แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑๕ บอกสอนตนเองปฏิบัติตนเองให้ได้ร้อยเปอร์เซ็น จึงจะเป็นตัวอย่างแบบอย่างที่ดีที่ให้กับผู้อื่นได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๖๗
ให้พระภิกษุสามเณรคุณแม่ชีญาติโยมประชาชนพากันเข้าอกเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัติของเราทุกคน เพื่อที่จะได้จับหลักจับประเด็นในการประพฤติในการปฏิบัติในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันขึ้นอยู่กับความเห็นความเข้าใจ ขึ้นอยู่กับการประพฤติการปฏิบัติ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี พระพุทธเจ้าท่านจึงได้บอกได้สอนว่าทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ทั้งเรื่องกายวาจากิริยามารยาทอาชีพธุรกิจหน้าที่การงาน พัฒนาไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย เอาสมมติสัจจะที่เป็นศีลสมาธิปัญญามาใช้มาปฏิบัติ เอากฎหมายบ้านเมืองมาใช้มาปฏิบัติ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือความเป็นตัวเป็นตน นี่คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจง่ายๆอย่างนี้ เน้นมาที่ตัวเราทุกๆคน เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่ตัวของเราเอง เราทุกคนบรรลุนิติภาวะแล้ว เราลองดูประวัติศาสตร์มนุษย์เรา 7 ขวบก็ได้บรรลุพระอรหันต์ขีณาสพก็มี เพราะมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องลงใจปลงใจเอาธรรมนำชีวิต เด็ก 7 ขวบก็ได้เป็นพระอรหันต์เป็นพระขีณาสพ
ทุกท่านทุกคนต้องพากันพึ่งตนเอง ด้วยการยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วยตัวเราของเรา เขาแต่งตั้งเราให้เป็นผู้หญิงผู้ชายเป็นเด็กเป็นหนุ่มสาวเป็นพ่อเป็นแม่เป็นคนแก่คนเฒ่าคนชรา อันนี้เป็นเพียงสมมุติสัจจะ เพื่อเป็นการใช้การใช้งานเท่านั้นเอง แท้ที่จริงแล้วเราไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ถึงภายนอกสิ่งภายในกระทบกันนั้นเป็นอารมณ์เป็นความรู้สึกนึกคิด พระพุทธเจ้าจึงให้เรารู้ความจริงรู้อริยสัจ 4 อย่างนี้ จริงแต่จริงโดยสมมติสัจจะ แต่ความเป็นจริงนั้นเป็นปรมัตถสัจจะ ปรมัตถสัจจะนั้นหมายถึงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย ให้พากันเข้าใจต้องโฟกัสมาหาเรา ความรู้เรานั้นได้มาจากพ่อจากแม่ได้มาจากคุณครู ในสมัยปัจจุบันเข้ามาจากสื่อทางโทรศัพท์มือถือทางคอมพิวเตอร์วิทยุโทรทัศน์อะไรต่างๆ เราจับประเด็นให้ได้ เพื่อให้สิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้องนั้นไม่ได้มีอยู่แต่ในหนังสือ อันไหนไม่ดีไม่ถูกต้องเราก็อย่าไปบริโภค ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นจะเอร็ดอร่อย เราก็ปล่อยให้มันผ่านไป ยกสิ่งเหล่านั้นสู่พระไตรลักษณ์ มีสิ่งภายนอกมากระทบมาให้เราเข้าใจมันก็ดีเป็นข้อสอบ เราจะได้ตอบด้วยข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทิ้งสิ่งเหล่านั้นสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้มีการประพฤติการปฏิบัติในชีวิตประจำวันในปัจจุบัน ทุกคนให้พากันเข้าใจอย่างนี้เราต้องบอกต้องสอนตัวเองให้มัน 100% เราต้องปฏิบัติตัวเองให้มัน 100% ยกเลิกความเป็นนิติบุคคลตัวตน
เราเป็นนักบวชในพระพุทธศาสนาเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชี พระพุทธเจ้าท่านให้นักบวชพากันทำอย่างนี้นะ พากันตั้งอกตั้งใจพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพราะโอกาสนี้เป็นโอกาสของเรา เมื่อเรายังมีลมหายใจเราต้องพึ่งตนเองพึ่งการประพฤติการปฏิบัติ เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในกายวาจาใจของเรา เรียกว่าถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ถือนิสัยของตนเอง เราดูตัวอย่างแบบอย่าง ที่พระพุทธเจ้าให้เจ้าชายทั้ง 6 จากศากยตระกูลที่ออกบวชตามพระพุทธเจ้า เราให้มหาดเล็กคืออุบาลีผู้เป็นภูษามาลาบวชก่อน เพื่อจะเอาสมมุติสัจจะมาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อให้เจ้าชายทั้งหลายที่บวชที่หลังได้กราบไหว้ เพื่อเอาสมมุติสัจจะมายกเลิกตัวตน พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่มีในพระวินัยปิฎก 21,000 พระธรรมขันธ์ ที่มาในภิกขุปาฏิโมกข์ 27 สิกขาบท ความหมายก็เพื่อเป็นสมมุติสัจจะเพื่อมายกเลิกตัวตน ทุกคนต้องพากันเข้าใจพระธรรมพระวินัย ให้เข้าใจความหมายของไตรสิกขา เพื่อเราจะได้พัฒนาตน โฟกัสมาที่กายที่วาจาที่ใจของเรา เพื่อให้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัยยกเลิกตัวตน เราจะได้เข้าถึงปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ เมื่อเราทุกคนน่ะปฏิบัติตนเองให้เต็มร้อย อบรมบ่มอินทรีย์สอนตัวเองให้เต็มร้อย ธรรมะถึงจะเกิดกับเราทุกๆคน เพราะเหตุเพราะปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราไม่ต้องให้ธรรมะอยู่แต่ในหนังสืออยู่แต่กับครูบาอาจารย์บอกสอน ต้องมาอยู่กับการประพฤติการปฏิบัติของเรา ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราอย่าให้ตัวตนครอบงำเรียกว่าอย่าให้โลกธรรมครอบงำ เพราะจุดประสงค์ของการมาบรรพชาอุปสมบทคือมายกเลิกตัวตนคือมายกเลิกโลกธรรมที่มันครอบงำค้ำจิตใจ
เราจะอยู่ที่ไหนอยู่วัดไหนก็ดีแล้วถูกต้องแล้ว เราต้องรู้จักคำว่าวัด วัดนี้คือข้อวัตรข้อปฏิบัติ ในเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องกายวาจากิริยามารยาท วัดภายนอกกุฏิวิหารศาลาโบสถ์ทุกๆอย่าง ที่เป็นศาสนวัตถุคือวัดภายนอก เราเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชีเป็นผู้ปฏิบัติ ท่านให้เราเอาสมมุติมาใช้มาปฏิบัติ เพื่อจะพัฒนาทั้งวัดภายในทั้งวัดภายนอกเพื่อให้สมบูรณ์แบบ เพื่อเป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เราเป็นพระเป็นเณรเราต้องยกสิ่งที่ถูกต้องที่เป็นพระธรรมคำสั่งสอนมาประพฤติมาปฏิบัติ ทุกคนต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราทุกคนน่ะส่วนใหญ่ก็ยังไม่ใช่อเสขะบุคคล ยังเป็นเสขะคือบุคคลที่ต้องศึกษาต้องประพฤติต้องปฏิบัติ เราอย่าไปคิดว่าการประพฤติการปฏิบัติมันยากนะ สิ่งที่ว่ามันยาก ก็เพราะมีตัวมีตน มันก็เลยยากก็เลยลำบาก เพราะตัวตนนี้แหละมันคือความยากคือความลำบาก ท่านถึงไม่ให้เราไปสนอกสนใจมัน ให้ถือว่าเป็นเกมส์เป็นไฟท์ในการประพฤติในการปฏิบัติของเรา เราต้องมีความเข้มแข็ง เราต้องมีความตั้งมั่น เราต้องมีปัญญาในปัจจุบัน ต้องเน้นมาที่เราปฏิบัติมาที่เรา ต้องเอาพระพุทธเจ้าเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาไว้ในตัวเรา เพราะเราได้รับสิทธิพิเศษ ในปัจจัย 4 เดี๋ยวนี้มากกว่าปัจจัย 4 อีก เราต้องเข้าใจ ต้องพากันแก้ไขตนเองพัฒนาตนเอง
ประเทศไทยของเราน่ะ การปกครองเอาธรรมนำชีวิตก็เพื่อความมั่นคงทั้งเรื่องเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องวัตถุ จะเอาแต่เรื่องวัตถุเอาแต่เทคโนโลยีก็ไม่ได้ ต้องเอาเรื่องจิตเรื่องใจ จึงจะเป็นการทันโลกทันสมัย เราทุกคนต้องเป็นพุทธะประพฤติปฏิบัติตนเอง อย่าพากันมีชีวิตอยู่อย่างลอยๆ โดยมาอาศัยวัดวาศาสนาเพื่อให้เวลามันผ่านไปเป็นวันๆ อันนี้ไม่ดีอันนี้ไม่ถูกต้อง มันไม่เป็นประโยชน์ทั้งตนเองไม่เป็นประโยชน์ทั้งคนอื่น เราอย่าไปสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เอาทุกคนต้องเสียสละตัวตน อย่าไปวิ่งตามความฟุ้งซ่านอย่าไปวิ่งตามอวิชชาตามความหลง มันไม่ได้ ต้องโฟกัสมาหาตัวเรานี่แหละ
มนุษย์เราเนี่ยสำหรับฆราวาสที่ไม่ใช่นักบวชก็นอนวันหนึ่ง 6-8 ชั่วโมง สำหรับนักบวชก็นอน 4-6 ชั่วโมง อย่างนี้ก็เพียงพอแล้ว ในชีวิตประจำวันเราต้องพากันทำความเพียร พากันทำข้อวัตรข้อปฏิบัติให้มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ในการอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อความดีจะได้ติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำแม่น้ำไหลสู่ทะเลมหาสมุทร เราต้องทำอย่างนี้ มีทั้งความสงบมีทั้งปัญญา ท่านถึงบอกว่าศีลสมาธิปัญญานั้นอยู่ในระบบความคิดคำพูดการกระทำทุกอย่าง ต้องพากันตั้งมั่น เพื่อ 3 อย่างนี้ไปพร้อมกัน ไปทั้งศีลไปทั้งสมาธิไปทั้งปัญญา เพื่อให้มันมีความดับทุกข์ เรียกว่ากลมกล่อม เหมือนบุคคลที่เก่งในการปรุงอาหาร รสหวานรสมันรสเค็มรสเปรี้ยว มันจะกลมกล่อม การประพฤติการปฏิบัติมันต้องมีความสุขอย่างนี้ ถ้าเราตามอริยมรรคมีองค์ 8 ชีวิตของเราก็จะกลมกล่อม ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา จะเป็นการพัฒนาใจทางวัตถุไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ เราก็พากันเข้าใจอย่าพากันหลง เอาธรรมนำชีวิตเอาเวลานำชีวิต เราอยู่ที่ไหนอยู่วัดไหนก็ต้องตั้งอกตั้งใจ ไม่ต้องไปคิดว่าเราต้องดีกว่าเขาต้องเด่นกว่าเขาหรือเสมอเขา มีคนนับหน้าถือตามากกว่าคนอื่น หรืออย่างน้อยเสมอเขาก็ยังดี ความคิดอย่างนั้นมันก็ยังไม่ถูกต้อง มันยังเป็นมานะทิฏฐิเป็นตัวเป็นตน มันเป็นโลกธรรม เราอย่าให้โลกคืออย่าให้ความหลงมันครอบงำใจเราได้ พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นผู้บอกผู้สอน ครูบาอาจารย์ท่านก็เป็นผู้บอกผู้สอน หนังสือเรียนนักธรรมบาลีพระไตรปิฎกซึ่งก็ยังถือว่าเป็นเรื่องภายนอก เรื่องภายในคือการประพฤติการปฏิบัติของเรานี่แหละ เน้นมาที่เราโฟกัสมาที่เรา เราอย่าเอาตัวเอาตนครองชีวิต เอาตัวตนนี้มันคือทุจริต เหมือนที่เรารู้เราเห็นข้าราชการนักการเมืองหรือผู้นำทางคณะสงฆ์ไม่ได้แก้ไขตนเอง จะไปแก้ไขแต่คนอื่น มันเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ พระพุทธเจ้าท่านก็สอนตนเองร้อยเปอร์เซ็นต์ปฏิบัติตนเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เมื่อเราเป็นพระอรหันต์ขีณาสพถึงสอนผู้อื่น 100% ได้ อย่างเราจบปริญญาเอกก็สอนปริญญาโทปริญญาตรีได้อย่างนี้แหละ ต้องเข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้เราตั้งอกตั้งใจ ตั้งใจใหม่เอาใหม่ ปัจจุบันถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ชีวิตนี้ไม่สาย รู้แล้วแต่ไม่เข้าสู่ภาพประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนั้นเรียกว่าสาย เราจะไปคิดว่า โอ…เสียเวลาตั้งหลายปี ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่เป็นการเสียเวลา เพราะเวลาเขาก็มีอยู่เป็นปกติ เป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงที่โลกหมุนรอบตัวเองหมุนรอบดวงอาทิตย์เขาก็มีอยู่อย่างนี้ ถ้าเรายกเลิกตัวตนมันก็ไม่มีอะไร ต้องเข้าใจอย่างนี้ ไม่เสียเวลาหรอก เพราะเราไม่มีตัวไม่มีตน มันก็ไม่มีได้ไม่มีเสีย ถ้าจะมีผู้ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าท่านได้อะไร ท่านก็จะบอกว่าไม่ได้อะไร ไม่ได้เสียอะไร มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไปถามพระอรหันต์ท่านก็จะตอบอย่างนั้นว่าไม่ได้อะไร ถ้ายังได้ยังเสียนั้นมันคือยังมีตัวมีตนอยู่ พวกเราทุกคนต้องพากันเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติ ให้พระเณรแม่ชีพากันปฏิบัติอย่างนี้นะ เพราะปัญหาไม่ได้อยู่กับใครที่ไหน มันอยู่ที่เรา เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาททั้งสิ่งภายนอกที่เป็นข้อวัตรกิจวัตร ต้องเน้นมาที่ตัวเรา ถือว่าถึงโอกาสถึงเวลาที่เราจะได้ประพฤติ จะได้ปฏิบัติจะได้เสียสละการเวียนว่ายตายเกิดของเราที่ไม่มีที่จบไม่มีที่สิ้น
เราอย่าไปทำแบบภิกษุใบลานเปล่า ที่มีลูกศิษย์ลูกหาตั้งหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น เทศน์สั่งสอน เทศน์ธรรมะศีลสมาธิปัญญา โดยเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ผู้ที่เอาไปประพฤติปฏิบัติตามก็เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์ขีณาสพกันมากมาย แต่ตัวเองก็ยังเป็นพระปุถุชน พวกเราต้องมองดูคิดดูประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ต้องรู้จักมองสะท้อนที่ตัวเรา เหมือนทุกวันในปัจจุบันนี้ มีวัดในพระพุทธศาสนาของประเทศไทยของเรา 3 หมื่นกว่าวัด รวมสำนักสงฆ์เป็น 40,000 กว่า ประชากรของประเทศไทยของเรา ก็ไม่ได้เข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ มันเสียหาย ทำลายความมั่นคงของเรา เมื่อเราตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง สมัยปัจจุบันก็โกงกินคอร์รัปชั่นไป 60-70% ของส่วนรวม ทั้งนักบวชทั้งข้าราชการนักการเมือง ภาพรวมหลายสิบปีที่เราได้ฟังด้วยตาฟังด้วยหู มันไม่ได้มันเสียหาย เราทุกคนเป็นพระเป็นเณรเป็นคุณแม่ชี ในเรื่องจิตเรื่องใจเรื่องคุณธรรม ต้องพากันทำหน้าที่ตัวเองให้สมบูรณ์ ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรายิ่งตกต่ำไปเรื่อยๆ แบบทุกวันนี้พระทั่วประเทศไทยส่วนใหญ่ ที่อยู่บ้านนอกชนบท ในอำเภอ ในจังหวัด ก็พากันขับรถเหมือนเป็นฆราวาส ให้รู้ให้เห็นให้สัมผัสกัน ถ้าเราไม่แก้ไขอีกหลายปี มันก็เป็นประชาธิปไตย เราก็เห็นพระภิกษุสามเณร พากันรับเงินรับสตางค์เอง ฝั่งมหานิกายที่เป็นพระวัดบ้าน ส่วนธรรมยุตวัดป่า ก็ถือนิสัยถือพระวินัยตามหลวงปู่มั่นน่ะ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ท่านเป็นพระกรรมฐานเป็นพระอาจารย์ของพระกรรมฐานในยุคปลายพุทธศักราช 2400 - 2500 ต้นๆ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นถึงมีทั้งธรรมยุติ มหานิกาย
ทุกคนไม่ต้องกลัวอดตาย ไม่ต้องกลัวยากลำบาก เพราะคนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่เขาก็พากันรับได้ว่า เราพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นเขาก็จะหาว่า พวกมาบวชในพุทธศาสนาเป็นคนด้อยคุณภาพ ด้อยสมรรถภาพ พากันมาบวชในพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่ก็มองไป 99.9% เอาศาสนามาหาเลี้ยงชีพ หาอยู่หาฉัน คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ก็จะไม่มีใครอยากมาบวช เพราะคนมาบวชมาปฏิบัติที่อยู่เป็นหลัก ยังถือว่าไม่ใช่พระที่อยู่ในพระพุทธศาสนา เป็นเพียงบุคคลที่มาบวชมาอยู่มาอาศัย เพื่อมาหาอยู่หากินมาหาเลี้ยงชีพ อย่าพากันตกอกตกใจว่า ถ้าเอาตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามธรรมตามวินัย จะมีใครเขาอยากจะมาบวช ถ้าไม่มีพระก็อย่าให้มีโจร ให้ถือคติอย่างนี้ พระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมุ่งมรรคผลนิพพาน ส่วนใหญ่ก็จะมีผู้ที่อยากบวชมาบวชอยู่ตลอด ไม่มีหมด วัดที่ท่านปฏิบัติเคร่งครัด ถ้าเขารู้จัก ก็มากันมาก แทบไม่มีกุฏิที่อยู่ให้อาศัย ให้ทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ เพราะคนเรานั้นมีการเรียนการศึกษา มีส่วนรู้ผิดรู้ถูก ยิ่งคนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่ก็ยิ่งมีสติมีปัญญา เพราะการพัฒนาตัวเองของพระน่ะ เป็นได้ทั้งนักบวชทั้งฆราวาสพอๆ กัน เหมือนอาหารการบริโภคการรับประทานนี้แหละ ถ้าใครบริโภคใครรับประทานก็ดับทุกข์ได้ เรามีความคิดเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็ดับทุกข์ได้ เพราะคนเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเสียหาย ยิ่งหัวไม่ดียิ่งเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็มึนตึ๊บเลยล่ะ เพราะสิ่งดีๆ สิ่งที่ถูกต้องน่ะ ถ้าเราไม่มีความตั้งมั่นมันลืม เพราะการมีตัวมีตนมันเป็นความตั้งมั่นในตัวในตนในอวิชชาในความหลง
ทุกคนน่ะอย่าไปตามความคิดตามอารมณ์ ก็อยากรู้อยากเห็นอยากเอร็ดอร่อยอย่างไม่มีที่จบ เราอยู่ประเทศไทยก็อยากไปรู้ว่าต่างประเทศเขาอยู่กันอย่างไร ภาคต่างๆ ที่ตัวเองอยู่ ก็อยากรู้ภาคอื่น ต้องให้พากันเข้าใจ ทะเลมหาสมุทรมันไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เราต้องเข้าอกเข้าใจ เรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องอวิชชาความหลง เราพิจารณาเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องวัตถุ เข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างนั้นมันไม่แน่ไม่เที่ยงมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกคนต้องประพฤติต้องปฏิบัติตนเอง เทคโนโลยีสมัยใหม่นี้เข้าถึงเด็กตั้งแต่ 2 ขวบ หนุ่มสาววัยกลางคน คนเฒ่าคนแก่ จนถึงสมณะชีพราหมณ์ ก้มหน้าก้มตาเล่นแต่โทรศัพท์ ไลน์แต่โทรศัพท์ พวกนักบวชให้พากันเข้าใจ ขนาดไม่มีโทรศัพท์มือถือ มันก็มึนตึ๊บอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ด้วยรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญนั้น ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราต้องปฏิบัติระมัดระวัง ต้องอาศัยความละอายต่อบาปความเกรงกลัวต่อบาป ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า เพราะกระบวนการของโทรศัพท์มือถือของคอมพิวเตอร์ต่างๆ เรื่องบ้านเรื่องเมือง พระพุทธเจ้าบอกว่ามันเป็นสิ่งภายนอก ไม่ใช่เรื่องจิตเรื่องใจ ไม่ใช่การประพฤติการปฏิบัติของเรา
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจในการประพฤติ เราต้องปรับเข้ามาหาเวลาเข้าหาธรรมะ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะได้เอาอะไรมาสอนคนรุ่นหลังที่เกิดมาได้ ไม่อย่างนั้น จะเอาคำสอนอะไรไปสอนลูกศิษย์ลูกหา เพราะตัวเองไม่ได้สอนไม่ได้ประพฤติปฏิบัติ ธรรมะมันไปอยู่ในหนังสือไปอยู่ในตำรับตำรา ต้องพากันเข้าใจพากันประพฤติพากันปฏิบัติ คณะปกครองก็พากันเข้มแข็ง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ไม่งั้นก็จะเป็นเหมือนพระโปฐิละเอาแต่การเรียนการศึกษาเอาแต่ปริยัติ ไม่เอาการประพฤติการปฏิบัติพร้อมกัน ทำให้เกิดทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน หลงในยศหลงในตำแหน่ง ไม่ได้ยกเลิกตัวตนเข้าไปสู่สมมุติสัจจะ เป็นทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน ต้องทำให้ดีกว่านี้ ทำให้ถูกต้องมากกว่านี้ เพราะนักเรียนนักศึกษาน่ะ พวกท่านเป็นผู้บริหาร เป็นหัวจักร ต้องช่วยเหลือตัวเองช่วยเหลือคนอื่น เราต้องเอาคติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทรงสอนตัวเอง 100% ปฏิบัติตัวเอง 100% ท่านถึงเข้าถึงพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ไม่มีใครทำให้เราเสื่อมได้ ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ทำให้ลูกเสื่อม คนที่เป็นครูเป็นอาจารย์ ผู้ที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทำให้ศาสนาเสื่อม เพราะพากันเข้าใจผิดปฏิบัติผิด ไปว่าประชาชนเขาไม่มีศรัทธา กลัวศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาพราหมณ์ ฮินดู ศาสนาต่างๆ จะมากลืนกิน หลายปีก่อน 20 ปี 30 ปี มันจะมีเรื่องนารีพิฆาต มันไม่ใช่นารีพิฆาตหรอก มีแต่พระคุณเจ้านั่นแหละที่พิฆาตนารี เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จะบวชอยู่ปฏิบัติอยู่ก็ยกเลิกมรรคผลยกเลิกพระนิพพาน เขาชื่อว่าลาสิกขา ไม่ได้ปฏิบัติ มันจะมีประโยชน์อะไร มาบวชนี้ก็อาศัยศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ ถ้าไม่เป็นพระภิกษุสงฆ์สาวกที่เอาพระธรรมพระวินัย ไม่สมควรที่จะมาบวชมาปฏิบัติ
กุลบุตรลูกหลานก็พากันเข้าใจ มาบวชมาประพฤติมาปฏิบัติ มันก็ต้องทวนโลกทวนกระแส ทวนอารมณ์ พากันมายกเลิกตัวยกเลิกตนนะ เอาพระธรรมพระวินัยเป็นหลักเป็นที่ตั้ง จะได้เอาสมมติสัจจะมาพัฒนาใจ เพื่อความหลุดพ้นจากตัวจากตน ให้ทุกคนรู้จักให้ทุกคนพากันเข้าใจ อย่าคิดว่าการมาบวชเป็นเรื่องยากลำบาก ให้คิดว่าเรามีโอกาสเราโชคดี ฆราวาสญาติโยมมีแต่เรียนหนังสือ มีแต่ทำงาน เราอยู่ในตำแหน่งที่สำคัญอยู่ในตำแหน่งที่ปฏิบัติ ให้เราเข้าใจว่าปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องกันเข้าใจอย่างนี้ หลวงปู่มั่นนั้นท่านพาเอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่อย่างละเอียด ที่ได้ศึกษาจากวิสุทธิมรรค จากบุพพสิกขาวรรณนา ในปลายปี 2400 กว่าๆ ทีมงานการปฏิบัติเพื่อมรรคผล มันถึงจะเข้มแข็ง ปฏิบัติกันเป็นปึกแผ่น พระภิกษุสามเณรฟังประธานสงฆ์ฟังเจ้าอาวาสอย่างเดียว เพราะว่าประธานสงฆ์เจ้าอาวาสเอาพระนิพพาน 100% ไม่เอาตัวไม่เอาตน ยกเลิกอคติทั้ง 4 เรียกว่าปฏิบัติตามเถรวาท คือเอาพระเถระที่เอามรรคผลนิพพาน เป็นผู้แนะนำสั่งสอน ไม่ไปเรียนอะไรมากไม่รู้อะไรมาก เรียนหนังสือนักธรรมตรีโทเอก เรียนหนังสือพระไตรปิฎก เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ต่างจากพระวัดบ้านพระนักเรียนพระนักศึกษา เอาแต่เรียนเอาแต่ศึกษา เอาแต่วัตถุพากันเอาแต่เข้าห้างสรรพสินค้า แม็คโคร โลตัส ใหม่ๆ ก็ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป หลังๆ เห็นหลายคนทำกันเป็นประชาธิปไตยเป็นเรื่องธรรมดา ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุ วัดสวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ไปเรียนไปศึกษาที่กรุงเทพฯ ได้เปรียญธรรม 3 ประโยค แล้วก็มีสัมมาทิฏฐิความคิดเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง แต่ยังไม่ได้ผ่านการเรียนการศึกษาการปฏิบัติที่เข้มข้นเหมือนหลวงปู่มั่น ลูกศิษย์ลูกหาที่มาบวชมาปฏิบัติกับหลวงปู่มั่น คำสอนของท่านพุทธทาสภิกขุที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เอาธรรมนำชีวิต ที่เอาพระธรรมคำสั่งสอน ตกสู่ฆราวาสญาติโยมเข้าสู่พระภิกษุสามเณรทั้งหลาย พระธรรมคำสั่งสอนนั้นก็อ่อนกำลังลง เป็นปัญญาชนเป็นนักปราชญ์ เพราะว่าไม่ได้เข้าถึงสมมุติสัจจะ พากันยกเลิกพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เป็นปัญญาชน เหมือนลูกศิษย์หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว ท่านพุทธทาสภิกขุเป็นต้น พวกฝรั่งน่ะ มาศึกษามาปฏิบัติธรรมสายพระป่ากรรมฐาน แล้วกลับไปบ้านกลับไปเมืองของตนเอง ก็ไปอนุโลมปฏิโลมพระวินัยสิกขาบทเล็กๆน้อยๆ เพื่อให้เข้าถึงกับคนยุโรปได้ เพราะว่าผู้ที่นำธรรมะคำสั่งสอนไปยังไม่แข็งแกร่ง ไปยกเลิกเรื่องสมมุติสัจจะ คิดว่าสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ ไม่สำคัญ เลยทำความเสียหายให้กับส่วนรวม เพราะความไม่ตั้งมั่น ยังเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ยังไม่ได้เอาธรรมเอาพระวินัยเป็นที่ตั้ง ไม่เข้าถึงสมมุติสัจจะ แล้วก็มาเอามารับเอาประเพณีของประเทศไทยไปเต็มๆ เป็นส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพราะประเพณีของประเทศไทย มันเจือปนด้วยศาสนาหลายศาสนา เพราะว่าศาสนาพุทธของเรานี้ เบื้องต้นศาสนาพุทธก็เป็นลูกเป็นหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน พระพุทธเจ้าก็กำเนิดต้นสายปลายเหตุมาจากศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ก็ดีอยู่แล้วถูกต้องอยู่แล้ว แต่ต้องเข้าสู่ความเป็นพุทธะ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อให้สติให้สัมปชัญญะมันสมบูรณ์ ยกเลิกตัวตน ไม่ใช่เป็นเพียงสมาธิหินทับหญ้า เพราะสมาธิหินทับหญ้า เมื่อเราออกจากสมาธิเมื่อไหร่สมาธิอ่อนกำลัง เราทุกคนก็จะเหมือนกับถูกฟ้าผ่านี้แหละ
ผู้ที่จะไปเรียนไปศึกษากับท่านอาจารย์ชา ถ้าใครบวชใหม่ปฏิปทายังไม่เข้มแข็งก็ต้องระมัดระวัง เพราะที่นั่นเขาพากันทิ้งพระวินัยสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ จะเอาแต่จิตว่าง เอาแต่ความว่าง ยกเลิกพระวินัยเป็นส่วนใหญ่ พากันขุดดิน ตัดต้นไม้ ย่อหย่อนการรับประเคน นี่มันไม่ได้ เราก็ต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เข้าถึงสมมุติสัจจะ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เราต้องรักษากันทุกสิกขาบท ถึงแม้เราจะหมดกิเลสสิ้นอาสวะ แต่ลูกหลานที่เกิดมาใหม่เขาไม่ใช่จะหมดกิเลสสิ้นอาสวะ พระพุทธเจ้าให้เห็นความสำคัญในหลังพรรษา 20 ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้แล้วท่านถึงวางหลักการ เพื่อให้ความมั่นคงของพระพุทธศาสนายั่งยืน ศาสนาจะมั่นคงหรือไม่มั่นคงอยู่ที่พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่เรียนเอาแต่ศึกษา เหมือนนิสิตนักศึกษามหาวิทยาลัยนาลันทา เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่คนรวย เอาแต่ข้าราชการ เอาแต่ยศเอาแต่ตำแหน่ง ผลสุดท้ายมหาวิทยาลัยนาลันทาที่ประเทศอินเดีย ก็ถูกเผาทำลาย เพราะอันนั้นมันคือศาสนวัตถุมันไม่ใช่พระศาสนา เอาแต่ตัวเอาแต่ตน มันจะมีแต่งานก่องานสร้าง ก็ไม่ต่างอะไรจากผู้ที่มีครอบครัว ในประเทศไทยพากันบวชมาก็จะพากันสร้างแต่วัดแต่วา การปกครองก็จะเอาแต่การให้ยศให้ตำแหน่งกัน อยู่ที่งานก่องานสร้าง งานก่องานสร้างของพระในเมืองไทยต้องอาศัยไสยศาสตร์ อาศัยการเป็นหมอดูหมอเดา อาศัยการขายตะกรุดผ้ายันต์คาถา ขายเครื่องหลอกเครื่องรางของขลัง รูปเหรียญครูบาอาจารย์ ขายรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไม่ได้เกิดจากประชาชนที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีแต่งานปลุกงานเสกงานอะไรต่างๆ ถึงแม้ประเทศไทยเราจะมีโบสถ์ วิหาร พระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม มันทางของโลกนะ ไม่ใช่ศาสนาเจริญ มันเป็นวัตถุเจริญต่างหาก เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เมื่อเหตุการณ์มันเป็นอย่างนี้ ก็ให้ทุกๆ คนทั้งที่บวชเก่าบวชใหม่ต้องมีความสำนึก ถ้าเรามีความคิดเห็นไม่ถูกต้องความเข้าใจไม่ถูกต้องและปฏิบัติไม่ถูกต้อง เพราะเอาความหลงนำชีวิต เอาไสยศาสตร์นำชีวิต ศาสนาพุทธก็เจริญแล้วก็เสื่อมมาหลายรอบ ถึงได้มีการสังคายนามาเป็นทอดๆ เป็นระยะๆ
จึงต้องพัฒนาเจ้าอาวาส ประธานสงฆ์ เราจะเอาการบริหารเราหรือวัดบุคคลอื่น ตั้งแต่ปากกาลายเซ็นมันก็ไม่ได้ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้เกิดรูปธรรมนามธรรม ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี เป็นคุณสมบัติของผู้มีปัญญา เมื่อเราเอาธรรมนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิต ถึงจะมีความเกรงอกเกรงใจ คนเราน่ะไม่ต้องรู้มากก็ได้มันจะมีตัวตน ให้พากันรู้ตนเอง แล้วก็ปฏิบัติตนเอง ปรับเข้าหาธรรมะปรับเข้าหาเวลา เราจะได้มีความสุขสงบอบอุ่น ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง ทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญามันจะออกมาทำงานโดยอัตโนมัติ ยกเลิกทิฏฐิมานะอัตตาตัวตน เข้ากับประชาชนเข้ากับทุกชาติทุกศาสนา ยกเลิกตัวตนยกเลิกการทะเลาะวิวาทกัน ให้พวกเราเข้าใจ ถ้าเราเข้าถึงความเป็นพุทธะ การทะเลาะวิวาทมันจะไม่มี แม้แต่คนอื่นจะมาพูดให้แตกแยก มันก็ไม่แตกแยก เพราะรู้แล้วว่าเขาไม่มีตัวตน เหมือนเขายุยงให้พระสารีบุตรกับพระมหาโมคคัลลานะให้ 2 ท่านนี้ทะเลาะกัน พระสารีบุตรพระมหาโมคคัลลาก็บอกว่าไม่ต้องมายุ่ง เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเราทะเลาะกันไม่ได้ เพราะเรายกเลิกตัวตน ถ้าเป็นสามัญชนมันถึงจะยุยงได้ แต่อันนี้เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ มันไม่มีตัวไม่มีตนที่จะให้ทะเลาะกัน เมื่อเรามีความเห็นอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่เป็นสายเหนือสายใต้ เป็นธรรมยุตเป็นมหานิกาย เป็นมหายานวัชรยาน เมื่อเรายกเลิกตัวตนเราก็ไม่ได้เป็นอะไร เพราะท่านก็บอกเราว่า อย่าไปเป็นอะไรเลย ไม่ต้องเป็นผู้หญิงผู้ชาย ไม่ต้องเป็นคนหนุ่มคนสาวคนเฒ่าคนแก่ อย่าไปเป็นนักบวช อย่าเป็นพระอริยเจ้า อย่าเป็นพระอรหันต์ แม้พระพุทธเจ้าก็อย่าเป็น อย่าเป็นอะไรเลย เราต้องยกเลิกคำว่ามีคำว่าเป็น เรายกเลิกเรื่องนี้มันถึงจะมีสติมีสัมปชัญญะ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ การประพฤติการปฏิบัติธรรมของเรานี้ เพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน เข้าสู่ความประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะเราต้องพากันถือนิสัยพระพุทธเจ้า เราต้องมีความเคารพคารวะมีความยำเกรง มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ก็อย่าไปมองข้าม พระพุทธเจ้าอยู่ที่เรานี่แหละ เราต้องละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อะไรไม่ดีนะไม่ตรึกไม่นึกไม่คิด ถ้าเราเป็นคนไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป ก็ปล่อยให้มันตรึกมันนึกมันคิดไปเรื่อย เราก็ไม่รู้จักว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในเรานี่แหละ เรารู้แล้วเราจะไปตรึกไปนึกไปคิด เขาเรียกว่าคนที่ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ปล่อยให้ความไม่ถูกต้องมันทำงาน ที่เรามาตรึกในกามมาตรึกในพยาบาท การนึกการคิดอย่างนี้น่ะ พระพุทธเจ้าบอกให้เราน้อมเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เห็นความคิดอย่างนี้ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยงมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทำลายหรือประพฤติปฏิบัติโดยยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ พวกพระที่เอาตัวเอาตนน่ะมันไม่ได้ มีแต่ผู้คงแก่เรียน เป็นอาจารย์ของพระอรหันต์ทั้งหลายก็ต้องมาเข้าคอร์สการประพฤติการปฏิบัติ มาเข้าสู่ความเกรงอกเกรงใจ ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อ การละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาปมันจะเป็นเบรคมันจะหยุดด้วยสมมุติสัจจะ มันจะทำให้เราข้ามวัฏสงสารที่เรียกว่าสัญชาตญาณแห่งความเป็นมนุษย์ มนุษย์ต้องเข้าใจอย่างนี้อย่าไปตามใจตามอัธยาศัย วัดครูบาอาจารย์ที่เคร่งครัด ต้องไปอยู่ไปอาศัยเพื่ออาศัยท่านบังคับ Control ไม่อย่างนั้นท่านก็จะเป็นพระใบลานเปล่า ถ้าไม่อย่างนั้นน่ะท่านจะไปเอาความสงบอยู่ที่ไหน เพราะความสงบมันไม่ได้อยู่ที่ถ้ำ ที่ป่า ที่ภูเขา ที่วิเวกความสงบน่ะมันอยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิ แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ท่านไม่ต้องโง่ไปหาความสงบที่ถ้ำ ที่ป่าที่ภูเขาที่ไหนหรอก หลวงปู่ชาเมื่อโยมพ่อของท่านละสังขารวายชนม์ ท่านก็แสวงหาความถูกต้องแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้ที่สอนพระวินัยที่ดีที่สุดของประเทศไทย สอนดีด้วยสอนภาคประพฤติภาคปฏิบัติ หลวงปู่ชาถึงได้ศึกษาพระวินัยที่วัดเขาวงกต อำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรี กับหลวงปู่เภา บั้นปลายชีวิตของหลวงปู่เภา ก็ได้ละสังขารวายชนม์จากไปด้วยอายุขัยของท่าน ที่วัดเขาวงกตเขาก็บอกว่าให้ท่านไปต่อกับพระอาจารย์มั่นทางภาคอีสาน ท่านเป็นพระเอาพระธรรมเอาพระวินัย เอามรรคผลพระนิพพาน ฟังธรรมจากท่านเข้าใจเรื่องพระธรรมพระวินัย จะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จะได้มีหลักการมีจุดยืนที่ถูกต้อง เอาพระธรรมเอาพระวินัยนำชีวิต เพราะความถูกต้องเท่านั้นนำชีวิต เพราะการประพฤติการปฏิบัตินำชีวิต หลวงปู่ชาเอาพระธรรมเอาพระวินัยละเอียดมาก ในประเทศไทยแทบไม่มีครูบาอาจารย์คนไหนเอาพระธรรมเอาพระวินัยละเอียดเท่าหลวงปู่ชา ท่านเอาทั้งพระธรรมทั้งพระวินัย ของที่วางอยู่นี้นะ ที่เราจะฉันยกเว้นแต่น้ำเปล่า ไม้สีฝัน ไปจับไม่ได้ เพราะไปจับแล้วมันจะฉันไม่ได้ ถ้าไปยกของเคลื่อนที่พระในอาวาสนี้ก็จะฉันไม่ได้ อย่างพระวินัยในเรื่องการรับประเคน วัตร 14 ท่านอาจารย์ชาลงรายละเอียด เพื่อถอดฉบับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เท่าที่ได้เรียนได้ศึกษา ท่านหลวงปู่ชาบอกว่า พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่สำคัญมาก สมมุติสัจจะนั้นเราจะได้โฟกัสส่งถึงปรมัตถสัจจะ เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ก็จะเข้าถึงปรมัตถสัจจะของมันเอง หลวงปู่ชานี้ท่านไม่เอาเครื่องรางของขลัง ไม่เอาพรมน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก ไม่เอาการเผยแผ่พระศาสนาจากอวิชชาจากความหลงจากไสยศาสตร์ ถึงจะอดตายก็จะตั้งมั่น ใหม่ๆ ก็ทนเอาหน่อย เดี๋ยวหลายปีอยู่ด้วยกันเดี๋ยวมันก็รู้กันเองว่าใครเป็นใคร เอาตัวเอาตนใหม่ๆ มันก็ดีแหละ หลายเดือนหลายปีมันก็รู้กัน พระพุทธเจ้าบอกว่าผู้ปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปอวดอุตริมนุสธรรม อยู่ด้วยกันหลายปีก็รู้กันเอง คติของหลวงปู่ชาเอาอย่างนั้น ไม่ต้องอวดหรอก ไม่ต้องอวดหรอกว่าใครรวยใครจน ใครมีความรู้ใครไม่มีความรู้ เดี๋ยวหลายปีก็รู้กันเอง ความดังที่สุดน่ะมันคือความสงบ เพราะสิ่งที่ดังตู้มต้ามๆ มันจรมาเฉยๆ ความจริงที่แท้น่ะคือการยกเลิกตัวตน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า การยกเลิกตัวตน การมาระงับสังขารทั้งหลายเป็นความสุขที่สุดในโลก ต้องพากันเข้าอกเข้าใจ เราต้องมาแก้ที่ใจเราถึงจะมีความสงบร่มเย็นเป็นพระนิพพาน ให้ทุกท่านโปรดพากันเข้าใจอย่างนี้นะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee