แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [ลองพูดคุยกับ AI ทาง Line]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑๑ จะเป็นเรื่องดีเรื่องไม่ดี ชอบหรือไม่ชอบ ก็ต้องยกเลิกไป ด้วยภาวนาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันอังคารที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๗
การประพฤติการปฏิบัติให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ ต้องพากันยกเลิกเรื่องที่เป็นอดีตให้เป็นเลขศูนย์ อดีตมันเป็นกรรมเก่าที่มันเป็น Memory เป็นหน่วยความจำ ที่มันส่งต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทุกๆ คนต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง อย่าให้เรื่องอดีตมาปรุงแต่งจิตใจของเรา มันเป็นไปไม่ได้ที่ทุกๆ คนจะไม่มีอดีต จะเป็นเรื่องดีเรื่องไม่ดีชอบไม่ชอบต้องยกเลิก ภาวนาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา ถ้าเราพากันมาคิดดู เหมือนพวกเราไปกู้หนี้ยืมสิน จิตใจของเราก็เหมือนกัน เราไปให้อดีตมาครอบงำมาปรุงแต่ง ถ้าเราทำอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่องจิตใจก็จะชำนิชำนาญ เราจะได้เอาอารมณ์เอาความคิดเอาสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นยกขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อเป็นการประพฤติการปฏิบัติของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นไม่ได้ จิตใจของพวกเรามันจะเศร้าหมอง ทุกคนน่ะย่อมมีอดีตเหมือนกัน มันก็จะมีแต่เรื่องเก่าๆ มีแต่เรื่องอดีต ถ้าพวกเราไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ พระอรหันต์ท่านไม่มีจิตใต้สำนึกที่เป็นสัญชาตญาณมาปรุงแต่งท่านได้ ถ้าท่านต้องการรู้อดีตท่านก็กำหนดวาระจิตรู้เรื่องอดีต ไม่ใช่เกิดขึ้นโดยจิตใต้สำนึกที่เป็นกรรมที่คอยสนับสนุน เราให้อดีตปรุงแต่งเรา เพราะบางรูปก็ยังครึ่งๆ กลางๆ ให้อดีตมันปรุงแต่งได้ บางครั้งก็คิดเรื่องสึก บางครั้งก็คิดเรื่องไม่สึก เพราะเราเปิดโอกาสให้อดีตมันปรุงแต่งเราน่ะ ถ้าเรายกเลิกเรื่องอดีตได้ เหมือนกับเราได้ใช้หนี้ใช้สินเขาจบแล้ว กรรมเก่ามันตามเราไม่ได้ ตามเราไม่ทันแล้ว กรรมนั้นมีอยู่ แต่เราสามารถทำให้ตามไม่ได้ตามไม่ทัน ท่านเปรียบกรรมเหมือนสุนัขที่มันวิ่งไล่เนื้อนี่แหละ หรือว่าเสือที่มันกำลังวิ่งล่าเนื้อ เรื่องอดีตก็เหมือนกัน ในชีวิตประจำวัน เราก็ต้องเจอกับรูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ มันเป็นเกมส์ที่พวกเราต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ไม่ให้อดีตมันตามล่าเรา ความไม่เข้าใจแล้วก็ปล่อยให้กรรมเก่าที่ได้รับผัสสะที่มาเกี่ยวข้องกับตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้นตามมาทัน เราทุกคนต้องพากันมาแก้ปัญหาที่ตัวของเราเองนะ อย่าให้กรรมเก่ามันตามทัน
การประพฤติการปฏิบัติ เหมือนผู้ที่เลิกเหล้าเลิกบุหรี่ ยาเสพติด เราต้องอาศัยจิตใจเข้มแข็ง เป็นผู้เห็นภัยเห็นโทษมันเป็นเรื่องจำเป็น ที่ทุกคนจะต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ถ้าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติมันก็ไม่ได้ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ข้อวัตรกิจวัตร เราทุกคนต้องเอามาใช้เอามาปฏิบัติ เพื่อให้เขาถึงสมมุติสัจจะ เราต้องพากันประพฤติพาการปฏิบัติให้ได้ ต้องขยันต้องรับผิดชอบ แล้วพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เป็นข้อสอบ เราก็ตอบด้วยเข้าสู่ศีลและสมาธิ แล้วก็พิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ การปฏิบัติให้สม่ำเสมอ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติบางครั้งก็ขยันบางครั้งก็ขี้เกียจ อย่างนี้ไม่ได้ จะให้เราไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติที่ปล่อยเวลาให้มันสูญเปล่า ปกติตามสัญชาตญาณ ที่เป็นตัวเป็นตนเป็นความยึดมั่นถือมั่นมันเคยชิน ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง เราทุกคนก็จะเข้าใจง่ายๆ
เรามาบวชเรามาปฏิบัติอยู่ที่วัด มาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง อย่าไปเอาตั้งแต่ศีล อย่าไปเอาแต่สมาธิ อย่าไปเอาแต่ปัญญา 3 อย่างนี้ต้องไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะได้เป็นข้อวัตรเป็นกิจวัตร ข้อวัตรข้อปฏิบัติต้องอยู่กับเราในปัจจุบัน ความรู้พวกนี้ไม่ต้องอยู่แต่ในหนังสือ การเรียนการศึกษานี้ไม่เอามาประพฤติเอามาปฏิบัติ ดูมันจะห่างไกลจากมรรคผลพระนิพพานไปเรื่อย
ทุกคนต้องมาประพฤติมาปฏิบัติ เน้นที่ตัวเองเน้นที่ปฏิปทา เป็นพระเป็นเณรเป็นคุณแม่ชี เป็นผู้ปฏิบัติธรรมอยู่ภายในวัด พวกเราพากันนอนพากันพักผ่อน วันหนึ่ง 4 ชั่วโมงถึง 6 ชั่วโมง ถ้าเราได้นอน 4 ชั่วโมงถึง 6 ชั่วโมงก็พอไปได้ พอที่จะมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เมื่อเราเน้นที่ปัจจุบันให้เป็นศีลสมาธิปัญญา ไม่ให้อดีตที่เป็นกรรมเก่าปรุงแต่งได้ มันก็จะค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป พากันรู้ความคิดพากันรู้อารมณ์ เพราะว่าใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง ปัจจุบันเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ พวกเราก็พากันผิดศีลผิดพระวินัย ให้เวลาผ่านไปด้วยการไม่ได้ทำประโยชน์ตนไม่ได้ทำประโยชน์บุคคลอื่น เราเป็นเสขะบุคคลบุคคลที่จะต้องประพฤติที่จะต้องปฏิบัติ พวกโทรศัพท์มือถือ พวกการพูดคุยกันทางโลก ทำให้ใจของเราไม่สงบ จิตใจไม่วิเวก จิตมีความฟุ้งซ่าน การประพฤติการปฏิบัติ ก็จะไม่ติดต่อต่อเนื่อง พระพุทธเจ้าบอกพวกเราว่า ให้พวกเรายกเลิกตัวตน เมื่อยกเลิกตัวตนแล้วสมองถึงจะไม่สับสน ความสงบวิเวกก็จะอยู่กับพวกเราทุกหนทุกแห่ง เราต้องเข้าใจพระพุทธศาสนาง่ายๆ อย่างนี้
ไม่ต้องไปหาความสงบที่ไหนหรอก เมื่อเรายกเลิกตัวตน ใจของเราทุกคนก็จะมีความสงบมีความวิเวก เราอาศัยใจสงบใจวิเวกเป็นพื้นฐานอย่างนี้แหละ พิจารณาร่างกายทุกชิ้นทุกส่วน แยกออกเป็นชิ้นเป็นส่วนเลยสู่พระไตรลักษณ์ มาพิจารณาเวทนาที่เป็นสุขเป็นทุกข์ หรือไม่สุขไม่ทุกข์ ภาวนาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ภาวนาจิตสังขารความปรุงแต่ง เข้าสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายทั้งปวงสู่พระไตรลักษณ์ เพราะเมื่อเราไม่ยกเลิกตัวตนแล้ว จิตใจของเรามันก็จะไม่อยากพิจารณา รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะว่าธรรมชาติที่เป็นตัวเป็นตนมันยึดมั่นถือมั่น มันเป็นอย่างนั้นเอง อยู่ว่างๆ สำหรับนักบวช บทสวดมนต์ที่ท่องได้แล้วก็จะหลงลืม เราอยู่ว่างๆ ก็ทบทวนบทสวดมนต์หรือที่สวดได้แล้ว หรือท่องบทสวดที่ยังไม่ได้ ก็เช่นบุคคลที่เคยสวดปาฏิโมกข์ได้อย่างนี้ มันก็ต้องทบทวน อย่าเอาแต่ความสุขความสะดวกความสบาย ให้ผ่านไปวันๆ อย่างนั้นไม่ได้ เสียหาย ขาดการประพฤติการปฏิบัติ เวลาเป็นสิ่งที่มีค่า เอากลับคืนมาไม่ได้ เรารู้พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าจากในหนังสือจากครูบาอาจารย์บอกสอน เราทุกคนต้องพากันมาประพฤติมาปฏิบัติ ที่อยู่ที่อาศัยห้องน้ำห้องสุขา ต้องให้สะอาด ต้องพากันทำพากันปฏิบัติเป็นข้อวัตรกิจวัตร เราจะได้เป็นข้อวัตรเป็นข้อปฏิบัติ ในการฝึกตัวฝึกตน กุฏิใครกุฏิมันห้องน้ำห้องสุขา ห้องสุขารวม ต้องให้สะอาด เพราะว่าวัดเราที่อยู่ที่อาศัยของพวกเรา เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ไม่ต้องให้ชาวบ้านประชาชนมาทำให้ พวกผู้หญิงจะเป็นภิกษุณี สามเณรี แม่ชีหรือผู้ปฏิบัติธรรม อยู่ส่วนของผู้หญิง ก็ต้องพากันรับผิดชอบ ในที่อยู่ที่อาศัย ห้องน้ำห้องสุขา กุฏิบ้านพักต้องสะอาดตลอดจนถึงถนนหนทาง ห้องสุขาส่วนรวม เพราะว่าเขตนู้นต้องให้เป็นสัดส่วน
พระจะตามไปทำไปปฏิบัติให้ ไม่เหมาะไม่ควร พระพุทธเจ้าถือว่าเป็นสถานที่สำหรับผู้หญิง สำหรับฝ่ายพระฝ่ายเณรต้องรับผิดชอบ พระพุทธเจ้าท่านให้พากันทำเป็นสัดเป็นส่วน เพื่อเราจะได้เอาพระธรรมเอาพระวินัย เอาสมมุติสัจจะมาใช้การใช้งาน ผู้หญิงที่ต้องทำหน้าที่ทำอาหารเตรียมอาหาร ก็ให้ทุกคนพากันเข้าใจว่า การทำงานคือการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมคือการทำงาน เราจะได้เข้าใจเรื่องข้อวัตรข้อปฏิบัติ
หลวงปู่ชาท่านบอกท่านสอนเรา ทุกคนต้อง ต้องบอกต้องสอนต้องประพฤติต้องปฏิบัติตัวเองให้เป็น 100% เราบอกสอนคนอื่นเพียง 4-5% นี้ก็เพียงพอ ทุกคนต้องบอกต้องสอนต้องปฏิบัติตัวเอง พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พระพุทธเจ้าทรงตั้งทรงบัญญัติไว้อยู่แล้ว ข้อวัตรกิจวัตรต่างๆก็ตั้งไว้อยู่แล้ว ทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ทุกคนอย่าไปทำอะไรตามอัธยาศัย ที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ปรับตัวเข้าหาศีลหาพระวินัยหาข้อวัตรหาข้อปฏิบัติ อย่างนี้เขาเรียกว่าปฏิบัติตามอัธยาศัย ทุกคนต้องยกเลิกอัธยาศัยยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ทำอย่างนั้นไม่ปฏิบัติอย่างนั้น เราก็จะเข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ไม่ได้ การประพฤติการปฏิบัติของเรามันจะไม่ตัดกรรมตัดเวรตัดภัย เราต้องตัดสังโยชน์ตัดตัวตัดตน สิ่งที่เป็นอดีตไปแล้ว อย่าให้อดีตมาปรุงแต่ง พวกเราทุกคนพากันรู้นะ ถ้าเรายกเลิกตัวตนแล้ว เราก็จะได้เป็นทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ส่วนรวม ทุกคนก็จะรักเราเคารพเรานับถือเรา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าไม่ต้องไปอวดอุตริมนุษธรรมอะไรหรอก เรายกเลิกตัวตนทุกคนก็รักเคารพนับถืออยู่แล้ว ไม่ต้องพากันกลัวตาย ไม่ต้องพากันคิดว่าจะอดตาย ถ้าเรายกเลิกตัวตนทุกคนก็รักเรานับถือเรา เพราะคนเราน่ะเป็นพระเป็นเณรเป็นผู้ปฏิบัติธรรมมาอยู่ด้วยกันหลายวันหลายเดือนมันรู้กันอยู่แล้ว การประพฤติการปฏิบัติให้ทุกท่านทุกคนพากันเดินมาอย่างนี้นะ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนมันก็ไปโทษแต่คนอื่น โทษสิ่งภายนอก สิ่งภายนอกมันก็เป็นอาคันตุกะมาเยี่ยมมายามมาถามข่าวเรา แล้วเขาก็จากไป ทุกอย่างมันก็เปลี่ยนไปอย่างนี้แหละ
ผู้ที่บวชเก่าผู้ที่บวชใหม่ก็ต้องทำอย่างนี้เหมือนกัน ไม่มีใครยกเว้น ยิ่งบวชนานอยู่นาน ถ้าเรายกเลิกตัวตนมันก็ยิ่งชำนิชำนาญเป็นอัตโนมัติ ถ้าเรามีความรู้ไม่คู่การประพฤติไม่คู่การปฏิบัติ เรามาอยู่วัดก็ไม่มีประโยชน์อะไร เป็นเพียงคนมาอาศัยวัดทำมาหาเลี้ยงชีพ ทำให้ส่วนรวมเสียหาย พวกที่เป็นนาคมาเตรียมบวชพระ เรามีโอกาสพิเศษเราก็ต้องพากันตั้งอกตั้งใจ เพื่อการมาบวชมาปฏิบัติ จะได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เหนื่อยก็ช่างมัน ผอมก็ช่างมัน หิวก็ช่างมัน เพราะการมาบวชคือมายกเลิกตัวตน ไม่ได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง การแต่งตั้งหรือสมมุติ เมื่อใจยอมรับในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เรามาฉันอาหารวันละครั้ง ฉันให้เต็มอิ่มหน่อยนะ ตอนเย็นตอนกลางคืนมันก็ไม่เหนื่อยหรอก ความหิวความเหนื่อยเกิดจากเราทานอาหารน้อยเกิน แคลอรี่สู่ร่างกายมันน้อยเกิน มันเกิดจากความคิดความปรุงแต่ง เมื่อเราทานอาหารฉันอาหารมากพอประมาณ แคลอรี่พอไปได้ แล้วก็ยกเลิกความคิดเรื่องอารมณ์ว่า พระพุทธเจ้าให้พวกมาบวชทั้งหลาย ให้ฉันอาหารวันละครั้งนะ พัฒนาทั้งกายพัฒนาทั้งใจ พวกท่านทั้งหลายก็จะไม่มีความหิว ต้องให้เข้าใจอย่างนี้ เพราะความคิดความปรุงแต่งมันกดดันเรา อายตนะมันกดดันเรา เราต้องเข้าใจ พระพุทธเจ้าถึงบอกเราสอนเรา เดือนนึงมี 30 วัน 31 วัน 28 วันก็มีอย่างนี้เป็นต้น ท่านให้พากันรักษาศีลอุโบสถ เดือนละ 8 ครั้ง วัน 7 ค่ำวัน 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ เพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้พากันพัฒนาใจของตัวเอง พากันรักษาศีล 5 พัฒนาวัตถุเทคโนโลยี ต้องเสริมการประพฤติการปฏิบัติถือศีลอุโบสถเดือนละ 8 ครั้ง 8 วัน 8 คืน เพื่อเป็นหลักทางจิตทางใจ
พระวัดบ้านบวชอยู่ที่อารามที่บ้านในหมู่บ้านหรือในเมืองหรือในกรุง ส่วนใหญ่ก็ฉันภัตตาหารวันละ 2 เวลา ตอนเช้า 7:00 น หรือ 7:30 น . ตอนกลางวันก็ 11:00 น ที่ได้ทำกันจนเป็นปฏิปทา จนเป็นประชาธิปไตยแล้ว เป็นหมู่เป็นคณะ ความเป็นจริงแล้วพระพุทธเจ้าให้ฉันภัตตาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว จะอนุโลมพระภิกษุสามเณรเจ็บไข้ไม่สบาย ที่ให้ฉันได้วันละหลายครั้งตั้งแต่รุ่งอรุณไปจนถึงเที่ยงวัน ฉัน 2 ครั้ง 3 ครั้งก็ได้ แต่ก็ให้อยู่ในสว่างไปจนถึงเที่ยงวัน ถ้ามันยังไม่หายเจ็บไข้ได้ป่วยก็ยังมีน้ำปานะให้ดื่มอีก เวลาภิกษุเดินทางไกลอย่างนี้เป็นต้น ก็ให้ฉัน 2 ครั้ง 3 ครั้งได้ก่อนเที่ยง เวลากรานกฐิน แต่พระสายป่าสายกรรมฐานยังพากันเคร่งครัดดี ก็ยังพากันฉันวันหนึ่งเพียงคนเดียว พากันฉันในบาตร พากันทำพากันปฏิบัติอยู่ แต่เดี๋ยวนี้ก็กลุ่มน้อยส่วนน้อย ก็ให้พระภิกษุสามเณรพากันเข้าใจ เพราะว่าพระพุทธเจ้านั้นให้ผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ป่วยไม่เจ็บไม่ไข้ให้พากันฉันอาหารวันหนึ่งเพียงครั้งเดียว ฉันให้เพียงพอ พระรุ่นใหม่พระสมัยใหม่ที่มีพระภิกษุสามเณร มีคนมาปฏิบัติธรรมเยอะ ได้คิดได้ค้นคว้าขึ้นมาใหม่ เพื่อจะต้องไม่มีภาระในการใช้ภาชนะมาก จึงได้จัดข้าวเป็นหม้อ แกงก็เป็นหม้อ เอามาตั้งโต๊ะ แล้วก็ให้พระภิกษุสามเณรหรือโยมถือศีลพากันเดินแถวตักเอาเอง เพื่ออาหารจะไม่ต้องเหลือ จะได้คำนวณถูกต้อง ไม่ให้เหลือ นอกจากตักใส่บาตรผิดพลาดไป หวานเกินเค็มเกินเผ็ดเกินอย่างนี้ อย่างนั้นเรียกว่าผิดพลาด ผู้ที่มาประพฤติมาปฏิบัติต้องพากันเข้าใจ เพราะไม่ใช่เราคนเดียว มีเพื่อนผู้มาประพฤติมาปฏิบัติรวมๆ กัน ทั้งคนเก่าคนใหม่ อย่าพากันไปโลภอย่าพากันไปตะกละตะกลาม ต้องระลึกถึงบุคคลอื่น อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกคนต้อง Control ตัวเองให้ได้ เจออาหารเยอะๆ เจออาหารอร่อย ตัวตนของเรามีเยอะมันจะงงไปหมด ไม่รู้จะเอาอะไรดี งงไปหมดเลย ต้องใจเข้มแข็งอย่าไปช้าเกิน มัวแต่งงอยู่นั่น ต้องตัดสินใจโดยเร็วโดยด่วน เพราะเราทุกคนล้วนแต่มีความหลงเป็นพื้นฐาน เมื่อได้ตักเองก็เหลือทุกครั้งเป็นปฏิปทา ทุกพระทุกเณรเลย เหลือก็อย่าให้มันเหลือมาก 2 ช้อน 3 ช้อนอย่างนี้ก็พอ
พระภิกษุในพุทธศาสนานี้ที่ฉันอาหารในบาตรมีหลายรูป ครูบาจากสายกรรมฐาน ท่านตักอาหารท่านจะฉันหมดทุกครั้ง ไม่เหลืออะไรสักเม็ดสักหยด ท่านตั้งใจ สมาทานข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เดี๋ยวนี้มันเป็นปฏิปทาของเราทุกคนที่จะต้องประพฤติต้องปฏิบัติตัวเองในปัจจุบัน เพื่อควบคุมตัวเองคอนโทรลตัวเอง พระประพฤติพระปฏิบัติรุ่นใหม่นี้ได้รับความสะดวกความสบายกว่าพระรุ่นเก่า พระรุ่นเก่ารุ่นหลวงปู่มั่น ศิษย์หลวงปู่มั่นที่หลานศิษย์เหลนศิษย์นี้ เริ่มได้รับความสะดวกความสบาย สมัยก่อนมันจะไม่ทันสมัยไม่สะดวกสบายอย่างนี้ น้ำใช้น้ำฉันก็ต้องตักในบ่อ ในสระในห้วยหนองคลองบึง เพื่อเอามาฉัน มาอาบ มาล้างบาตร จะพากันทำข้อวัตรข้อปฏิบัติอย่างเข้มข้น บ่ายโมงบ่ายสอง ก็กวาดวัดทำความสะอาดตักน้ำทำอะไรต่างๆ ไม่สบายชิวๆ เหมือนทุกวันนี้นะ คนละอย่าง ความสะดวกความสบายมันพาให้พวกเราเสียผู้เสียคนเสียพระเสียเณร ไม่เป็นไร สมัยใหม่สะดวกสบาย เราก็พากันประพฤติปฏิบัติได้ เพราะการปฏิบัติธรรมนั้นต้องทันโลกทันสมัยต้องพัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพราะมรรคผลนิพพานมันต้องเป็นของใหม่ของสดเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม พัฒนาทั้งใจทั้งวัตถุไปพร้อมๆ กัน สามารถเป็นพระอรหันต์ได้เป็นพระอริยเจ้าได้ ทั้งในเมืองกรุงเมืองหลวง ทั้งต่างจังหวัด ทั้งต่างอำเภอ ทั้งหมู่บ้าน ทั้งบ้านทั้งป่า
การประพฤติการปฏิบัติธรรมมันต้องทันโลกทันสมัยอย่างนี้ อย่างพระนักเรียนนักศึกษา จะเป็นมหาวิทยาลัยมหาจุฬาฯ มหามกุฏฯ ก็ต้องพากันเข้าใจ เราเอาแต่เรียนเอาแต่ศึกษาไม่ปฏิบัติไปพร้อมกัน ได้ทำความเสียหายกับเรามาหลายสิบปีแล้ว เพราะเดี๋ยวนี้มันเป็นโลกสมัยใหม่เทคโนโลยีมาแรง ยิ่งเราอยู่ในบ้าน อยู่ในกรุง อยู่ในนิคมเมืองหลวง เราก็พัฒนาจิตพัฒนาใจพัฒนาปฏิปทาเพื่อให้เป็นศีลสมาธิเป็นปัญญา เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพราะท่านเหล่านี้มีความรู้มากมีความเข้าใจมาก ต่อไปก็ต้องเป็นเจ้าคณะนักปกครอง ผู้ที่ปกครอง ต้องสอนต้องมีความรู้ 100% และการประพฤติการปฏิบัติก็ 100% เพราะการเรียนการศึกษามันคู่กับการประพฤติการปฏิบัติ มันถึงจะเป็นศาสนา ถึงเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เราอย่าไปคิดว่าเรียนจบ ถึงจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ คิดอย่างนั้นไม่ได้ คิดอย่างนั้นไม่ถูกต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลข้อวัตรข้อปฏิบัติ ไม่มองเห็นเวลานี้เป็นสิ่งที่สำคัญ ไม่มองเห็นธรรมะเป็นสิ่งที่สำคัญ
วัด กุฏิ วิหาร ลานเจดีย์ห้องน้ำห้องสุขาต้องสะอาด มันต้องมีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นความรู้คู่ปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่ปฏิบัติ ถึงจะได้เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะภาค มหาเถรสมาคมที่เป็นพระพุทธศาสนา ด้วยหลักพัฒนาด้วยหลักปฏิบัติ คนเราก็เหมือนโรคโควิดนี่แหละ มันก็ติดกัน โรคโควิดมันติดเชื้อขยายพันธุ์ เพราะความรู้ต้องคู่กับการปฏิบัติมันถึงจะเป็นผู้นำได้ ปีนี้แหละ ท่านเจ้าคุณเจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม ได้ผลิตพระภิกษุสามเณรสอบได้เปรียญธรรม 9 ประโยค ถึง 25 รูป อย่างนี้ถูกต้อง เพราะเขาได้พากันมาเสียสละ ผู้ที่หัวดีผู้ที่ฉลาดเรียนสูง ต้องเข้าสู่การประพฤติการปฏิบัติ ถึงจะเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวม เมื่อความรู้ความเข้าใจไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันเป็นความเสียหายมาก เพราะว่ามันไม่ใช่ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ มันเป็นตัวเป็นตน พระธรรมยุตพระมหานิกาย ประชาชนประเทศไทยก็ต้องพากันรู้จัก ธรรมยุต มหานิกาย นั้นไม่ใช่พระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานั้นคือศีลคือสมาธิคือปัญญา ไม่ใช่ธรรมยุต ไม่ใช่มหานิกาย พระพุทธเจ้าบอกสอนพวกเราให้พากันยกเลิกตัวตน เอาธรรมวินัย อย่าเอาตัวตน อย่าพากันแบ่งแยกกัน เราเอาตัวตนมันก็มีการทะเลาะ บาดหมางกัน แตกความสมัครสมานสามัคคี เหมือนพระธรรมกถึกกับพระวินัยธร เหมือนพระเทวทัต อย่างนั้นไม่ถูกต้อง ให้เข้าใจทั้งพระทั้งฆราวาส ให้เข้าใจว่าพระพุทธศาสนาไม่ใช่ธรรมยุต มหานิกาย คือพระธรรมวินัย อย่าไปทะเลาะกันว่าอันนั้นผิดอันนั้นถูก ธรรมวินัยในพระไตรปิฎก ไม่มีข้อไหนว่าธรรมยุติ มหานิกายเลย อย่าไปเถียง อย่าไปทะเลาะกัน ประเทศไทยถือว่าโชคดี เถรวาทในไทยมีเพียง 2 นิกาย คือธรรมยุต และ มหานิกาย แต่หลายๆ ประเทศ แตกแยกกันมากกว่านี้ ผู้ที่บวชมาเป็นวัดบ้านวัดป่า ธรรมยุต มหานิกาย ก็ต้องปรับตัวเข้าหาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พระพุทธเจ้าก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ตรัสประทานโอกาสเกี่ยวกับการถอนสิกขาบทเล็กน้อย พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัย อันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา... ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา สงฆ์จำนงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้ โดยกาลล่วงไป แห่งเรา...
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฏิเทสนียะ ๔ ‘นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อย ฯ’
เรื่องไม่บัญญัติและไม่ถอนพระบัญญัติ ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย ญัตติทุติยกรรมวาจาว่า ดังนี้ "ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์ จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ปรากฏแก่คฤหัสถ์ มีอยู่แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่าสิ่งนี้ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร. ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดม บัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเป็นการชั่วคราว. พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ ตราบใดสาวกเหล่านี้ ก็ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายอยู่ตราบนั้น. เพราะเหตุที่พระศาสดาของสมณะเหล่านี้ ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบท... ในบัดนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ ถึงที่แล้ว "สงฆ์" ไม่พึงบัญญัติ สิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติ สิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทาน ประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว." (สงฆ์ในที่นี้หมายถึงหมู่สงฆ์อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ไม่ใช่ใครจะทำก็ได้ จะทำตอนไหนก็ได้... การประชุมสงฆ์และมีมติร่วมกันว่าจะไม่เพิกถอน นั้นก็เป็นสิ่งที่ยุติไปแล้ว)
เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ยกเลิกตัวตน มันก็ไม่มีอะไรจะไปตัดไปเพิ่ม ไม่มีปัญหาอะไร ให้พวกเราเข้าใจ เพราะสมมุติสัจจะนั้นดีอยู่แล้ว เพื่อเราจะโฟกัส พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่นั้นดีอยู่แล้ว เพื่อให้เราโฟกัส เพื่อให้เข้าถึงปรมัตถสัจจะหรือวิมุตติสัจจะ กฎหมายบ้านเมืองมันดีอยู่แล้ว หลายๆ ประเทศเขาก็มีพุทธมหายาน มหายานเข้าก็ใส่เสื้อนุ่งกางเกง ทำกันหลายๆ ประเทศจนเป็นประชาธิปไตย พวกเราต้องพากันเข้าใจ เข้าใจถึงเถรวาท ถึงมหายาน วัชรยาน ว่าความเป็นพระก็เป็นได้กับทุกคนนั่นแหละ ถึงจะใส่เสื้อ ใส่กางเกง หรือจะทรงจีวร สังฆาฏิ ก็เป็นพระได้พอๆ กัน ต้องเข้าใจความเป็นพระ พระนี้คือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง โฟกัสเข้าหาความถูกต้อง เข้าหาเวลา ก็เป็นพระได้หมด ต้องให้เข้าใจเรื่องสมมุติสัจจะเพื่ออะไรหล่ะ เพื่อเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิทั้งวัตถุ สัมมาทิฏฐิทั้งจิตใจ เราทุกคนจะได้ไม่ทำอะไรตามใจ ต้องเอาธรรมนำชีวิต ต้องเอาเวลานำชีวิต ให้เข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ไม่รังเกียจกัน เราจะได้เข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณได้ เราจะได้ไม่ถือพวกถือหมู่เป็นแก๊งค์ เดี๋ยวนี้พระวัดป่า พระกรรมฐานก็ย่อหย่อนลง เพราะไม่ได้พัฒนาพระวินัยพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ย่อหย่อนอ่อนแอลง ยิ่งพระที่บวชเป็นพระวัดบ้าน พระนักเรียนนักศึกษาก็ดูตกต่ำลงมาก พากันไปขับรถเหมือนฆราวาส เพราะเอาตัวตนเยอะ ประชาชนเขาไม่ให้ความอุปถัมภ์ อุปัฏฐาก ต้องไปขับรถเอง ต้องไปขุดดินตัดหญ้า ต้องไปเก็บเห็ดต่างๆ ได้ทำความเสียหายให้ส่วนรวม พวกขับรถนี้ ถ้าไม่เบรคตัวเองอีกหลายปีข้างหน้าก็จะเป็นประชาธิปไตย เพราะพากันทำพร้อมกัน ทำเหมือนๆ กันอย่างติดต่อต่อเนื่อง มันก็จะเป็นประชาธิปไตย มันก็จะแก้ปัญหาไม่ได้ เหมือนพระมหายานพากันใส่เสื้อใส่กางเกง พากันทำมาหลาย 100 ปี ก็แก้ไม่ได้ แก้ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็พัฒนาใจของเราให้มันรู้อริยะสัจ 4 เอาอริยมรรคมีองค์ 8 มาดำเนินชีวิต มาปรับที่ตัวเอง เราจะได้พัฒนาตัวเอง พัฒนาประเทศชาติบ้านเมืองเรา เพราะการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐที่ถูกต้อง ต้องเอาธรรมนำชีวิต ต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่วัตถุมันไม่ได้ มันเสียหาย
ทุกคนต้องพากันเข้าใจเรื่องพระ พระนั้นน่ะเอาสมมุติสัจจะอย่างเดียวไม่ได้ เพราะสมมุติสัจจะมันเป็นพระไม่ได้ มันต้องทั้งสมมุติสัจจะและปรมัตถสัจจะไปพร้อมๆ กันเท่านั้น สำหรับนักบวชนี้ สำหรับประชาชนที่ไม่ได้บวชต้องยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เมื่อยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องเมื่อไหร่ หมู่มวลมนุษย์จะมีศีล 5 เราก็พากันมาพัฒนาตัวเองเดือนหนึ่งก็ 8 วัน ถือศีล 8 เพื่อพัฒนาใจของเราทุกๆ คน ถ้ารักษาศีล 5 มันจะติดสุขติดสบาย เถรวาทที่ถือกันอยู่หลายประเทศ ถือพระวินัยเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก ถ้าพระไตรปิฎกว่าอย่างไรก็เอาอย่างนั้น มหายานก็ไปพัฒนาเรื่องทานเรื่องใจกว้าง เอาธรรมเป็นหลัก ยกเลิกพระวินัยที่ไม่ได้ปฏิบัติมาเยอะ เถรวาทพากันฉันอาหารทุกอย่างที่ประชาชนทำบุญตักบาตร ในตอนเช้าภิกขาจาร ประชาชนเขาถวายอะไรก็ฉันอันนั้น ให้นักบวชทั้งหลายพากันเข้าใจนะ พระพุทธเจ้าให้เราพิจารณาปัจจัย 4 ให้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อบริโภคไม่ให้มีตัวมีตน เพื่อให้เป็นธรรมะ พากันเข้าใจ เราจะใช้สอยเสนาสนะ ใช้สอยอะไรทุกอย่าง ตลอดถึงอาหาร เราต้องพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เพื่อความเพลิดเพลิน ความหลง เราต้องยกเลิกตัวตนอย่างนี้นะ เราจะไม่ได้เถียงกันว่าฉันผักถูกต้อง ฉันเนื้อถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านให้เรารู้สึกว่าเราไม่ได้ฉันอะไรเลย คือยกเลิกตัวตน เราก็จะไม่ได้ฉันอะไรเลย ฉันอาหารบิณฑบาตและรับแคลโรลี่เพียงพอ เพราะนักบวชของเราต้องปฏิบัติเข้มข้น ต้องยกอดีตให้เป็นเลข 0 อย่าให้อดีตมาปรุงแต่งได้ ปัจจุบันนี้ก็ยกเข้าสู่พระไตรลักษณ์อยู่แล้ว ถ้าเราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ จิตใจของเราจะไม่มีเรื่องอยู่เรื่องฉัน มันจะได้ไม่มาครอบงำจิตใจของเรา พระวินัยเกี่ยวกับการฉันน่ะ พวกที่ชาวบ้านเขานิมนต์พระไปฉัน พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้บอกชื่ออาหาร เพียงแต่บอกว่านิมนต์ไปฉันภัตตาหาร ไม่ให้บอกชื่ออาหาร ถ้าบอกชื่อนะพระจะฉันไม่ได้ ให้เข้าใจอย่างนี้ พระเราต้องบวชมาให้มีนิมิตว่าไม่ได้ฉันอะไร พระพุทธเจ้าถึงไม่ให้พระทำไร่ ทำนา ทำสวน ทำเกษตร ปลูกผัก ผลไม้ อย่างต้นไม้ยืนต้นที่ในวัดนี้ เจ้าอาวาสให้โยมปลูกอย่างนี้นะ ให้เณรปลูกเพื่อบริโภค เพื่อบริโภคของตัวเองเพียงแค่คิดอย่างนี้มันบาปแล้ว ผู้ที่มีความคิดอย่างนี้เข้าไปร่มเงาของต้นไม้ผลไม้นั้นก็อาบัติแล้ว พระวินัยเรื่องอยู่เรื่องฉันมันเข้มข้นมาก พระพุทธเจ้าถึงบอกพระเณรว่าฉันวันละครั้ง ไม่ต้องเก็บอะไรไว้ ไม่ต้องกลัวอดตาย ถ้าเรายกเลิกตัวตนประชาชนก็เคารพเลื่อมใส อาหารไม่มีที่เก็บอาหารนี้ฉันไม่ไหวหรอก ที่มีปัญหาอดๆ อยากๆ เพราะเราไม่ยกเลิกตัวตน เราไม่เอาธรรมเอาพระวินัย เราเอาตัวตนกลัวอดตาย ประเทศไทยเราถึงมีปัญหาเรื่องเงินทอนวัด
ก็เพราะตัวเพราะตนนี้แหละ พวกนักบวชสมัยปัจจุบันนี้พูดกับคนรวยนะจ๊ะๆ ทุกๆ วัดเลย นะจ๊ะๆ เนี่ย พูดกับคนจนนี้พูดอีกอย่างหนึ่ง คนรวยถึงให้พรดี คนจนก็ให้พรไม่ออก เสียงไม่ดัง ความจริงมันเป็นอย่างนี้นะ ทุกๆ คนที่ได้ยินได้ฟังก็กลับมาแก้ที่ตัวเองนะ เพื่อเราทุกคนจะได้พัฒนาตัวเอง ละตัวตนคืออคติ ลำเอียงเพราะชอบเพราะชังเพราะหลงเพราะกลัว เป็นพระเป็นเจ้า เป็นนักบวชในศาสนา อย่างในประเทศไทยเรานี้มี 3 หมื่นกว่าวัด รวมสำนักสงฆ์มี 4 หมื่นกว่า ต้องพากันคิด เดี๋ยวมันจะเสียหายไปมาก เราอย่าไปคิดว่าวัดนั้นก็ทำวัดนี้ก็ทำ เราคิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเรามาบรรพชาอุปสมบท เพื่อมาเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เราต้องกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้ากว่าจะสร้างบารมีได้สมบูณณ์มาตรัสรู้ ก็หลายอสงไขย นับเวลาหลายล้านชาติ เราจะมาเอาตัวตนน่ะ ไม่มีจิตสำนึก ไม่รู้จักคำว่าผิด คำว่าถูก ไม่รู้จักคำว่ากตัญญูกตเวที อย่าไปหนักอกหนักใจ ถ้าเราไปยกเลิกตัวยกเลิกตน มันไม่มีหนักอกหนักใจ อย่าไปคิดว่า โอ้...ปฏิบัติเคร่งครัด อย่างพระพุทธเจ้าจะอยู่ได้อย่างไร ถ้าอยู่ไม่ได้ก็พากันลาสิกขาไปให้หมดเลย ให้มีแต่พระ อย่าให้มีโจรเลย เรามีความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าทุจริต เขาเรียกว่าโจร
เพราะคนเรานี้ก็ ภาพรวมของหมู่มวลมนุษย์ต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต ไม่ใช่ความหลง เอาไสยศาสตร์ เอาตัวเอาตนนำชีวิต ต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้าไม่แน่จริงอย่าพากันมาบวช เดี๋ยวนี้มีกุลบุตรลูกหลานที่มาบวชในพระพุทธศาสนาน้อยลง เพราะว่าสมภาร เจ้าอาวาส นักปกครอง ไม่เอาธรรมเอาพระวินัย เอาแต่ตัวเอาแต่ตน เอาแต่ยศเอาแต่ตำแหน่ง เอาแต่เงินเอาแต่สตางค์ เขาก็ไม่อยากมาบวช เพราะเขากลัวความไม่ถูกต้อง ทุกคนรู้กันอยู่แล้ว ทุกวันนี้มีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งรู้ไปทั้งโลกเพราะการสื่อสารโทรศัพท์มือถือคอมพิวเตอร์นี้ไม่ถึงนาทีก็ส่งได้ทั่วโลก หมู่มวลมนุษย์ประชากรของโลก ทำไมหนี้ส่วนตัว หนี้ครัวเรือน หนี้ภาพรวม ทำไมมันมากขึ้นๆ ก็เพราะมีความเห็นที่ไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง มันเป็นการทุจริต มันต้องยากจน ไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ มันไม่จน มันจะเป็นไปได้ไง เพราะว่าเหตุปัจจัยมันต้องจน ให้ทุกท่านทุกคนโฟกัสมาหาตัวเอง มาหาเจ้าของนะ เพราะว่าตัวตนมันก็ขี้เกียจขี้คร้าน อยากจะถูกแต่หวย ถูกแต่เบอร์ รับมรดกจากพ่อ จากแม่ อาศัยการสนับสนุนจากรัฐบาล มันไม่ได้เป็นผู้ให้ เพราะตัวตนมันคือความทุกข์น่ะ เราถึงจำเป็นต้องโฟกัสที่ตัวเรา กลับมาหาที่ตัวเรา ตัวตนมันแย่งขยะ หิวขยะกัน
สิ่งที่จะแก้ปัญหาได้คือความสมัครสมานสามัคคี เหมือนกับการจะสร้างบ้านสร้างเมืองอย่างนี้ต้องสมัครสมานสามัคคี ถ้าไม่มีความสมัครสมานสามัคคีมันก็เป็นปัจเจก คือเฉพาะตน จึงส่งผลัดไม่ได้
“สพฺเพสํ สงฺฆภูตานํ สามคฺคี วุฑฺฒิสาธิกา ความพร้อมเพรียงของปวงชนผู้เป็นหมู่ ยังความเจริญให้สำเร็จ”
ความสามัคคีพร้อมเพรียงกัน ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ความร่วมแรงร่วมใจกัน ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อันนี้เรียกว่า ความสามัคคี
บุคคลทั้งหลายที่อยู่รวมกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน เป็นสังคม ไม่ว่าจะเป็นสังคมขนาดเล็ก ตั้งแต่ระดับครอบครัว หมู่บ้าน ตำบล หรือสังคมที่ใหญ่ขึ้น เช่น อำเภอ จังหวัด หรือระดับประเทศ ล้วนจำเป็นที่จะต้องมีความสามัคคีเป็นคุณธรรมเครื่องยึดเหนี่ยว
เพราะการอยู่ร่วมกันหลายๆ คน เป็นกลุ่มเป็นก้อนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในการทำกิจต่าง ๆ ไม่เช่นนั้น งานของกลุ่มคนนั้นๆ ก็จะไม่สามารถสำเร็จได้
เพราะถ้าต่างคนต่างแยกกัน ไม่มีใครช่วยเหลือกัน ต่างคนต่างอยู่ เมื่อมีกิจที่จำเป็นต้องใช้คนมากก็ไม่มีใครช่วยกัน เช่นนี้ งานนั้นก็สำเร็จไม่ได้
แต่ถ้าทุกคนในสังคมเดียวกันหรือในกลุ่มเดียวกันต่างร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยเหลือกัน เช่นนี้ งานใหญ่ก็กลายเป็นงานเล็ก งานยากก็กลายเป็นงานง่าย เพราะทุกคนช่วยเหลือกัน แล้วความสุขความเจริญก็จะตามมาอย่างแน่นอน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee