แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๒๗ การประกอบตนให้หลงเพลิดเพลินในกามสุขสนุกสนานและเกียจคร้าน นั่นไม่ใช่ทางแห่งพุทธะ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๗
เราทุกคนได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ความหมายว่า มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมนำชีวิตไม่เอาความหลงนำชีวิต พวกเราทั้งหลายที่เอาความหลงนำชีวิตเรียกว่าเป็นได้แต่เพียงคน เราเป็นคนเราเลยมีแต่ทุกข์ ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มี เราต้องพากันรู้จัก เพราะว่าพระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้ามาบอกมาสอน เราตามอวิชชาตามความหลงเราต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ ถ้าใครติดใครหลง ก็ต้องเข้าสู่ภาคบำบัด 2 อย่างนี้ก็คล้ายๆ กัน ถ้าเข้าภาคบำบัดก็หนักไปหน่อย ใจของพวกเราก็คิดได้ทีละอย่าง ปากของเราก็พูดได้ทีละอย่าง ทุกอย่างก็ต้องขึ้นอยู่ที่ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าให้เอาธรรมนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิตนั้นมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป มันเป็นการเวียนว่ายตายเกิด เป็นวัฏจักร เป็นวัฏสงสาร เราทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏะสงสาร ต้องพากันเข้าใจ ต้องเห็นความถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราหลง ไม่ให้เราเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เพราะในโลกนี้มันมีความอร่อย ความแซ่บ ความลำ ความหร่อย ความนัว ให้เข้าใจ
พ่อแม่เป็นคนสำคัญนะให้ DNA ทั้งกาย วาจา กริยามารยาท ตลอดถึงหน้าที่การงาน อาชีพ ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ พวกคุณครูพวกอาจารย์ฝ่ายปริญญาที่สอนหนังสือ สอนความรู้ความเข้าใจ ต้องเข้าใจว่า ครูบาอาจารย์ที่ได้ผ่านการเรียนการศึกษาเป็นสิ่งที่สำคัญ ถือหลักการของพระพุทธเจ้า ท่านทรงบอกสอนเองและปฏิบัติตนเอง บำเพ็ญพุทธบารมีตั้งหลายล้านชาติ ท่านก็ทรงแก้ไขที่ตัวท่านเอง พระอรหันต์ได้ฟังคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ทรงบอกสอนตนเอง ปัญหาต่างๆ ของเราทุกคนมันอยู่ที่ตัวเรานี้แหละ เราพากันเห็นผิดเข้าใจผิดไปแก้ที่ปลายเหตุ มันแก้ที่ปลายเหตุไม่ได้เพราะมันอยู่ที่ต้นเหตุ ความไม่รู้ความไม่เข้าใจนี้แหละ ถึงแม้เราจะมีเชื้ออวิชชาความหลง เราก็ต้องรู้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูกอันไหนดีอันไหนชั่ว มีจิตใต้สำนึก เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปมันเป็นสิ่งสำคัญนะ ถ้าเราไม่มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปมันปฏิบัติไม่ได้ เราต้องเห็นโทษในตัวในตน เห็นโทษ ที่ทุกข์มันเกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เห็นโทษแล้วเราจะเข้าใจว่าสมมติบัญญัติเป็นสิ่งที่สำคัญ กฎหมายบ้านเมืองเป็นสิ่งที่สำคัญ เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ ธรรมะเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อกระชับในการประพฤติในการปฏิบัติ เรื่องกายมันก็มีความทุกข์อย่างนี้แหละ แต่เรื่องจิตเรื่องใจ พระพุทธเจ้าท่านสอน เราไม่ต้องมีความทุกข์ได้ เพราะเรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราทำได้ปฏิบัติได้ ให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้าหมู่มวลมนุษย์เราไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ไม่มีความพลัดพรากอย่างนี้ มรรคผลนิพพานมันก็ไม่มี เราก็ไม่ได้พัฒนาใจอย่างนี้ สิ่งเหล่านี้คือการประพฤติการปฏิบัติ
ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อย่างนี้ วันนึงคืนนึงกลางวันมี 12 ชั่วโมง กลางคืนมี 12 ชั่วโมงต้องเข้าใจ อันนึงเวลานอน อันนึงเวลาทำงาน ท่านให้เราพากันนอนสัก 6-8 ชั่วโมงประชาชน พระภิกษุสามเณร ที่เป็นนักบวชให้พากันนอน 5-6 ชั่วโมง เพราะว่าพระเณรไม่ได้ทำงานหนัก ทำงานแต่เรื่องจิตเรื่องใจ เอาพระวินัยบัญญัติเป็นหลัก พระวินัย 21,000 พระธรรมขันธ์ในพระไตรปิฎก ในภิกขุปาติโมกข์ 227 ข้อ เพื่อที่กระชับ เพื่อจะได้ไม่ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินในความประมาท เพราะเราไม่เห็นความสำคัญในความถูกต้อง มีความหลงความเพลิดเพลินมีความประมาท หมู่มวลมนุษย์ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนก็มีความสุขในการทำให้ถูกต้อง เช่นการเรียนหนังสือ การทำงาน อย่างนี้ สุขภาพจิตของเราก็ดี สุขภาพกายของเราก็ดี เพราะความทุกข์ความมีตัวมีตนมันเผาเรา ทำให้เรามีความทุกข์ไม่หยุด ทุกคนต้องพากันเข้าใจอย่างนี้แหละ
เมื่อโครงสร้างชีวิตของเราพ่อแม่สำคัญ คุณครูสำคัญ พ่อแม่ก็จับหลักให้ได้ จักหลักให้ดี ให้เข้าใจเหมือนหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง พูดให้พระเณรฟังว่า ท่านบอกสอนตัวเอง 100% ปฏิบัติให้ตัวเอง 100% สอนพวกท่านเพียง 5% สอนประชาชนเพียง 5% อย่างนี้มันถึงพอไปได้ สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์น่ะ ถ้าท่านเอาแต่บอกคนอื่นสอนคนอื่น เอาแต่ก่อสร้าง หลายวันหลายเดือนหลายปีมันก็มีปัญหา เพราะเราไปแก้ที่ปลายเหตุ ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุ พ่อแม่ก็พากันเข้าใจอย่างนี้ พวกครูพวกอาจารย์ที่เป็นครูสอนเอาแต่หลักการเอาแต่หลักวิชาการอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะคนเราอยู่ด้วยกันหลายวัน หลายเดือน หลายปี มันก็ส่ง DNA ทั้งความรู้ความเข้าใจความประพฤติ ต้องเข้าใจว่าเราเป็นครูเราส่งความรู้ความเข้าใจ เรื่องกายวาจาใจ กริยามารยาท ทุกวันนี้เราพยายามไปแก้ที่ปลายเหตุ ดิ้นรนเท่าไรก็แก้ปัญหาไม่ได้ ท่านบอกว่าปลายเหตุมันก็ต้องแก้ ต้นเหตุก็ต้องแก้ ต้องเอา 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นทางสายกลาง สมัยปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ก็ทำให้เราพากันหลงพากันเพลิดเพลิน พากันไม่มีความสุขในการทำงาน พากันไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ต้องเข้าใจว่าการพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาวิทยาศาสตร์ เพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในชีวิตความเป็นอยู่ ไม่ได้ให้เรามาลุ่มหลงนะ คนเราต้องเข้าใจเรื่องอริยสัจ 4 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างตั้งอยู่รากฐานของพระไตรลักษณ์ คือมันไม่แน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้เราเข้าใจ อย่าไปหลงประเด็น เราอย่าไปหลงกัน อย่าเอาควงามหลงมานำชีวิต คิดว่ารวยแล้วมันแน่ มันก็ไม่ถูกต้อง คิดว่าตัวเองเก่งตัวเองฉลาดอย่างนี้ก็ไม่ถูกต้อง เพราะทุกอย่างมันเป็นพระไตรลักษณ์ ให้เราเข้าใจ เข้าใจแล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ทั้งนักบวชทั้งฆราวาส แก้ปัญหาถูกต้องได้เหมือนกัน เพราะความทุกข์มันเป็นสากล ความดับทุกข์มันเป็นสากล ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้มายกเลิกความทุกข์ของเราทั้งหลายนะ ที่ว่ามายกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ แล้วมาเอาสมมติสัจจะเพื่อมาโฟกัสไปสู่ปรมัตถสัจจะเข้าสู่ความจริง เพราะว่าทุกอย่างเราต้องคิดให้ถูกต้อง พูดให้ถูกต้อง ทุกอย่างต้องถูกต้อง คำว่าถูกต้องหมายความว่ายกเลิกตัวตนนั่นแหละ เอาตัวตนมันไม่ได้ เพราะว่าตัวตนมันคือไม่ได้ เราเข้าใจอย่างนี้แหละ
เราทุกคนไม่ต้องไปหาความสุขที่ไหนละ ความสุขอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัย มรรคผลนิพพานต้องอยู่ท่ามกลางความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพราก มรรคผลนิพพานย่อมอยู่ในป่าเขาลำเนาไพร ในตึกใหญ่อลังการ คนเป็นแสนเป็นล้านอย่างนี้ เมื่อเรายกเลิกตัวตนหมู่มวลมนุษย์ก็จะมีความสุข เพราะโครงสร้างของมนุษย์นั้นดี โครงสร้างของมนุษย์เอาธรรมนำชีวิต เอากฎหมายที่สมมติบัญญัติโฟกัสยกเลิกตัวตน เมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เมื่อมาแก้ที่พ่อที่แม่ มาแก้ที่คุณครู มาแก้ที่ข้าราชการนักการเมือง มาแก้ที่นักบวช ให้เข้าใจ พอเข้าใจแล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติภาคบำบัด เพื่อจะได้ไม่ต้องไปแก้ที่ปลายเหตุอย่างเดียว เราก็มาดูประวัติศาสตร์ ที่ได้ฟังพระพุทธเจ้า ฟังครั้งสองครั้งก็เท่านั้นเอง ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งฟังเท่าไหร่มันก็คงไม่ได้ผล เราจะเรียนศึกษาระดับสูงสุดอย่างนี้ สิ่งที่ถูกต้องก็กลับไปอยู่กับพระไตรปิฎกหมด อยู่กับตำราหมด เข้าใจอย่างนี้ แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เราต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเป็นปฏิปทา เป็นสายน้ำเป็นแม่น้ำ ถึงจะรวมกับเป็นทะเลเป็นมหาสมุทร ให้เข้าใจอย่างนี้ เอาแต่ตัวแต่ตนน่ะมันก็ไม่ใช่ ปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ เราก็มาหลงตัวหลงตน หลงลูกหลงหลาน หลงทรัพย์สมบัติพัสถาน หลงยศสรรเสริญนี้ มันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป พระพุทธเจ้าตรัสบอกเรา ให้เข้าใจอย่างนี้นะ เราอย่าคิดเหมือนแต่ก่อน ลูกเราน่ะมันมีความจำเป็นที่ต้องเรียนหนังสือ มีความจำเป็นที่ต้องมีอาชีพการทำงาน เราต้องเข้าใจว่า การเรียนการศึกษาการทำงานมันเป็นความสุขนะ เราเรียนรู้เรื่องความคิด เรียนรู้เรื่องคำพูด กริยามารยาท ตลอดจนถึงหน้าที่การงาน เพื่อเอาไปประพฤติเอาไปปฏิบัติ เพื่อเราจะได้มีสัมมาทิฏฐิ ทั้งทางทายวาจาใจ กริยามารยาท ตลอดอาชีพกับการงาน เพื่อจะได้ไม่มีความทุกข์กัน เพราะทันไม่ไหวหรอก มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป
ทุกคนที่เกิดมาที่เราเรียนหนังสือเราหางานทำก็เพื่อเลี้ยงร่างกายเลี้ยงธาตุขันธ์ นี่มันเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุเท่านั้น แต่ต้นเหตุเรื่องหลักคือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ทุกคนจะปล่อยตัวเองไปตามธรรมชาติของอวิชชาความหลงไม่ได้ ต้องพาตัวเองขึ้นสู่พระกรรมฐาน พระกรรมฐานคือกิจกรรมที่มีฐานที่ตั้งที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในภาคประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันของเรา เราทุกคนนั้นเป็นผู้ที่ประเสริฐ เราต้องรู้จักว่าตัวเองเป็นผู้ที่ประเสริฐ ทำตามใจตามอารณ์ตามอวิชชาตามความหลงนั้น มันจะเป็นผู้ที่ประเสริฐได้อย่างไร ทุกท่านทุกคนอย่าไปสนใจความเหน็ดเหนื่อยความยากความลำบาก เพราะความเหนื่อยความยากความลำบากเหล่านี้ เป็นอุปกรณ์ที่ให้เราทุกคนได้ทวนกระแส มันเป็นเครื่องฝึกในปัจจุบันที่ให้เราทุกคนได้ทวนโลกทวนกระแส
เราเดินทางไกลเราก็ต้องนั่งเครื่องบิน เราจะโดดออกจากเครื่องบินเราก็ตาย เราไม่อาศัยยานคือศีลสมาธิปัญญาเราโดดออกจากยานด้วยการตามใจตามอารมณ์ตัวเองเราก็ตาย ตายจากคุณธรรมคุณงามความดี เราทุกคนเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านเป็นสรณะ เราทุกคนมีตัวตนเป็นสรณะอย่างนั้น มันเป็นหายนะ มันเป็นความวิบัติ เราต้องพากันรู้ทุกข์รู้ รู้เหตุเกิดทุกข์ เราจะเอาคนในโลกนี้ที่มีประมาณ ๗ พันกว่าล้านคนเป็นสรณะไม่ได้ คำว่าคนก็รู้อยู่แล้วว่าคืออวิชชาคือความหลง
เราทุกคนที่เป็นสามัญชนเป็นปุถุชนนั้นยังเป็นผู้ที่ไม่ปลอดภัยนะ เพราะยังเอาใจตัวเองเป็นหลักเอาอวิชชาความหลงเป็นหลัก ยังไม่ได้เอาพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้เอาพระธรรม ยังไม่ได้เข้าสู่กิจกรรมของพระอริยสงฆ์ เป็นผู้ที่ยังไม่ได้เป็นพระโสดาบัน ชีวิตมันยังไม่ปลอดภัย เราจะเดินทางไกลข้ามน้ำข้ามทะเลข้ามภูเขาต้องอาศัยเครื่องบินอย่างดี เราต้องขึ้นเครื่องนั่งเครื่องขับเครื่องบินนั้นไปด้วยตัวเอง ทุกคนนั้นยังอยู่ในวิกฤตการณ์ยังอยู่ในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติ ทุกท่านทุกคนก็ต้องรู้จักธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นศาสนา ที่เป็นทั้งศีลสมาธิปัญญา ที่เป็นยานที่จะนำเราออกไป
ทุกท่านทุกคนต้องอาศัยทั้งการฝึกทั้งการปฏิบัติ ความขี้เกียจขี้คร้านนี้มันเป็นสิ่งที่ประเสริฐของทุกๆ คนที่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะถือเอาความขี้เกียจขี้คร้านตามใจตามอารมณ์เป็นสิ่งที่ประเสริฐไม่ได้ เรามาบวชเป็นภิกษุเค้าก็ให้เกียรติเราว่าเป็นพระนั้นพระนี้ ถ้าเราทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ที่มันหลง ถือตัวถือตนเป็นที่ตั้ง ถือความขี้เกียจขี้คร้านเป็นที่ตั้ง มันจะเป็นพระได้อย่างไร มันเป็นได้แต่แบรนด์เนม
เราทุกคนต้องรู้จักที่สุดแห่งความดับทุกข์ คือธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เราอย่าได้ทิ้งศาสนา อย่าได้ทิ้งความเป็นธรรมความยุติธรรม เราต้องหยุดทำกิจกรรม หยุดพากันสร้างโรงงานสร้างวัฏสงสารที่เป็นภพน้อยภพใหญ่ เพื่อละสักกายทิฏฐิละตัวละตน ละจากที่ว่านี่เป็นเรานี่เป็นของของเรา เราจะได้พากันทำที่สุดแห่งทุกข์ เราทุกคนจะมาเอาอะไร เพราะทุกอย่างมันก็ไม่ได้อยู่กับเรา มันก็ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราต้องมีบ้านมีที่อาศัยคือพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องมีที่สุดแห่งกองทุกข์ ถ้าปัจจุบันไม่ดี ความคิดความปรุงแต่งความฟุ้งซ่านมันจะมาเป็นเจ้านายสั่งการสั่งงานเรา มันเป็นความเสียหาย เพราะใจไม่สงบใจหลงใจเพลิดเพลิน มันมาสั่งงานให้เราประพฤติปฏิบัติ
กรรมฐานคือฐานที่ตั้งคือธรรมวินัยเป็นกิจกรรม ที่จะเป็นได้มันต้องอย่างนี้ไม่ใช่อย่างอื่น ทุกท่านทุกคนจะมาโกนผมอย่างโก้ๆ นุ่งห่มจีวรอย่างโก้ๆ อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ใช่พระก็อ้างตัวเองว่าเป็นพระอย่างนี้ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องหยุดวัฏสงสารของตัวเอง หยุดเป็นโจรหยุดเป็นมหาโจรที่หลอกลวงทั้งตัวเองหลอกลวงทั้งผู้อื่นด้วยแบรนด์เนม เราทิ้งยานคือศีลสมาธิปัญญา ไม่มีกิจกรรมแห่งพระกรรมฐานเลย อย่างนี้พวกเราทั้งหลายเป็นเพียงพระกรรมถอกนะ ทำตามใจตัวเองทำตามอารมณ์ตัวเองเค้าเรียกกรรมฐานกรรมถอก กรรมที่หลอกลวง ทุกท่านทุกคนต้องมีแบบมีแผนมีแบรนด์เนม จะทิ้งแบบแผนแบรนด์เนมมันก็ไม่ได้ เมื่อเรามีแบบมีแผนมีแบรนด์เนม เราทุกท่านทุกคนก็ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ ผู้ที่ไม่ได้บวชที่อยู่ที่บ้าน เราก็ปฏิบัติอยู่ที่บ้านที่ทำงานของเรา เพราะการเป็นพระนั้นมันไม่ได้อยู่ที่มาบวช มันไม่ได้อยู่ที่อาราม มันอยู่ที่ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความเป็นพระความเป็นพระศาสนามันต้องไปอย่างนี้
เราทุกคนต้องรู้จักคำว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือผู้ที่รู้ ตื่น เบิกบาน รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อยู่ในปัจจุบัน นักบวชกับคฤหัสถ์ก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน คฤหัสถ์มีภาระมากต้องเลี้ยงดูตัวเองเลี้ยงดูพ่อแม่ญาติพี่น้อง เลี้ยงดูพระศาสนาอีก แต่ความเป็นพระมันเป็นได้ถึงพระอนาคามีเพราะมีความกังวล มีเรื่องให้รับผิดชอบ ธุรกิจหน้าที่การงานอื่นๆ อยู่
ทุกท่านทุกคนให้รู้จักความเป็นพระ ที่มันหยุดตัวหยุดตนหยุดเราหยุดเขา เข้าถึงความเป็นแบรนด์เนมด้วย เข้าถึงภาคประพฤติปฏิบัติด้วย เราอย่าไปคิดว่าสิ่งภายนอกมีปัญหา สิ่งภายนอกนั้นดูแล้วไม่มีปัญหาหรอก เพราะปัญหาต่าง ๆ มันเป็นที่ใจของเรามีอวิชชามีความหลงนั่นแหล่ะ เราพากันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ สิ่งที่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ มันเป็นศาสนาได้ไหมล่ะ ธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ มันเป็นปลายเหตุ ที่พวกเรามันหลงถึงได้เกิดพลังงานแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าให้เรามีปัญญา อย่ามาหลงพวกปลายเหตุเหล่านี้ ต้องเอาธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นพรหมจรรย์ที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพราะร่างกายของเรานี้ถึงจะบริโภคอย่างไรก็ต้องแก่ต้องเจ็บต้องตาย เราต้องพัฒนาตามหลักเหตุผลตามวิทยาศาสตร์พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน
ธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ คือ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๒๒๗ ศีล ๓๑๑ เพื่อจิตเพื่อใจ เพื่อเข้าถึงความดับทุกข์ที่แท้จริง ไม่ใช่ความดับทุกข์ชั่วคราว เราจะไปพระนิพพานเราต้องรู้จักนิพพานนะ ทุกๆ คนวิ่งตามความสุขด้วยการสนองอวิชชาความหลง สนองจุดสุดยอด จุดไคลแม็กซ์ มันเป็นสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันเป็นรางวัลเป็นค่าจ้างของพญามาร ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้จัก เห็นโทษเห็นภัยในวัฏสงสาร เราทุกคนก็พากันช่วยเหลือกันไป สลบแล้วสลบอีกก็พยุงขึ้น กดหน้าอกกระตุ้นหัวใจให้หายใจต่อไป ใช้ทั้งยาหอมยาดมยาหม่องกลูโคสอะไรต่าง ๆ ก็ต้องช่วยกัน เพราะเราเกิดมาก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปีก็จากกันอยู่แล้ว ที่ว่าต้องใช้ยาหอมยาดมก็หมายถึงพวกที่ร่อแร่ หัวใจกำลังเป็นหัวใจปาราชิก ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองเรียกว่าหัวใจปาราชิก เราจะหยุดตัวเองได้หยุดโรคหัวใจปาราชิกได้ต้องอาศัยเครื่องมืออาศัยยานคือศีลสมาธิปัญญา
พระอัญญาโกณฑัญญะ เมื่อได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าอย่าตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง เราต้องตามธรรมะเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี มันเป็นเหตุเป็นผล สิ่งที่ทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด พระกัญญาโกณฑัญญะเมื่อรู้แจ้งแล้วก็อุทานว่า จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา...ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
เรื่องประวัติศาสตร์เรื่องอัตตชีวประวัติอย่างนี้เราก็จับเอาสิ่งที่ดีๆ ไว้มาปฏิบัติ ทำไปปฏิบัติไป ช่างหัวมัน มันจะสลบไสลก็ลุกขึ้นมา เดินต่อ อย่ายอมแพ้ ให้หัวใจเป็นปาราชิก พวกที่ยอมแพ้พวกที่กระอักเลือดพวกที่ลาสิกขาเค้าเรียกว่าหัวใจปาราชิก สำหรับผู้ที่มีภาระเลี้ยงดูพ่อแม่ เมื่อจะปฏิบัติตัวเอง ก็ต้องนำตัวเองด้วยธรรมะ ความเป็นพระมันไม่ได้เป็นที่อาราม แต่เป็นได้ที่ตัวเอง ที่เอาพระศาสนาเอาธรรมเอาวินัย ต้องพากันเข้าใจ เพราะประเทศไทยเราโชคดี การปกครองประเทศเอาธรรมเอาวินัยเป็นใหญ่ ไม่เอาอวิชชาความหลงเป็นใหญ่ พัฒนาวัตถุพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาจิตใจไปพร้อมๆ กัน ยิ่งแก่ยิ่งเฒ่าก็ยิ่งมีความสุขเพราะรู้จักอริยสัจ ๔ ไม่หลงงมงาย
ภิกษุทั้งหลาย มลทิน (ความมัวหมอง) ๘ ประการนี้ มลทิน ๘ ประการ อะไรบ้าง คือ ๑. มนต์มีการไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน ๒. เรือนมีความไม่ขยันหมั่นเพียร เป็นมลทิน ๓. ผิวพรรณมีความเกียจคร้าน เป็นมลทิน ๔. ผู้รักษามีความประมาท เป็นมลทิน ๕. สตรีมีความประพฤติชั่ว เป็นมลทิน ๖. ผู้ให้มีความตระหนี่ เป็นมลทิน ๗. บาปอกุศลธรรมเป็นมลทินทั้งในโลกนี้และโลกหน้า ๘. มลทินที่ยิ่งกว่ามลทินนั้นคืออวิชชา...ฯ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถานี้ว่า :- อสชฺฌายมลา มนฺตา อนุฏฺฐานมลา ฆรา มลํ วณฺณสฺส โกสชฺชํ ปมาโท รกฺขโต มลํ. มนต์ทั้งหลายมีอันไม่ท่องบ่น เป็นมลทิน, เรือนมีความไม่หมั่น เป็นมลทิน, ความเกียจคร้าน เป็นมลทินของผิวพรรณ, ความประมาท เป็นมลทินของผู้รักษา.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อสชฺฌายมลา เป็นต้น ความว่า เพราะปริยัติหรือศิลปะอย่างใดอย่างหนึ่ง เมื่อบุคคลไม่ท่อง ไม่ประกอบเนืองๆ ย่อมเสื่อมสูญ หรือไม่ปรากฏติดต่อกัน.
อนึ่ง เพราะชื่อว่าเรือนของบุคคลผู้อยู่ครองเรือน ลุกขึ้นเสร็จสรรพแล้วไม่ทำกิจ มีการซ่อมแซมเรือนที่ชำรุดเป็นต้น ย่อมพินาศ
กายของคฤหัสถ์หรือบรรพชิต ผู้ไม่ทำการชำระสรีระ หรือการชำระบริขาร ด้วยอำนาจความเกียจคร้าน ย่อมมีผิวพรรณมัวหมอง.
อนึ่ง เพราะเมื่อบุคคลรักษาโคอยู่ หลับหรือเล่นเพลินด้วยอำนาจความประมาท โคเหล่านั้นย่อมถึงความพินาศ ด้วยเหตุมีวิ่งไปสู่ที่มิใช่ท่าเป็นต้นบ้าง ด้วยอันตรายมีพาลมฤค และโจรเป็นต้นบ้าง ด้วยอำนาจการก้าวลงสู่ที่ทั้งหลาย มีนาข้าวสาลีเป็นต้นของชนพวกอื่นแล้วเคี้ยวกินบ้าง แม้ตนเองย่อมถึงอาชญาบ้าง การบริภาษบ้าง.
ก็อีกอย่างหนึ่ง กิเลสทั้งหลายล่วงล้ำเข้าไปด้วยอำนาจความประมาท ย่อมยังบรรพชิตผู้ไม่รักษาทวาร ๖ ให้เคลื่อนจากศาสนา; ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "ปมาโท รกฺขโต มลํ." อธิบายว่า ก็ความประมาทนั้น ชื่อว่าเป็นมลทิน เพราะความประมาทเป็นที่ตั้งของมลทินด้วยการนำความพินาศมา.
คนเราไปเชื่ออวิชชาเชื่อความหลงไม่ได้ เพราะตัวเองมีความขี้เกียจขี้คร้านมีความเห็นแก่ตัวมีตัวมีตนจนน่าเกลียด ก็ยังไม่รู้ตัวเอง มันต้องฝึกต้องปฏิบัตินะ รู้จักความโง่ รู้จักความสลบไสล ลุกขึ้นมา เดินไปด้วยธรรมวินัย อย่าให้เจ้าโลภเจ้าหลงนำหน้า มันเสียศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ของเราทุกคน ไม่เหมาะไม่สมควร เราก็มองเห็นบุคคลที่ล้มเหลวทางธุรกิจ อย่างนี้ก็ถือเป็นเรื่องภายนอก แต่ถ้าเราล้มเหลวในความประพฤติในปฏิปทาหรือว่าในกรรมคือการกระทำนี้ มันเสียหายมากกว่า ตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองมันยิ่งเพิ่มโรคจิตโรคประสาทเพิ่มการเวียนว่ายตายเกิด เราอย่าได้คิดว่า ปฏิบัติไม่ได้ บาป อย่างนี้สึกดีกว่า เพราะว่าสึกไปแล้ว ไม่ใช่บาปหาย มันยิ่งเพิ่มบาป ไม่ใช่บาปธรรมดานะ มหาบาป เราต้องเป็นพระกรรมฐานคือกิจกรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เข้าสู่ระบบความคิดที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
เราโชคดีที่เรามีลมหายใจ มีพระพุทธเจ้า เรื่องการประพฤติปฏิบัติมันเป็นเรื่องส่วนตัวเรื่องของเรา เราต้องทำประโยชน์ตนให้ดีๆ เราจะไปคิดช่วยเหลือพ่อแม่ช่วยเหลือประชาชนได้อย่างไร ตัวเองยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ อย่าพากันเป็นบ้า ตัวเองนอนไม่หลับจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้อย่างไร คิดดูก็น่าทุเรศ คิดใหญ่โต หลวงพ่อชาบอกว่าท่านสอนตัวเอง ๙๕% สอนคนอื่น ๕%
ความสมัครสมานสามัคคีต้องมีในอารามมีในครอบครัวมีในสังคม เราต้องก้าวไปพร้อมๆ กัน เราอย่าเป็นคนเจ้าอารมณ์มันเป็นนักปรัชญาเฉยๆ ไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ เราต้องสมัครสมานสามัคคีเข้าถึงความเป็นแบรนด์เนมด้วยเข้าถึงภาคประพฤติปฏิบัติด้วย ช่วยเหลือกันไปพยุงกันไปก้าวไปพร้อมๆ กัน
เราน่ะอยากจะรวยแต่เราเป็นคนขี้เกียจ อยากบรรลุธรรมแต่เราเป็นคนขี้เกียจ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเรื่องมรรค คือเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ ผลมาจากข้อวัตรปฏิบัติที่เราปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีการประพฤติปฏิบัติ ผลนั้นจะเกิดขึ้นไม่ได้นะ แต่เรามันพากันข้ามขั้นตอนไป อยากเอาแต่ผลไม่ต้องการทำข้อวัตรปฏิบัติ มันจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะสิ่งมันเป็นไปไม่ได้ เรื่องมรรคผลนิพพานมันเป็นเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันเป็นเรื่องที่เราต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อให้มันเกิดมรรคผลนิพพาน
การรักษาศีลก็ให้เป็นผู้เสียสละ ละความเห็นแก่ตัว ละความมักง่ายของตัวเอง รู้จักเสียสละไม่ตามใจตัวเอง ถ้าเราปฏิบัติเพื่อเสียสละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อไม่มีตัวมีตน ชื่อว่าเราปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเรามีความสงสัย พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาธรรมตัดสิน ๘ ประการ มาตัดสินการประพฤติปฏิบัติของตัวเอง เช่น พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"
ถ้าเราติดสุขติดสบาย เราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านนั้นก็ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำเกียจคร้านมันเป็นปัญหาใหญ่ มันทำให้ทุกคนติดทุกคนหลง ทำให้ทุกคนไม่เข้าถึงคุณธรรม เรามีความยากจน ไม่มีคุณธรรมก็เนื่องมาจากเราเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ติดสุขติดสบาย ความสุขความสบายนี้แหละ มันเป็นสิ่งที่ร้อยรัด เป็นเครื่องพันธนาการผูกเข้าไว้ นี้ถือว่าด่านใหญ่ของชีวิต ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่านักเรียนนักศึกษา ไม่ว่าพระ ไม่ว่าชี ไม่ว่าโยม ถูกความขี้เกียจขี้คร้านมันเล่นงานทุกคน
ความขี้เกียจขี้คร้านจัดว่าเป็นสิ่งเสพติด เป็น "กามสุขัลลิกานุโยค" ถ้าเราติดมันแล้วเขาเรียกว่ามันมีโทษ ปกติคนเรามันจะมีอาชีพ มีการดำรงชีวิตด้วยความสุข แต่ถ้าเราไปติด เขาไม่เรียกว่ากามคุณแล้ว เขาเรียกว่า "กามโทษ"
พระพุทธเจ้าท่านให้เรารับประทานอาหาร ให้ร่างกายพักผ่อน ให้กายให้ใจสบาย เพื่อมีกำลังที่จะสร้างบารมีสร้างความดี แต่ท่านไม่ให้เราติด ถ้าเราติดแสดงว่าเราปฏิบัติผิด เพราะว่าคนติด ก็ยกตัวอย่างเช่น เราทำงาน เราได้เงินเดือน เรานอนกินเงินเดือนให้หมดเสียก่อน เราถึงไปทำงาน เงินเดือนของเรามันก็ย่อมหมด นั่นแสดงว่าเรากินของเก่า กินบุญเก่า ถ้าเราไปติดสุขติดสบายมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติผิด ไม่เป็นผู้เดินทางสายกลาง
ความดีเป็นสิ่งที่จะต้องทำ "ทำสม่ำเสมอ" มันจะหยุดไม่ได้ถ้าเราหยุดก็แปลว่าเราตาย "เราตายจากคุณงามความดี" ที่สังคมมีปัญหา โลกมีปัญหา ปัญหาใหญ่มันมาจากความขี้เกียจขี้คร้าน ตัวเองก็ไม่เจริญ ครอบครัว สังคม ประเทศชาติก็ไม่เจริญ เพราะตัวเองติดสุข ติดความขี้เกียจขี้คร้านแท้ๆ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาความสุขทางร่างกาย ต้องเอาความสุขในการเสียสละ ในการละความเห็นแก่ตัว คนส่วนใหญ่ก็เข้าใจแต่เรื่องวัตถุ แต่เรื่องจิตเรื่องใจยังไม่ค่อยเข้าใจกัน คิดว่าความสุขมันได้มาจากวัตถุ ได้มาจากการกิน การนอน การเล่น
ความสุขได้มาจากเสียสละ ได้มาจากการละความเห็นแก่ตัว ถ้าเราไม่มีตัวตนมาก เราเป็นผู้ให้ เราก็มีความสุขความดับทุกข์ อย่างเราทำงานมันไม่มีความทุกข์นะ ถ้าใจอยู่กับเนื้อกับตัว ใจอยู่กับการทำงาน เรามีความเสียสละ ใจมันวางของหนัก วางความขี้เกียจขี้คร้าน วางตัววางตน เพราะตัวตนทำให้เราทุกข์ เราเครียด เรามีปัญหา ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อยู่ด้วยตัวด้วยตน อยู่ด้วยความเครียด ไม่ได้อยู่ในทางสายกลาง เดี๋ยวก็ดีใจ เดี๋ยวก็เสียใจ ทำไมดีใจเสียใจ ก็เพราะมีตัวมีตน เมื่อมีตัวมีตน โลกธรรมก็ครอบงำใจ ถ้าเรามาเดินตามทางสายกลาง เราไม่ได้เอาตัวเอง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เอาศีลเอาธรรมเป็นที่ตั้ง ทุกข์จะมาจากไหน เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตน พระพุทธเจ้าท่านให้เราทุกท่านทุกคนกลับมาหาศีลหาธรรมอย่างนี้ การประพฤติปฏิบัติของเราจะได้ถูกต้อง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee