แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑๔ พระธรรมย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่ประพฤติดีแล้วย่อมนำสุขมาให้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันศุกร์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗
ให้พวกเราเข้าใจเรื่องของพระพุทธเจ้าเรื่องของพระธรรมเรื่องของพระอริยสงฆ์ ให้พวกเราประพฤติปฏิบัติให้เป็นทางสายกลาง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆกัน พระพุทธเจ้าบอกพวกเราทั้งหลายว่าสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นี้ อยู่ในอริยมรรคมีองค์ 8 คือมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ ที่พวกเราพากันเรียนหนังสือที่พ่อแม่ให้เรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงจบปริญญาตรีโทเอก ก็เพื่อมีสัมมาทิฏฐิทางจิตใจทางวัตถุ เพื่อจะได้เป็นเหตุเป็นผล โครงสร้างประเทศไทยเรา เอาธรรมนำชีวิต จึงได้พัฒนาบุคลากรให้ผู้มาประพฤติมาปฏิบัติในพระศาสนา เรียนหนังสือตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค รู้เหตุรู้ปัจจัยรู้กระบวนการในการเวียนว่ายตายเกิด อริยมรรคมีองค์ 8 เน้นมาหาพวกเราทุกๆคน ต้องปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ 8 นี้ให้ถูกต้อง เพื่อเอาสมมุติสัจจะมาใช้การมาใช้งาน อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง อริยมรรคก็มีอยู่ 8 ข้อ 8 อย่างอย่าให้ขาดตกบกพร่อง เพราะสิ่งเหล่านี้สำคัญ เพื่อเราจะได้เอาสมมุติสัจจะมายกเลือกตัวยกเลิกตน เพื่อเข้าหาปรมัตถสัจจะ
อริยมรรคมีองค์ 8 ทุกคนต้องเข้าใจนะ เพราะเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องความคิดเรื่องคำพูดกิริยามารยาทหน้าที่การงานถือว่าสำคัญ พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราว่าอย่าไปประมาท ยกตัวอย่าง อย่างมีพระภิกษุ 2 รูปบวชในชุดเดียวกัน ห่างกันเพียงแค่ 4-5 นาที ผู้ที่บวชทีหลังเวลาจะพูดจะตอบคำพูดที่บวชก่อนก็ต้องประนมมือแสดงความเคารพ ความหมายก็เพื่อจะยกเลิกตัวตนน่ะ เพื่อคลายมานะละทิฏฐิ ถึงแม้รูปนั้นบวชก่อนเรา 5 นาที จะเป็นพระดีไม่ดี ศีลดีศีลไม่ดี อันนี้ก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราก็ต้องลดมานะละทิฏฐิ ไม่มีตัวไม่มีตน ต้องกราบต้องไหว้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นอริยมรรคเพื่อมายกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกมานะที่สำคัญว่าดีกว่าเขา พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจง่ายๆ มีเวลาแล้วก็ต้องปฏิบัติตามเวลา อย่างวัดต่างๆอย่างที่ทำงานต่างๆ เขาก็ตั้งเวลากัน ต้องเคารพเวลา ปรับเข้าหาเวลากัน ถ้าเราไม่ปรับเข้าหาเวลา มีข้อแม้อะไรต่างๆ อย่างนี้ไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้ไม่ได้ เรียกว่าสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ด้วยความมีตัวด้วยตน เราต้องปรับตัวเข้าหาเวลา ต้องเข้าใจอย่างนี้ ไปเข้าใจอย่างเหตุอย่างผลอย่างนักเรียนนักศึกษาหรือเหมือนนักวิทยาศาสตร์นี้ยังไม่ได้ ยังนักเรียนนักศึกษาไปถามหลวงปู่ชาว่า ทำไมผู้ที่มาบวชไม่มีเหตุไม่มีผล ทำไมฉันเข้า 8:00 น. แล้วก็ไปฉันเพลอีก เวลามันติดกันเกิน น่าจะไปฉันตอนบ่าย 3 หรือบ่าย 4 โมง ถึงจะสมดุลกัน เราต้องเข้าใจสมมุติสัจจะ ตั้งเวลาอย่างไรก็ทำอย่างนั้น สมมติสัจจะนั้นดี เพื่อให้เราจะได้มายกเลิกตัวตน เราจะไม่ต้องไปคิดอะไร ทำตามที่เขาตั้งไว้ เราไปเอาเหตุเอาผล ก็ไปทะเลาะกันไม่จบ เขาสมมุติให้ผู้ที่มาบวชในศาสนาพุทธ ต้องฉันอาหารวันละครั้ง ตอนเช้าต้องพากันออกบิณฑบาต ถ้าไม่ป่วยหรือว่าแก่เฒ่าชราเกิน ก็ต้องไปออกบิณฑบาต เขาแต่งตั้งให้อย่างนี้เราก็ต้องทำอย่างนี้ เขาแต่งตั้งไม่ให้ไปเก็บเงินเก็บสตางค์ไปเก็บสังฆทานไว้ เราก็ไม่ต้องไปเก็บ เราต้องยกเลิกตัวตน เพื่อให้สมมติสัจจะนั้นจะได้พัฒนาตัวเราเข้าถึงปรมัตถสัจจะที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน
พระพุทธเจ้าถึงตรัสบอกว่าสมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 มีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ 8 คือมีอยู่ในสมมติสัจจะที่ต้องพัฒนาให้ถึงปรมัตถสัจจะ ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจอย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้อง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันก็คือทุจริต กฎหมายบ้านเมืองระดับประชาธิปไตยหรือระดับสังคมนิยมหรือประเพณีนิยม ก็ล้วนแต่เป็นสมมติสัจจะ สมมุติบัญญัติอะไรไว้ก็ต้องพากันทำอย่างนั้น เราจะเอาแต่ความชอบความไม่ชอบไม่ได้ เพราะความชอบไม่ชอบมันคือตัวมันคือตน ถึงต้องพากันมายกเลิกตัวยกเลิกตนด้วยพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นสมมติสัจจะ พระพุทธเจ้าถึงได้ตรัสกับภิกษุทั้งหลายในคืนวันเสด็จดับขันธปรินิพพานว่า “โดยกาลล่วงไปแห่งเรา สงฆ์จำนงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้” พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฏิเทสนียะ ๔ ‘นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ฯ’
ในคราวประชุมทำสังคายนาครั้งแรกหลังพระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานได้ 3 เดือน ในที่ประชุมสงฆ์ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ 500 รูป มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ก็ได้มีความเห็นพ้องต้องกันว่า "สงฆ์ ไม่พึงบัญญัติ สิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติ สิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทานประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว" เพราะสมมุติสัจจะที่ละเอียดนั้นดีอยู่แล้ว
โลกปัจจุบันได้พัฒนามา ค่าใช้จ่ายในแต่ละบุคคลในแต่ละครัวเรือน ค่าอาหารค่าที่อยู่อาศัยค่าน้ำค่าไฟค่าน้ำมันค่าใช้จ่ายจิปาถะต่างๆ ทำให้ผู้ที่มาบวชต่างเข้าใจว่า ผู้ที่มาบวชจำเป็นต้องรับเงินรับปัจจัย ทั้งรับเองและให้ผู้อื่นครับเก็บไว้ให้ ได้มีความคิดอย่างนี้จึงได้ให้เงินเดือนเจ้าอาวาส เจ้าคณะต่างๆ ทุกระดับชั้น ได้ยกเลิกพระธรรมคำสั่งสอนของพระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติว่าผู้ที่มาบวชต้องไม่รับเงินรับสตางค์ ทั้งจะรับเองหรือให้ผู้อื่นรับให้ก็ไม่ได้ ถ้าเราเอาตามพระธรรมคำสั่งสอนตามสมมติสัจจะนั้น พระภิกษุในพระพุทธศาสนานี้ก็จะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว พระธรรมย่อมคุ้มครองรักษาผู้ประพฤติธรรม
ธมฺโม หเว รกฺขติ ธมฺมจารึ ธมฺโม สุจิณฺโณ สุขมาวหาติ
เอสานิสํโส ธมฺเม สุจิณฺเณ น ทุคฺคตึ คจฺฉติ ธมฺมจารี.
ธรรมแล ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ย่อมนำสุขมาให้ นี้เป็นอานิสงส์ในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว ผู้ประพฤติธรรม ย่อมไม่ไปทุคติ ดังนี้.
ความคิดอย่างนี้เรียกว่าเพี้ยน เพี้ยนก็คือไม่ถูกต้อง ไม่ตรงตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มันทำให้สมมุติสัจจะนั้นไม่ได้ทรงผลัดไปสู่ปรมัตถสัจจะ การไม่ได้เอาความถูกต้องนำชีวิต เรียกว่าความคิดนี้เป็นความคิดที่เป็นอวิชชาเป็นความหลง มันเป็นความเห็นแก่ตัว มันเป็นการกลัวตาย กลัวทุกข์ยากกลัวลำบาก อันนี้ถือว่าไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านะ ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้คำสอนของพระพุทธเจ้าจะอยู่แต่ในพระไตรปิฎกหมด ไม่ได้อยู่ในสมมุติสัจจะเพื่อน้องเข้ามาสู่ปรมัตถสัจจะ มันจะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เรายกเลิกอริยมรรคมีองค์ 8 นี่เป็นคำสอนสั่งขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ
โลกนี้น่ะเมื่อเรายกเลิกสิ่งที่ถูกต้อง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเราเรียกว่าเป็นชีวิตที่ทุจริต ตัวตนนี้มันเป็นอวิชชาเป็นความหลงเป็นกงล้อแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เท่ากับเรากำลังพากันหันหลังให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ อันนี้ไม่ใช่ธรรมะไม่ใช่วินัย ไม่ใช่ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ มันเป็นการทำร้ายทั้งตนเองและบุคคลอื่น เรียกว่าทำลายความมั่นคงแห่งความเป็นมนุษย์ที่เป็นผู้ประเสริฐนะ ต้องพากันเข้าใจ พระพุทธเจ้าให้เราเข้าถึงสมมุติสัจจะ เพราะสมมุติสัจจะนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่จะยกเลิกตัวตนของเรานี้เอง พวกเราต้องพากันคิดใหม่เข้าใจใหม่ ถึงแม้สิ่งเหล่านั้นเราคิดว่ามันมีความจำเป็น เราก็ต้องคิดใหม่ มันจำเป็นเพื่อตัวเพื่อตน เพื่อเอาการอยู่รอดของอวิชชาความหลง มันทำลายหลักการ ทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทสมมุติสัจจะ ไม่อาจเข้าถึงปรมัตถสัจจะได้ ให้พวกเราเข้าใจ เราเป็นคนเก่งคนฉลาดเพราะได้พัฒนาวิทยาศาสตร์ เราจะเอาการพัฒนาวิทยาศาสตร์มาเป็นอวิชชาเป็นความหลง เราต้องเอาวิทยาศาสตร์มาพัฒนาใจไปพร้อมๆกัน คนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่ให้พากันคิดพากันเข้าใจนะ ทั้งที่เราพัฒนาวิทยาศาสตร์มาไกลแต่ทำไมทำให้โลกนี้วุ่นวายทำให้โลกนี้มีปัญหา มีแต่เรื่องมีแต่ราว มีแต่การทะเลาะวิวาทกัน ไม่มีความสงบอบอุ่น เพราะว่าเราไม่เดินทางสายกลาง ไม่ได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆกัน ไม่ได้เอากฎหมายที่เป็นสมมุติสัจจะมาใช้ เพราะไม่เข้าใจคำว่ากฎหมายคำว่าวินัยคำว่าศีล เป็นความงามทั้งภายนอกภายใน เป็นการพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆกันเป็นทางสายกลาง สุดยอดเลยนะ พัฒนาสู่โลกที่ก้าวไกลสมัยใหม่ จึงเป็นสิ่งที่ประเสริฐที่หมู่มวลมนุษย์ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ พวกคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ พวกหัวดีๆหัวใสๆที่ได้รับ DNA จากพ่อจากแม่ จะเป็นแพทย์เป็นหมอ เป็นนายทหารตำรวจ เป็นผู้พิพากษาอัยการ ข้าราชการนักการเมืองทั้งหลาย ก็ต้องพากันเข้าใจ เราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต เราอย่าเอาตัวเอาตนนำชีวิต จะเป็นคนไม่ทันโลกไม่ทันสมัยไม่ทันการณ์ไม่ทันเวลา เพราะพัฒนาแต่วัตถุพัฒนาแต่ตัวแต่ตน เอาความสุขตั้งแต่ทางวัตถุ ต้องเอาวัตถุและทางจิตใจด้วยการไม่หลงในความสุขในความสะดวกสบาย เราจะได้รู้อริยสัจ 4 เราจะได้น้อมนำผัสสะในชีวิตประจำวันเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทุกคนต้องดำเนินชีวิตที่ประเสริฐอย่างนี้อย่างนี้ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เราจะไปเรียนไปศึกษาเพื่อพัฒนาเป็นไปด้วยอวิชชาด้วยความหลง เราต้องมีพุทธะทางจิตใจทางวัตถุไปพร้อมๆกัน ให้เป็นทางสายกลาง สำหรับหมู่มวลมนุษย์นั้น ความจริงก็คือความจริง หมู่มวลมนุษย์ที่เป็นฆราวาสที่ไม่ได้เป็นนักบวชพากันพักผ่อน 6 - 8 ชั่วโมง พวกนักบวชพากันนอน 4 - 6 ชั่วโมง
ต้องเข้าใจพระพุทธศาสนาที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงค้นคว้าสร้างบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ ใช้เวลาถึง 20 อสงไขยแสนมหากัป นับเวลาเป็นหลายล้านชาติ เราต้องเข้าใจ ท่านได้วางหลักพระธรรมพระวินัย และได้ประมวลเป็น 3 ปิฎก คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก รวม 84,000 พระธรรมขันธ์ ทำไมถึงมากมายอย่างนี้ ก็เพื่อให้พุทธบริษัทได้ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จะได้ปฏิบัติถูกต้องว่าอันไหนไม่ดีไม่คิดไม่พูดไม่ทำไม่ดื่มไม่บริโภค เพื่อจะได้พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ พัฒนาด้านสุขภาพร่างกาย พัฒนาธุรกิจหน้าที่การงาน พระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ถึงมากมายอย่างนี้ เพื่อจะได้เอาสมมติสัจจะนั้นมันเน้นให้ชัดว่าอันไหนคิดไม่ได้อันไหนพูดไม่ได้อันไหนทำไม่ได้ ต้องสร้างบารมีอย่างนี้ต้องทำอย่างนี้ เพราะทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เราอยู่ที่ไหนก็ทำได้ปฏิบัติได้ ทั้งคนบ้านนอกบ้านนา พ่อค้าแม่ขาย ข้าราชการนักการเมือง ก็ต้องทำให้ดีให้ถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ อย่าไปคิดเหมือนคนแต่ก่อนคนรุ่นก่อน คิดว่าเรียนหนังสือก็เพราะจำเป็น ถ้าเราไม่เรียนก็ไม่มีความรู้ความเข้าใจก็เป็นได้แต่กรรมกร ก็เลยเรียนเพื่อมีความรู้เพื่อทำมาหากิน พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เราฉลาดกว่านั้น เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เป็นได้แต่เพียงคนเป็นได้แต่เพียงอวิชชาความหลง เพราะการเรียนการศึกษาเป็นความรู้คู่การปฏิบัติ เป็นสัมมาทิฏฐิทางจิตทางใจ เป็นสัมมาทิฏฐิทางวัตถุทางกายวาจากิริยามารยาท เพื่อการดำรงชีพที่ไม่มีบาปไม่มีกรรมไม่มีเวรไม่มีภัย ไม่เบียดเบียนตนเองไม่เบียดเบียนผู้อื่น เราจะได้เข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นตกอยู่ในพื้นฐานกฎพระไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยง มีความเปลี่ยนแปลงไป ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องมีการเรียนการศึกษา เพื่อสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง
การทำงานของพวกเราก็เหมือนกัน เป็นสิ่งที่พวกเราต้องพากันเข้าอกเข้าใจ ต้องทำให้ถูกต้อง เพราะชีวิตเราก้าวไปต้องอาศัยปัจจัย 4 คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่ที่อาศัย ยารักษาโรค สิ่งที่อำนวยความสะดวกทุกอย่าง การดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ก็ต้องอาศัยปัจจัย 4 ถึงได้พูดว่าวันหนึ่งต้องนอน 6-8 ชั่วโมงสำหรับฆราวาส สำหรับนักบวช 4-6 ชั่วโมง พักผ่อนให้พอ อาหารก็ต้องให้ถูกต้อง เพราะอาหารนั้นคือยา พระพุทธเจ้าถึงบอกให้ทุกคนพิจารณาอาหารเครื่องนุ่งห่มที่อยู่อาศัยยารักษาโรคสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายต่างๆ ก็เพื่อใช้ในการดำรงชีวิตดำรงธาตุดำรงขันธ์ อย่าไปหลงอย่าไปเพลิดเพลิน เพราะชีวิตเรามันจำกัด ส่วนใหญ่ไม่เกิน 120 ปีก็ต้องจากโลกนี้ไป ให้พากันเข้าใจ ต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ อย่าไปหลง เราต้องมีสติมีปัญญา เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ต้องก้าวไปอย่างนี้
ในประเทศเราและหลายๆประเทศที่ทะเลาะกันเรื่องที่ว่าพระพุทธเจ้าฉันผักหรือฉันเนื้อ ทะเลาะวิวาทกันเรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องฉันผักฉันเนื้อ พระพุทธเจ้าท่านเดินทางสายกลางพัฒนาใจพัฒนาวัตถุ น้อมทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ท่านจึงไม่มีนิมิตหมายว่าฉันอะไร เนื้อก็ไม่ได้ฉัน ผักก็ไม่ได้ฉัน ขนมผลไม้ก็ไม่ได้ฉัน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ เพราะการประพฤติการปฏิบัติไม่ได้เอาผิดเอาถูกเอาดีเอาชั่ว แต่เพื่อมายกเลิกตัวตน ในพระวินัยจึงมีสิกขาบทว่า พระภิกษุจะรับนิมนต์ไปฉันที่บ้านของประชาชนถ้าเขาออกชื่อโภชนะออกชื่ออาหารนั้นไม่ได้ ต้องอาบัติ พระพุทธเจ้าก็บอกสอนผู้ที่ถวายภัตตาหารพระไม่ให้ออกชื่ออาหาร เช่นคนไม่รู้ธรรมไม่รู้วินัยก็จะออกชื่ออาหาร มานิมนต์พระเช่นพูดว่า วันพรุ่งนี้จะนิมนต์ท่านไปฉันก๋วยเตี๋ยวที่บ้าน อย่างนี้ผิดพระวินัย พระพุทธเจ้าถึงบอกภิกษุให้บอกสอนประชาชนในเรื่องนี้ ไม่ออกชื่ออาหารไม่ออกชื่อภัตตาหารอย่างนั้นอย่างนี้ จะทำให้พระภิกษุไขว้เขว ในสมัยพุทธกาลก็ทำให้มีเรื่องไขว้เขว พระก็เดินกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะไปฉันอะไรดี จึงเลยเวลาเที่ยงวันไป พระพุทธเจ้าจึงให้ยกเลิกไม่ตรึกไม่นึกไม่คิดอย่างนี้ เพื่อให้เป็นหลักการจึงได้มีพระวินัยบัญญัติที่เป็นสมมติสัจจะไว้ เพื่ออุดรอยรั่ว พระในพระพุทธศาสนาถึงไม่มีนิมิตหมายว่าฉันอะไร ต้องเข้าใจ ไม่เก็บไม่สะสมอาหาร ต้องยกเลิกตัวตน ไม่ต้องกลัวอดตาย ถ้าเรายกเลิกตัวตน ก็จะเป็นธนาคารแห่งความดีเป็นธนาคารแห่งปัญญา ไม่ต้องพากันกลัวอดตาย ต้องเข้าใจอย่างนี้
คนรุ่นใหม่ต้องพากันเข้าใจต้องพากันพัฒนา เพราะความมั่นคงของหมู่มวลมนุษย์นี้ ต้องมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน มีการเรียนการศึกษา อย่างสมัยโบราณมีถึง 18 ศาสตร์ การปกครองในโลกนี้ถึงต้องปกครองด้วยทศพิธราชธรรม ผู้นำของประเทศต้องปกครองด้วยทศพิธราชธรรม จะเป็นพระมหากษัตริย์หรือจะเป็นประธานาธิบดี ต้องปกครองด้วยทศพิธราชธรรม เมื่อเรายกเลิกตัวตน ถึงแม้เราจะสะดวกสบาย เราก็ไม่หลง เพราะเราทำถูกต้องทั้งศีลทั้งสมาธทั้งปัญญาไปพร้อมๆกัน ถูกต้องอย่างสง่างาม อย่างนี้ถึงจะเป็นคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ ไม่หลงในขยะไม่ลงในอวิชชา ก้าวไปด้วยสติด้วยปัญญา เสียสละ มายกเลิกตัวตน เอาสมมติสัจจะมาเน้นให้เข้าถึงความเป็นพุทธะคือปรมัตถสัจจะ เพราะปกติหมู่มวลมนุษย์ถ้ามีความสงบกับมีปัญญาไปพร้อมๆกัน มันมีปัญญามาก เราไม่ต้องไปคิดเหมือนแต่ก่อน จะหาแต่ความสงบหาแต่ความวิเวก รู้หรือเปล่าว่าความสงบความวิเวกอยู่ที่ไหน ความสงบความวิเวกอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่เรานี่แหละในปัจจุบัน เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน ที่นั่นคือที่วิเวก ท่านถึงบอกว่า ความว่าง มันต้องว่างจากตัวจากตน สิ่งภายนอกก็มีอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าเรายกเลิกตัวตน สิ่งภายนอกก็มีอยู่อย่างเก้อๆอย่างนั้น เพราะตัวตนนี่แหละมันเผาเราเผาคนอื่น เราต้องเน้นเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้าท่านพาทำ เหมือนพระอรหันต์ท่านพาทำ เหมือนหลวงปู่มั่น ภูริทัตโตท่านพาทำ
ต้องรู้จักความเป็นพระ ความเป็นพระนั้นอยู่กับทุกๆคน เป็นนักบวชก็เป็นพระได้เป็นฆราวาสก็เป็นพระได้ เหมือนกับการทานอาหาร ถ้าใครทานก็ดับทุกทางร่างกายได้ ในทางธรรมถ้าใครรู้ว่าอันไหนไม่ดีไม่คิดไม่พูดไม่ทำ มันก็ดับทุกข์ทางจิตใจเลย ที่ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลายกเลิกตัวตน มันก็ดับทุกข์ได้ทุกคน ความเป็นพระจึงเป็นได้อย่างนี้นะ เราทุกคนอย่าให้ความหลงครอบงำ อย่าให้โลกธรรมครอบงำ เราต้องเข้าใจว่าความดับทุกข์ของมนุษย์อยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อันนี้เป็นความดับทุกข์ของมนุษย์ พวกนักบวชก็จะได้รู้เป้าหมายของการบวช เพราะนักบวชสมัยปัจจุบันเอาความสุขทางวัตถุเอาความสุขเหมือนฆราวาส ไม่ใช่เป้าหมายของนักบวช ความสุขของนักบวชคือการยกเลิกตัวตนให้สมบูรณ์ เพราะไม่ต้องเอาความสุขทางเนื้อหนังความสุขทางความสะดวกความสบาย พระวินัย 21,000 พระธรรมขันธ์ ที่มาในพระปาฏิโมกข์ 227 สิกขาบท เราต้องเอาสมมติสัจจะนั้นมาประพฤติมาปฏิบัติ ไม่ต้องไปให้เรื่องศีลอยู่เฉพาะแต่ในหนังสืออยู่ในพระไตรปิฎก พระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ไม่ต้องให้ไปอยู่ที่โน่น ต้องมาอยู่ที่กายที่ใจเรา เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งยิ่งเรียนยิ่งศึกษาก็ยิ่งห่างมรรคผลห่างพระนิพพาน เพราะไม่เข้าถึงธรรมไม่เข้าถึงปัจจุบันธรรม คิดว่ามาเรียนมาศึกษาแล้วมาอยู่ในเมืองในกรุง จบแล้วค่อยประพฤติค่อยปฏิบัติ อย่างนั้นไม่ได้ มันต้องเน้นที่ปัจจุบัน ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ เพราะเราเรียนเราต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เรามีความคิดเห็นอย่างนี้เข้าใจอย่างนี้จะตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท เป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ ความคิดอย่างนี้ความเข้าใจอย่างนี้จนวาระสุดท้ายเขาต้องประชุมเพลิงทุกๆ คน ไม่มีใครยกเว้น ท่านบอกพวกเราว่า เราจะเป็นพระวัดบ้านวัดป่าเราก็ต้องประพฤติปฏิบัติ เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าในปัจจุบัน อย่าไปไขว้เขว ด้วยความเห็นผิดเข้าใจผิดแล้วก็ไม่ปฏิบัติ ทำให้เสียโอกาสเสียเวลา ต้องมาเน้นที่ปัจจุบัน เราดูตัวอย่าง มหาวิทยาลัยสงฆ์ก็เสียหาย การปกครองคณะสงฆ์ก็เสียหาย เพราะเอาแต่หนังสือปกครอง ไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จึงทำให้เสียหาย ยิ่งเรียนเป็นคนเก่งคนฉลาดหัวดี ก็ทำให้เสียหาย เพราะเราไม่ได้เอาความหัวดี DNA ที่ดีมาประพฤติ เวลาประชุมกันก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร ประชุมกันแต่จะไปแก้ไขคนอื่น แล้วก็ไปวิตกกังวลว่าต่างศาสนาจะมากลืนนะ มีแผนนารีพิฆาตนะ จะไปแก้ไขตั้งแต่ภายนอก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี้ไม่ได้ มันเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าทำลายความมั่นคง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจึงมีเงินทอนวัด ทั้งเงินทอนข้าราชการนักการเมือง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี้ไม่ได้ มันเสียหายทั้งตนเองเสียหายทั้งส่วนรวม
การเรียนการศึกษานี้ มันจำเป็นต้องเรียนต้องศึกษา เพราะความรู้ต้องคู่การประพฤติการปฏิบัติ มันถึงจะฉลาดได้ คนที่มีความเห็นแก่ตัวน่ะ ไม่อยากเรียนไม่อยากศึกษา คิดว่าเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเลย ไม่ต้องเรียนไม่ต้องศึกษาก็ได้ อันนี้เป็นความเห็นแก่ตัว การที่เราเรียนเราศึกษาก็เพื่อมาเสียสละเพื่อละตัวละตน จะได้ช่วยเหลือทั้งตนเองช่วยเหลือทั้งผู้อื่น เราไม่ได้เรียนเพื่ออวิชชาเพื่อความหลง เราเรียนเพื่อความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เรียนเพื่อเสียสละ ต้องเข้าใจอย่างนี้ คนเราน่ะมันเห็นแก่ตัว อันไหนดีๆ ก็ไม่อยากคิดไม่อยากพูดไม่อยากศึกษาไม่อยากเรียน การเรียนการศึกษาจำเป็นต้องมี ยังระบบการเรียนการศึกษาก็ยังมีรางวัลล่อ มีปริญญาเป็นเครื่องล่อ มีวุฒิปริญญาตรีโทเอกเป็นเครื่องล่อในทางฝ่ายสามัญ ฝ่ายธรรมก็มีนักธรรมตรีโทเอก ชั้นประโยค 1-2 จนถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค ต้องเข้าใจว่าการเรียนการศึกษานั้นทุกคนต้องเรียนต้องศึกษา แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าปล่อยให้แบบวัดไหนห้องน้ำห้องสุขาก็สกปรก ที่อยู่ที่นอนที่อาศัยก็สกปรก การศึกษาที่ถูกต้องมันต้องเข้าสู่อริยมรรคมีองค์ 8 ยกเลิกตัวยกเลิกตน เข้าสู่สมมติสัจจะให้ได้ กายวาจากิริยามารยาทเรียบร้อย อาชีพนักบวชคือยกเลิกตัวตน ออกภิกขาจาร เห็นภัยในวัฏสงสาร ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
เรารู้แล้วก็ยังไปคิด เรารู้แล้วก็ยังไปพูด ไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติก็นับว่าใช้ไม่ได้ ตนเองรู้แก่ใจอยู่มันก็เศร้าหมอง เหมือนคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองก็รู้สึกไม่สบายใจหรอก ไม่สบายใจที่ไม่ได้ปรับตัวเข้าหาพระธรรมเข้าหาพระวินัย เอาแต่ตัวตนเป็นที่ตั้ง มันมีแต่ความเสื่อมมีแต่ความเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าบอกสอนพวกเรา สมมติสัจจะคือพระวินัยบัญญัติเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพราะต้องมีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เอาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่เป็นสมมติสัจจะซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐ เพื่อเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ยกเลิกตัวยกเลิกตน ผู้นำผู้ปกครองต้องพากันสำเนียกสำนึกว่าประเทศเราบ้านเมืองเราได้มีความผิดพลาดที่ได้เอาตัวเอาตนปกครองชีวิต เกิดจากตัวเกิดจากตน เกิดจากความไม่ถูกต้อง มันเป็นทุจริต ต้องพากันเน้นที่ตัวผู้นำผู้ปกครองใหม่ เมื่อพระผู้ใหญ่มีความไม่เข้าใจอย่างเช่นว่าไม่มีโอกาสไม่มีเวลาในการประพฤติในการปฏิบัติ นั้นไม่จริง นั่นเป็นความคิดผิดเข้าใจผิด ต้องเอาตัวอย่างแบบอย่างหลวงปู่ชา ท่านมีคติในใจในการประพฤติในการปฏิบัติของท่าน ว่าท่านบอกท่านสอนภาวนาวิปัสสนาในใจของท่าน 100% ปฏิบัติตัวเอง 100% ก็สอนพระสอนเณรสอนคฤหัสถ์เพียง 5% ทำอย่างนี้ถึงจะไปได้ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ไปไม่ได้หรอก ถ้าไม่ทำอย่างนี้ลูกศิษย์ลูกหาประชาชนเขาก็มาเถียงเรา เหมือนทุกวันนี้โลกเถียงพ่อเถียงแม่เถียงปู่ย่าตายาย ก็เพราะมีความขาดตกบกพร่อง ไม่ได้เอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาสมมติบัญญัตินำชีวิต เอาแต่ตัวตนนำชีวิต เขาก็ต้องเถียงเขาก็ต้องว่า
เราต้องกลับมาพิจารณาตนเอง เราต้องปฏิบัติ ยกพระพุทธเจ้ามาไว้ที่กายวาจาใจเรา ยกพระอรหันต์มาไว้ที่กายวาจาใจเรา ต้องทำอย่างนี้ถึงจะได้เป็นผู้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่ามนุษย์นี้เก่งฉลาดมีปัญญามากกว่าสัตว์ทั้งหลาย ต้องมาถือนิสัยหรือว่าปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เอาธรรมเป็นหลักเอาธรรมนำชีวิต ใช้เวลาสัก 5 ปีหรือว่า 5 พรรษา เพื่อให้ชีวิตนี้เป็นชีวิตที่มาตรฐาน เป็น Standard ที่เอาธรรมนำชีวิตยกเลิกตัวตน ใช้เวลาติดต่อต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปี เมื่ออยู่กับครูบาอาจารย์ที่ที่เราอยู่ด้วย ก็ปฏิบัติให้เข้มข้นให้มันถูกต้องตามสมมติบัญญัติ พระพุทธเจ้าจึงให้พระภิกษุฟังสวดพระปาฏิโมกข์ทุกๆ กึ่งเดือน เพื่อจะได้ถือนิสัยพระพุทธเจ้า ไม่ได้ฟังไปธรรมดาแบบไม่เข้าใจ ภาษาที่สวดเป็นภาษาบาลีเป็นภาษามคธ สวดแล้วเราก็ไม่เข้าใจถ้าไม่ได้เรียนภาษาบาลี เพราะเราเป็นคนประเทศไทย แต่ความหมายที่เป็นหลักในภิกขุปาฏิโมกข์ 227 ข้อ ที่มาสวดให้ฟัง สิกขาบทนี้ใครขาดตกบกพร่อง ก็อย่าให้ขาดตกบกพร่องนะ เพราะทุกคนต้องสำรวจตรวจตราตนเอง อันไหนตัวเองย่อหย่อนอ่อนแอ ไม่เอาสมมุติบัญญัติให้ถูกต้อง ก็ต้องเอาใหม่ ต้องเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร มีความละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป อย่าไปคิดอย่างคนมีปัญญาน้อย คิดว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวทำผิดศีลผิดวินัยแล้วค่อยไปแสดงอาบัติเอา มันไม่ได้นะคิดอย่างนั้นไม่ได้ เมื่อเรารู้แล้วไม่ปฏิบัติมันก็ยิ่งโกหกไปหลายต่อหลายทอด โกหกแล้วโกหกเล่า ว่าจะไม่คิดไม่พูดไม่ทำอย่างนี้อีก แล้ววันหลังก็ไปทำอีก หืม…มันแย่เลยนะ ท่านถึงสอนว่าอย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท เพราะใจเราคิดได้ทีละอย่าง อย่าไปตรึกในกามอย่าไปตรึกในพยาบาท หรือถ้าตรึกนึกคิดแล้ว ธรรมะเกิดไม่ได้ พุทธะเกิดไม่ได้ เพราะเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราต้องไม่ตรึกในกามไม่ตรึกในพยาบาท พยายามภาวนาวิปัสสนาให้ลึกเข้าไปอีกว่า ความรู้สึกนึกคิดนี้ก็ไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ภาวนาสู่พระไตรลักษณ์อย่างนี้ เพราะความคิดอารมณ์นั้นก็เหมือนแขกเหมือนอาคันตุกะที่มาเยี่ยมมายามเรา เราภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่เราก็รู้จักรู้เท่าทัน มันก็จะอ่อนกำลังลง เพราะเราหยุดเรายกเลิก ด้วยสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องกัน คือนิสัยของพระพุทธเจ้าไป ยกเลิกนิสัยของอวิชชาความหลง ต้องเข้าใจพระศาสนาอย่างนี้กันทั้งฆราวาสทั้งนักบวช
การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราพากันเข้าใจอย่างนี้นะ เราจะได้รู้ความหมายของศีลน่ะ การนั่งสมาธินี้ก็สำคัญ เราต้องพากันนั่งสมาธิทุกวันเพื่อเป็นฐานของจิตของใจ ตอนเช้าตี 4 ตี 5 สักชั่วโมงหนึ่ง ตอนเย็นทานอาหารอาบน้ำ แล้วอย่าพากันนอนดึก ก่อนนอนต้องนั่งสมาธิ อย่าเอาแต่ดูโทรศัพท์เล่นโทรศัพท์ ต้องพากันนั่งสมาธิ การนั่งสมาธินั้นสำคัญยังไง การนั่งสมาธินี้สำคัญนะ เป็นการยกเลิกอดีตทั้งหมด ยกเลิกอดีตก็เหมือนกับการที่ก่อนนอนเราก็อาบน้ำชำระร่างกายให้สะอาดด้วยสบู่ด้วยแชมพูสระผม เพื่อให้ร่างกายสะอาดก่อนจะนอนก่อนจะพักผ่อน การทำสมาธิก็เหมือนกัน ยกเลิกสิ่งที่เป็นอดีตที่ผ่านมาให้เป็นเลขศูนย์ไป ทั้งที่ชอบใจไม่ชอบใจ มันก็ล้วนแต่ผ่านไป เพราะไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราอย่าไปติดอกติดใจ ท่านเปรียบอุปมาว่าอดีตที่ผ่านมาแล้วเหมือนน้ำลายที่บ้วนออกจากปากเราลงไปสู่พื้นดิน เราอย่าไปเอาน้ำลายที่บ้วนทิ้งมากลืนมากินอีกเลย เพราะการปฏิบัติธรรมการทำสมาธิเป็นการยกเลิกตัวตน มันสำคัญอย่างนี้ เพราะคนเราน่ะ ใจมันไปติดอกติดใจหรือเสียอกเสียใจ มันทำให้เราไปติดโควิดแห่งอวิชชาความหลงนะ เราต้องเข้าใจอย่างนี้แหละ การทำสมาธิก็เปรียบเสมือนเรามายกเลิกเรื่องหนี้เรื่องสิน ที่เราเป็นหนี้เป็นสินเอาเงินเอาสตางค์เขามาเอาของเขามาทั้งนอกระบบก็ดีทั้งจากธนาคารก็ดี หนี้สินเหล่านั้นเป็นเรื่องภายนอก แต่เรื่องภายในเรื่องจิตเรื่องใจเพราะต้องภาวนาเราต้องปฏิบัติ ต้องพากันนั่งสมาธิ เรื่องอนาคตเราก็ไม่ต้องไปคิดไม่ต้องไปพะวงถึง เพราะคิดไปแล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่ต้องไปวิตกกังวล ปัจจุบันเราต้องว่างจากตัวตน แล้วก็อยู่กับลมหายใจเข้าก็รู้ลมหายใจออกก็รู้ ลมหายใจเข้าสั้นยาวก็รู้ ลมหายใจออกสั้นยาวก็รู้ หายใจเข้าหายใจออกก็ให้มีความสุขให้สบาย ลมหายใจเข้าออกก็พิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ว่าไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ อันนี้เป็นความดีเป็นปฏิปทา เป็นฐานที่รองรับให้เราก้าวไป สมาธิถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ นั่งสมาธิไม่ใช่จะไปเอาอะไร ไม่ได้ไปเอาอิทธิปาฏิหาริย์อะไรหรอก เพื่อเรามายกเลิกตัวตน จะหายใจเข้าท่องพุท จะหายใจออกท่องโธก็ได้ ให้พากันนั่งสมาธิ ต้องทำทุกวัน
พระพุทธเจ้าท่านวางรากฐานให้หมู่มวลมนุษย์มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เดือนหนึ่งมีอยู่ 30 วัน จะ 31 วันหรือ 28-29 วันก็ตาม ท่านให้หมู่มวลมนุษย์พุทธบริษัทรักษาศีลอุโบสถเดือนหนึ่ง 8 วัน ในวัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ เดือน 1 ก็ 8 วัน ทุกวันนี้ก็เป็นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ตามวันหยุดสากล เพื่อเป็นวันพัฒนาจิตใจพัฒนาคุณธรรม เพื่อให้ฐานชีวิตของเราก้าวไปตามทางสายกลาง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ต้องเข้าใจว่าทำไมเราถึงรักษาศีล ทำไมเราถึงต้องทำสมาธิ เราต้องเข้าใจ
ในยุคปัจจุบันนี้รู้กันว่าพระภิกษุสามเณรกำลังจะไขว้เขวกำลังจะเป๋ เพราะว่าเป็นยุคใหม่รุ่นใหม่ไม่ได้พัฒนาใจ พัฒนาแต่วัตถุ เลยเป๋มาก เป๋ชนิดที่หันหลังให้ความถูกต้อง เพราะเหตุเพราะปัจจัยได้ประมาทพลาดพลั้ง นึกว่าไม่สำคัญ คิดแต่ว่าเรื่องปากเรื่องท้องเรื่องเศรษฐกิจนี้สำคัญ เรื่องจิตเรื่องใจนี้เลยคิดว่าเอาไว้ทีหลัง เลยไม่ได้พัฒนาใจไปพร้อมๆ กับวัตถุ ได้เกิดความเสียหายขึ้นแล้ว เราต้องมีความสมัครประมาณสามัคคีกันทุกคน เพราะความสมัครสมานสามัคคีกันไปในทางเดียวกันถึงจะแก้ปัญหาได้ เพราะความสมัครสมานสามัคคีนี้สำคัญ ความหมายที่เราอยู่กันสองคนขึ้นไป ต้องมีความสมัครสมานสามัคคีไปในทางเดียวกัน เพื่อเป็นมาตรฐานเป็น Standard ทุกคนก็พากันแก้ไขที่ตัวเองปฏิบัติที่ตัวเอง พร้อมเพียงกันพูด พร้อมเพียงกันทำ พร้อมเพียงกันประชุม พร้อมเพียงกันเลิก ต้องอาศัยความสมัครสมานสามัคคี โฟกัสมาธิการและเพื่อการปฏิบัติของเรา เราไม่ทำเหมือนแต่ก่อน จะไปจัดการแต่ภายนอก แต่ตัวเองยกเว้น อย่างนี้ไม่ได้ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ปัญญาธิคุณบริสุทธิคุณกรุณาธิคุณ มันเป็นความหลงความเห็นแก่ตัว ความสมัครสมานสามัคคีจึงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ถ้าเรายกเลิกตัวตนแล้วจะไม่มีคำว่าไม่สมัครสมานสามัคคี แล้วเราก็ไม่แย่งขยะกันแน่ เรามีตัวตนเมื่อไหร่นี่ก็แตกแยกแตกสมานสามัคคี ชีวิตก็จะถูกต้อง เข้าถึงความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee