แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑๐ ทุกอย่างที่มาปรากฏการณ์ เป็นด่านที่พวกเราต้องผ่านไป ด้วยสติด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันจันทร์ที่ ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๖๗
ให้ทุกท่านทุกคนพากันนั่งให้สบาย การประพฤติการปฏิบัติของพวกเราทุกๆ คน ที่เป็นมนุษย์ ในโลกปัจจุบันนี้มี 8 พันกว่าล้านคน ก็พากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องกายวาจา กิริยามารยาท ธุรกิจหน้าที่การงาน ต้องปฏิบัติทั้ง 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน เรื่องจิตเรื่องใจกายวาจากิริยามารยาท พร้อมการพัฒนาวัตถุเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในการดำรงธาตุดำรงขันธ์ ชีวิตของเรานี้ส่วนใหญ่ก็ไม่เกินร้อยปี สภาวะธรรมคือร่างกาย ก็ต้องแก่เจ็บตายพลัดพรากไปในส่วนของทางร่างกาย ทางส่วนจิตใจถ้ายังมีอวิชชามีความหลง ก็ย่อมมีการเวียนว่ายตายเกิด เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปถึงมี ชีวิตของพวกเราน่ะ ต้องเดินไปพร้อมๆ กัน ทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง เพื่อจะทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ของพวกเราทุกๆ คน ทางจิตใจก็ดับทุกข์ ทางกายก็ดับทุกข์ เพื่อทุกอย่างจะมีแต่คุณไม่มีโทษ เราต้องโฟกัสมาหาตัวเรา เพื่อคิดให้ถูกต้อง ทำให้ถูกต้อง เรามีความไม่เห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี ปัญหามีก็เพราะเรามีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลายาวนานหลายล้านชาติหลายอสงไขย มาบอกมาสอนการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ที่ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ทุกคนต้องปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คือยกเลิกสิ่งที่จะเป็นทุกข์ ท่านบอกสอนว่าปัญหาต่างๆ อยู่ที่เราเอง ไม่ได้อยู่ที่อื่น ทุกคนต้องพากันสร้างบารมี เน้นที่ตัวของเราเอง จึงจะเป็นบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ เน้นมาที่ตัวเราโดยเฉพาะ สมมุติต่างๆ ในโลกนี้เป็นสมมติสัจจะ ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ไม่ใช่เราไม่ใช่ของของเรา เป็นสมมติสัจจะ มนุษย์ได้สมมุติได้บัญญัติสิ่งต่างๆ ขึ้นมาเพื่อให้สะดวกสบายในการดำเนินชีวิต เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เพราะมนุษย์เราคิดได้ พูดได้ ทำได้ ก็เพื่ออำนวยความสะดวกความสบายในโลกนี้ ในโลกนี้ถึงได้มีหลายภาษา แต่ละประเทศก็มีหลากหลายภาษา วัตถุอุปกรณ์ต่างๆ ก็มีชื่อเรียกในการใช้การใช้งาน เมื่อเราทุกคนรู้ว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย ความประพฤติของเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเพราะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ท่านบอกให้เราเข้าใจง่ายๆ ตาหูจมูกลิ้นกายใจที่เป็นอายตนะภายในเปรียบเหมือนกับเจ้าของบ้าน รูปเสียงกินรสโผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เปรียบเหมือนกับแขกที่มาเยี่ยมเจ้าของบ้าน ปกติแล้วผู้ที่มาเยี่ยมก็ต้องจากไป ทุกสิ่งทุกอย่างในปัจจุบันในชีวิตประจำวันมีแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไปอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเรารู้ความจริง รู้ความจริงอย่างนี้เรียกว่ารู้อริยสัจ 4 คือรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ รู้เหตุรู้ปัจจัย รู้กระบวนการกระแสปฏิจจสมุปบาท คือเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี พระพุทธเจ้าท่านบอกให้เราเข้าใจง่ายๆ ถึงแม้เราจะมีความรู้สึกสุขทุกข์หนาวร้อน สิ่งเหล่านี้ก็หาใช่เราหาใช่ของของเราไม่ พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้นมาเพราะเหตุนี้เอง เพื่อมารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ที่เป็นวัฏจักรการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์โลกทั้งหลาย พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ ว่าเป็นสัญชาตญาณเป็นความรู้สึกที่มีตัวมีตนที่มีความยึดมั่นถือมั่นเรียกว่าสัญชาตญาณ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับมนุษย์กับสัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวง เป็นวัฏจักรหรือเป็นวัฏสงสารที่มันหมุนอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้ เหมือนโลกหมุนรอบตัวเอง และเหมือนโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ยังไม่มีที่สิ้นสุด กลางวันก็ 12 ชั่วโมง กลางคืนก็ 12 ชั่วโมง เพราะมันเป็นการหมุนของวงกลม
การประพฤติการปฏิบัติต้องโฟกัสมาที่ตัวของเราเอง เราจะอยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติอยู่ที่นั่นแหละ โฟกัสเข้าหาตัวของเราเอง มีความเห็นให้ถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง การที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาไปโดยอัตโนมัติ 3 อย่างนี้จะเป็นอันเดียวกัน ถ้าเราแยกกันเมื่อไหร่ก็คือไม่ถูกต้อง ความรู้ต้องคู่การประพฤติการปฏิบัติ เน้นโฟกัสมาที่ปัจจุบัน มันเป็นเรื่องง่ายๆอย่างนี้ เราเอาตัวตนหรือว่าเอาความถูกต้องดำเนินชีวิตนี้มันไม่ได้ การเรียนการศึกษาเป็นเพียงแผนที่เป็นเพียงหลักการ แต่การปฏิบัติจริงๆ นั้นอยู่ที่ปัจจุบัน ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จิตใจเราก็จะตั้งอยู่ในขณิกสมาธิอุปจารสมาธิ จะเป็นพื้นเป็นฐานให้เราก้าวไปด้วยสัมมาทิฏฐิ
พระพุทธเจ้าเมื่อท่านยกเลิกตัวตนอย่างนี้ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็มาบอกสอนหมู่มวลมนุษย์ให้ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติตามเรียกว่าสงฆ์สาวก เมื่อได้ฟังได้ปฏิบัติตามก็ดับทุกข์ได้เหมือนกัน เพียงแต่บารมีต่างกัน พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมาก เป็นผู้ที่บุกเบิกพระศาสนา ให้พวกเราทั้งหลายพากันรู้นะ เราเป็นพระภิกษุสามเณรแม่ชีเป็นผู้ถือศีลปฏิบัติธรรมหรือเป็นฆราวาสที่อยู่ที่บ้าน เราก็ต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ ต้องเอาความถูกต้องทั้งจิตใจกายวาจากิริยามารยาทธุรกิจหน้าที่การงานทั้งการเรียนการศึกษา เราต้องพากันเข้าใจ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็ดับทุกข์ไม่ได้แก้ปัญหาไม่ได้ หมู่มวลมนุษย์น่ะยังไม่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ก็เป็นได้แต่เพียงอวิชชาพร้อมหลง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งตกอยู่ในสัญชาตญาณ จึงมีความขี้เกียจขี้คร้าน ไม่มีความสุขในการทำงานไม่มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ เพราะตัวตนน่ะ มันห้ามมรรคห้ามข้อวัตรข้อปฏิบัติไปในตัว ท่านถึงบอกพวกเราทั้งหลายว่าอย่าไปสนใจมันเลย… อันนี้เป็นด่านที่พวกเราต้องผ่านไป ต้องปรับตัวเข้าหาความถูกต้องคือธรรมะคือเวลา เราต้องก้าวไปอย่างนี้แหละ เพื่อเราทั้งหลายจะได้พากันอบรมบ่มอินทรีย์ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้เราก็ไม่มีข้อวัตรข้อปฏิบัติ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือการเวียนว่ายตายเกิดนะ ความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดีนี่แหละมันห้ามมรรคผลพระนิพพาน ทำให้หมู่มวลมนุษย์ไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา มนุษย์เราต้องเอาธรรมนำชีวิต การทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อย่าไปแยกจากกัน ให้เป็นการสอดคล้องในการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน
เดือนหนึ่งมี 30 วัน พระพุทธเจ้าก็บอกให้พุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสญาติโยมได้ถือศีลอุโบสถ 8 วัน วัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ เดือน 1 ก็มี 8 วัน ถ้าเราเอาแต่ศีล 5 พัฒนาวัตถุเทคโนโลยีแล้วก็จะพากันหลง ไม่ได้พัฒนาจิตไม่ได้พัฒนาใจ สมัยปัจจุบันภาพรวมของโลกก็เอาวันเสาร์วันอาทิตย์เป็นวันหยุด เพื่อเป็นการพัฒนาจิตใจของหมู่มวลมนุษย์ เพราะโลกนี้ต้องปกครองด้วยเอาธรรมนำชีวิต ประชาธิปไตยก็ยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่ เอาสังคมนิยมหรือประเพณีนิยมก็ไปไม่ได้ เพราะยังเป็นนิติบุคคลตัวตนอยู่ โลกนี้จึงไม่ค่อยมีข้าราชการนักการเมืองที่แท้จริง ศาสตร์ต่างๆ ที่หมู่มวลมนุษย์ได้เรียนได้ศึกษา 18 ศาสตร์ หรือมากกว่านั้นก็จะใช้ไม่ได้ เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งแล้วก็เข้าไม่ถึงปรมัตถสัจจะ ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ หมู่มวลมนุษย์พัฒนาทั้งใจพัฒนาทั้งวิทยาศาสตร์ดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ เพราะเอาวิทยาศาสตร์กับใจไปพร้อมๆ กัน พระพุทธเจ้าท่านถึงให้หมู่มวลมนุษย์สมัยโบราณครั้งพุทธกาลได้พัฒนาใจด้วยการมารักษาศีลอุโบสถถือว่าศีล 8 ในวัน 7 ค่ำ 8 ค่ำ 14 ค่ำ 15 ค่ำ อยู่ที่วัดหรือว่าที่อาราม อารามต่างๆ เป็นที่อยู่ที่อาศัยที่จำวัดของนักบวช เป็นศูนย์รวมแห่งการทำความดีพัฒนาปัญญาสัมมาทิฏฐิเป็นกลุ่มเป็นก้อน ถือธรรมนำชีวิตยกเลิกตัวตน อบรมบ่มอินทรีย์ ถ้าเรานี้จึงได้สิทธิพิเศษเพราะยกเลิกตัวตนแล้ว มีชีวิตอยู่ด้วยการภิกขาจารบิณฑบาต ฉันอาหารวันละ 1 ครั้ง ในช่วงเวลาเช้าไม่เกินเที่ยง ทานวันละครั้งนั้นไม่เหนื่อยหรือ ไม่เหนื่อย เพราะใจได้ยอมรับในสมมติสัจจะคือพระวินัยบัญญัติ เมื่อเรายกเลิกตัวตน ใจก็ยอมรับใจก็ไม่ปรุงแต่ง เพราะปรุงแต่งแล้วมันก็ไม่ได้ฉัน เมื่อปลงใจแล้วมันก็ไม่หิว เพราะมันข้ามสัญชาตญาณด้วยสมมติสัจจะคือพระวินัยบัญญัติ ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้แหละ ไม่ใช่ของยากหรอก
เราต้องรู้เหตุรู้ผลว่าทำไมเราถึงฉันอาหารวันละครั้งก็เพราะอย่างนี้เอง เมื่อเราเอาสมมติสัจจะมาโฟกัสเพื่อยกเลิกตัวตน มันก็จะปลงใจ ให้เกิดมีสติสัมปชัญญะ สติสัมปชัญญะนั้นคือเราเอาสมมุติมายกเลิกตัวตน ว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ศีลทั้งหลายทั้งปวงที่อยู่ในพระวินัยปิฎก 21,000 พระธรรมขันธ์ มาในภิกขุปาฏิโมกข์ 227 ข้อ สำหรับพระภิกษุ สำหรับภิกษุณีก็ 311 ข้อ พระไตรปิฎกมี 3 ปิฎก คือพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยชอบอ่านกัน พระไตรปิฎกส่วนใหญ่แต่ละวัดก็มีเอาไว้โกโก้ประดับบารมีเฉยๆ ตัวตนน่ะ หืม…มันร้ายกาจมาก มันไม่ยอมศึกษาไม่ยอมประพฤติไม่ยอมปฏิบัติ
เมื่อเราไม่เข้าใจในพระพุทธศาสนาเลยพากันยกเลิกศีล จะไปยกเลิกไม่ได้ พระพุทธเจ้าก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพานก็ตรัสประทานโอกาสเกี่ยวกับการถอนสิกขาบทเล็กน้อย
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ บางทีพวกเธอจะพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า ปาพจน์มีพระศาสดาล่วงแล้ว พระศาสดาของพวกเราไม่มี ก็ข้อนี้ พวกเธอไม่พึงเห็นอย่างนั้น ธรรมและวินัย อันใด เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่พวกเธอ ธรรมและวินัยอันนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา
ดูกรอานนท์ บัดนี้ พวกภิกษุยังเรียกกันและกันด้วยวาทะว่า อาวุโส ฉันใด โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ไม่ควรเรียกกัน ฉันนั้น ภิกษุผู้แก่กว่า พึงเรียกภิกษุผู้อ่อนกว่า โดยชื่อหรือโคตร หรือโดยวาทะว่า อาวุโส แต่ภิกษุผู้อ่อนกว่าพึงเรียกภิกษุผู้แก่กว่าว่า ภันเต หรืออายัสมา
ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา สงฆ์จำนงอยู่ ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างได้ โดยกาลล่วงไป แห่งเรา...
พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า สงฆ์ (คือที่ประชุมสงฆ์ ไม่ใช่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง) ประชุมกันเห็นสมควรก็ให้เพิกถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้ ตามความเหมาะสมแห่งยุคสมัย
ในคราวประชุมทำสังคายนาครั้งแรกนั้น ท่านพระอานนท์ ได้ชี้แจงต่อพระเถระทั้งหลาย ว่า "ท่านเจ้าข้า... เมื่อจวนจะปรินิพพาน พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกับข้าพเจ้า ว่า ‘ดูกรอานนท์ เมื่อเราล่วงไป สงฆ์หวังอยู่ จะพึงถอนสิกขาบทเล็กน้อย เสียก็ได้’
พระเถระบางพวกกล่าวอย่างนี้ว่า เว้นปาราชิก ๔ เว้นสังฆาทิเสส ๑๓ เว้นอนิยต ๒ เว้นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ เว้นปาจิตตีย์ ๙๒ เว้นปาฏิเทสนียะ ๔ ‘นอกนั้นเป็นสิกขาบทเล็กน้อยฯ’
เรื่องไม่บัญญัติและไม่ถอนพระบัญญัติ ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะ ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย ญัตติทุติยกรรมวาจาว่า ดังนี้ "ท่านทั้งหลาย ขอสงฆ์ จงฟังข้าพเจ้า สิกขาบทของพวกเราที่ปรากฏแก่คฤหัสถ์ มีอยู่แม้พวกคฤหัสถ์ก็รู้ว่าสิ่งนี้ควรแก่สมณะเชื้อสายพระศากยบุตร สิ่งนี้ไม่ควร. ถ้าพวกเราจักถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสีย จักมีผู้กล่าวว่า พระสมณโคดม บัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเป็นการชั่วคราว. พระศาสดาของพระสมณะเหล่านี้ยังดำรงอยู่ ตราบใดสาวกเหล่านี้ ก็ยังศึกษาในสิกขาบททั้งหลายอยู่ตราบนั้น. เพราะเหตุที่พระศาสดาของสมณะเหล่านี้ ปรินิพพานแล้ว พระสมณะเหล่านี้จึงไม่ศึกษาในสิกขาบท... ในบัดนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ ถึงที่แล้ว "สงฆ์" ไม่พึงบัญญัติ สิ่งที่ไม่ทรงบัญญัติ ไม่พึงถอนพระบัญญัติ สิ่งที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว พึงสมาทาน ประพฤติในสิกขาบททั้งหลายตามที่ทรงบัญญัติแล้ว."
- ฆราวาสในพุทธกาลรู้ธรรม รู้วินัยกันเยอะ ว่าพระศาสดาบัญญัติอะไร
- จะทำให้เกิดความคิดที่ว่า ‘สงฆ์เคารพวินัยแค่ตอนที่พระศาสดายังไม่ปรินิพพาน’
สงฆ์ในที่นี้หมายถึงหมู่สงฆ์อันมีพระมหากัสสปะเป็นประธาน ไม่ใช่ใครจะทำก็ได้ จะทำตอนไหนก็ได้... การประชุมสงฆ์และมีมติร่วมกันว่าจะไม่เพิกถอน นั้นก็เป็นสิ่งที่ยุติไปแล้ว
พระธรรมพระวินัยเป็นสิ่งที่สมบูรณ์จะไปยกเลิกไม่ได้ เป็นทั้งศีลทั้งสมาธิทั้งปัญญา เราจะไปยกเลิกก็ไม่ได้จะไปเพิ่มก็ไม่ได้ เพราะอันนี้คือสมมติสัจจะเพื่อโฟกัสให้เข้าถึงปรมัตถสัจจะ เป็นความดีเป็นบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ อย่างต้นอย่างกลางอย่างสูงสุด ผู้ที่ไม่เข้าใจในประเทศไทยเราและหลายๆ ประเทศ พากันยกเลิกพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ โดยไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติ โอ…จึงทำให้เสียหายมาก ไม่ใช่เสียหายธรรมดานะ เป็นการทำลายความมั่นคงของความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐนะ เราไม่เห็นความสำคัญในพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสมมติสัจจะ ก็เพื่อให้เรายกเลิกตัวยกเลิกตน ไม่เอาความชอบความไม่ชอบ ไม่เอาความถูกใจเหนือความถูกต้อง พระอรหันต์ทั้งหลายท่านบอกว่าถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกตนมันก็ไม่มีความทุกข์อะไร เพราะความทุกข์มันอยู่ที่มีความเห็นผิดเข้าใจผิดมีตัวมีตน ให้เราพากันเข้าใจใหม่นะ เอาเหมือนพระอรหันต์ทั้งหลายที่ประชุมสังคายนากัน ที่ท่านลงมติไม่ยกเลิกพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพราะความถูกต้องจะไปยกเลิกได้อย่างไร เพราะนี่เป็นความมั่นคงของพระศาสนา พระวินัยเป็นอายุของพระศาสนา ถ้าไปยกเลิกความถูกต้องมันก็เป็นตัวเป็นตนเป็นวัฏสงสาร การปฏิบัติให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ ต้องปรับเข้าหาพระธรรมพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพื่อให้สมมติสัจจะสมบูรณ์ ประโยชน์ของเราก็สมบูรณ์ และประโยชน์ของผู้อื่นที่จะได้รับผลัดจากสิ่งที่ถูกต้องจากเราก็สมบูรณ์
เราทุกคนต้องเห็นคุณเห็นประโยชน์ในการบำเพ็ญพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าหลายอสงไขยหลายล้านชาติจนได้ตรัสรู้มาบอกมาสอน เราอย่าเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งสมมติสัจจะก็ยกเลิก การปฏิบัติอย่างนั้นเรียกว่ายกเลิกสมมติสัจจะ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเราทั้งหลายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มมาจากใจ ใจของหมู่มวลมนุษย์คิดได้ทีละวาระจิต เราต้องเอาความถูกต้องเพื่อไปตามพระธรรมวินัยไปตามสมมติสัจจะ พระพุทธเจ้าถึงบอกให้ยกเลิกด้วยการไม่ตรึกในกามพยาบาท คือความชอบใจไม่ชอบใจ กามก็คือความชอบใจ ภาษาไทยก็คือความอร่อยพร้อมแซ่บความรำความหรอยความนัวนี่แหละ ความไม่ชอบก็คือพยาบาลนั่นแหละ เราต้องรู้จักว่าเราต้องปฏิบัติที่ใจของเรา เพราะเรามาคิดดูมาคำนวณดูแล้ว โอ…ถ้าเราไปตรึกไปนึกไปคิด หัวใจของเราก็มีลูกมีผัวมีเมียทั้งวันทั้งคืน ความคิดนี้ทำให้เสียหายมาก เพราะต้องพากันยกเลิก ต้องโฟกัสตัวเองความสุขความลึกความคิดเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ โดยอาศัยพระธรรมวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ พากันภาวนาพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ความมีตัวมีตนมันก็ไม่อยากพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เหมือนผู้บวชมาไม่อยากอ่านพระธรรมวินัยไม่อยากอ่านพระไตรปิฎก มันก็จะเอาแต่ความหลงเอาแต่ความฟุ้งซ่าน
ในโลกสมัยปัจจุบันปี พ.ศ. 2567 ปี ค.ศ. 2024 เราได้พัฒนาวิทยาศาสตร์มาไกล ได้รับความสะดวกความสบายความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ เลยพากันฟุ้งซ่านกันใหญ่เลย เล่นแต่โทรศัพท์ LINE แต่โทรศัพท์ ทั้งเด็กเล็กหนุ่มสาววัยกำลังคนจนถึงอากงอาม่า และนักบวชทั้งหลาย จนเป็นประชาธิปไตยแห่งอภิชัยแห่งความหลง เราจึงต้องเข้าใจ การพัฒนาเทคโนโลยีมันดีแล้วถูกต้องแล้ว แต่เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อการทำงานกับการปฏิบัติธรรมต้องไปพร้อมๆ กัน จะยิ่งหย่อนกว่ากันไม่ได้ พวกเราทั้งหลายต้องพากันรู้ เพราะอดีตมันที่ผ่านมาแล้วเป็นประสบการณ์เป็นบทเรียน ปัจจุบันต้องพากันมาแก้ที่ตัวของเราเอง เราดูตัวอย่างแบบอย่างการปกครองประเทศเรา เมื่อเอาตัวตนปกครองประเทศไทย ก็ไปไม่ได้ไปไม่รอด มีแต่หนี้มีแต่สินตั้งแต่ระดับครัวเรือนจนถึงประเทศชาติ ตัวตนนี่แหละมันไปไม่ได้ เพราะเป็นนิติบุคคลตัวตน มันไปไม่ได้ เพราะทุกคนต้องมีความสมัครสมัครสมานสามัคคีกัน ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพื่อให้การประพฤติการปฏิบัติของเราเป็นธรรมาธิปไตย เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนำวัตถุ ต้องไปอย่างนี้ เราเอาตัวตนดำเนินชีวิตนั้นไม่ใช่ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ มันเป็นการทำลายตัวของเราเองและทำลายบุคคลอื่น ต้องพากันมาเข้าใจอย่างนี้ เมื่อเราไม่แก้ไขตัวเอง เราจะไปแก้คนอื่นได้อย่างไร พระพุทธเจ้าท่านยังไม่แก้คนอื่น ท่านก็เพียงแต่บอกสอนว่าให้ทำแบบนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนก็มีหูมีตาที่มองดู เพราะหมู่มวลมนุษย์ที่เกิดมาจะได้รับ DNA ทางร่างกายวาจากิริยามารยาทรวมถึงธุรกิจหน้าที่การงานที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่พัฒนาใจพัฒนาวัตถุพัฒนาหน้าที่การงาน เรายกเลิกตัวตน มันก็เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ลูกหลานก็รับเอา DNA ที่ถูกต้องได้ ข้าราชการนักการเมืองถึงต้องมายกเลิกตัวตน พากันมาเสียสละ ต้องทำอย่างนี้ เพราะอันนี้เป็นหลักถูกต้องที่เป็นสากล เพราะความถูกต้องก็คือความถูกต้อง ความถูกต้องถึงไปได้ ความไม่ถูกต้องมันไปไม่ได้ ทำไมครอบครัวเรามันยากจนมีหนี้มีสินแทบทุกครัวเรือน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ต้องมีหนี้มีสิน เป็นหนี้ทั้งครัวเรือนจนถึงภาพรวมของประเทศ ตัวตนน่ะมันทำให้มีหนี้มีสิน ทำให้หมู่มวลมนุษย์ไม่เข้าถึงสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะคือการทำให้ถึงที่สุดแห่งความดับทุกข์
เราทุกคนต้องพากันมาเน้นที่ตัวเรา ตัวเรานี่แหละเป็นทั้งผู้รู้เป็นทั้งผู้ปฏิบัติ เป็นทั้งหมอใจเป็นทั้งหมอกาย คือรู้แล้วก็ปฏิบัติ ให้เราเข้าใจ เราคิดอะไรก็คืออาหารของใจ เราพูดอะไร คืออาหารที่เราเกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น เรามีปากเดียว ก็ต้องพูดดีๆ พูดให้ถูกต้อง ยกเลิกตัวตน ตัวตนมันมีปัญหา ตัวตนมันคือความยากจนนะ ตัวตนน่ะคือไม่มีศีลไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา เมื่อเป็นอย่างนี้มันจะดับทุกข์จะแก้ปัญหาได้อย่างไร เราจะได้แก้ปัญหาตัวเราแก้ปัญหาครอบครัวเรา ปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา วันหนึ่งคืนหนึ่งหมู่มวลมนุษย์ที่เป็นฆราวาสนอนวันละ 6 ชั่วโมง ถึง 8 ชั่วโมง นักบวชก็นอนวันละ 4 ชั่วโมง ถึง 6 ชั่วโมง ฆราวาสก็ทานอาหารวันละ 3 ครั้ง นักบวชก็วันละครั้ง ก็ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้แหละ มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม พัฒนาวิทยาศาสตร์ค้นคว้าวิทยาศาสตร์ไป เพื่อต่อยอดเป็นสัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจหลักการมีจุดยืนอย่างนี้ ต้องเอาธรรมนำชีวิต
บางทีเราไม่เข้าใจนะ นึกว่าธรรมวินัยเป็นความยึดมั่นถือมั่น เพราะวินัยคือสมมติสัจจะ สมมติสัจจะก็เหมือนรถยนต์เหมือนเครื่องบิน ที่ต้องไปนั่งรถยนต์ขับรถยนต์ ที่ต้องไปนั่งเครื่องบินขับเครื่องบินไป มันจะเป็นยานพาเราเดินทางไกล ข้ามทะเลข้ามมหาสมุทร สมมติสัจจะเป็นอย่างนี้ เราไปทิ้งสมมติสัจจะยกเลิกสมมติสัจจะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่ได้ไป คือมันไม่ถูกต้อง มันมีความเห็นผิดเข้าใจผิดนะ ผู้ที่เห็นพระวินัยสิขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่ครูบาอาจารย์ที่เราพอจะจับหลักจับประเด็นได้อย่างองค์หลวงปู่มั่น อย่างหลวงพ่อชา หลวงตามหาบัวอย่างนี้ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุ ท่านทำอะไรตามธรรมตามพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ท่านจะเอาธรรมะเป็นหลักเอาเวลาเป็นหลัก ท่านจะดูว่าเวลานี้ทำอะไรเวลานี้ทำอะไร อย่างเช่นท่านจะเดินทางอย่างนี้ ท่านก็จะถามว่าขณะที่ขึ้นรถเวลาเท่าไหร่ เมื่อไปถึงจุดหมายปลายทางท่านก็ถามว่ามีเวลาเท่าไหร่ ท่านจะพูดท่านจะสอนใช้เวลาเท่าไหร่ ท่านเอาเวลาเป็นหลักเอาธรรมะเป็นหลัก ไม่ได้เอาตัวตนเลย ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา อย่างท่านถามเราอย่างนี้ เราก็ตอบไป ตอบมากก็ไม่ได้ตอบน้อยก็ไม่ได้ ต้องตอบตามที่ท่านถาม เช่นท่านถามว่ามาจากไหน ถ้าเราอยู่ที่กรุงเทพฯ ก็บอกว่ามาจากกรุงเทพฯ ถ้าเราไปตอบว่ามาจากกรุงเทพฯ เอารถตู้มา มา 10 คนอย่างนี้ ท่านก็จะบอกว่า ไม่ได้ถามว่าเอารถอะไรมามากี่คนท่านไม่ได้ถาม มันไม่ตรงประเด็นอย่างนี้ เราต้องเข้าใจเรื่องสมมติสัจจะให้ตรงประเด็น ธรรมะถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ ขนาดพยายามปรับตัวเข้าหาเวลาอย่างเต็มที่ มันก็ยังทำยาก มันยังเป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เพราะเรามีตัวมีตนมันก็โอ้เอ้ชักช้าอาลัยอาวรณ์ ไม่ทำอะไรไม่ตรงประเด็น
พระเราผู้ปฏิบัติเราต้องพากันเข้าใจ เรื่องความคิดอันไหนไม่ถูกต้องอย่าไปคิด ให้น้อมพัฒนาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ เราก็ต้องคิดก็ต้องภาวนาเพื่อให้ใจเราก้าวไป เราจะเอาจากความสงบไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ก้าวไปพร้อมทั้งวัตถุก้าวไปพร้อมทั้งจิตใจ พระพุทธเจ้าถึงสอนให้พวกนักบวชทั้งหลายพากันพิจารณาแยกร่างกายออกมาเป็นชิ้นส่วนๆ อย่างนี้ เมื่อรู้แจ้งในเรื่องกาย ก็พิจารณาเวทนาสู่พระไตรลักษณ์ เรื่องจิตเรื่องสภาวะธรรมสู่พระไตรลักษณ์ ต้องภาวนาวิปัสสนา เพราะนักบวชทั้งหลายนี้ไม่ได้ทำธุรกิจอะไร มีแต่ภารกิจเรื่องพัฒนาจิตพัฒนาใจ เพื่อกายวาจาใจเราจะได้เป็นธรรมะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ความรู้ความเข้าใจมันไปอยู่ในหนังสือหมด ฝ่ายนักบวชความรู้ก็ไปอยู่ในพระไตรปิฎกหมด ไม่ได้อยู่กับเราในปัจจุบันที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพราะหลักการหลักวิชาการนั้นดีอยู่แล้วถูกต้องแล้ว เพราะการเรียนการศึกษาเป็นแสงสว่างที่จะนำทาง เราต้องเอาความรู้มาประพฤติมาปฏิบัติเพื่อเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม มันจะก้าวไปอย่างนี้
ผู้ที่บวชมาในประเทศเราหลายแสน รวมหลายๆ ประเทศก็นับล้าน ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เสียหาย ต้องพากันเข้าใจ เรียนเท่าไหร่มันก็สูญเปล่า เพราะมีอาหารอยู่แต่ไม่ได้มาทานมาบริโภค ไม่ได้เอามาฉัน มันก็สูญเปล่า มันก็ว่างจากมรรคผลว่างจากพระนิพพาน ความไม่ถูกต้องนะถึงว่างจากพระอรหันต์ ให้พากันเข้าอกเข้าใจ ทุกคนพากันโฟกัสมาหาตัวเอง คำว่าวัดขอให้รู้จัก วัดก็คือข้อวัตรข้อปฏิบัติที่เรามีสัมมาทิฏฐิคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง แล้วก็เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เน้นมาที่ตัวเรา ทั้งผู้ที่เป็นนักบวชทั้งผู้ที่เป็นฆราวาส ต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เพราะทุกคนก็เป็นพระได้พอๆ กัน เป็นหลักการอันเดียวกัน พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพราะว่าการโกนหัวห่มผ้าเหลืองนั้นยังไม่ได้เป็นพระ เป็นเพียงสมมติสัจจะ พระคือผู้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เน้นมาที่เราที่ตัวเรา ให้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ต้องพากันไปหาพระที่ไหน ท่านถึงบอกผู้ที่มาบวชนั้นยังไม่ใช่พระ เป็นภิกษุ ซึ่งแปลได้ 2 ความหมาย แปลว่าผู้ขอ และแปลว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ ฉันอาหารหนหนึ่งเพียงหนเดียว มุ่งหวังผลการนิพพาน เพราะเห็นภัยในวัฏสงสารก็ปฏิบัติอย่างนั้น ถ้าพากันไปเอาพระศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ เหมือนกับปัจจุบันที่เป็นอยู่ 99% อย่างนี้ ถึงจะถูกต้องตามกฎหมายก็จริง แต่เจตนาไม่ได้เห็นภัยในวัฏสงสาร เพราะตัวเองมีปมด้อยในการดำรงชีวิตดำรงธาตุดำรงขันธ์ พากันไปเอาพระพุทธศาสนาทำมาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ อันนี้เป็นความเสียหาย พวกนี้ก็จัดว่าเป็นเปรตประจำวัดทุกวัด ไม่ว่าวัดป่าวัดบ้าน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ นี้ไม่ได้ว่าให้ใครหรอก เพียงแต่พูดให้เข้าใจความเป็นจริง จะได้สมัครสมานสามัคคีกัน จะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ทางวัดบ้านวัดป่า ทั้งพระเก่าพระใหม่ ทั้งหหินยานมหายานวัชรยาน ก็ต้องไปอย่างนี้แหละ การประพฤติการปฏิบัติไม่เกี่ยวกับวัดบ้านวัดป่า ฆราวาสและนักบวชก็ต้องพากันโฟกัสมาที่ตัวเรา ถ้าเรามาบวชมาปฏิบัติ มาเห็นภัยในวัฏสงสาร อย่างนี้ถึงจะถูกต้อง ใจของเราถึงจะได้มรรคได้ผล มันจะมีประโยชน์ต่อทั้งตนเองและส่วนรวม เพราะประเทศไทยของเราหรือว่าทุกประเทศ ความมั่นคงในชีวิตที่ประเสริฐ ก็ต้องมีบ้านมีวัดมีโรงเรียน เพื่อเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เมื่อใจของเรามาบวชโดยมาอาศัยพระศาสนาหาเลี้ยงชีพ จึงทำลายความถูกต้องทำลายเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ที่ประเสริฐ เป็นทุจริตเป็นมิจฉาอาชีวะ เมื่อใจเราสกปรก การกระทำคำพูดทุกอย่างก็สกปรก สกปรกทั้งกายทั้งวาจาทั้งจิตใจ วัดก็สกปรก ห้องน้ำห้องสุขาก็สกปรก ทั้งที่ที่วัดก็แคบๆ ไม่กี่ไร่ แต่ก็สกปรกเพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จึงเป็นวัดที่ไม่ได้มาตรฐาน
ยาน ที่จะพาเราออกจากวัฏฏสงสารนี้ก็คือ ศีล คือสมาธิ คือปัญญา ความหลง ความเพลิดเพลินนี้ทำให้เราเนิ่นช้า ทำให้เราเสียเวลาไปในแต่ละวันๆ เราต้องรู้จักว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดี ต้องเน้นเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee