แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑๘ พากันสมาทานปฏิบัติในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อให้เข้าสู่การยกเลิกสิ่งเสพติดที่มันเป็นสังโยชน์อยู่ในจิตใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันพุธที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๗
ทุกคนต้องยกเลิกตัวตน มันต้องเก่งแน่ต้องฉลาด เพราะตัวตนนี้ทำให้ทุกคนมืด ทำให้ทุกคนไม่มีปัญญา ต้องเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ถูกต้อง ทุกคนถึงจะพากันเรียนอนุบาลถึงปริญญาเอก มันก็ไม่มีปัญญา เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าไม่มีปัญญา มันเป็นไปเพื่อการประกอบทุกข์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ว่าเราจะเรียนนักธรรมตรี จนถึง ป.ธ.9 นี้เรียกว่ามันยังไม่มีปัญญา ทุกท่านทุกคนน่ะต้องพากันเข้าใจ เพราะเราจะมีปัญญาได้ เราต้องยกเลิกคำว่ามานะทิฏฐิ ที่มานะทิฏฐิมีความยึดมั่นถือมั่นว่ามีตัวมีตน พระพุทธเจ้าตรัสง่ายๆ ให้เราเข้าใจว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจเปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสต่างๆ เปรียบเสมือนแขกมาเยี่ยมบ้าน หรือว่าอาคันตุกะมาเยี่ยมบ้าน ปกติแล้วแขกมาเยี่ยมบ้าน อาคันตุกะมาเยี่ยมบ้านแล้วเขาก็จากไป เราอย่ามาหลงตัวเอง เราต้องยกทุกสิ่งทุกอย่างนี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าแขกมาเยี่ยมบ้านเราเอง อยู่ไม่นานเขาก็จากไป ยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงแขกมาเยี่ยมบ้าน ชอบไม่ชอบก็ยกสิ่งเหล่านั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อเราทุกคนจะได้เข้าธรรมเข้าปัจจุบันธรรมว่า ทุกอย่างในโลกนี้ เมื่อมีบ้านก็มีแขกมาเยี่ยมบ้าน
เราเป็นพระผู้ที่จะบวชตลอดชีวิต เราต้องโฟกัสเข้าหาความถูกต้อง พวกกุลบุตรลูกหลานที่จะพากันมาบวชชั่วคราว 7 วัน 15 วัน 1 เดือน หรือ 1 พรรษา เราเป็นพระในพระศาสนาทุกๆ รูป ต้องให้ได้มาตรฐานได้ Standard ทุกคนต้องยกเลิกตัวตน ทุกคนก็จะได้วางใจจะได้สนิทใจ เพื่อทุกคนจะได้ทำหน้าที่ถูกต้อง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราจะเป็นพระไม่ได้ เราเป็นได้แต่เพียงคน เป็นแต่อวิชชาเป็นความหลง ต้องโฟกัสตัวเอง อย่าพากันฟุ้งซ่าน ตามสิ่งแวดล้อม ให้รู้จักว่า เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เราต้องมีผัสสะมีอารมณ์อย่างนี้แหละ อย่าพากันฟุ้งซ่าน
อยู่ที่ไหนเขาก็มีบ้านมีวัดมีโรงเรียน เพื่อมั่นคงของชีวิตที่ประเสริฐ พระวินัยที่เป็นปฏิปทาของเราทุกคน ต้องเอามาใช้มาปฏิบัติ อย่าให้กาย ให้วาจา ให้จิตใจของเราสกปรก ตัวตนนั้นแหละคือกายวาจาใจสกปรก เรามีตัวมีตนก็เป็นคนไม่อายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร พวกเรามาบวชแล้วอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พวกเราก็จะไม่ได้เป็นพระ เป็นแต่สมมติสงฆ์ ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ใจของเราก็จะเป็นเปรตเป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสูรกาย เราก็เป็นได้แต่เพียงคน เป็นไปได้แต่เพียงความหลง กาย กระทบกับหนาว กับ ร้อน ของธรรมชาติ กลางวันกลางคืน ฤดูกาล ให้ทุกท่านทุกคนรู้เรื่องผัสสะ เราจะได้พัฒนาทั้งวัตถุพัฒนาทั้งจิตใจไปทั้ง 2 อย่าง วัตถุเราก็แก้ไข เทคโนโลยีที่หมู่มวลมนุษย์ได้พัฒนาพุทธะและพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เราก็มาแก้ที่ใจของเรา แก้ที่วัตถุไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าความดับทุกข์ มันเป็นพุทธะทางจิตใจ เป็นพุทธะทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน มันจะทันโลกทันสมัย ไม่ทันอยู่ในอดีต ไม่ทันอยู่ในตัวในตน เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นทั้งกายทั้งวาจาทั้งกริยามารยาท เป็นทั้งอาชีพ ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม การยกเลิกตัวตนอย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าการบรรลุธรรม เรายกเลิกตัวตนเมื่อไหร่เอาธรรมนำชีวิต เรียกโสดาปัตติมรรค สกิทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหันตมรรค คือยกเลิกตัวตนก็จะเข้าสู่มรรค พอมีมรรคก็ต้องมีผล เพราะเรายกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงมี มีคนถามพระพุทธเจ้าว่า ตายแล้วเกิดหรือตายแล้วศูนย์ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอกว่าตายแล้วเกิดหรือตายแล้วศูนย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะทุกอย่างมันเป็นกรรมเป็นกฎแห่งกรรม
ให้พากันเข้าอกเข้าใจกันเรื่องเหตุเรื่องปัจจัย เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่ฉลาด มันซื้อบื้อ หลายคนคิดได้ไงว่าตัวเองมันไม่มีบารมี เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันจะมีบารมี เพราะบารมีคือการยกเลิกนิติบุคคล ยกเลิกตัวยกเลิกตน มีความในการเสียสละ ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งกริยามารยาม หน้าที่การงานเราก็ต้องเสียสละ ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราทุกคนก็จะมีบารมี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็มีแต่ความเศร้าหมอง เศร้าหมองทั้งกายทั้งใจ มันไม่มีชีวิตชีวา มันไม่มีความสุขความดับทุกข์ เป็นไปเพื่อความทุกข์ มันมีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มันถึงไปแก้ที่คนอื่น มันจะไปแก้แต่ลูกแต่หลาน พวกที่มาบวชก็จะไปแก้แต่ญาติแก้แต่โยม ไม่ได้ ต้องเอาเหมือนพระพุทธเจ้า ต้องยกพระพุทธเจ้ามาไว้ที่กายที่วาจาที่ใจ ที่กริยามารยาท ที่ธุรกิจหน้าที่การงาน
เราทุกคนต้องยกเลิกตัวตน ชีวิตถึงจะสงบอบอุ่น ยืนเดินนั่งนอน จะมีแต่ความดับทุกข์ การสร้างบารมีต้องทำอย่างนี้ พวกเราทั้งหลายพากันมาบวช พากันเข้าใจความหมายของคำว่าบวช บวชหมายถึงการยกเลิกตัวยกเลิกตน ปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ พวกเราพากันนอนพักผ่อนหรือว่าจำวัด 4-6 ชั่วโมง พากันมาประพฤติมาปฏิบัติ เราอย่าพากันมาติดความสุขความสบายติดอวิชชาติดความหลง พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่ามันคือความประมาท เป็นความเพลิดเพลิน เราจะไม่พากันหลงประเด็น พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ตลอดถึงสมาธิ มันเป็นยานที่จะให้เราขับเคลื่อนการประพฤติการปฏิบัติของเรา มันเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ของพวกเราที่เป็นนักบวช ประชาชนเขามากราบมาไหว้เรา ทั้งพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พ่อค้าประชาชน ตลอดเจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ทุกคนต้องพากันเข้าใจ อย่าพาตัวตนมาเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง มันทุจริต เราต้องยกเลิกนิสัยของเรา อัธยาศัยของเรา
เราต้องพากันปฏิบัติ พุทธของเราในประเทศไทยในปัจจุบันนี้ มันเกิดความเสียหายมาก ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเอาพระศาสนาหาอยู่ หาฉัน หาเลี้ยงชีพ ไม่ได้เอาธรรมไม่เอาวินัย ไม่กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า คำนวนเป็นตัวเลขลายลักษณ์อักษรไม่ต่ำกว่า 99.9% มันเป็นสภาคาบัติ มันคือสภาคาบัติกันจนเป็นประชาธิปไตยที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ให้พวกเราเข้าใจ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีวัตถุมันก้าวมาไกล แต่พวกเราไม่ได้พัฒนาใจ มันคือความผิดพลาด
ต้องมาเน้นที่ตัวเรา มาเน้นผู้ที่บวชจนตาย บวชตลอดชีวิต ตามปกติผู้ที่ติดยาเสพติด ถ้าไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ มันเลิกไม่ได้ พวกที่ติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดอะไรทุกอย่าง มันถึงมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ สมาทานพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่มาในพระไตรปิฎก 21,000 พระธรรมขันธ์ ที่มาในภิกขุปาฏิโมกข์ 227 ข้อ ที่เราสวดกันทุกกึ่งเดือน นี้คือหลักการคือหลักวิชาการ ที่เป็นสมมติบัญญัติ ที่ให้พวกเราให้พากันสมาทานพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อให้เข้าสู่การยกเลิกสิ่งเสพติดที่มันมีอยู่ในจิตในใจของเรา ที่มันมีสังโยชน์ สังโยชน์คือสิ่งเสพติด
ท่านพุทธทาสภิกขุ ได้ให้ความหมายของสังโยชน์ไว้อย่างเข้าใจได้ง่ายว่า สังโยชน์ แปลว่า เครื่องผูก, เครื่องล่าม, เหมือนกับโซ่หรือตรวน หรือ ขื่อ หรือ คา, เครื่องล่ามเครื่องผูกเครื่องจำ, สิ่งที่มันผูกจิตใจไว้ ให้ติดอยู่ในกิเลสในความทุกข์ในวัฏฏะ กล่าวคือผูกให้ติดไว้กับสิ่งที่จะเป็นทุกข์, สิ่งที่จะทำให้เกิดทุกข์มันมีสังโยชน์ผูกติดไว้กับสิ่งนั้น เป็นสิ่งผูกพันเต็มที่อย่างพร้อมพรั่ง คือผูกพันไว้กับโลก ให้ติดอยู่กับโลก และผูกเย็บ จิตใจสัตว์ไว้อย่างยิ่งโดยที่ไม่รู้สึกตัว คนเราจะถูกผูกมัดรัดรึงอยู่ด้วยสิ่งที่เรียกว่า สังโยชน์, สิ่งใดที่ผูกมัดจิตใจได้ สิ่งนั้นเรียกว่าสังโยชน์, แล้วสิ่งที่ผูกมัดจิตใจได้นั้นคือความรู้สึกยึดมั่นถือมั่นว่าตัวกู ของกู
สังโยชน์เปรียบด้วยเชือกผูกลูกวัวที่หลัก ซึ่งถูกตอกไว้บริเวณคอก คอยเหนี่ยวรั้งไว้ไม่ให้ไปไหน แสดงลักษณะของสังโยชน์ที่เข้าไปพัวพันสัตว์ไว้ในภพทั้ง ๓เหมือนเชือกนั้นคอยดึงไว้เป็นชั้นๆ กล่าวคือดึงจากพรหมให้ลงมาสู่ชั้นเทวดา ดึงจากชั้นเทวดาให้ลงสู่อบาย
สังโยชน์ที่เป็นรูปธรรม คือ คิหิสังโยชน์ (สังโยชน์ของคฤหัสถ์) หมายถึง ความผูกพันของคฤหัสถ์คือความใคร่ในบริขารของคฤหัสถ์อันได้แก่ ทรัพย์สมบัติ บุตร ภรรยา ข้าทาส บริวาร และกามคุณ ๕ ประการ อันเป็นเหตุผูกพันและรักใคร่ เป็นเครื่องหน่วงเหนี่ยวคฤหัสถ์เครื่องผูกมัดคฤหัสถ์ไม่ให้ออกไปจากวัฏฏะทุกข์ ดังที่วัจฉโคตรปริพาชกได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า “ข้าแต่ท่านพระโคดม คฤหัสถ์บางคน ผู้ยังละสังโยชน์ของคฤหัสถ์ไม่ได้ หลังจากตายแล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ มีอยู่หรือ? พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “วัจฉะ คฤหัสถ์ที่ยังละสังโยชน์ของคฤหัสถ์ไม่ได้หลังจากตายแล้วย่อมทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ไม่มีเลย”
มีบุตรห่วงหนึ่งเกี้ยว พันคอ (ปุตโต คีเว)
ทรัพย์ผูกบาทาคลอ หน่วงไว้ (ธนัง ปาเท)
ภริยาเยี่ยงอย่างปอ รึงรัด มือนา (ภริยา หัตเถ)
สามห่วงใครพ้นได้ จึงพ้น สงสาร
มัดตราสังข์สามเปราะ มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก, มัดที่มือ หมายถึงบ่วงรักสามี - ภรรยา, มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ใครติดอยู่สามบ่วงนี้ ไปนิพพานไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ
สังโยชน์ที่มีลักษณะเป็นนามธรรม
พระพุทธเจ้าทรงแสดงสังโยชน์ไว้อีกหมวดซึ่งมีองค์ธรรม ๑๐ ประการ จำแนกออกตามนามธรรมอย่างเดียว แต่แบ่งออกเป็นองค์ธรรม ๒ ระดับตามความหยาบและละเอียดของกิเลส คือ โอรัมภาคิยสังโยชน์ และ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ท่านแสดงไว้ว่ามีอยู่ ๑๐ ประการ ได้แก่
โอรัมภาคิยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์เบื้องต่ำ เป็นอย่างหยาบ เป็นไปในภพอันต่ำ)
1. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นว่าเป็นตัวของตน เช่น เห็นรูป เห็นเวทนา เห็นวิญญาณ เป็นตน เป็นต้น)
2. วิจิกิจฉา (ความสงสัย, ความลังเล ไม่แน่ใจ)
3. สีลัพพตปรามาส (ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและ)
4. กามราคะ (ความกำหนัดในกาม, ความติดใจในกามคุณ)
5. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งในใจ, ความหงุดหงิดขัดเคือง)
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ 5 (สังโยชน์เบื้องสูง เป็นอย่างละเอียด เป็นไปในภพอันสูง)
6. รูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งรูปฌาน หรือในรูปธรรมอันประณีต, ความปรารถนาในรูปภพ)
7. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์แห่งอรูปฌาน หรือในอรูปธรรม, ความปรารถนาในอรูปภพ)
8. มานะ (ความสำคัญตน คือ ถือตนว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา)
9. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน จิตส่าย ใจวอกแวก )
10. อวิชชา (ความไม่รู้จริง, ความหลง ไม่รู้ในอริยสัจ ๔ อวิชชา ไม่รู้ในทุกข์, ไม่รู้ในทุกขสมุทัย, ไม่รู้ในทุกขนิโรธ, ไม่รู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา, ไม่รู้ในอดีตไม่รู้เหตุการณ์, ไม่รู้ในอนาคต, ไม่รู้ทั้งอดีตทั้งอนาคต, ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท)
พระโสดาบัน ทำสังโยชน์ 3 ข้อให้สิ้นไปได้ คือ สักกายทิฏฐิ, วิจิกิจฉา และสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ 3 ข้อให้สิ้นไปได้ และมีราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง
พระอนาคามี ทำสังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ข้อ หรือโอรัมภาคิยสังโยชน์ให้สิ้นไปได้
พระอรหันต์ ทำสังโยชน์เบื้องต่ำและเบื้องสูงทั้ง 10 ข้อให้สิ้นไปได้
พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญหมดทุกข้อเลย 21,000 น่ะ ที่อยู่ในภิกขุปาฏิโมกข์ 227 ข้อถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าถึงพูดถึงปรารพก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานว่าสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ มีข้อไหนบ้างที่เห็นว่าไม่จำเป็น จะได้ยกเลิก ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ได้มองเห็นความสำคัญในสิกขาบทน้อยใหญ่ มีแต่สิ่งที่ดีๆ ทำให้เราสามารถอบรมบ่มอินทรีย์ ยกเลิกตัวตน ที่เป็นการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง การอบรมบ่มอินทรีย์ ทุกๆ ท่านที่มุ่งมรรคผลนิพพาน เพื่อจะยกเลิกวัฏฏะสงสาร ที่เห็นภัยในวัฏฏะสงสารท่านบอกว่า ดีหมดทุกข้อทุกสิกขาบท เพราะว่าพระวินัยนั้นจะยกเลิกตัวตน อย่างตาเห็นรูปหูฟังเสียง สัมผัสต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วว่า บ้านก็มีแขกมาเยี่ยม ที่จะยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้น ก็ต้องยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ถ้าไม่ยกสู่พระไตรลักษณ์เพื่อพัฒนาใจ เราก็ต้องอาบัติทุกฏ ไม่อาบัติทุกกฏก็ต้องอาบัติถุลลัจจัย จะทำให้เราไม่เห็นภัยในวัฏฏะสงสาร ทำให้เราไม่เกิดศีล สมาธิ ปัญญา ทุกท่านทุกคนต้องภาวนา เพื่อเอาศีลสมาธิปัญญาโฟกัสเข้าสู่บัญญัติด้วยความตั้งมั่นด้วยปัญญา ไม่ปล่อยให้โอกาสให้เวลาผ่านไป เพราะเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมาก การประพฤติการปฏิบัติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก พวกเราทั้งหลายอย่าเอาตัวเอาตนเอาความฟุ้งซ่าน พวกเราพากันไปไม่ได้ เพราะพวกเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะไปไม่ได้ ประเทศไทยเราก็จะตั้งอยู่ในทุจริต มันจะไปไม่ได้
พระกรรมฐานที่หลวงปู่มั่งพาประพฤติพาปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า ตั้งแต่กลาง พ.ศ. ๒๔๐๐ ต้น ๒๕๐๐ ท่านพาประพฤติพาปฏิบัติ ถึงแม้จะเข้มข้นในการประพฤติในการปฏิบัติ ก็ยังไม่เข้มข้นสู้สมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เพราะท่านเอาธรรมวินัย สิกขาบทน้อยใหญ่นำชีวิต เอาศีลสมาธิปัญญานำชีวิต เอาทานศีล ภาวนานำชีวิต ยกเลิกไสยศาสตร์ ยกเลิกตัวตน ไม่เอาตัวเอาตนเหมือนสมัยปัจจุบันนี้ สมัยปัจจุบันนี้การเรียนการศึกษา การมาบรรพชาอุปสมบทกันมุ่งตัวมุ่งตน ไม่ได้มุ่งเพื่อยกเลิกตัวตน ที่เรามองเห็นด้วยตาฟังด้วยหู นักบวชของเรามีพฤติกรรมอย่างน่ารังเกียจ เห็นคนรวยๆ เห็นข้าราชการ นักการเมือง แล้วพากันเพี้ยน ทีคนรวยน่ะพูดนะจ๊ะๆ เห็นข้าราชการนักการเมืองที่ใหญ่โตนี้ นะจ๊ะๆ แต่คนจนนั้นไม่ดูแลไม่เทคแคร์ ไม่ให้ความปฏิสันถาร ไม่ต้อนรับ แบบนี้ก็ถือว่ามันเพี้ยนมันไม่ใช่ปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ เราทุกคนกลับมาย้อนดูที่ตัวเราทุกๆ คนว่าเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เอาตัวเอาตนมันคือยกเลิกพระวินัย ยกเลิกสิ่งที่ถูกต้อง มันไปแต่ทางตัวทางตนทางโลกทางวัตถุ มันไม่ใช่ทางสายกลาง ถึงจะพากันบวช 20 พรรษา 30-40-50 พรรษา มันก็ยังเป็นพระเถระมหาเถระไม่ได้ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันยังเป็นพระเถระไม่ได้ คำว่าเถระคือการละตัว ละตน ยกเลิกตัว ยกเลิกตน เอาพระธรรมนำชีวิต เอาพระวินัยนำชีวิต ยกเลิกตัวยกเลิกตนเขาถึงเรียกว่าพระเถระหรือพระมหาเถระ เราทุกคนต้องเข้าใจว่าพระเถระหรือมหาเถระต้องยกเลิกตัวยกเลิกตน ต้องรู้เรื่องทางวัตถุรู้เรื่องทางจิตใจ กายนั้นน่ะบวชมานานเป็นพระเถระ แต่จิตใจนั้นไม่ใช่พระเถระไม่ใช่พระมหาเถระ มันยังเป็นตัวเป็นตน ทุกคนต้องพากันเข้าใจคำว่าเถระ มหาเถระ เราถึงจะไม่หลงตัวหลงตน จะไม่สำคัญว่าเราบวชมานานเป็นพระเถระ มันจะเป็นเถละ มันน่าจะละพระธรรมละพระวินัยมากกว่า มันไม่ใช่เถระ คือพากันละพระธรรมละพระวินัย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่าผู้ที่บวชมานาน มาละพระธรรมมาละพระวินัย มายกเลิกมรรคผลพระนิพพานต่างหาก ความถูกต้องดับทุกข์ของมนุษย์คือเรายกเลิกตัวยกเลิกตนนะ เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตนใจของเราจะไม่สับสนสมองเราจะไม่สับสน เพราะการยกเลิกตัวยกเลิกตนเป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา มันจะได้เป็นพระเถระทั้งทางกายเป็นพระเถระทั้งทางจิตใจ ให้เราเข้าใจ มันเป็นพระเถระภายนอกมันทำความเสียหายให้ส่วนรวม ทำลายความมั่นคงให้ส่วนรวม เดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ เหตุการอย่างนี้ก็ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย หรือหลายๆ ประเทศ มันกระจายไปหลายประเทศเหมือนโควิด เมื่อ3-4 ปีก่อนโรคโควิดมันกระจายไปทั่วโลกเลย
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย! เราไม่เรียกภิกษุว่า เป็นเถระเพราะเหตุที่เป็นคนแก่หรือเพราะนั่งบนอาสนะของพระเถระ แต่ผู้ใดแทงทะลุสัจจะทั้งหลายตั้งอยู่ในความไม่เบียดเบียน เราเรียกผู้เช่นนั้นแหละว่าเป็นพระเถระ” ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถาว่า น เตน เถโร โหติ เยนสฺส ปลิตํสิโร ปริปกฺโก วโย ตสฺส โมฆชิณฺโณติ วุจฺจติ
ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญโม ทโม ส เว วนฺตมโล ธีโร โส เถโรติ ปวุจฺจติ.
บุคคลจะเรียกว่าเป็นเถระ เพราะเหตุสักว่ามีหงอกบนศีรษะหามิได้ ผู้มีวัยแก่เรียกว่าแก่เปล่าก็ได้ ส่วนผู้ใดมีสัจจะ มีธรรม มีความไม่เบียดเบียนมีความสำรวมตน และมีการฝึกตน ผู้นั้นแลเป็นปราชญ์ คายมลทินได้แล้ว สมควรเรียกว่า เป็นพระเถระ
ตามนัยแห่งพระคาถานี้ ทรงแสดงพระเถระโดยคุณธรรม โดยนัยนี้ แม้ผู้มีอายุถึงร้อยปี บวชแล้ว ๘๐ พรรษา แต่ไม่มีคุณธรรมอันสมควร ก็หาชื่อว่าเป็นพระเถระไม่ เป็นคนแก่เสียเปล่า ส่วนผู้ใดแม้ยังหนุ่ม มีเกศาดำสนิท แต่มีคุณธรรม ผู้นั้นชื่อว่าเป็นพระเถระ คุณธรรมที่ทรงระบุถึงในที่นี้ คือ สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะ ทมะ และการคายมลทิน
สัจจะ นั้นคือมีความจริงกาย จริงวาจา จริงใจ
จริงกายนั้นคือประพฤติสิ่งใดก็ให้ได้จริง
จริงวาจานั้นคือพูดอย่างใดทำอย่างนั้น ไม่เหลาะแหละ
จริงใจนั้นคือมีความสุจริตใจต่อบุคคลอื่น ไม่มีเจตนาหลอกลวงให้เขาเข้าใจผิด อีกอย่างหนึ่งหมายถึงผู้แทงตลอดอริยสัจ ๔ แล้ว
ธรรมะ นั้นหมายความเอาความยุติธรรม เว้นอคติ ๔ และหมายเอาพรหมวิหาร ธรรม ๔ ประการ อันเป็นธรรมของผู้ใหญ่
อหิงสา คือความไม่เบียดเบียน ไม่เบียดเบียนสัตว์และมนุษย์ทั้งหลายอื่น เพราะเอาใจเขามาใส่ใจเราว่า เรารักสุขเกลียดทุกข์ฉันใด คนอื่นสัตว์อื่นก็ฉันนั้น ทุกรูปทุกนาม มีความรักตนสูงสุด ผู้รักตนจึงไม่ควรเบียดเบียนผู้อื่น
สัญญมะ คือความสำรวมตน ไม่คะนองกาย วาจา มีความประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นนิสัย ไม่เย่อหยิ่งจองหอง ยกตนข่มท่าน หรือเห็นคนอื่นเลวกว่าตนไปเสียหมด
ทมะ แปลว่า การฝึกตน โดยความหมายถึงการสำรวมอินทรีย์ ๖ คือ ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้ความยินดียินร้ายครอบงำได้ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง เป็นต้น
คำว่า คายมลทิน นั้น หมายถึงมลทิน ๙ มีความริษยา ความตระหนี่เป็นต้น ไม่มีมลทินเหล่านั้นอยู่ในตน เพราะได้คายเสียแล้ว เหมือนงูที่คายพิษออกหมดแล้ว
ผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติดังกล่าวนี้ ชื่อว่าเป็นพระเถระตามความหมายนี้ ไม่ใช่เป็นคนโตเพราะกินข้าว เฒ่าเพราะเกิดนาน
ลูกหลานของเราน่ะพากันเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เพื่อมีสัมมาทิฏฐิทางวัตถุ เราเป็นนักบวช เราต้องเข้าใจเมื่อเขาเรียนเขาศึกษา ที่เขาต้องพัฒนาประเทศ แล้วก็ได้พากันมาบวชมาปฏิบัติ เขาจะได้เอาความรู้คู่กับการทำงานที่เป็นสัมมาทิฏฐิทางจิตใจ สัมมาทิฏฐิทางวัตถุไปพร้อมกัน ก็เห็นพวกเราพากันยกเลิกพระธรรมยกเลิกพระวินัย ยกเลิกมรรคผลพระนิพพาน ผู้ที่มีการเรียนการศึกษาตามหลักเหตุผล ตามหลักวิทยาศาสตร์ เมื่อเราไม่ได้เป็นตัวอย่างแบบอย่าง เราก็พากันเอาแต่พิธีเอาแต่ศาสนพิธี ไม่ได้มีการประพฤติไม่ได้มีการปฏิบัติ อย่างนี้มันไม่ได้มันใช้ไม่ได้ ถึงท่านจะจบ ป.ธ.๙ ถึงท่านจะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม เป็นเจ้าคณะผู้ผู้ปกครองอย่างนี้มันก็ใช้ไม่ได้ เพราะตามหลักการตามหลักเหตุผลนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็สอนตัวเองปฏิบัติตัวเอง 100% จนท่านได้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านถึงมีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ เรามีแต่ความรู้ความเข้าใจแต่เราไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ปล่อยให้กายวาจาใจ กริยามารยาทหรือว่าการงานอาชีพที่เป็นนักบวชเป็นความไม่ถูกต้อง มันเป็นไสยศาสตร์ เป็นอวิชชาความหลง มันมัวหมองด้วยอวิชชาความหลง ที่พระไปเป็นหมอดู หมอเดา หมอทำน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ขายพระ ขายเหรียญ นี้มันไม่ใช้ศาสนา มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง เราจะเอาอวิชชาเอาความหลงปกครองตัวเอง ปกครองประเทศได้อย่างไร ความทุจริตเกิดขึ้นมีขึ้นในประเทศไทยของเรา 60 - 70% ของประชากรชาวไทย
หลวงพ่อได้มองเห็นความบกพร่องของนักบวชไทย ถึงได้เรียกเจ้าอาวาส ประธานสงฆ์มาทำความเข้าใจ จะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถึงจะได้ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกสิ่งที่ประมาทเพลิดเพลิน ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เหมือนพวกที่ติดยาเสพติด ต้องเข้าสู่ภาคบำบัด ความจริงแล้วธรรมวินัยเป็นยารักษา เพื่อเป็นภาคบำบัด บำบัดกับการประพฤติการปฏิบัติมันอันเดียวกันน่ะ ต้องเข้าสู่กระบวนการศีลสมาธิปัญญาให้เข้มข้น เน้นมาที่เจ้าอาวาสประธานสงฆ์ เพราะพวกนี้สำคัญ พวกที่บวชมานานเป็นเถระตั้งแต่ภายนอก แต่จิตใจไม่ได้เป็นเถระ มีแต่ตัวมีแต่ตนมีแต่อีโก้ เพราะการก่อตัวจากเมล็ดพันธุ์เบี้ยเล็กๆ หลายปีผ่านมาเป็นพระเถระ เป็นพระมหาเถระ มันได้สูงตระหง่านตาเหมือนต้นไม้ที่ปลูกมานาน จึงต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เหมือนภิกษุใบลานเปล่ามีลูกศิษย์ลูกหาที่ฟังธรรมคำสั่งสอนไปประพฤติปฏิบัติ ลูกศิษย์ลูกหาได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์หลายร้อยหลานพันหลายหมื่น แต่ตัวเองก็เป็นแต่นักปรัชญา เป็นแต่คนเก่งคนฉลาด ที่เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเมื่อไหร่ พระพุทธเจ้าก็ตรัสต้อนรับว่า มาแล้วหรือพระภิกษุใบลานเปล่า ไปแล้วหรือพระภิกษุใบลานเปล่า ภายหลังได้มีจิตสำนึกตาสว่าง เกรงกลัวต่อบาป ถึงได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ฉันใดก็ฉันนั้น ประธานสงฆ์เจ้าอาวาสต้องมีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป พากันเห็นภัยต่อบาป เพื่อเข้าสู่ความกตัญญูกตเวที ความกตัญญูกตเวทีต่อชาติ ต่อพระศาสนา ต่อพระมหากษัตริย์ ที่เอาธรรมนำชีวิต จึงได้มีโครงการมีนโยบายเพื่อพัฒนาบุคลากร ผู้ที่จะเป็นผู้นำเป็นบุคลากร ต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติภาคบำบัด ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เพราะสิ่งไหนยาก ก็ไม่ยากเท่าที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งเสพติด ฝังรากลึก มันเป็นสังโยชน์ เปรียบเสมือนต้นไม้ที่สูงสง่างาม มันต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อไม่ให้ทุกคนปล่อยโอกาสปล่อยเวลา เพราะเวลานี้มันเอากลับคืนมาไม่ได้ ยิ่งมีพระใหญ่ เป็นมหาเถระ ประชาชนคนทั้งหลายก็นึกว่าจิตใจเป็นพระเถระ แต่ที่ไหนได้ มีแต่อวิชชามีแต่ความหลง มีแต่ตัวมีแต่ตน ทุกท่านทุกคนต้องเข้าใจ เพื่อจะได้เป็นแบบเป็นพิมพ์เป็นตัวอย่าง เราต้องรับเอา DNA ของพระพุทธเจ้าที่ท่านได้ยกเลิกตัวตนสู่พระธรรมสู่พระวินัย ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราจะรับเอาผัสสะ รับพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เราทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏฏะสงสาร มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ต้องปรับเข้าหาเวลาปรับเข้าหาธรรมะ โฟกัสในปัจจุบัน ยกเลิกอัธยาศัยที่เป็นตัวเป็นตน อย่าเอาความฟุ้งซ่าน อย่าเอาความหลงนะ ต้องรู้จักกาลเทศะ ถึงเวลานอนเวลาจำวัดก็นอนก็จำวัด ถึงเวลาตื่นก็ตื่น เราติดสุขติดสะดวกติดสบาย เราต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้ ให้มันติดต่อต่อเนื่อง เมื่อเรายกเลิกตัวตนทุกคนก็ทำได้ ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็ทำไม่ได้ เพราะตัวตนมันคือทำไม่ได้
ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ ในอาสนะสงฆ์น่ะ ตอนเช้าตี 3 นั้นอย่าให้มีแต่พระใหม่ๆ แต่พระเก่าๆ น่ะหายหัวกันไปหมด ทำไมถึงหายหัวกันไปหมด เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันถึงหายกันหมด มันต้องไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตัวตนมันมีข้อแม้ ตัวตนน่ะคือการก้าวไปไม่ได้ ปกติเรามี 2 เท้า เท้านึงก้าวไป เท้านึงก้าวไม่ได้ นั่นแหละตัวตน พระพุทธเจ้าถึงให้เราพัฒนาใจ พัฒนาภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราพากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะโอกาสพิเศษ เราทุกคนจะได้กตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า กตัญญูกตเวทีต่อความถูกต้อง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเป็นความไม่ถูกต้อง เป็นความไม่เป็นธรรมเป็นความไม่ยุติธรรม เป็นความทุจริต ให้ทุกคนเข้าอกเข้าใจ เพราะความสงบนั้นมันอยู่ที่เรายกเลิกตัวยกเลิกตนมันถึงจะสงบ จะขอโอกาสขอเวลาปลีกวิเวก อยู่ถ้ำอยู่เขาปลีกวิเวก ถ้าเราเอาตัวเอาตน ไปที่ไหนก็มีแต่วิเวกที่ภายนอกความสงบภายนอก แต่ตัวตนน่ะคือความไม่สงบความไม่วิเวก พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่ยกเลิกตัวตน ทำให้เราเกิดความสงบความวิเวก ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ทำไมเราไม่มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ จะมีความสุขได้ไง เพราะเรามีแต่ตัวมีแต่ตน ตัวตนนั้นน่ะคือความไม่สงบสุข เหมือนพระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสกับสงฆ์สาวกของท่านว่า พวกเธอทั้งหลายเห็นสุนัขจิ้งจอกวิ่งไปวิ่งมาไหม อยู่ที่ไหนมันก็ไม่สบาย พระภิกษุทั้งหลายก็ตอบว่าเห็นพระเจ้าข้า พระพุทธเจ้าตรัสว่า นั้นแหละมันคือสุนัขขี้เรื้อนเป็นโรค อยู่ที่ไหนมันก็ไม่สบาย เพราะมันเป็นโรคขี้เรื้อน ท่านบอกว่า เรามีตัวมีตนเราก็เหมือนกับสุนัขขี้เรื้อนนี้แหละ พวกเธอทั้งหลายพากันเข้าใจ การอบรมบ่มอินทรีย์คือการยกเลิกสิ่งเสพติด เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องให้เป็นน้ำเป็นสายน้ำ เพื่อไหลสู่ทะเล สู่มหาสมุทร ต้องเข้าอกเข้าใจอย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee