจากนิติบุคคลตัวตน ไม่ได้เป็นผู้หญิงไม่ได้เป็นผู้ชาย เป็นเด็กหนุ่มสาว คนแก่เฒ่าคนชรา ไม่ได้เป็นอะไร ทุกอย่างนั้นได้ทำหน้าที่ของเขาอย่างสมบูรณ์ ทุกท่านทุกคนต้องคอนโทรลตัวเองโฟกัสตัวเองปฏิบัติตัวเอง ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นไม่ต้องอาศัยคนอื่น ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ใจของเราต้องเป็นพุทธะอย่างนี้ ตัวตนนั่นแหละมันเป็นทุนเป็นนายทุน มันลงทุนในการเรียนการศึกษา ลงทุนในการทำงาน ลงทุนในธุระกิจค้าขาย ทำเกษตรกรรม ไม่ได้ทำเพื่อเอาอะไร เราต้องพากันเข้าใจ
พระพุทธเจ้าท่านให้เราเป็นผู้เสียสละ ทำงานก็ไม่หวังประโยชน์ ไม่หวังผลตอบแทน ทำงานเพื่อที่เสียสละ ทำงานเพื่อที่จะเป็นผู้ให้น่ะ ถ้าเราทำอย่างนี้ ประพฤติอย่างนี้ สติสัมปชัญญะของเราจะกลับมา เราก็จะได้ทั้งเงิน ได้ทั้งงาน ได้ทั้งเพื่อนผู้หลักผู้ใหญ่ โดยที่เราเมตตาตัวเองที่ได้เสียสละ...ไม่มี...ไม่เป็น แม้แต่ผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติเพื่อเอาอะไรแล้วมันเครียด มุ่งแต่ผลประโยชน์
เราทุกๆ คน ต้องเมตตาตัวเองด้วยการไม่ทำตามความอยาก ความบริสุทธิ์มันเป็นประกัสสร สิ่งที่ไม่ชอบ สิ่งที่ชอบมันจรมาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ให้เราหลงประเด็น ให้เราตั้งมั่นในความดี คือตัวศีล คือตัวเมตตา สงสารตัวเองด้วยการทำงานที่ดี สงสารสัตว์อื่นด้วยการไม่เบียดเบียน ไม่เอาเปรียบ เพราะทุกคนก็เป็นญาติพี่น้องของเราทั้งนั้น อย่างน้อยก็เป็นญาติทางการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ฝึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อะไรเกิดขึ้นก็ดีหมด
คือมันดีอย่างไร? 'ดี' ก็คือเราได้มาแก้ไขที่จิตที่ใจของเรา เราจะได้แก้ไขการไม่พูดร้าย การไม่สำรวมระวังในตัวเอง เรากลับมามองดูตัวเองมากๆ ว่าเรามีพิษมีภัยอะไรบ้าง...? เป็นคนเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เสียสละ ขี้เกียจขี้คร้าน มีคำพูดไม่ดี ไม่เพราะ ไม่สุภาพ ให้เราพิจารณาตัวเองในความบกพร่อง แล้วก็ลงมือประพฤติปฏิบัติย้ำไปที่ใจของเราอีก เราจะได้เมตตาตัวเอง ครอบครัวเราจะได้มีความสุข เขาจะได้เอาแบบอย่างความดี
"ทิฏฐิมานะมันมีมาก มันถือฟอร์ม"
พระพุทธเจ้าให้เราดูตัวเอง เพื่อเราจะได้ลดทิฏฐิมานะ เอาสิ่งที่ไม่ดีของเราออก ออกจากกาย ออกจากวาจา ออกจากใจของเรา
ทุกๆ ท่าน ทุกๆ คนนั้นเป็นผู้หญิง เป็นผู้ชายด้วยความสมมุติ เป็นตำแหน่ง เป็นหน้าที่แค่เพียงสมมุติ สัจธรรมความจริงไม่มีอะไรมันว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ที่ใจของเรามันมืดมันบอด ที่มันมีคนหนุ่ม คนสาว คนแก่ "จิตใจของเรามันเลยมีแต่นิมิต ใจของเรามันมีแต่ความยืดมั่นถือมั่น" พระพุทธเจ้าท่านไม่มีนิมิต ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็หายไป เหมือนกับเรานั่งอยู่แล้วก็หายไป
ความถี่ระยิบของการมีตัวตนมันทำให้เราไม่โปร่งไม่ใส เราไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจธรรมชาติ เพราะอิริยาบถทั้งหลายมาปิดบัง เพราะความเร็วของวาระจิตนั้นมันมาปิดบัง เหมือนฝนตกทีละหยดเป็นสายน้ำ เหมือนกับสิ่งต่าง มารวมตัวกัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสให้ทุกคนรู้จักจิตของเราจะได้หนักแน่นเข้มแข็ง จิตของเราจะได้ไม่มีทุกข์ เราทำไปอย่างนี้แหละ ปฏิบัติไปอย่างนี้แหละ เราอย่าไปคิดว่าต้องทำมาหากิน เกี่ยวข้องกับพ่อแม่พี่น้องเพื่อนพ้องบริวาร การปฏิบัติธรรมมันเป็นของควบคู่กัน
ที่เราจะเมตตาคนอื่น เพื่อให้เราเข้าถึงความดับทุกข์ไปเรื่อยๆ ที่เราปฏิบัติใหม่ มันปฏิบัติไม่เป็น มันก็ยากลำบาก เหมือนกับเราเด็กๆ เราก็อาศัยคุณพ่อคุณแม่เราถึงได้รู้ เราก็ต้องอาศัยพระพุทธเจ้าที่ท่านวางหลักเกณฑ์ไว้ เมื่อเราใหญ่ขึ้นโตขึ้นเราก็ช่วยเหลือตัวเองได้ เราปฏิบัติไปเรื่อยน่ะ อย่างวิศวกรก็ชำนาญในด้านวิศวกร คุณหมอก็ชำนาญในด้านคุณหมอ เกษตรกรก็ชำนาญในด้านเกษตรกร คนเราไม่ได้เป็นตั้งแต่เกิดน่ะ เราก็ต้องฝึกเอาทนเอา ความยากลำบากจะนำเราไปในทางที่ดี คนเรามันก็ต้องลำบากก่อนนะ
การฝึกอะไร...ก็ไม่เท่ากับการฝึกตนปฏิบัติตน มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคนน่ะ...ที่เกิดมา ไม่ยกเว้นใครทั้งนั้น ถ้าเราไม่ปฏิบัติ ไม่ตั้งใจ ไม่เอาใจใส่นั้น....มันไม่ได้ ใจของเรามันอ่อนนะ ใจของเรามันไม่เข้มแข็ง ต้องอด ต้องทน ต้องทวนกระแส เราข้ามฝั่งที่น้ำมันแรง มันเชี่ยว เราต้องตั้งใจเต็มร้อย ยิ่งมันเหนื่อย ยิ่งยากลำบาก เราก็ต้องยิ่งชอบมัน เพราะมันทำให้เราได้ฝึกตัวเอง ถ้ามันไม่ลำบาก เราก็ไม่ได้ฝึกปล่อยตนเองไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระอะไร
เราพยายามมองดูพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ที่ดีๆ เป็นตัวอย่าง เราอย่าไปมองดูตัวอย่างที่อ่อนแอ หรือจะเป็นมหาชน ประชาธิปไตย มันไม่ใช่ธรรมาธิปไตย มันจะทำให้เราล้มเหลว เราต้องมองที่ปัจจุบันนี้ วาระนี้ เราต้องตั้งมั่นด้วยความดีความถูกต้อง
สิ่งที่อมตะ ก็คือ สิ่งที่ไม่มีตัวไม่มีตน ถ้าใจของเรามีตัวมีตน มันมีปัญหาทั้งนั้น ความทุกข์นี่มันมีมาก มันมีหลาย เราต้องทิ้งมันไป วางมันไป เพื่อให้ใจของเรามันสงบ ให้ใจของเรามันเย็น จิตใจของเรา จะได้ไม่เครียด เราเป็นคนดีคนฉลาดเท่าไหร่มันยิ่งวิตกกังวล ตัวเราเอง นี่แหละยิ่งสร้างความวิตกกังวลให้กับตัวเอง ยิ่งกว่าคนไม่มีการศึกษา ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด มันไม่รอดเพราะมันมีตัวมีตน
ทุกคนน่ะ อยากจะเป็นพระอริยเจ้า อยากจะไม่เวียนว่ายตายเกิด แต่ทำอะไรทำไปด้วยความยึดมั่นถือมั่น ทำไปไม่ได้ปล่อยวาง ไม่ได้เสียสละ เพราะเราจะเอา มันไม่ถูก เราต้องเสียสละ เราพากันทำงานเพื่อเอา เราพากันเรียนหนังสือก็เพื่อเอา ท่านว่า "มันผิดหลักธรรมชาติ" ความสุขความดับทุกข์มันจะมาจากไหนได้? ความสุขความดับทุกข์มันก็มาจากวัตถุ ไม่ได้มาจากสติจากจิตใจ ที่มีสติปัญญา
พระพุทธเจ้าท่านให้เราทำดีๆ ทำถูกต้องตามโลกสมมุติ เพื่อเราจะได้เสียสละ เค้าสมมุติตำแหน่งหน้าที่การงานเพื่อจะให้เราเสียสละ เพื่อให้เราไม่มีตัวมีตน ถ้าเราไม่เสียสละตัวเราก็ยุ่ง...คนอื่นก็ยุ่ง มันมุ่งแต่การเห็นแก่ตัว พ่อก็เอาแต่ใจ แม่ก็เอาแต่ใจ ลูกก็เอาแต่ใจ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาแต่ใจ ท่านให้เราเอาธรรม ต้องเสียสละให้ได้ ต้องเอาศีลเอากฎหมายให้ได้ เพราะเราจะได้เข้าถึงความไม่เห็นแก่ตัว เราทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้นเพื่อเสียสละ ไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตน มันถึงเป็นการเรียนการศึกษาเพื่อการดับทุกข์ มันจะเป็นการทำงานเพื่อการดับทุกข์ มันจะเป็นประโยชน์ตนเองและประโยชน์ผู้อื่น
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee