แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๒๑ การสร้างบารมีคือการมาปฏิบัติตนเองแก้ไขตนเอง ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่มองที่วัตถุภายนอก
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๗
การประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคนที่เป็นมนุษย์ ต้องพากันรู้พากันเข้าใจเพื่อเป็นสัมมาทิฏฐิ การปฏิบัติของเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อจะได้เป็นอริยมรรค เป็นหนทางที่ไม่สร้างปัญหาให้กับตนเองไม่สร้างปัญหาให้กับคนอื่น เพราะปัญหาต่างๆ นั้นมันอยู่ที่เราทุกๆ คน ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น พระพุทธเจ้าถึงให้พวกเราเข้าสู่ภาคความรู้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน การสร้างบารมี พวกเราต้องพากันเข้าใจการสร้างบารมี บารมีนี้คือมาปฏิบัติตนเองแก้ไขตนเอง พวกเราทั้งหลายส่วนใหญ่ไม่รู้จักคำว่าบารมี ไปเอาแต่ภาษาวัตถุ บารมีต้องเน้นที่ใจ อย่างทุกคนเข้าใจว่า เราไม่มีบารมีหรือว่าเรามีบารมี หรือว่าคนอื่นมีบารมี อันนั้นคือไม่รู้จักความหมายของบารมี ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ
ความหมายของคำว่าบารมี “บารมี” มาจากคำบาลีว่า "ปารมี" ซึ่งมาจากคัพท์เดิมว่า "ปรม" มีคำแปลที่ใช้กันหลากหลายทั้งในคัมภีร์เก่า เช่น อรรถกถา และฎีกา รวมถึงตำราที่เขียนขึ้นในภายหลัง มีตัวอย่างดังต่อไปนี้
๑. ปรม แปลว่า ผู้เป็นเลิศ, ปารมี แปลว่า ภาวะหรือการกระทำของผู้เป็นเลิศ ๒. ทำให้เต็ม หรือยังให้เต็ม ๓. แปลว่า "อย่างยิ่ง" คือบุคคลผู้ขัดสี หรือชำระตนอย่างยิ่งจากมลทินคือกิเลส ๔. แปลว่า "บรรลุ" หมายถึงผู้บรรลุถึงธรรมอันวิเศษอย่างประเสริฐ... เหล่านี้เป็นต้น
ซึ่งโดยสรุปแล้วมี ๒ นัยยะหลักด้วยกัน คือ ๑. หมายถึง "ความเป็นเลิศ" ๒. หมายถึง "ธรรมเครื่องถึงฝั่ง" หรือธรรม ๑๐ ประการ ที่ผู้ปฏิบัติแล้วจะบรรลุพระโพธิญาณ ส่วนในทางปฏิบัติ บารมีมีความหมาย ๒ นัยยะด้วยกัน คือ
๑. บุญที่มีคุณภาพพิเศษที่เกิดจากการสร้างความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
๒. นิสัย ที่เกิดจากการสร้างความดีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน
บารมี เรืยกอีกอย่างหนึ่งว่า "พุทธการกธรรม" คือ ธรรมซึ่งทำให้เป็นพระพุทธเจ้า ที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต้องบำเพ็ญสั่งสมไปตามลำดับ จนกว่าคุณธรรมที่เป็นพุทธการกธรรมนี้จะสมบูรณ์ จึงจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้
การสร้างบารมีนี่แหละคือยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทั้งกายวาจาทั้งจิตใจทั้งกิริยามารยาท ที่ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แล้วต้องติดต่อต่อเนื่อง อย่างพระพุทธเจ้าปฏิบัติติดต่อในการสร้างบารมี หลายล้านชาติ อย่างนี้เขาเรียกว่าสร้างบารมี ยกเลิกตัวตนเหมือนหลวงปู่ชา บอกลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมนี้นะบอกสอนตัวเอง 100% บอกสอนพวกท่านที่เป็นพระ เณร แม่ชี ประชาชนเพียง 5% เท่านั้นเอง อย่างนี้มันถึงพอไปได้ ถ้าเราไปเอาความหลงเอาความไม่เข้าใจเป็นที่ตั้ง ก็ไปแก้แต่ภายนอก ไม่ได้แก้ไขที่ตัวเอง อย่างนี้เขาไม่ได้เรียกว่าสร้างบารมี มันเป็นความหลง เราไปแก้ไขที่ภายนอกไม่กี่เดือนไม่กี่ปี มันก็มีแต่ความฟุ้งซ่านมันก็สับสน ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ บารมีนั้นมันก็เหมือนปลูกต้นโพธ์ต้นไทรนี้แหละ ปลูกเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ก็ให้น้ำ ให้ปุ๋ย ให้แสงแดด ให้อ็อกซิเจน ให้มันพอดี ให้สม่ำเสมอเป็นความดีเป็นปฏิปทา อย่างนี้แหละเราทำแบบนี้ปฏิบัติอย่างนี้เราทำหน้าที่ให้ถูกต้องทั้งกาย ทั้งวาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ เราพัฒนาให้กาย วาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ ครบวงจร เน้นมาหาตัวเราที่ปัจจุบันนี้แหละ เราประพฤติปฏิบัติอย่างนี้หลายปี ต้นโพธ์ ต้นไทรมันก็ใหญ่ เดี๋ยวมันก็ออกลูกออกผลน่ะ ลูกมันสุก พวกฝูงนกฝูงกระรอกกระแตก็มาบริโภค เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เพราะบารมีเป็นอย่างนี้ เมื่อเราเข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ ทุกอย่างมันจะเป็นไปของมันเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีความตั้งใจมีเจตนามีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ คนเราไม่มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ไม่ได้ มันจะเป็นโรคประสาท เป็นซึมเศร้า
ให้พวกเราทั้งหลายเข้าใจอย่างนี้ ปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา สมมติบัญญัติที่เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย 84,000 พระธรรมขันธ์นี้ ก็เพื่อที่มายกเลิกตัวยกเลิกตนน่ะ ที่มาในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่มาในพระไตรปิฎก 21,000 แล้วก็มาในภิกขุปาติโมกข์ 227 ข้อ อันนี้มันเป็นสมมติบัญญัติเพื่อโฟกัสให้อริยมรรคมีองค์ 8 ให้ชัดเจนว่า อันนี้คิดไม่ได้ พูดไม่ได้ ทำไม่ได้ อย่างนี้ให้ติดต่อต่อเนื่อง สมมติบัญญัติโฟกัสเข้าหาวิมุติความหลุดพ้น หรือเข้าหาปรมัตถสัจจะอย่างนี้ กฎหมายบ้านเมืองก็เพื่อโฟกัสเข้าหาอริยมรรคมีองค์ 8 กฎหมายทั้งหมดที่เป็นกฎหมายระดับประชาธิปไตยก็ดี หรือระดับสังคมนิยมก็ดี หรือประเพณีนิยมก็ดี เพื่อโฟกัสเข้าหาความดับทุกข์ของพวกเราทั้งหลายที่เกิดมา เพื่อมาแก้ปัญหาที่ถูกต้อง แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ไม่ต้องไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ไม่ต้องไปแก้ให้คนอื่นสัตว์อื่น
ให้เราเข้าใจ ให้ทุกคนมีฉันทะมีความพอใจในการประพฤติปฏิบัติ หมู่มวลมนุษย์นี้เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ ต้องเอาธรรมะเป็นที่ตั้งเอาเวลาเป็นที่ตั้ง ต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันนี้แหละ เพราะอนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ อดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ ต้องเอาที่ปัจจุบันนี้แหละ ต้องเอาความรู้ความเข้าใจที่มันเป็นสัมมาทิฏฐิเรื่องจิตเรื่องใจ สัมมาทิฏฐิในเรื่องกาย วาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ เราต้องทำอย่างนี้มันถึงเป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา จะได้มีความตั้งมั่นสม่ำเสมอเป็นสมาธิธรรมชาติหรือสัมมาสมาธิ มันจะเกิดปัญญา เพราะตัวตนทุกคนมันทำงานเป็นกระบวนการปฏิจจสมุปบาท เป็นการเวียนว่ายตายเกิด พระพุทธเจ้าให้พวกเราเน้นในปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นสิ่งสำคัญมาก ในระบบความคิด คำพูด การกระทำ กิริยามารยาท อาชีพ ต้องเข้าใจ เราไม่เข้าใจไม่ได้ ถ้าเราไม่เข้าใจเราก็ฟังพระพุทธเจ้าก่อน เชื่อพระพุทธเจ้าก่อน เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันไม่เข้าใจ เราต้องยกเลิกตัวตน เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญพุทธบารมีครบถ้วน เราจะได้พากันประพฤติปฏิบัติ เราเอาตัวเอาตนไม่ได้ เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย ท่านบอกเราทั้งหลายว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจ เปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ที่มาสัมผัสเกี่ยวข้องกับเราก็คือแขกที่มาบ้านเรามาเยี่ยมบ้านเรา ปกติแขกมาเยี่ยมมาแล้วก็จากไป พวกเราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อย่าไปเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง เรียกว่าคนไม่รู้อริยสัจ 4 น่ะ ตัวตนมันเป็นสังโยชน์นะ ที่เป็นต้นทุนแห่งการเวียนว่ายตายเกิด มันเป็นความไม่รู้เป็นอวิชชาเป็นความหลง เราจะเอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิตได้อย่างไร เพราะความหลงนั้นมันคือการเวียนว่ายตายเกิด เราทุกคนต้องยกเลิกความหลงของตัวเอง เข้าสู่มรรคเข้าสู่ผลเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้ประพฤติปฏิบัติให้มันเด่นให้มันชัดทั้งใจทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพธุรกิจหน้าที่การงาน เราประพฤติอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้มันจะแก้ปัญหาได้ ความบริสุทธิคุณ ความกรุณาธิคุณ ถึงจะเกิดแก่เรา ทำเหมือนพระพุทธเจ้า เอาพระพุทธเจ้าเป็นโมเดล พระพุทธเจ้าคือธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นที่ดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ทั้งใจ ทั้งกาย ทั้งวาจา กิริยามารยาท ตลอดถึงอาชีพ เราเข้าใจอย่างนี้ สิ่งที่เป็นอดีตก็ต้องยกสิ่งเหล่านั้นสู่พระไตรลักษณ์ จะชั่วจะดีจะสุขจะทุกข์ มันเป็นเพียงอดีต มันเป็นการเดินทางผ่าน มันก็ต้องพบเห็นพบเจอมันก็ผ่านไป
ปัจจุบันนี้ให้เรามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ พระเรา เณร แม่ชี พวกญาติโยมทั้งหลาย ต้องรู้จักคำว่าบารมีนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ใช่บารมี มันทำลายบารมี บางคนก็น้อยอกน้อยใจว่า จะก่อสร้างอะไรก็ยากลำบาก ไม่มีบารมี ต้องตะเกียกตะกาย ทุกข์ยากลำบาก มันเป็นความเสียหายเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราต้องรู้จักการสร้างบารมี นั่นคือสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทั้งกายวาจาใจ ทั้งกิริยามารยาท อย่างนี้ เราอย่าไปหลงงมงายบารมีที่ก่อภพก่อชาติ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราจะไปสร้างบารมีอย่างนั้นมันไม่ดีไม่ถูกต้องมันเป็นทางตันนะ ด้วยตัณหา คือตัวตนน่ะมันคือความมืดสนิท เห็นไหมคนเราตื่นมามันมืดตึ๊บเลย เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเลยมืดตึ๊บ มีแต่ตาภายนอก ตาปัญญาตาสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมันไม่มี ถ้ามีมันคงไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกคนต้องพากันอบรมอินทรีย์สร้างบารมีอย่างนี้ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจ เดี๋ยวอาศัยบารมีพระพุทธเจ้า บารมีครูบาอาจารย์ อาศัยบารมีอย่างนี้มันไม่ใช่บารมี มันคืออวิชชาความหลง ถ้าเราเสียสละ ไม่เอาตัวเอาตน ก็เปรียบเสมือนต้นโพธ์ต้นไทร ที่มันอุดมสมบูรณ์สูงสง่า ฝูงนกฝูงกาได้อาศัยพักพิง อาศัยทานลูกทานผล มีร่มมีเงา บารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ มันเป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เอาตัวเอาตนเหมือนที่เราทุกคนเข้าใจ บารมีภายนอกมันบารมีอวิชชาความหลงนะ มันไม่ถูกต้อง ทุกๆ คนน่ะทำอย่างไรก็ไปไม่ได้ เพราะมันไม่ใช่การสร้างบารมี มันเป็นการสร้างความหลง เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปรับเข้าหาธรรมะ ปรับเข้าหาเวลา พากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะได้ไม่เป็นโรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคผิดหวัง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นโรคจิต โรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคผิดหวัง เห็นไหมต้องฆ่าตัวตาย ผูกคอตาย ยิงตัวตาย โดดตึกตาย โดดน้ำตาย เพราะมันทำไม่ถูกต้อง ทำไม่ถูกต้อง มันถึงตายจากความดี ตายจากบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ ถึงจะมีลมหายใจอยู่ก็เรียกว่ามันตายจากความดี ตายจากบารมีนะ ให้พวกเราเข้าใจ ต้องโฟกัสมาที่เราที่ตัวเรา
วันนึงคืนนึงหมู่มวลมนุษย์ก็พากันนอน 6-8 ชั่วโมง ฆราวาสทั้งหลายนี้สมองเราถึงจะสั่งร่างกายจะออกไปทำธุรกิจหน้าที่การงานได้ นักบวชทั้งหลายก็นอน 4-6 ชั่วโมง ต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องรู้ว่าปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรานะ ไม่ได้อยู่ที่อื่น ต้องมาแก้ที่เราที่ตัวเรา คนเราไม่เข้าใจแล้วก็ไปบ่นให้ลูกให้หลานให้ลูกศิษย์ลูกหา ไม่กลับมาหาตัวเองว่า ตัวเองนี้เกิดมา ก็ต้องมีความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก มันอยู่ที่เรามีความหลงต่างหาก ต้องมาแก้ที่ตัวเองที่มันมีความหลง มีความรู้ความเห็นความรู้สึกความเข้าใจอย่างนี้ เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ คนเราถ้านอนอิ่ม เอาธรรมนำชีวิต เอาเวลานำชีวิตอย่างนี้ มันไม่มีปัญหา เมื่อเรายกเลิกตัวตน สมองของเรามันก็ไม่สับสน การดำเนินชีวิตมันก็จะเป็นไปเพื่อความดับทุกข์ เป็นการทำที่สุดแห่งการดับทุกข์ ทั้งใจ ทั้งกายวาจากิริยามารยาทหน้าที่การงาน คนเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันจะได้อย่างไง เพราะตัวตนมันก็มีแต่ทุกข์ที่มันเกิดขึ้น ทุกข์ที่มันตั้งอยู่ เขาเรียกว่าทุกข์ทั้งกายทุกข์ทั้งใจ แย่เลยอย่างนี้ ให้พวกเราเข้าใจ พากันมามีสติ มามีความสงบ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าศีลสมาธิปัญญาต้องไปพร้อมกัน แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันแล้วมันไปไม่ได้ ศีลสมาธิปัญญาต้องอยู่กับหมู่มวลมนุษย์ทุกอิริยาบถ ท่านบอกว่าการปฏิบัติต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่องอย่าให้ขาดสาย การปฏิบัติก็เหมือนกับสายน้ำนี้แหละ น้ำหยดเดียวก็ติดต่อเป็นสายน้ำเป็นแม่น้ำ เป็นมหาสมุทร การปฏิบัติก็เหมือนกับเลือดในร่างกาย ก็มีหัวใจอยู่ศูนย์กลาง หัวใจก็สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายทุกส่วน แล้วก็คอนโทลด้วยความถูกต้อง เหมือนสมองเราคอนโทลด้วยเส้นประสาทน้อยใหญ่ ให้เข้าใจอย่างนี้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็สับสน มันไม่ถูกต้อง เหมือนนาฬิกาที่มีฟันเฟือง ฟันเฟืองก็หมายถึงปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกวันนี้นาฬิกาที่เป็นไฟฟ้า ที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์มันก็มีขั้วบวก ขั้วลบ มันก็เหมือนฟันเฟืองนี้แหละ พวกเราพากันเข้าใจนะ ในการประพฤติการปฏิบัติ พวกเราจะได้ยกเลิกโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า แม้แต่กรดไหลย้อนนอนไม่หลับอะไรต่างๆ มันเป็นโรคทางใจที่มันส่งให้เป็นโรคทางกายนะ ท่านถึงบอกว่า เอ้ย...เราต้องให้อาหารทั้งกายทั้งใจนะ อาหารทางกายที่เราได้อาหารทางกายมา เราต้องได้มาจากความถูกต้อง ไม่เบียดเบียนตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น เบียดเบียนตัวเองหมายถึงเอาความสุขจากคนอื่น หมู่มวลมนุษย์ต้องมาเอาศีล 5 คือการยกเลิกตัวตนหมู่มวลมนุษย์ต้องพากันรักษากฎหมายบ้านเมือง เบียดเบียนตนเอง ก็คือเอาความหลงนำชีวิต เอาตัวตนนำชีวิต เรียกว่าเบียดเบียนตนเอง ไม่ปรับใจเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ไม่ปรับกายวาจากิริยามารยาท การงาน เข้าสู่สัมมาทิฏฐิ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็เกียจคร้าน แม้แต่หายใจก็ไม่อยากหายใจ ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ มันเสียหาย ต้องเอาธรรมะนำชีวิต นี้คือการทำความดี การสร้างบารมี ให้เข้าใจ
พระพุทธศาสนาได้ผ่านไปหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน นานตั้ง 500 ปีน่ะ ถึงได้สร้างพระพุทธรูป สร้างพระปฏิมากร เพราะเพื่อจะให้ลูกให้หลานรู้ รู้หลักการในชีวิต ที่เป็นศาสนวัตถุ พระที่แท้จริงคือที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องนี้แหละ พระนี้นะที่เอาธรรมนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิต เขาเรียกว่า “พระ” พระภายนอกเปรียบเสมือนกฎหมายบ้านเมืองนี้แหละ กฎหมายบ้านเมืองก็คือสมมติบัญญัติ เพื่อบัญญัติให้อันนี้คิดไม่ได้ อันนี้พูดไม่ได้ อันนี้คิดไม่ได้ กฎหมายบ้านเมืองส่วนใหญ่ก็เป็นประชาธิปไตย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเอาแต่ทางวัตถุเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้ กฎหมายบ้านเมืองต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจไปพร้อมๆ กัน ประเทศไทยของเราถึงมีการปกครองด้วยเอาธรรมนำชีวิต ที่มีพระมหากษัตริย์ที่ทรงทศพิธราชธรรมทรงเอาธรรมนำชีวิต ไม่ให้พระมหากษัตริย์ทุกๆ พระองค์เอาตัวตนนำประเทศ ให้เอาธรรมะนำประเทศ พวกรุ่นใหม่สมัยใหม่ที่มีประธานาธิปดี ก็ต้องเอาทศพิธราชธรรมนำประเทศ ทุกประเทศในโลกนี้ที่มีอยู่ 200 กว่าประเทศ ประชากรของโลกมีอยู่ 8 พันกว่าล้านคน โลกนี้เป็นกลมๆ เหมือนลูกฟุตบอล ที่หมุนรอบตัวเองเป็นกลางวัน 12 ชั่วโมง เป็นกลางคืน 12 ชั่วโมง หมุนรอบดวงอาทิตย์ ให้เราเข้าใจ ทุกอย่างนี้มันเป็นสภาวธรรมอย่างนี้ มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนไม่ใช่นิติบุคคล
ให้พวกเราเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว เมื่อเราปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 เราก็มีความสุขความสบาย พระพุทธเจ้าก็ทรงให้เราพัฒนาใจ เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร เพราะความอร่อยของผัสสะที่มากระทบนี้มันทั้งอร่อย ทั้งแซ่บ ทั้งลำ ทั้งนัว ทั้งหรอย ท่านบอกว่าติดในความอร่อยอย่างนี้ไม่ได้ ต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ เพราะอายุของมนุษย์มันจำกัด เรามาอาศัยสรีระร่ายกายมนุษย์ เราก็โฟกัสเข้าสู่ภาคปฏิบัติ พิจารณาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าทรงบอกสอนให้พวกมาบวชมาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์นะ ให้แยกร่างกายออกทีละส่วนๆ แยกไปให้ครบทั้ง 32 ส่วน ทำอย่างนี้ทุกๆ วันเลย มันจะชอบหรือไม่ชอบ เบื่อหรือไม่เบื่อก็ต้องทำไป เพื่อพุทธะของเราจะเจิดจ้า ไม่งั้นตัวตนมันจะทำให้เรามืดตึ๊บ ให้เข้าใจอย่างนี้ ให้พากันประพฤติปฏิบัติ คนเรามีตัวมีตนมันก็ไม่อยากพิจารณาชิ้นส่วนของร่างกายเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะมันโง่ อยากเห็นรูปสวยๆ มากกว่านี้อีก เพราะมันเป็นตัวเป็นตน เพราะว่ามันติดในความอร่อย ในรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ท่านว่า เวลาตาเห็นรูป หูฟังเสียง ก็ให้พิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เราไม่พิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เราต้องอาบัติทุกกฏ ถึงอาบัติถุลลัจจัยน่ะ ท่านบอกว่าเราประมาทเกิน พระพุทธเจ้าบอกสอนเราให้ใช้ร่างกายให้ใช้สมองให้มันเป็น ต้องเอาความสงบเอาปัญญาไปพร้อมๆ กัน เราเอาแต่ปัญญาอย่างนี้มันทำลายแต่สมอง เพราะเราฟุ้งซ่าน ตัวตนมันฟุ้งซ่าน ต้องเอาความสงบไปด้วยสลับกัน ความสงบอย่าไปมากเกิน เพราะความสงบมันเป็นความสุข ส่วนใหญ่นักปฏิบัติทั้งหลายเไปเอาความสงบเป็นพระนิพพาน มันกลายเป็นตัวเป็นตน พระพุทธเจ้าพูดให้เราเข้าใจ พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของพารหมณ์มาก่อน พารหมณ์ก็ได้แต่ความสงบได้แต่ความเป็นตัวเป็นตน ออกจากสมาธิมาออกจากความสงบมามันก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่านี้แหละ เพราะไม่รู้เรื่องอริยสัจ 4 นะ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่าสมถะและวิปัสสนาต้องไปพร้อมๆ กัน อย่าไปตึงเกินอย่าไปหย่อนเกิน ต้องใช้สรีระร่างกายให้เกิดประโยชน์ เอาตัวเอาตนมันทำลายระบบสมองสติปัญญา พากันนอนไม่หลับนอนไม่พอ ประชาชนนอน 6-8 ชั่วโมง นักบวชนอน 4-6 ชั่วโมง เพราะพระเราพากันทำงานน้อย เอาทุกอย่างนั้นมาเป็นการประพฤติการปฏิบัติธรรม ให้เข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
คนเราถ้ายกเลิกตัวตน มันก็เข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณได้ ใครๆ เขาก็รักเรา เพราะเรายกเลิกตัวตน มันก็น่ารัก ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน มันไม่น่ารักนะ ถึงเราจะศัลยกรรมสมัยใหม่ด้วยเทคโนโลยี ไปศัลยกรรมถึงเกาหลีมันก็ไม่น่ารัก เพราะตัวตนมันคือไม่น่ารัก พระพุทธเจ้าท่านบอกเรา ความงามที่แท้จริงคือการเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นศีลสมาธิปัญญา ต้องเข้าใจอย่างนี้ แต่ภายนอกเราก็ต้องให้งาม ถ้าเรายกเลิกตัวตน นิสัยเรามันก็จะไม่หยาบไม่กระด้างไม่ก๋าไม่กร่าง เพราะเรายกเลิกตัวตน เราจะปรับเข้าหากฎหมายบ้านเหมืองปรับเข้าเวลา ปรับเข้าหากิริยามารยาทหน้าที่การงานที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่โกงกินไม่คอรัปชั่น มันจะเป็นความสวยความงาม เป็นความสงบอบอุ่นเย็นเป็น แอร์คอนดิชั่นเคลื่อนที่ มีสติสัมปชัญญะ
คนเราน่ะถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ใช่สติสัมปชัญญะ มันเป็นมิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาปัญญา เป็นเพียงนักปรัชญา ไม่ใช่ทางพระศาสนา ศาสนาทุกศาสนามันก็คือธรรมะ จะเป็นพุทธ คริสต์ อิสลาม พารหมณ์ ฮินดู หรือซิกข์ อะไรต่างๆ ในโลกนี้ นับเป็นหลายร้อยศาสนา ศาสนาคือธรรมะ ศาสนาคือยกเลิกตัวตน เราต้องเข้าใจเรื่องศาสนา ศาสนาก็เป็นเหมือนชื่อของคนในโลกที่มีชื่อเยอะ ชื่อเดียวกันไม่ได้ ต้องมีชื่อหลายชื่อ วัตถุก็หลายอย่างก็สมมติหลายอย่าง ศาสนาก็เหมือนกัน ความหมายของศาสนาทั้งอรรถะทั้งพยัญชนะ คือยกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต ศาสนาถึงไม่มีการทะเลาะวิวาทกัน ศาสนานี้ไม่มีการเดินขนวน ออกไปๆ เรื่องศาสนานี้นะคือทุกคนต้องมาแก้ที่ตัวเรา พระพุทธเจ้าทรงบอกพระธรรมมกถึกกับวินัยธรน่ะ ให้รู้พระวินัยให้รู้สมมติสัจจะ ให้เข้าหาการยกเลิกตัวตน ไม่ใช่ให้ธรรมกถึกกับวินัยธรทะเลาะกัน ต้องพากันรู้จักพระศาสนานะ เพราะเราจะประเมินด้วยสติด้วยปัญญาว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า 20 ปี ยังไม่ได้บัญญัติพระวินัย ยกเลิกตัวตนมันก็สงบ เพราะเรามีตัวมีตน มันถึงมีกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน กฎหมายบ้านเมืองมันก็ไม่มีหรอก ไม่มีตำรวจทหาร ไม่มีข้าราชการ นักการเมือง เพราะตัวตนนี้มันถึงได้โฟกัสเข้าหาสมมติบัญญัติ เพื่อให้เราทุกคนยกเลิกตัวตน เราไม่ยกเลิกตัวตนมันไม่ได้ เราต้องเข้าใจเรื่องกฎหมายบ้านเมือง เรื่องสมมติบัญญัติ เราจะได้โฟกัสเข้าสู่ทางสายกลางพัฒนากายวาจาใจ ตลอดถึงธุรกิจหน้าที่การงาน เพื่อเป็นสัมมาทิฏฐิทั้งวัตถุทั้งจิตใจ
การประพฤติการปฏิบัติต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานทางร่างกาย ก็อาศัยพระธรรมคำสั่งสอนเป็นองค์แทนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือธรรมวินัย เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็ปฏิบัติธรรมวินัยไม่ได้ เราก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้าสำคัญ ไม่เห็นพระธรรมพระวินัยสำคัญ เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งประเทศไทยเราถึงมีการโกงกินคอรัปชั่น 60 - 70 % ทุกวันนี้นะ ถึงมีเงินทอนวัด เงินทอนข้าราชการ เงินทอนพวกนักการเมือง ประชาชนมีตัวมีตนมันก็ทอนด้วยอวิชชาด้วยความหลงนี้แหละ เอาตัวเป็นที่ตั้ง มันก็ยากจนอย่างนี้แหละ เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันหลงตัวตนนะ หลงขยะนะ ให้เราพากันเข้าใจ พวกหมู่มวลมนุษย์ พระพุทธเจ้าถึงบอกหลักการ เดือนหนึ่งมันมี 30 วัน ให้ 8 วันเป็นวันหยุดการทำงานภายนอก ให้พากันรักษาศีลอุโบสถกัน เอาแต่ความสุขทางภายนอกทางวัตถุอย่างเดียวไม่ได้ เพราะความดับทุกข์มี 2 อย่าง คือความดับทุกข์ทางร่างกาย ความดับทุกข์ทางเรื่องจิตเรื่องใจอย่างนี้แหละ สมัยโบราณพวกที่มีสติมีปัญญาเป็นผู้นำถึงพาครอบครัวพาบริวารไปถือศีลอุโบสถกัน เป็นภาพรวมอย่างนี้ เพราะว่าเรามีความสุขมีความสะดวกความสบาย มันก็เพลินเพลินไปเรื่อย พากันสร้างบารมีในปัจจุบันมีความสุขในการทำงานอยู่แล้ว มีศีล 5 ยกเลิกตัวตนปัญหาก็ไม่มี มีแต่หลงในความสุขความสะดวกความสบาย พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พวกเทวดานั้นนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตายไปแล้ว ไม่ได้เกิดเป็นเทวดาอีกหรอก ส่วนใหญ่มนุษย์เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ไปรู้พระไตรลักษณ์ ไม่เอาธรรมเป็นที่ตั้ง ก็ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ต้องพากันรักษาศีลอุโบสถ ทุกวันนี้โลกเราเอาวันเสาร์ อาทิตย์เป็นวันหยุด หยุดเพื่อพัฒนาใจ วันไหนก็เป็นวันเหมือนกัน ให้เราเข้าใจ เห็นไหมโบสถ์คริสต์ วันเสาร์วันอาทิตย์ อิสลามก็ไปมัสยิส ไปละหมาด วันหนึ่งก็หลายครั้ง เพราะหมู่มวลมนุษย์ต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน อย่าพากันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ความมั่นคงคือเอาธรรมนำชีวิต เอาความถูกต้องนำชีวิต เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่มั่นคง มันเป็นการทำลายความมั่นคงให้เข้าใจ
พวกคณะผู้ปกครองให้เข้าใจว่า เขาให้เรามาเป็นข้าราชการเป็นนักการเมือง เป็นนักบวชหรือเป็นผู้บริหารนักบวช ก็ต้องโฟกัสเข้าหาความถูกต้อง อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นแต่เพียงแบรนด์เนม มันไม่ได้เข้าถึงอรรถะความจริง มันก็ได้แต่ตัวอักษร มันได้แค่การแต่งตั้งแค่การสมมติ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นเพียงสมมติสัจจะ ต้องเข้าใจสมมติสัจจะ เพื่อเข้าถึงปรมัตถสัจจะ เราจะได้เข้าถึงวิมุติหลุดพ้นจากความทุกข์ทางกายทางใจ พวกเราต้องเข้าใจ โลกใหม่โลกสมัยใหม่ มีความเจริญทางวัตถุ มีรถมีเรือมีเครื่องบิน พวกเราก็พากันเข้าใจ พวกเราก็พากันมีรถมีเรือมีเครื่องบิน นี้คือการพัฒนาทางวัตถุ เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ถ้าเรารู้อริยสัจ 4 ความดับทุกข์มันก็มีอยู่กับเรา เราจะอยู่ในเมืองกรุง อยู่ในอำเภอ ในหมู่บ้าน ในป่าเขา เราทุกคนก็ดับทุกข์ที่นั่น ต้องเข้าใจเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่สงบ มีแต่ความฟุ้งซ่าน เมื่อเรารู้เรื่องพระไตรลักษณ์ รู้เรื่องบ้านเรื่องแขกมาเยี่ยมบ้าน ยกเลิกตัวตน ทุกสิ่งทุกอย่างทุกหนทุกแห่งมันก็จะสงบ ถึงจะมีตึกรามบ้านช่องสูงตระหง่านตา ผู้คนมากมาย แต่ที่นั่นก็มีความสงบ ให้เราเข้าใจ เราจะได้เป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่ความหลง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ใช่มนุษย์นะ มันเป็นแต่เพียงคน เป็นได้แต่ความหลง
ให้เข้าใจ เข้าใจแล้วก็จะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะตัวตนมันคือความเครียด ที่ว่าเราเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นคนใหญ่ เป็นคนเฒ่าคนชรา เป็นสมณะชีพราหมณ์ เป็นอะไรทุกอย่างนี้ ถ้าเราหลงประเด็น เราจะเครียดนะ เพราะทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราจะได้ละความผิดหวังจากความไม่ถูกต้องน่ะ เราต้องเข้าใจ เราทุกคนเป็นมนุษย์สมัยใหม่ มันจะได้มีปัญญา เพราะทุกวันนี้ พวกโทรศัพท์ มือถือ คอมพิวเตอร์ มันเป็นโลกกว้างใหญ่ไพศาล พูดกันวินาทีเดียว 2 วินาที รู้กันทั่วโลก เราต้องรู้จักว่าทุกอย่างมีทั้งคุณทั้งโทษน่ะ ต้องมีสติต้องมีปัญญา อย่าให้จิตใจของเราติดอยู่หลงอยู่ เราต้องผ่านไปด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง จิตใจของเราจะได้เข้มแข็ง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้างั้นไม่ได้ ตั้งแต่เด็กน้อย หนุ่มสาว อากงอาม่า ตลอดทั้งนักบวชทั้งหลาย พากันเล่นแต่โทรศัพท์ มีเครื่องอยู่ด้วยอวิชชาความหลง มันไม่ได้ พวกนี้ดีจริง ดีอยู่จริง เพราะพระจะได้แชร์ความรู้ซึ่งกันและกันให้ถูกต้อง เราต้องรู้จักว่าทุกอย่างมีทั้งคุณมีทั้งโทษ ความสุขมันก็ดีจริง ถ้าเราไม่รู้จักโทษ พระพุทธเจ้าทรงถึงทรงสอน ให้เอาวัตถุมาดำเนินพัฒนาใจให้มีสัมมาทิฏฐิ ชีวิตของเรามันจะต้องประพฤติต้องปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้ไม่เป็นไปเพื่อตัวเพื่อตน มาบวชมาปฏิบัติก็จะมาเอาแต่ระบบครอบครัว มาก่อมาสร้าง มันไม่ใช่งาน พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ที่ไหน ท่านสร้างจิตสร้างใจ ท่านเสียสละ ละเลิกตัวตน มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ให้เราเข้าใจ การที่ถือว่ามีวัดอลังการ มีกุฏิอลังการมันคือศาสนา นี้มันไม่ใช่ศาสนานะ มันเป็นศาสนวัตถุ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สิ่งเหล่านั้นมันเป็นส่วนประกอบของการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เราอย่าปล่อยให้ตัวเองเอาแต่เรื่องวัตถุ ต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน
ทุกคนส่วนใหญ่ก็ฟุ้งซ่าน สังเกตุดูพวกเจ้าอาวาสพวกนักปกครองอะไรต่างๆ พวกข้าราชการนักการเมือง พวกนี้ฟุ้งซ่านเหลือเกินมันน่าเกลียด มันจะไปแก้ที่คนอื่น พวกนี้คือพวกฟุ้งซ่าน เป็นพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จะแก้ที่คนอื่นแก้ที่ปลายเหตุ แต่ตัวเองไม่แก้ ต้องเข้าใจนะ เราอย่าเอาความฟุ้งซ่าน คนเราเอาแต่ตัวตน มันก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย มันก็สงสัยไปเรื่อย อยากไปนู่นอยากไปนี่ เห็นนู่นเห็นนี่ ก็อยากกินนู่นอยากกินนี่ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ทะเลมันไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ... เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็อย่างนี้แหละ ให้รู้จักจิตให้รู้จักวาระจิต ให้พากันรู้เหตุรู้ผล รู้อริยสัจ 4 ให้พวกเราพากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน เหมือนไก่จะฟักไข่ต้องใช้เวลา 3 อาทิตย์ ฟักด้วยแม่ไก้สมัยโบราณ สมัยปัจจุบันนี้ฟักด้วยไฟฟ้าก็ 3 อาทิตย์เหมือนกัน สมองของเรามันเป็นเหมือนชิปที่ฝังอยู่นะ มันต้องติดต่อต่อเนื่องให้เป็นปฏิปทา มนุษย์เรามีปัญญามาก มันยิ่งฟุ้งซ่าน สมาธิความตั้งมั่น 5 นาทีมันก็ไม่ได้ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สมาธิก็สมาธิหินทับหญ้า เราต้องยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนเราก็เป็นลูกศิษย์พระเทวทัต พระเทวทัตคือตัวตนนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งถึงได้เป็นพระเทวทัต เราดูตัวอย่างเอาตัวตนเป็นที่ตั้งสงครามครั้งที่โลก 1-2 ให้เราพากันรู้ มันก็เริ่มจากนิติบุคคลการมีตัวมีตนนี้แหละ ให้เราพากันรู้จัก ไม่รู้จักไม่ได้ เราจะได้รู้จุดหมายปลายทางว่า เราเกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งการดับทุกข์นะ ไม่ใช่เกิดมาเพื่อประกอบทุกข์สร้างปัญหา มีความทุกข์ไม่รู้จักจบ อดีตมันผ่านไปแล้วแก้ไขไม่ได้ ไม่ต้องไปคิดมัน ต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่างประเทศไทย เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันก็ยากจน ยากจนแล้วก็พากันมาบวช คนจน คนระดับกลางก็พากันมาบวช คนส่วนใหญ่นี้ก็ไม่ใช่พวกเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ใน 100 % มีถึง 99.9% ก็เป็นพวกที่เอาศาสนามาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เสียหายมาก ท่านบอกว่ายากจนไม่เป็นไร ด้อยในการเรียนการศึกษา ในธุรกิจหน้าที่การงานไม่เป็นไร เรามาบวชเราก็มามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราจะได้เดินทางสายกลาง พัฒนาใจไปในทางที่ถูก คนเราหัวไม่ดีอยู่แล้ว เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันก็ยิ่งหัวไม่ดี คนเราบอดจนเกือบสนิทแล้ว ก็ยิ่งเอาไม้มาแทงตาตัวเอง มันก็ยิ่งบอดไปอีก ตัวตนมันเป็นอย่างนี้ ที่พูดนี้ก็พูดพอดีนะ การเอาศาสนามาหาอยู่หาฉันมาเลี้ยงอาชีพน่ะ ทุกคนก็ย้อนมาดูตัวเอง เอาตัวเองมาเป็นที่ตั้งก็มีแต่สีลัพพตปรามาส ลูบคลำในข้อวัตรข้อปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้เอาอย่างนี้ ก็ไปเอาอย่างอื่น มันถึงไปทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ พวกเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้นะ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ทุกคนอย่าไปถือนิสัยของตัวเอง ถืออวิชชาความหลง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ผู้ที่บวชมา พระพุทธเจ้าก็ทรงสอน ให้มันแน่น ให้ได้มาตรฐาน ถือธรรมถือวินัยให้ติดต่อต่อเนื่องกันสัก 5 พรรษา ประเทศไทยเรามองดู สำนักเรียนก็ดี สำนักปฏิบัติก็ดี ต้องอยู่ในโอวาทของพระที่ได้มาตรฐานน่ะ พวกเราต้องเข้าใจ การที่เราไปอยู่ที่ดีที่มาตรฐาน มันเป็นสิ่งที่ดีที่สำคัญ เพราะอาศัยหมู่คณะ อาศัยส่วนรวม ครูบาอาจารย์ที่ได้มาตรฐาน จะไปไหน ท่านก็ไม่ให้ไป ต้องเข้าเรียนตามเวลา ต้องคอนโทลเข้าสู่พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ต้องเข้าสู่สมมติสัจจะเรียกว่าพระวินัย จะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ ต้องเข้าใจ เพราะกรรมฐานต้องเป็นฐานของการงาน เรียกว่าศีลสมาธิปัญญา เรียกว่าพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เรียกว่าเป็นฐานแห่งความดับทุกข์ การยกเลิกตัวตน การงานที่เป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราจะได้ไม่ไขว้เขว เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไขว้เขว เพราะตัวตนมันคือความหลง ตัวตนคือไสยศาสตร์ ตัวตนมันไม่ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องต้องมายกเลิกตัวตน อบรมบ่มอินทรีย์สร้างบารมีอย่างนี้ เราต้องมาแก้ที่ใจเราถึงจะมีความสงบร่มเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee