แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑๒ ยกพระพุทธเจ้ามาไว้ที่กายที่วาจาที่จิตใจเรา เพื่อเป็นปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันพุธที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๗
เราทุกๆ คนที่เกิดมาจากเหตุจากปัจจัย เพราะสิ่งไม่มีสิ่งต่อไปถึงมี เรื่องจิตเรื่องใจทั้งเรื่องกายเรื่องวัตถุ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุ พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันเข้าใจอย่างนี้นะ เพื่อจะได้พัฒนาทางจิตใจ จะได้พัฒนาทั้งวัตถุ ทั้งกายทั้งวาจากิริยามารยาทธุรกิจหน้าที่การงาน ก็เพื่อให้เป็นเหตุเป็นปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีได้ เราได้พากันเกิดมาจากอวิชชาจากความหลง เราได้พากันเวียนว่ายตายเกิดตามเหตุตามปัจจัย เราทุกคนจึงต้องโฟกัสเข้าหาตัวของเราเอง เพื่อให้เป็นทั้งศีลเป็นทั้งสมาธิเป็นทั้งปัญญา เพื่อจะได้เป็นเหตุเป็นปัจจัยแห่งความดับทุกข์ทางจิตทางใจทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้ยกเลิกเหตุยกเลิกปัจจัยแห่งความไม่ถูกต้อง เพราะเราทุกคนมันคิดได้พูดได้ทำได้ในปัจจุบันทีละอย่าง เมื่อเราปฏิบัติตนเองคอนโทรลตัวเองในปัจจุบัน ซึ่งเป็นการทำได้ปฏิบัติได้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจน่ะเปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเรารู้หลักในการประพฤติในการปฏิบัติ รูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ ที่มาสัมผัสมากระทบทำให้เกิดอารมณ์ท่านเปรียบเสมือนกับแขกที่มาเยี่ยมเจ้าของบ้าน อาคันตุกะที่มาเยี่ยมบ้านของเรา เมื่อเขามาเยี่ยมแล้วเขาก็ต้องจากไป เพราะว่าเขาไม่ใช่เจ้าของบ้าน
วันหนึ่งคืนหนึ่งนั้นมีอยู่ 24 ชั่วโมง กลางวันก็มี 12 ชั่วโมง กลางคืนก็มี 12 ชั่วโมง เป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของโลก โลกหมุนรอบตัวเอง โคจรรอบดวงอาทิตย์ ให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ การนอนการพักผ่อนของพวกเรานี้ก็พากันนอนพักผ่อนวันละ 6 - 8 ชั่วโมง สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือน สำหรับนักบวชคือพระเณรแม่ชีพากันนอนพากันพักผ่อนวันละ 4-6 ชั่วโมง เวลาตื่นอยู่ของฆราวาสที่ไม่ใช่นักบวชเป็นเวลา 16 ชั่วโมง เวลาที่ตื่นอยู่ของนักบวช 18 ชั่วโมง ถ้าบอกเราว่าต้องปรับตัวเข้าหาเวลา นักบวชก็ปรับตัวเข้าหาเวลา ฆราวาสผู้ไม่ได้บวชก็ปรับตัวเข้าหาเวลา เวลาที่เราตื่นอยู่เป็นเวลาประพฤติปฏิบัติธรรมและการทำงาน การทำงานก็ให้เป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็ให้เป็นการทำงาน 2 อย่างนี้ต้องให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จะให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะเราจะได้สร้างเหตุสร้างปัจจัยแห่งความดับทุกข์ ทั้งด้านจิตด้านใจ ทั้งด้านปัจจัยแห่งความดับทุกข์ทางกายทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ท่านบอกให้พากันทำอย่างนี้ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง พัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ยกเลิกสิ่งที่จะให้เรามีความทุกข์ทั้งกายทั้งใจ ให้พากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีเป็นเวลาหลายล้านชาติหลายอสงไขย ที่ต้องสร้างเหตุสร้างปัจจัยอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็สร้างของท่านเอง พระอริยสาวกท่านก็สร้างของท่านเอง เราที่เป็นผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ทุกคนก็ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพราะเราเองต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต เราต้องพากันมาแก้ที่ต้นเหตุอย่าไปแก้ที่ปลายเหตุ ประชากรในปีพุทธศักราช 2567 ปีคริสต์ศักราช 2024 มี 8,000 กว่าล้านคน ต้องพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง แล้วเข้าสู่ความถูกต้องที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นฐานของชีวิต อดีตนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัยในชีวิต มันเป็นฐานที่สนับสนุนให้มาถึงปัจจุบัน ปัจจุบันก็จะเป็นพื้นฐานของอนาคต ให้พวกเราพากันรู้แล้วจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ในปัจจุบันที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา พระพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราว่า อดีตที่ผ่านมาแล้ว ท่านให้เรายกเลิกอดีตที่ผ่านมาให้เป็นศูนย์ ที่มีความหมายว่าอย่ายึดมั่นถือมั่นน่ะ เพื่อตัดกรรมตัดเวรตัดภัย เอาใจของเราภาวนาให้เป็นวิปัสสนาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน ไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จิตใจของเราต้องมีปัญญาต้องตั้งมั่นต้องเข้มแข็ง ต้องเสียสละสิ่งที่เป็นอดีต คำว่าติดก็คือไปไม่ได้ ถึงได้มีหลักการที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน เพื่อจะได้เป็นแรง Power เป็นยานเพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ได้อบรมบ่มอินทรีย์ ที่เป็นบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เพื่อจะได้จับหลักจับประเด็นให้ได้ทุกคน เดี๋ยวนี้เรายังปฏิบัติอย่างนี้ ยังไม่หมดกิเลสยังไม่สิ้นอาสวะ ยังไม่หมดเหตุยังไม่หมดปัจจัยที่เรียกว่าคน คนนี้แปลว่าทำทั้งถูกทั้งผิดทั้งดีทั้งชั่ว มีภพภูมิต่างๆ อยู่ในร่างกายเรานี้ จึงได้เรียกพวกเราเองว่าเป็นคนน่ะ เพราะยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่
ท่านพุทธทาสภิกขุ ที่ท่านได้เกิดที่ภาคใต้ของประเทศไทย ที่อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดวันที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 เมื่ออายุครบ 20 ปี ตัดสินใจออกบวช เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ.2469 ณ วัดอุบล อ.ไชยา โดยพระอุปัชฌาย์ตั้งฉายาให้ว่า “อินทปญฺโญ” จำพรรษาอยู่ที่วัดใหม่ (พุมเรียง) ซึ่งถือเป็นวัดประจำตระกูล จากนั้นได้เขาได้มาศึกษาพระธรรมวินัยต่อที่กรุงเทพมหานคร จนสอบได้เปรียญธรรม 3 ประโยค แต่แล้วท่านพุทธทาสภิกขุก็พบว่าสังคมพระพุทธศาสนาแบบที่เป็นอยู่ในขณะนั้นแปดเปื้อนเบือนบิดไปมาก และไม่อาจทำให้เข้าถึงหัวใจของศาสนาพุทธได้เลย ในพรรษาที่หก ความมุ่งหมายของท่านพุทธทาสภิกขุเริ่มเปลี่ยนไปจากเดิม ความรู้ทั้งหลายที่ท่านพุทธทาสภิกขุสั่งสมมานานจากการอ่านหนังสือธรรมะ รวมถึงความคิดมากมายและข้อสงสัยเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่เคยมีมาในอดีตเริ่มตกผลึกอย่างช้าๆ และก่อตัวเป็นอุดมการณ์ที่แจ่มชัดขึ้นทุกที ทำให้ไฟในการเรียนต่อเพื่อที่จะสอบเอาเปรียญธรรมที่สูงขึ้นไปได้อ่อนกำลังลง สุดท้าย ท่านพุทธทาสภิกขุก็สอบตกเปรียญธรรม 4 ประโยค ในปีนั้น และล้มเลิกความตั้งใจในการไขว่คว้าพัดยศพระเปรียญอย่างสิ้นเชิง จากการศึกษาคัมภีร์ที่เป็นหลักดั้งเดิมในภาษาบาลี ทำให้ท่านพุทธทาสภิกขุแน่ใจว่าเส้นทางที่ตนเองได้เดินมา และกำลังจะเดินไปนั้น ไม่ใช่เส้นทางแห่งความบริสุทธิ์ที่พระพุทธองค์ทรงชี้แนะแต่อย่างใด หากแต่เป็นเส้นทางที่เจือด้วยยศศักดิ์และความลุ่มหลงเมามัว ท่านพุทธทาสภิกขุจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดที่จะไม่เลือกเดินในเส้นทางสายนี้อีกต่อไป จึงตริตรึกนึกคิดหมุนชีวิตตามรอยพระอรหันต์ ดังในจดหมายที่ท่านพุทธทาสภิกขุส่งถึงนายธรรมทาสน้องชายว่า เราตกลงใจกันแน่นอนแล้วว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่เป็นที่ที่จะค้นพบความบริสุทธิ์ การถลำเข้าเรียนปริยัติธรรมทางเจือด้วยยศศักดิ์ เป็นผลดีให้เรารู้สึกตัวว่าก้าวผิดไปหนึ่งก้าว หากรู้ไม่ทันก็จะต้องก้าวไปอีกหลายก้าว และยากที่จะถอนออกได้เหมือนบางคน จากการรู้สึกว่าก้าวผิดนั่นเองทำให้พบเงื่อนว่าทำอย่างไรเราจะก้าวถูกด้วย
เราเดินตามโลกตั้งแต่นาทีที่เกิดมาจนถึงนาทีที่มีความรู้สึกนี้ ต่อนี้ไปเราจะไม่เดินตามโลก และลาโลกไปค้นหาสิ่งที่บริสุทธิ์ตามรอยพระอริยะที่ค้นแล้วจนพบ หากเราขืนเดินตามโลกและเป็นการเดินตามหลังโลก ตามหลังอย่างไม่มีเวลาทัน ถึงแม้ว่าเราจะได้เกิดอีกตั้งแสนชาติก็ดี บัดนี้เราจะไม่เดินตามหลังโลกอีกต่อไป จะอาศัยโลกสักแต่กาย ส่วนใจเราจะทำให้เป็นอิสระจากโลกอย่างที่สุด เพื่อเราจะได้พบความบริสุทธิ์ในขณะนั้น
ภายหลังกลับจากการศึกษาธรรมที่กรุงเทพ ก็มาอยู่ที่วัดใหม่ (พุมเรียง) ราวเดือนเศษ ก่อนจะใช้วัดร้างในป่าชื่อ “วัดตระพังจิก” เหนือหมู่บ้านพุมเรียง ที่มีแต่ซากอุโบสถและพระพุทธรูปเก่าๆ องค์หนึ่ง เป็นสถานที่ปฏิบัติและศึกษาธรรม เพื่อใช้ชีวิตปฏิบัติธรรมตามหลักธุดงควัตรของพระพุทธเจ้า ด้วยบริเวณนั้นมีต้นโมกและต้นพลาขึ้นอยู่ชุกชุม ท่านพุทธทาสจึงตั้งชื่อสถานที่นี้ใหม่ว่า “สวนโมกขพลาราม” ซึ่งมีความหมายตรงกับปณิธานของท่าน คือ “ป่าไม้ที่ยินดีเป็นกำลังให้ถึงธรรมเครื่องหลุดพ้นจากทุกข์” หรือ “อารามอันเป็นกำลังแห่งการหลุดพ้น” เพื่อใช้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุ เพื่อรื้อฟื้นการส่งเสริมปฏิบัติธรรมซึ่งย่อหย่อนลงในยุคนั้น ท่านพุทธทาสภิกขุสร้างสวนโมกขพลารามเป็นอุทยานแห่งการหลุดพ้น เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมเพื่อกวาดล้างสนิมหรือเสี้ยนหนาม เป็นสำนักเผยแผ่ธรรมขั้นสูงของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนดังสวนป่าหรืออารามดั้งเดิมในครั้งพุทธกาล ขังชีวิตตนเองอยู่ในป่าแห่งนั้นยาวนานหลายปี โดยปฏิบัติตนถือสันโดษ ตัดขาดจากโลกภายนอกตามพระบาลีมหาสติปัฏฐานสูตรที่ว่า “ภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นทางเดียว เพื่อความบริสุทธิ์หมดจดของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความตั้งอยู่ไม่ได้แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมอันสัตว์พึงรู้ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งฯ” “ภิกษุทั้งหลาย นั่นโคนไม้ทั้งหลาย นั่นเรือนว่างทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงเพียรเผากิเลส อย่าได้ประมาท พวกเธอทั้งหลายอย่าได้เป็นผู้ต้องร้อนใจภายหลังเลย” พุทธวจนะอันล้ำลึกนี้เปรียบเสมือนเสียงทิพย์แห่งโสต ซึ่งวิ่งวนอยู่ในจิตใจของท่านมหาเงื่อม อินทปัญโญ ซึ่งเป็นชื่อเดิมและฉายาทางพุทธศาสนาของท่าน เมื่อท่านได้ตระหนักในสัจธรรมดังกล่าวนั้นแล้ว ท่านจึงตั้งปณิธานตามพุทธประสงค์ในครั้งนั้น
เนื่องจากท่านพุทธทาสภิกขุพบว่าตำราธรรมะภาษาไทยนั้นยังอธิบายไว้ไม่เพียงพอสำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นจริงๆ ในเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2475 ท่านพุทธทาสภิกขุจึงเริ่มเขียนหนังสือ ตามรอยพระอรหันต์ โดยมุ่งหวังเพื่อให้เป็นแผนที่สำหรับการเดินทางไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ อันเป็นอุดมคติสูงสุดของพระพุทธศาสนา ซึ่งคำประณมพจน์และคำประกาศใช้นาม พุทธทาส ได้ปรากฏเป็นครั้งแรกในหนังสือตามรอยพระอรหันต์นี้ ว่า พุทฺธสฺสาหํ นิยฺยาเทมิ สรีรญฺชีวิตญฺจิทํ พุทฺธสฺสาหสฺมิ ทาโส ว พุทฺโธ เม สามิกิสฺสโร - อิติ พุทฺธทาโส ข้าพเจ้ามอบชีวิตและร่างกายนี้ ถวายแด่พระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายของข้าพเจ้า เพราะเหตุดังว่ามานี้ ข้าพเจ้าจึงชื่อว่า พุทธทาส
ท่านพุทธทาสภิกขุเล่าถึงที่มาของนามพุทธทาสไว้ดังนี้ เราเกิดความรู้สึกที่จะรับใช้พระพุทธศาสนาขึ้นมา โดยที่เราเริ่มเข้าใจพระพุทธเจ้าและเริ่มเข้าใจพุทธศาสนา ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์สูงสุดสำหรับมนุษย์ แต่แล้วมันก็ไม่ค่อยจะได้รู้จักกัน ฉะนั้นจึงอุทิศตั้งจิตว่า เราจะทำงานเผยแผ่พระพุทธศาสนา อย่างกับว่ารับใช้พระพุทธองค์ให้สมกับหน้าที่ของพระสาวก ทีนี้ทุกเย็นไม่ว่าวัดไหนเขาก็สวดทำวัตรเย็น ในบททำวัตรเย็นมันก็มีคำชัดเลยว่า "ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นนายมีอิสระเหนือข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธเจ้า" มันก็ยิ่งเข้ารูปกันกับ เราที่ตั้งใจอยู่ว่าจะรับใช้พระพุทธเจ้า ในฐานะที่เป็นทาส จึงสมกับที่เรียกตัวเองว่า "พุทธทาส" นี่คือความหมายของคำว่า "พุทธทาส" เกิดขึ้นจากความรู้สึกว่าไม่มีอะไรดีกว่า ชีวิตของเราจะอยู่ต่อไปอีกกี่ปีก็ตามใจ ถ้าจะใช้ให้เป็นประโยชน์ที่สุด และสูงสุด ก็ควรจะทำงานนี้ คือรับใช้พระพุทธเจ้า ด้วยการทำให้พุทธศาสนาแพร่หลายไป มีประโยชน์แก่คนทุกคนในโลกก็แล้วกัน แล้วอาตมายังคิดด้วยความรู้สึกบริสุทธิ์ใจว่า พุทธบริษัททุกคนเป็นพุทธทาสอยู่แล้วในตัว ไม่ใช่แต่เรา แต่เขาทำงานอย่างพุทธทาสอยู่แล้วทุกคน ช่วยรักษาบำรุงเผยแผ่พระพุทธศาสนา ฉะนั้นเราก็ไม่ยกตัว ไม่อวดดี ไม่จองหองพองขนว่า เป็นพุทธทาสแต่เราคนเดียวเท่านั้น
ท่านพุทธทาสภิกขุเอาธรรมนำชีวิต ท่านถึงได้รับความประเสริฐแห่งการเอาธรรมนำชีวิต พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นทางสายกลาง ท่านได้ประพันธ์ออกมาว่า จะเป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง… คือจะเป็นมนุษย์ได้เพราะใจมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่เช่นนั้นก็เป็นได้แต่เพียงคน
เพราะความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องนี้ เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นกระบวนการกระแสปฏิจจสมุปบาท ทุกคนก็ไม่ได้ไปแก้ที่ไหนหรอก แก้ที่ตัวของเราเองนี่แหละ เราก็พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน วิทยาศาสตร์ก็คือเรื่องเหตุผลเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีทางวัตถุ สำหรับมนุษย์เรา เรื่องปัจจุบันสำคัญนี้ที่สุดในโลก เพื่อจะได้ปฏิบัติให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราได้พากันมีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด การดำรงชีวิตของเรามันเลยเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ท่านถึงบอกว่าชีวิตที่มีแต่ความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด มันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้นทุกข์ตั้งอยู่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ เราต้องพากันเห็นภัยในวัฏฏสงสาร ในโลกนี้ถึงจะมีความอร่อยมีความแซ่บมีความลำความนัวความหรอยที่เป็นภาษาถิ่นแต่ละภูมิภาคของไทย เราก็ต้องพากันรู้จัก เราจะได้ไม่หลงทาง จับหลักจับประเด็นให้ได้เพราะสิ่งเหล่านี้คือข้อสอบ การประพฤติการปฏิบัติเอาธรรมนำชีวิตก็จะเป็นข้อตอบ
มนุษย์เราก็พากันอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่พ่อแม่เราอยู่ อยู่ที่ไหนเราก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติอยู่ที่นั่น เพื่อพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน การตั้งถิ่นฐานครอบครัวเพื่อให้เป็นครอบครัว เป็นหมู่บ้าน เพื่อความสมัครสมานสามัคคี ในสถานที่นั้นๆ ถึงมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน มี 3 อย่างนี้เป็นหลัก เพื่อเป็นโครงสร้างของหมู่มวลมนุษย์ มีที่อยู่ที่อาศัย มีแหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพ มีโรงเรียนเพื่อเรียนเพื่อศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เพื่อจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะได้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ในเรื่องจิตเรื่องใจของเราและในเรื่องทางวัตถุที่จะเป็นปัจจัย 4 ที่พวกเราจะได้ดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะ มนุษย์เราไปตั้งรกรากที่ไหนก็จะมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน
วัดนี้ก็คือที่อยู่ของนักบวช ที่เราได้สร้างกุฏิสร้างศาลาสร้างโบสถ์สร้างวิหารสร้างเจดีย์สร้างพระพุทธรูปน่ะ ก็เพื่อจะให้ผู้ที่สละโลกสละครอบครัวไม่มีภรรยาสามี ไม่ได้ทำมาหากินอะไร พากันมาบวชเป็นนักบวช มีชีวิตอยู่ด้วยการภิกขาจารบิณฑบาตรับอาหารในเวลาเช้า ตั้งแต่อรุณวันใหม่ให้ถึงระยะเวลาไม่เกินเที่ยงวัน ผู้ที่ออกบวชก็มีกติกาอย่างนี้ที่เป็นสมมุติสัจจะ ผู้ที่มาบวชต้องมายกเลิกด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง อันไหนไม่ดีก็ไม่คิด ปากของเราก็พูดได้ทีละอย่าง ทานอาหารทานอาหารก็ได้ทีละอย่าง เราต้องเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ ต้องโฟกัสมาที่ตัวเราเอง เอาปัจจุบันเป็นการปฏิบัติ เป็นเกมส์การปฏิบัติ เป็นไฟท์ในการปฏิบัติ ผู้ที่ไปบวชผู้ที่มาบวชต้องพากันทำอย่างนี้ทั้งวัดบ้านวัดป่า พระหนุ่มพระแก่ตลอดจนถึงสามเณรและคุณแม่ชี ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ถึงเรียกว่านักบวช มีอาชีพเป็นนักบวช ผู้ที่เป็นนักบวชถึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไปเลือกตั้ง ไม่สามารถเป็นข้าราชการนักการเมือง ตัดเรื่องการครองบ้านครองเรือนของฆราวาสออกไป ต้องพากันเข้าใจหน้าที่ของนักบวช มีชีวิตอยู่ด้วยการภิกขาจารบิณฑบาต วันไหนไม่ได้ภิกขาจารบิณฑบาตก็ไม่ได้ฉัน นอกจากผู้ที่แก่เฒ่าชราหรือป่วยอาพาธ พระในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าถึงไม่ให้รับเงินรับสตางค์ ทั้งที่จะรับเองหรือให้ผู้อื่นรับก็พอๆ กัน ความหมายก็คืออันเดียวกัน พระพุทธเจ้าท่านให้นักบวชต้องทำอย่างนี้ ไม่ให้เก็บอาหารสะสมอาหารที่ได้มา ให้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว การฉันอาหารหลายครั้งก็จำกัดเวลาตั้งแต่อรุณขึ้นมาจนถึงเที่ยง สำหรับคนแก่คนเฒ่า อาจจะฉันไม่ได้มาก ทีละไม่กี่ช้อน มันก็ไม่เพียงพอที่จะดำรงธาตุดำรงขันธ์ เวลาหลังเที่ยงไปพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตน้ำปานะ ที่มาจากผลไม้ที่ลูกไม่ใหญ่ เอามาปั่นเอามาคั้นแล้วกรองเอากากออก เพื่อเป็นยารักษาสรีระร่างกาย น้ำพะนะนั้นจะใช้สำหรับพระผู้เฒ่าผู้สูงอายุและผู้ที่อาพาธ พวกโค้กเป๊ปซี่เครื่องดื่มสมัยใหม่โกโก้กาแฟในยุคสมัยใหม่ที่ได้พัฒนากันขึ้นมา พวกนี้ก็ถือว่าเป็นน้ำปานะ ให้พากันเข้าใจ พระพุทธเจ้านะไม่ให้พระไม่ให้เณรพากันเก็บอาหารไว้เพื่อบริโภควันใหม่ อย่างวันนี้มีอาหารเยอะพรุ่งนี้ไม่ต้องบิณฑบาต หรือเก็บไว้เพื่อฉันวันใหม่ อย่างนี้ไม่ได้ เพราะสิ่งที่มันเป็นอดีตเราก็ต้องเสียสละ พระเณรชีผู้ที่มาบวชต้องมีหลักการ รู้ทั้งสมมุติสัจจะ เพื่อเราจะได้เสียสละความรู้สึกนึกคิดที่เป็นความยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวเป็นตน พากันเสียสละ อย่าพากันเก็บอาหารอย่าพากันเก็บสังฆทาน อย่าพากันกลัวอดตาย ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เอามรรคผลนิพพานเป็นที่ตั้ง ยกเลิกตัวตน เรื่องอาหารเรื่องการอยู่การฉันนี้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
ทุกท่านทุกคนต้องเอาธรรมวินัยที่เป็นสมมติสัจจะเอามาใช้เอามาประพฤติปฏิบัติ ไม่อดตายหรอก ต้องเน้นเข้าหาผู้ที่มาบวช เพราะผู้ที่มาบวชนั้นได้รับสิทธิพิเศษ บ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อเขาเอาอาหารมาถวายทุกๆ วัน ตั้งแต่เช้าไปถึงเที่ยง เราได้รับสิทธิพิเศษ ผู้ที่มาบวชเขาถึงเรียกกันว่า “พระ” ทำไมถึงเรียก “พระ” ก็เพราะยกเลิกตัวตนหมด ไม่ถือนิสัยของตัวตน ถือพระธรรมพระวินัย ถึงเรียกว่าพระธรรมพระวินัยน่ะ พระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าให้ผู้ที่มาบวชเข้าใจกันอย่างนี้นะ แต่พระพุทธเจ้านั้นก็ยังไม่เรียกนักบวชนี้ว่าเป็นพระ ท่านเรียกว่าภิกษุผู้มีความเป็นอยู่ด้วยภิกขาจาร เป็นผู้เห็นภายในวัฏสงสารถึงออกบวช ต้องพากันเอาธรรมะ เอาพระวินัย เป็นการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ผู้ที่มาบวช พ่อแม่ปู่ย่าตายาย ข้าราชการนักการเมือง เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ ก็ต้องกราบต้องไหว้ ผู้ที่บรรพชาอุปสมบทที่มาบวชเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนานั้น พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ที่อยู่ในพระไตรปิฎก 21,000 พระธรรมขันธ์ มีมาในภิกขุปาฏิโมกข์ 227 ข้อ เพื่อเป็นสมมติสัจจะ เพื่อที่จะได้โฟกัสว่าอันนี้คิดไม่ได้พูดไม่ได้ทำไม่ได้ เพื่อจะได้ยกเลิกเหตุยกเลิกปัจจัยที่ทำให้เราทุกคนน่ะไปสร้างเหตุสร้างปัจจัยในการเวียนว่ายตายเกิด ผู้ที่มาบวชเนี่ยจึงได้มีสิทธิพิเศษ เป็นประโยชน์ของผู้ที่มาบวชเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม
เราทุกคนนั้นต้องเอาพระธรรมนำชีวิต พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าคำว่า “พระ” คำว่า “สมณะ” นี่แหละ นับตั้งแต่พระโสดาบันไปถึงพระอรหันต์ เป็นฆราวาสผู้ครองเรือนก็เป็นพระได้ เป็นสมณะชีพารหมณ์ก็เป็นพระได้ การเป็นพระนี่ก็เปรียบเสมือนอาหาร การรับประทานอาหาร หรือว่าฉันอาหาร ใครไปบริโภคอาหารหรือฉันอาหาร มันก็ดับทุกข์ได้ทุกๆ คน เพราะอันนี้เป็นสากล ผู้ที่มาบวชก็ได้สิทธิพิเศษ ก็มาเป็นพระอริยเจ้าได้ ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ขีนาสพ เพราะว่ามันไม่มีวิตกกังวลใดๆ ในเรื่องการทำมาหาเลี้ยงชีพ มีโอกาสพิเศษมาประพฤติปฏิบัติ มาทำความเพียรติดต่อต่อเนื่อง ทั้งฆราวาสผู้ครองเรือนก็เป็นพระอริยเจ้าได้ ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอนาคามี ทำไมเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ ก็เพราะความดับทุกข์ก็ดับทุกข์เหมือนกันหมด เพราะฆราวาสผู้ครองเรือนมีการมีงานเยอะ ต้องดูแลตนเองดูแลพ่อแม่ดูแลญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ต้องทำการทำงาน มีหน้าที่การงานเต็มไปหมดน่ะ ฆราวาสกับการทำงานการปฏิบัติธรรม ถึงต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันไป ต้องเสียภาษีเสียอากรให้บริหารประเทศชาติ บริหารบ้านเมือง บริหารส่วนรวม แล้วยังบำรุงพระศาสนา เผื่อแผ่ดูแลคนยากคนจน คนพิกลพิการ คฤหัสถ์ยังมีปลิโพธอยู่มาก ถึงได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ขีณาสพไม่ได้ เพราะยังมีกังวลอยู่ สำหรับพระอริยเจ้าที่เป็นอนาคามีท่านก็มีภาระ ที่จะดูแลพ่อดูแลแม่ดูแลกิจการ การบรรลุธรรมหมายถึงยกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกตัวตน ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เอาธรรมนำชีวิต ไม่ได้เอาอวิชชาความหลงนำชีวิต ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจว่าการบรรลุธรรมนี้ เขายกเลิกตัวยกเลิกตน ไม่มีอวิชชาไม่มีความหลง หัวใจของเราทุกคนถ้ายังมีอวิชชามีความหลงอยู่ เขาเรียกว่ายังเป็นหัวใจไสยศาสตร์ หัวใจไสยศาสตร์คือมีความหลงอยู่ ถ้าเรายกเลิกตัวตน เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระธรรมเป็นหลัก เอาพระอรหันต์สาวกเป็นหลัก เราทุกคนก็จะได้บรรลุธรรม เพราะยกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิตปรับเข้าหาเวลาปรับเข้าหาธรรมะ มีความสุขมีความดับทุกข์
จิตใจของหมู่มวลมนุษย์จะไม่มีความสับสน คนจำพวกนี้จะเชื่อมั่นในกรรมในกฎแห่งกรรม เพราะว่าไม่มีไสยศาสตร์ ไม่มีอวิชชาไม่มีความหลง เชื่อกรรมเชื่อเหตุเชื่อปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี คนจำพวกนี้แหละไม่หลงงมงาย เอาพุทธะนำชีวิต ทั้งทางกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาท เพราะพวกเราน่ะจะเป็นฆราวาสก็ต้องรู้จัก ในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะฆราวาสเมื่อยกเลิกตัวตน ฆราวาสก็เป็นพระได้ พวกนักบวชพวกที่พากันมาบวช พระภิกษุสามเณร พวกแม่ชีนี้ต้องพากันรู้จัก ความเป็นพระนั้นคือพระธรรมคือพระวินัย ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกอวิชชายกเลิกความหลง ที่เรามาบวชเราไม่ใช่พระนะ ยังไม่เป็นพระ เป็นแต่เป็นสมมุติสัจจะ เป็นสมมุติสงฆ์ เป็นพระเป็นเณรเป็นคุณแม่ชีต้องเข้าใจอย่างนี้ ต้องเอาสมมุติสัจจะที่เราได้รับสิทธิพิเศษ ที่เราได้ปลงผมนุ่งห่มผ้า จีวร ที่เราได้รับสิทธิพิเศษบ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อ ข้าวเขาก็เอามาให้ เราได้รับการแต่งตั้งว่าเป็นนักบวช เราทุกคนต้องปฏิบัติตัวเอง โฟกัสให้ตัวเองเป็นพระธรรมพระวินัย ยกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน เอาธรรมะวินัยเป็นที่ตั้ง เราถึงจะได้บรรลุธรรม ให้เข้าใจอย่างนี้ ต้องโฟกัสตัวเองอย่างนี้ เพราะตำแหน่งแต่งตั้งนั้นมันเป็นเพียงสมมุติสัจจะ ผู้ที่มาบวชทั้งหลายอย่าไปกลัวตายอย่าไปกลัวอดตาย ประเทศไทยของเราถึงมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน เพราะเราต้องพัฒนาทั้งเรื่องจิตเรื่องใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพราะร่างกายของเราที่มีธาตุมีขันธ์มีอายตนะ ต้องอาศัยอาหารนะ ที่อยู่ที่อาศัย ยารักษาโรค ขอ 2 อย่างนี้ใจกับกายต้องไปพร้อมกัน เพื่อเราจะได้เป็นพุทธะในกายวาจา ในกายกิริยามารยาทตลอดอาชีพ เราทุกคนทำหน้าที่ของเราให้มันดีให้มันสมบูรณ์
ที่เรารู้เราเห็น ที่มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ โกงกินคอรัปชั่น ประพฤติผิดในกาม โกหก คดโกงหลอกลวง การพนันทุกชนิดถึงจะถูกต้องตามกฎหมาย และที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ดื่มน้ำเมายาเสพติดทุกชนิด ที่ตั้งอยู่ในความหลงอยู่ในความเพลิดเพลินอยู่ในความประมาท อันนี้คือสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มนุษย์เราจะบัญญัติว่า สิ่งนี้ถูกต้องแต่สิ่งนั้นมันไม่ถูกต้อง มันเป็นประชาธิปไตยก็จริง มันเป็นกฎหมายบ้านเมืองก็จริง นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุด้วยปัจจัยนี้ เราต้องเอาทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจ พากันมีปัญญาพากันฉลาด เพราะคนเราบ้านเมืองมันออกเป็นกฎหมายมา มันจะเป็นประชาธิปไตยที่เป็นเผด็จการของส่วนรวม เราก็เข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ เช่น เหล้าเช่นเบียร์ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เราก็ออกเป็นกฎหมายบ้านเมืองว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เป็นประชาธิปไตยเพราะคนเขาต้องการดื่มเบียร์ แต่สิ่งเหล่านั้นมันก็ยังดื่มแล้วก็ยังเมา ยังทำให้สติสัมปชัญญะไม่สมบูรณ์ เพราะพวกเราพวกเบียร์มันเป็นยาระงับประสาท ยากระตุ้นประสาท มันเป็นการไปแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ที่มนุษย์คลั่งไคล้ด้วยอวิชชาด้วยความหลง เราต้องพากันเข้าใจว่า กฎหมายบ้านเมืองที่เป็นระดับประชาธิปไตย สังคมนิยมหรือประเพณีนิยม มันเป็นกฎหมายสำหรับระดับคำว่าคน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าคน มนุษย์เรามันก้าวไปไกลระดับถึงความเป็นมนุษย์ ต้องเอาความถูกต้องทั้งกายทั้งวาจา ทั้งกิริยามารยาท ทั้งอาชีพ เราต้องเอาความถูกต้องเป็นหลัก เราทุกคนต้องโฟกัสมาหาตัวของเราเอง การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันเป็นของยาก ทำไมมันเป็นของยาก เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันถึงเป็นของยาก เป็นของยากเป็นของที่ทำไม่ได้ เพราะเรานี้ยังติดในความเสพติด ถึงต้องมีศีลสิกขาบทน้อยใหญ่ ระดับนักบวชในพระพุทธศาสนา 21,000 พระธรรมขันธ์ ที่มาในภิกขุปาฏิโมกข์ 227 ข้อ เพื่อโฟกัสเพื่อเป็นสมมติสัจจะ ท่านให้ถือว่าสิ่งนี้เป็นยาน ที่จะได้นำเราออกวัฏสงสาร ที่อันไหนไม่ดีไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ยกเลิกทาสยกเลิกตัวตน ต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ ปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ เป็นแม่น้ำ เป็นทะเล เป็นมหาสมุทร พระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ถึงเป็นยานนำเราออกจากวัฏสงสาร ที่ป็นวัฏฏะ ที่มันหมุนรอบตัวเอง ที่มันเป็นไสยศาสตร์เป็นความหลง พาเราทุกคนเวียนว่ายตายเกิด
พระภิกษุสามเณรคุณแม่ชีทั้งหลาย ต้องพากันเข้าใจ เข้าใจเข้าแล้วจะได้เข้าสู่ภาคปฏิบัติ ผู้ที่อยู่ในครอบครัว ที่เป็นข้าราชการนักการเมือง ต้องพากันเข้าใจ ที่กล่าวมานี้เป็นสมมุติสัจจะ ให้พวกเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มันโฟกัสมาหาเรานี่เอง ไม่ได้โฟกัสไปหาคนอื่น เราทุกคนจะได้ทำหน้าที่ของตัวเราได้สมบูรณ์ เราทุกคนไม่ต้องกลัวอดตาย ทำถูกต้องมันไม่อดตายอยู่แล้ว แล้วเราจะได้พากันเป็นพระทั้งนักบวชเป็นพระทั้งฆราวาส เป็นพระทั้งข้าราชการนักการเมือง มันเป็นพระได้ทุกๆ คน เพราะความดับทุกข์มันเป็นสากล มันมีกับเราแล้วในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน การปกครองเราเองทุกๆ คนน่ะ ต้องเอาธรรมนำชีวิต ต้องเอาธรรมนำวัตถุ เพื่อให้ 2 อย่างเป็นทางสายกลางพร้อมกัน เป็นสมัยใหม่ เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เรียกว่าการตัดกรรมตัดเวรตัดภัยที่เป็นอดีต ที่เรามีตัวมีตน เรียกว่าความยึดมั่นถือมั่น ทุกคนต้องโฟกัสมาหาอย่างนี้แหละ พระบวชใหม่พระบวชเก่าต้องเอาอย่างนี้ ไม่มีอะไรเก่าไม่มีอะไรใหม่ ต้องเข้าใจอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนต้องโฟกัสเข้ามาหาตัวเอง ตั้งแต่ก่อนเรายังไม่เข้าใจไม่เป็นไร เมื่อเข้าใจแล้วเราต้องเข้าถึงภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ ต้นไม้นี้เมล็ดพันธุ์นี้ที่เกิดมาใหม่ๆ มันก็โผล่ขึ้นมาจากดิน ถ้าเราดูแลอุปถัมภ์อุปัฏฐาก 10 ปี 20 ปี 30 ปี ต้นไม้ก็ย่อมสูงตระหง่านฟ้า แล้วเราก็เข้าใจอย่างนี้ การปฏิบัติธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญ
ทุกๆ คนนี้มันเก่งมันฉลาดเหมือนกันทุกๆ คน เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราต้องข้ามสัญชาตญาณ ซึ่งเป็นสิ่งเสพติด เป็นอวิชชาเป็นความหลง ที่เป็นไสยศาสตร์ ที่พวกเราได้เวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราพักผ่อน 6 ชั่วโมงถึง 8 ชั่วโมงของฆราวาส สติสัมปชัญญะของเราเมื่อเรายกเลิกตัวตน สติสัมปชัญญะของเรามันก็จะกลับมา สำหรับนักบวชเราก็พากันนอนพากันพักผ่อนพากันจำวัด 4 ถึง 6 ชั่วโมง ชีวิตของเราต้องปฏิบัติให้มันสมบูรณ์อย่างนี้ ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง มีศรัทธาในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะการเวียนว่ายแต่เกิด นั้นไม่ใช่สิ่งที่เราทั้งหลายจะเพลิดเพลิน ตั้งอยู่ในความหลงตั้งอยู่ในความประมาท พระพุทธเจ้าก่อนที่ท่านจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านก็เป็นห่วงพวกเราหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา อย่าพากันตั้งอยู่ในความหลงความประมาท ต้องพากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ปัจจุบันนี้มันเป็นสิ่งที่สำคัญ ธรรมะเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็มีความสุขที่สุดในโลก เพราะเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปรับทั้งใจ ทั้งกายวาจา ปรับทั้งกิริยามารยาท ธุรกิจหน้าที่การงาน เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ทั้งกายทั้งใจทั้งกริยามารยาท เราจะไปคิดว่ารอให้รวยก่อน รอให้ลูกให้หลานเป็นฝั่งเป็นฝาก่อน เราอย่าไปคิดอย่างนั้น ทุกคนต้องเอาที่ปัจจุบัน เอาการปฏิบัติธรรมกับการทำงาน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อเรายกเลิกตัวตนชีวิตของเราก็จะไม่สับสน ให้เราเข้าใจอย่างนี้ เราต้องขอบใจรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ที่มันมาเป็นข้อสอบให้เราได้ตอบ ให้เราได้ประพฤติให้เราได้ปฏิบัติ
หมู่มวลมนุษย์เราที่เป็นฆราวาส ตอนเช้าตอนเย็นต้องนั่งสมาธิ เพื่อฐานของชีวิต ตอนเย็นน่ะก็สักชั่วโมงนึง ถ้า 30 นาทีมันน้อยไป ตอนเช้าก็สักชั่วโมงนึง เพราะนั่งสมาธินี้มันเป็นการยกเลิกตัวตนยกเลิกอดีต ในอนาคตในปัจจุบันก็เข้าสู่ความว่างจากตัวตนว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันว่างเปล่า ในชีวิตประจำวันที่ผ่านมามันก็ไม่มีอะไร มันก็มีแต่เกิดขึ้น ก็มีแต่ตั้งอยู่ ก็มีแต่ดับไป ทุกอย่างมันคือความว่างเปล่า เราก็พากันมานั่งสมาธิอย่างนี้ ให้เป็นฐานของชีวิต ให้สมาธิเราเป็นสัมมาสมาธิ เราจะไปเอาอะไร เพื่อให้เป็นสมาธิพุทธะ เพื่อไม่ให้เป็นสมาธิอวิชชาความหลงในตัวในตนได้อิทธิปาฏิหาริย์อะไรๆ อย่างนั้น เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งจะมีอิทธิปาฏิหาริย์อะไร เพราะมันมีแต่การเวียนว่ายตายเกิด สมาธิที่มีอิทธิปาฏิหาริย์สมาธิเพื่อตัวเพื่อตน พระพุทธเจ้าบอกว่าอันนี้ไม่ใช่สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิเพื่อตัวเพื่อตน เป็นสมาธิแบบหินทับหญ้า มันเป็นสมาธิที่มีอัตตาตัวตน เป็นพลังงานแห่งอวิชชาเป็นพลังงานแห่งความหลง ให้ความหลงขับเคลื่อนชีวิตด้วยมิจฉาสมาธินี้ไม่ได้ เราต้องเอาสัมมาสมาธิ ในเวลาเช้า 1 ชั่วโมง ในตอนค่ำสัก 1 ชั่วโมง ทุกคนน่ะ มันมีสีลัพพตปรมาส มีตัวมีตน มันไม่อยากประพฤติไม่อยากปฏิบัติ เราต้องรู้ว่าอันไหนมันถูกต้องอันไหนไม่ถูกต้อง เราต้องปรับตัวเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะ แล้วเราจะมีหลักการมีจุดยืนที่ติดต่อต่อเนื่อง เราทำเต็มที่ถึงชื่อว่าเรารักตัวเอง ไม่ใช่เราไปรักคนอื่น เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ใช่เรารักตัวเองรักคนอื่น มันเป็นการหลงตัวเองหลงคนอื่น
เราทุกคนต้องมีหลักการมีจุดยืน มีข้อวัตรมีข้อปฏิบัติ พวกเราต้องรู้จักคำว่าความงามนะ ความงามมันต้องงามทั้งภายใน เพื่อที่จะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา พวกเราพากันงามแต่ภายนอก ไปศัลยกรรมแต่ภายนอก พวกเราต้องศัลยกรรมทั้งภายนอกทั้งภายในน่ะ คนเราต้องดีทั้งกายทั้งวาจาทั้งใจทั้งกิริยามารยาท โฟกัสเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราต้องหอมทั้งภายนอกทั้งภายใน เพื่อความสมบูรณ์แบบที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ คุณค่าในความประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์ คนเราทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกาย ทั้งใจ ทั้งกริยามารยาท ทั้งธุรกิจหน้าที่การงาน เราทุกคนต้องพากันเอาพระพุทธเจ้ามาไว้ที่กายที่วาจาที่จิตใจ เอาไว้ในเราเพื่อเป็นปฏิปทาติดต่อต่อเนื่อง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee