แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๘ ถ้าเรายกเลิกความเห็นไม่ถูกต้อง อันเป็นต้นเหตุของสารพัดปัญหา การปฏิบัติการพัฒนาของเราก็จะถูกต้อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๗
การแก้ปัญหาของผู้คนหรือว่าการแก้ปัญหาของเรา ต้องมามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเรายกเลิกความเห็นไม่ถูกต้อง การปฏิบัติของเราก็จะถูกต้อง คำว่าคนนั้นได้แก่ความไม่ถูกต้อง เรียกว่าอวิชชาความหลง เป็นวัฏสงสาร เราจะได้เข้าสู่ความถูกต้อง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน จะได้ไม่เป็นทาส พุทธะจะได้เกิดแก่พวกเราได้ ปัญหาที่แท้จริงไม่ได้ไปแก้ที่ไหน ต้องแก้ที่ตัวของเราเองนี่แหละ
ที่เราแก้ปัญหากันไม่ได้ก็เพราะเรามีความเห็นไม่ถูกต้องมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง การปฏิบัติเราถึงแก้ปัญหาไม่ได้ ให้พวกเราพากันเข้าใจ เพราะว่ามันง่ายอยู่แล้วไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น มาแก้ที่ตัวเรา ดูตัวอย่างพระพุทธเจ้าท่านก็แก้ที่พระองค์เอง ผู้ที่ฟังพระพุทธเจ้าทรงสาวกท่านก็แก้ที่ท่าน ที่เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด เราไปแก้ที่ปลายเหตุ ปัญหาต่างๆก็อยู่ที่เราทุกคนจึงต้องพากันเข้าใจ
เราเกิดมาในท่ามกลางสิ่งเเวดล้อมอะไร ก็ต้องจับหลักจับประเด็นให้ได้ เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เป็นประเด็น ถ้าไม่งั้นเราจะไปเเก้ปัญหาที่ปลายเหตุ เพราะว่าผู้มาบวชก็ยังละพยาบาทไม่ได้ ยังละทางโลกไม่ได้ ยังหลงยินดี หลงลืมศีลทางจิตทางใจ ศีลจึงจะเป็นสิ่งที่จะคุ้มครองเราอย่างละเอียด เมื่อใจของเราคิด ใจของเราปรุงเเต่ง เราจะไปปฏิบัติยังไงมันก็ไม่ได้ผล เพราะโจรมิจฉาทิฏฐิมันอยู่กับเรา เราเเก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ใจเราไปยินดีในรูปไปเรื่อย ยินดีในเสียงไปเรื่อย ยินดีในของเอร็ดอร่อยไปเรื่อย
เราต้องทำติดต่อต่อเนื่องกัน เหมือนกับเราทำฝายน้ำ ทำติดต่อต่อเนื่องกัน ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวฝายก็เป็นเขื่อนที่ปัจจุบัน เราไปท้อใจไม่ได้ ต้องอยู่ที่ปัจจุบัน เราอย่าไปท้อใจเหมือนคนปลูกต้นไม้ ไม่ยอมปลูก คิดไปว่าอีกหลายปีมันถึงจะโต อย่างนี้เลยไม่ปลูก เพราะลึกๆ เเล้ว มันไม่ละอายต่อบาป ไม่เกรงกลัวต่อบาป มันจะไปเอาพระนิพพาน มันก็ยากเกิน มันยังกล้าคิดในสิ่งที่ไม่น่าคิด มันยังนึก มันยังระลึกถึงสิ่งที่ไม่น่าระลึก เราต้องรู้จัก อาการของจิตของใจ เราจะปล่อยเค้าสร้างบ้านสร้างเรือน สร้างภพ สร้างชาติอยู่อย่างนี้หรือ ไม้ขีดไฟติดไฟอันเดียวก็สามารถเผาไหม้ทั้งบ้านทั้งเมืองได้ ความคิดที่เล็กน้อยก็ค่อยๆ ขยายไปเป็นเรื่องใหญ่ มันต้องให้ความสำคัญในความคิด อย่าปล่อยให้ตัวเองคิด ชักศึกเข้าบ้าน ชักโจรเข้าบ้าน ชักมารเข้ามาในใจ เพราะความคิดอย่างนี้ มันทำให้ทุกคนเศร้าหมอง ทำให้นักปฏิบัติไม่ก้าวหน้า เพราะจากความคิดที่ยังคิดผิดอยู่ ยังตริตรองผิดอยู่
ถามว่า ทำไมจะว่าไม่คิด เราก็ไม่คิด เพราะเรื่องจิตเรื่องใจมันเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น ไม่เกี่ยวข้องกับคนอื่น เกี่ยวข้องกับเราเอง ว่าสิ่งนี้คิดไม่ได้ สิ่งนี้นึกไม่ได้ ตรึกไม่ได้ ในทางความคิด เราจะได้ละความเคยชิน ที่มันมาที่มันเคยเกิดประจำเป็นสติปักฐาน จะหยุดความเคยชินที่มันท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร ด้วยการภาวนาวิปัสสนา ยกสิ่งเหล่านี้สู่พระไตรลักษณ์ว่า อันทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ไม่เเน่ไม่เที่ยงเราอย่าไปตามความคิด ตามอารมณ์ มันจะก่อภพ ก่อชาติ ก่อวัฏฏะให้เรา
พระพุทธเจ้าท่านทรงอุบัติมาในโลกนี้ ให้คนรู้ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ผู้ที่เวียนว่ายตายเกิด คือ ผู้ที่ไม่รู้จักทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกคนตกอยู่ในความหลง เรียกว่าตกอยู่ในความมืด เรียกว่าไสยศาสตร์ ทุกคนเกิดมาเพราะความหลง เกิดมาเพราะใจนี้เป็นใจไสยศาสตร์ ทุกคนต้องรู้จักตัวเองว่าตัวเองหลง ตัวเองยังไม่ถูกต้อง ตัวเองต้องรู้จัก เพราะตัวผู้รู้ของเรา มันเอาไปใช้ในทางที่ผิด
ไสยศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์ของคนหลับ ไม่รู้ ไม่มีปัญญา งมงายไปตามธรรมเนียมประเพณี บนบานศาลกล่าวอะไรไปตามธรรมเนียมประเพณี มันเป็นไสยศาสตร์ อย่างนี้ช่วยไม่ได้ดอกถ้าไม่ทำหน้าที่ มันต้องทำหน้าที่ พระเจ้าจึงจะเกิดขึ้นได้และช่วยได้
"ไสยศาสตร์" มันจำเป็นสำหรับ..คนปัญญาอ่อน
"สิ่งที่เรียกว่าไสยศาสตร์นี่ มันจำเป็นสำหรับ..คนปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์เป็นศาสนาของคนปัญญาอ่อน คุณอย่าปัญญาอ่อนสิ อย่าเป็นผู้ปัญญาอ่อน ไสยศาสตร์จะหมดอำนาจหมดกำลัง ถ้าคุณยังเป็นปัญญาอ่อนอยู่มันก็ยังต้องการไสยศาสตร์อย่างที่หลีกไม่ได้ช่วยไม่ได้...
มันเป็นต้นตอแห่งปัญหาของโลกทั้งโลกเลย มันเป็นปัจจัยที่หล่อเลี้ยง "อวิชชา" ไว้มากเหลือเกิน ไสยศาสตร์เป็นปัจจัยหล่อเลี้ยงอวิชชาไว้ให้ยังคงมีกำลังรุนแรงอยู่ตลอดเวลา
ปัญหาทางไสยศาสตร์ โลกมันถูกครอบงำอยู่ด้วยปัญหาอย่างนี้ มันจึงลืมตาไม่ขึ้น แม้ว่าจะมีการศึกษา เจริญก้าวหน้าเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นบัณฑิตเป็นอะไรกันเต็มที่แล้ว ไอ้ความรู้สึกทางไสยศาสตร์มันก็ยังอยู่ ต่อให้ไปเรียนจากเมืองนอกมีปริญญาเป็นหางมาถึงเมืองไทย ก็ยังไม่ละทิ้งไอ้ไสยศาสตร์ได้ คือ ความกลัวโดยไม่มีเหตุผล ความอยากโดยไม่รู้จักประมาณ ความเชื่อว่ามีสิ่งหนึ่งซึ่งเราไม่รู้ได้ไม่เห็นหน้าได้ไม่รู้จักได้ เป็นสิ่งที่มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง แม้จะไปเรียนวิทยาศาสตร์จบปริญญาวิทยาศาสตร์มามันก็ไม่ละทิ้งความรู้สึกอันนี้ได้ เพราะมันฝังอยู่ลึก
อาตมารู้จักด็อกเตอร์อังดรัวต์คนหนึ่ง จบมาจากประเทศฝรั่งเศส สิ่งแรกที่มาถึงประเทศไทยที่เขาจะทำคือไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี เขาบอกว่าช่วยแนะให้ที จะไปรดน้ำมนต์ที่วัดไหนดี กลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ สิ่งที่เขาจะทำ ก็แปลว่าไอ้การศึกษาที่เมืองนอกมันไม่ช่วยแก้ไอ้ความรู้สึกแบบไสยศาสตร์ได้ นักวิทยาศาสตร์มันก็ยังงมงายในด้านจิตใจ แม้มันจะสว่างไสวในด้านวัตถุ มันยังงมงายด้านจิตใจ ฉะนั้น ความหวังที่จะได้อะไรจากสิ่งที่มองไม่เห็นตัว หรือความงมงายนั้น มันก็ยังเหลืออยู่เท่าเดิม
ทำไมเราจึงปัญญาอ่อน เพราะว่าไอ้ศรัทธางมงายมันมาแย่งเอาไป แย่งรากฐานเอาไปหมด ศรัทธาที่งมงายมันมาแย่งรากฐานเอาไปหมด รากฐานของปัญญาแล้ว ปัญญามันจึงทรุดลงเป็นปัญญาอ่อน ปัญญาอ่อนอย่างนี้หมายความว่าปัญญาทางจิตทางวิญญาณ ไม่ใช่ปัญญาอ่อนทางวัตถุ เด็กๆ ทุพพลภาพ เด็กหรือสัตว์พิการสมองพิการปัญญาอ่อนอย่างนั้นไม่เกี่ยวกันกับเรื่องนี้
ปัญญาอ่อนในเรื่องนี้หมายถึงว่ามันอ่อนไปด้วยความรู้ ความถูกต้องของพระธรรม มันปัญญาอ่อนอย่างนี้ ไอ้เด็กปัญญาอ่อนที่เก็บไว้ตามโรงพยาบาลนั่นไม่เป็นไร นั่นมันเป็นธรรมชาติ มันเป็นความไม่สมประกอบของไอ้ระบบกาย แต่คนที่มีร่างกายดี กลับมีปัญญาอ่อนเพราะรู้ผิดนี่ คือสิ่งที่เป็นปัญหา ที่ทำให้โลกนี้จมอยู่ในความมืดไม่ลืมตา เราเรียกกันว่าไสยศาสตร์ ปัญญาอ่อนเท่าไหร่ มันก็ยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้นแหละ
ใครปัญญาอ่อนเท่าไหร่ เขาจะยิ่งชอบยิ่งต้องการไสยศาสตร์มากเท่านั้น น่าเห็นใจ จะแก้ไขกันอย่างไร มันก็ต้องเพิ่มปัญญา อย่าให้อ่อน ให้เป็นปัญญาแข็ง ถ้าถูกด่าว่าปัญญาอ่อนอย่าโกรธเลย ถ้าเขาหาว่าเราปัญญาอ่อนบ้างก็อย่าโกรธเลย เพราะมันอ่อนอยู่จริงๆ รีบทำให้มันกล้าแข็งเสียเถิด"
พุทธศาสตร์ แปลว่า ศาสตร์ของคนตื่น เราเป็นพุทธบริษัทนะ จะต้องถือพุทธศาสตร์ รู้ธรรมะอย่างถูกต้องทำได้ถูกต้องไปหมด
สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง สัมมาสังกัปโป ปรารถนาถูกต้อง
สัมมาวาจา พูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันโต ทำการงานถูกต้อง
สัมมาอาชีโว ดำรงชีวิตถูกต้อง สัมมาวายาโม พากเพียรถูกต้อง
สัมมาสติ กำหนดสติถูกต้อง ถ้าไม่ทำหน้าที่ให้ถูกต้อง ไม่มีธรรมดอก ต่อให้โบสถ์ โบสถ์ไหนก็ตาม มันไม่ทำหน้าที่ มันมีแต่นั่งสั่นเซียมซี จุดธูปจุดเทียน พูดอ้อนวอนขอร้อง มันไม่ทำหน้าที่อะไร อย่างนี้ในโบสถ์นั้นไม่มีธรรมะเลย ธรรมะไปอยู่กลางทุ่งนาไถนาโครมๆ นั่นกลับมีธรรมะ เพราะว่ามันทำหน้าที่ ฉะนั้นในโบสถ์ก็ต้องทำหน้าที่ ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วในโบสถ์จึงจะมีธรรมะ ในวัดจึงจะมีธรรมะ แล้วมันก็รอด ไม่มีพระเจ้าที่ไหนมาช่วยได้ดอก ให้จุดธูปจุดเทียน บูชาอ้อนวอน ขอร้องสักเท่าไรก็ตาม ถ้าไม่ทำหน้าที่มันไม่รอดดอก มันตาย พระเจ้าไม่ช่วยคนไม่ทำหน้าที่ นั้นคือความจริงที่สุดธรรมะนั่นแหละช่วย
สัมมาสมาธิ ความตั้งใจมั่นชอบ ตั้งใจมั่นถูกต้อง ให้หน้าที่ของเราถูกต้องๆ ถูกต้องไปทุกหน้าที่ เมื่อทำหน้าที่อะไรขอให้รู้ว่าเป็นธรรมะคือหน้าที่ มีความพอใจมีสติสัมปชัญญะ มีสมธิ มีปัญญา เพราะว่าเอื้อมมือไปเกาที่คัน
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้แล้ว รู้แจ้งเห็นจริง รู้ในสามแดนโลกธาตุ มนุษย์เราจะเข้าถึงความดับทุกข์ได้ เพราะเราทุกคนหลงงมงาย หลงในร่างกายของตัวเอง หลงในรูปของตัวเอง หลงในเวทนาของตัวเอง ทุกคนมีความหลงงมงาย หลงในตัวตนยังไม่พอ ยังไปหลงในไสยศาสตร์ภายนอกอีก คนเราเมื่อหลงแล้วก็ต้องมีความอยาก ความต้องการ เขาเรียกว่า เมื่อหลง ก็ต้องหลงในความอร่อย หลงในโลก หลงในเหยื่อของโลก คนเรามันเจ็บปวดนะ หลงว่าเราเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิง พระพุทธเจ้าถึงตรัสเรื่องอริยสัจ ๔ ให้พิจารณาร่างกายแยกออกมาเป็นชิ้น พิจารณาพระไตรลักษณ์ในชีวิตประจำวัน คนเรา มันหลง เราต้องมาประพฤติปฏิบัติ พิจารณาแยกชิ้นส่วนของร่างกายสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาเวทนาสู่พระไตรลักษณ์ พิจารณาสัญญา สังขาร วิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรอก มันเป็นกรรมเวรเก่าที่เรามีความหลง ประกอบกันเป็นพลังงานมีการเวียนว่ายตายเกิด
ทุกคนมันน่าสมเพช เวทนา อวิชชา ความหลงนี้มันเอาเราเป็นลูกน้อง บริวาร เมื่อมันหลง มันมืด เราก็ต้องเข้าสู่เหตุ เข้าสู่ปัจจัย เพราะปัจจุบันมันจะเลื่อนไปเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี เราจะได้สร้างคุณธรรม สร้างอริยทรัพย์ เราจะได้รู้ความดับทุกข์ที่แท้จริง มันไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่ที่กายที่ใจของเราในชีวิตประจำวัน ตัวเองหลงยังไม่พอ พาลูก พาหลาน ทุกข์ยากลำบาก เวียนว่ายตายเกิด ต้องมีภาระมากมาย เราทำไปปฏิบัติไปมันจะเลื่อนไปเอง เพราะมันเป็นอริยมรรค เราจะได้เข้าถึงพระพุทธศาสนาแท้ๆ ไม่ใช่เหมือนที่เรารู้เราเห็นในปัจจุบัน หรือ ในอดีตที่ผ่านมาที่เราได้เกี่ยวข้อง เพราะมรรคผล นิพพาน ยังไม่หมดสมัย ยังไม่ล้าสมัย มันเป็นปัจจุบันธรรม ที่คำนวณแล้วว่า ประชากรของโลกมีเท่านั้น เท่านี้ ถ้าคำนวณไปแล้วมันแทบจะมองไม่เห็น เพราะเราทำตามอวิชชา ตามความหลง ต้องกลับมาหาเรา ไม่ต้องไปแก้ที่ใคร แก้ที่เรานี้แหละ เราทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง เราจะได้มีศีลเสมอกัน มีสมาธิ ความตั้งมั่นเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน เราจะได้จบด้วยความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
ส่วนใหญ่น่ะเราไม่รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ เราเลยไม่ทันกาล ไม่ทันเวลา เพราะเรามันไม่รู้ความหมายในการปฏิบัติ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเอาทั้งสมถะ ทั้งวิปัสสนา คือมีสติสัมปชัญญะ เอาทั้งตัวปัญญาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนแต่เป็นของไม่เที่ยง เป็นของไม่แน่ เป็นของไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราจัดการกับตัวเองไม่ได้ในปัจจุบัน ถือว่าเราไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ เราจะไม่เข้าถึงสภาวะธรรม เราเข้าถึงแต่สภาวะที่มันเป็นอวิชชา เพราะของอร่อย รูปมันก็อร่อย เสียงมันก็อร่อย รสมันก็อร่อย โผฏฐัพพะมันก็อร่อย เราก็เลยติดในความอร่อย เราไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพราะความกำหนัดยินดีความย้อมใจ มันมีปัญหา มีอิทธิพลต่อเรา
เราก็ขอโอกาสของตัวเองไปเรื่อย ไม่จัดการกับสิ่งที่ควรจัดการ ถึงแม้เราจะพากันไปเดินจงกรม นั่งสมาธิ อันนั้นมันเป็นการฝึกซ้อมเฉยๆ แต่ตัวจริงมันอยู่ที่ปัจจุบันนะ ปัจจุบันนี้ต้องจัดการ ยังไม่พอ เราต้องพิจารณาพระไตรลักษณ์ แยกชิ้น แยกส่วน แยกรูป แยกนาม เพื่อสติสัมปชัญญะของเราจะได้เข้มแข็ง เราอย่าไปใจอ่อน เราก็เห็นภัยเห็นโทษในวัฏฏะสงสาร ถึงจะสวยที่สุดก็ต้องจากไป ถึงจะสะดวกสบายที่สุดก็ต้องจากไป เราต้องใจเข้มแข็ง สัมมาสมาธิ เราต้องตั้งมั่น นักปฏิบัติก็ถึงเป็นการยืดเยื้อ เพราะว่าเราไม่ประพฤติไม่ปฏิบัติตัวเอง
ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเหมือนเรามีความสุขในการเรียนหนังสือในการทำงานขยันอดทนรับผิดชอบอย่างนี้ มันก็จะไม่มีความทุกข์เพราะความทุกข์มันอยู่ที่เราเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างผู้ถือศีลและพฤติปฏิบัติธรรม ก็คิดว่าเอ๊ะเราจะมารักษาศีลห้าศีลแปดทำไม คนอื่นส่วนมากทั้งโลกไม่เห็นทำกัน เพราะเอามิจฉาทิฏฐิมาเป็นตัวตัดสินเพราะเราไม่รู้จักความสุขเรื่องและความเห็นแก่ตัวเรื่องพระนิพพาน เอาแต่ความสุขทางร่างกายทางเนื้อหนังมังสา ทางกามารมณ์กามคุณ
นักบวชก็ยังไม่รู้จักเรื่องพระนิพพาน นักบวชก็ต้องรู้พระนิพพาน ประชาชนก็ต้องรู้เรื่องพระนิพพาน เราจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ถ้าเขารู้ เขาคงไม่หลงในกามหรอก ไม่เพลิดเพลินในกามหรอก ถ้าเขารู้แล้วเขาคงไม่ทะเลาะกัน ไม่แย่งยศ ไม่แย่งตำแหน่งกัน เหมือนคนเขาทะเลาะกัน เขารู้แล้วเขาจะไม่ทะเลาะกัน เหมือนตัวเรานี้ เราก็ไม่รู้หรอก ถ้ารู้แล้วเราจะไปคิดเรื่องที่ไม่ดีทำไม จะทำสิ่งที่ไม่ดีทำไม พูดสิ่งที่ไม่ดีทำไม แสดงว่าเรายังไม่รู้อารมณ์ทางกามคุณ กามารมณ์มันมีอิทธิพลเหนือกว่า แสดงว่ายังไม่รู้อริยสัจสี่ ผู้ที่รู้อริยสัจสี่พอเห็นทางซุปเปอร์ไฮเวย์ก็จะเดินไป เริ่มต้นจากพระโสดาบัน
ที่เราไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตายแสดงว่าเราไม่รู้ คนที่เห็นแก่ตัวชอบคิดเสมอว่า ถ้าตายแล้วไม่เจ็บไม่ปวดหน่ะดี คิดอย่างนี้ก็แสดงไม่มี ถ้าไม่มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย พระนิพพานจะมาจากไหน
ศีลนี้เป็นความประพฤติเป็นภาคประพฤติภาคปฏิบัติของเรา สมาธิคือความตั้งมั่น ปัญญาคือเราต้องรู้จักอริยสัจสี่ ธรรมาธิปไตยคือศีล คือสมาธิ คือปัญญา ทุกท่านทุกคนไม่ว่าจะเป็นนักบวช ข้าราชการ นักการเมือง พ่อค้า ประชาชน คือผู้ที่จะเอาธรรมาธิปไตย เอาธรรมะ เพราะว่าต้องมีสัมมาทิฏฐิเยอะๆ ถ้างั้นมันจะพัฒนาองค์กรเข้าสู่ความประเสริฐที่เราได้เกิดเป็นมนุษย์ไม่ได้
ผู้ที่รักษาศีลพรหมจรรย์เป็นภิกษุสามเณรต้องพากันเข้าใจความหมายของพระพุทธศาสนา คำว่าพระคือพระธรรมพระวินัย พระธรรมพระวินัยนั้นคืออริยมรรค คือข้อวัตรคือข้อปฏิบัติ เป็นกระบวนการเป็นมรรคเป็นผลเป็นนิพพาน ต้องเริ่มต้นจากความเห็นถูกต้องปฏิบัติถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราจะได้ปฏิบัติตัวเอง 100% ต้องเริ่มจากความคิด เพราะว่าทุกอย่างมันอยู่ที่สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ที่ยังเอาใจตัวเองยังเอาอารมณ์ตัวเองเอาความรู้สึก แสดงถึงเรายังไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นบ้างนิดหน่อยๆศีลเราเลยด่างพร้อย บางคนขาดจากพระภิกษุ เมื่อเราไม่มีความตั้งใจ ไม่มีเจตนาเต็มร้อย ถือว่าเรายังตกอยู่ในกามสุขัลลิกานุโยค หมกมุ่นในกาม เราก็ไม่สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานได้ ผู้ที่มาบวชก็เลยไม่ได้เป็นพระธรรมพระวินัย เป็นแค่ภิกษุเป็นเพียงสามเณรเป็นผ้าขาวแม่ชี ไม่เข้าสู่กายวิเวก ถ้าไม่เอาธรรมเอาวินัย 100% ด้วยความตั้งใจด้วยเจตนา เราก็จะไม่เข้าสู่กายวิเวกเพราะเรายังคิดเรายังยินดีในกาม หมกมุ่นในกาม
ต้องเป็นคนซื่อสัตย์ ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า ใครจะฉลาด ไม่ฉลาด จะหัวดี ไม่หัวดี ไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่เราเป็นคนซื่อสัตย์ คนซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้าจะไม่ไปคิดเรื่องอยากได้เงินได้ทอง ไม่มีใจไปคิดเรื่องผู้หญิงเรื่องกินเรื่องเที่ยว คนซื่อสัตย์จะไม่คิดไม่พูดไม่ทำแบบนี้ ต้องเป็นผู้ซื่อสัตย์ เกรงกลัวต่อบาปละอายต่อบาป ไม่คิดเรื่องไปในทางกาม ไม่คิดเรื่องผู้หญิง เรื่องกามคุณ แม้กระทั่งเรื่องเสพเรื่องกินเรื่องเที่ยวที่ผ่านมาก็ตามที ต้องไม่คิด จึงเป็นการพัฒนาไปสู่ความซื่อสัตย์ มันมีอย่างที่ไหนเราบวชเป็นพระยังไม่เกรงกลัวต่อบาปไม่ละอายต่อบาป ยังคิดถึงสาว คิดชอบสาวอยู่ อย่างนี้คือคนไม่ซื่อสัตย์ คิดเรื่องเงินเรื่องทองเรื่องยศตำแหน่งสรรเสริญ ไม่มีใครจะบรรลุธรรมได้เลยถ้าไม่ซื่อสัตย์ อย่างระบบความคิดระบบความเห็นของที่วัดเรา องค์พ่อแม่ครูบาอาจารย์ไม่ให้มีโทรศัพท์ เราก็ยังคิดแต่ว่าวัดนั้นก็ยังมีวัดนี้ก็ยังมีวัดนั้นก็ยังโทร เราจะไปเอามาตรฐานของที่อื่นไม่ได้ มันคือการยังยินดีในกาม ใครจะไปทำอย่างนั้นก็ช่างหัวมัน พระพุทธเจ้าไม่ได้ให้เราคิดไม่ได้ให้เราทำอย่างนี้
พระวินัยทุกข้อคือธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระวินัย มันเป็นกายวิเวก หลวงปู่ชา หลวงตามหาบัว เจ้าคุณพุทธทาส ท่านถึงเน้นเรื่องโทรศัพท์มือถือ พวกอินเทอร์เน็ต เฟสบุ๊ค คอมพิวเตอร์เหล่านี้เปรียบเหมือน ศาสตราวุธที่เราใช้แล้วมันทำร้ายตัวเองทำลายกุลบุตรลูกหลานผู้ที่ยังมีอินทรีย์อ่อน เพราะพระเรานี้พระภิกษุเหล่านี้แหละอย่าใจอ่อน พวกที่บวชมายังไม่มีโอกาสพิจารณาพระกรรมฐาน ไม่ได้เจริญอานาปานสติ ไม่ได้พากันตั้งอยู่ในพุทโธ เพราะใจมันหยาบ เพราะใจมันสกปรกใจมันไม่วิเวก ให้เข้าใจนะ พวกนี้แหละไม่ได้เข้าสู่กายวิเวก ผู้ที่ติดหมกมุ่นอยู่ในกาม มันต้องเข้าสู่กายวิเวก มันต้องหยุดพวกนี้ก่อน ผู้บวชก่อนต้องเป็นตัวอย่างแบบอย่างผู้ที่บวชภายหลัง ต้องพากันตั้งมั่น มรรคผลนิพพานจะหมดสมัย เพราะเราพากันยินดีในกามหมกมุ่นในกาม เราจะพากันมองหน้ากันคนนี้ก็ทำ คนนั้นก็ทำ ก็รู้แก่ใจอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเคราพบูชา พระธรรมคำสอนเป็นสิ่งที่ควรเคารพบูชา ถ้าอย่างงั้นเราไม่ต้องไปหาพระอลัชชีที่ไหนหรอก อลัชชีที่ตัวเราทุกคนนี่แหละ เป็นผู้ที่ไม่ละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป รู้อยู่แต่ก็ยังขืนทำ พระพุทธเจ้าถึงให้เรากลับเนื้อกลับตัวกลับกาย ปัจจุบันนี้เราเป็นคนใจอ่อนเสียเพราะความใจอ่อน เสียเพราะพี่น้องญาติวงศ์ตระกูลพรรคพวก หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายที่ใจอ่อนต้องมีพรรคมีพวกที่เรียกว่าใจของเรายังอยู่ในแก๊งค์ หากใจอ่อนก็ละสิ่งเสพติดที่เรียกว่ากามไม่ได้ ทุกท่านทุกคนพระพุทธเจ้าให้เราละอายต่อบาปเกรงกลัวต่อบาป
ความสุข ความดับทุกข์ของเราทุกคนอยู่ที่ใจสงบ ไม่ว่าเราจะเป็นคนรวย เป็นคนจน เป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่แข็งแรง ความสุขความดับทุกข์มันอยู่ที่ใจสงบ พระพุทธเจ้าท่านถึงได้มีเมตตาสอนเราให้พากันมีสติ มีสัมปชัญญะให้พากันฝึกปล่อยฝึกวางในเรื่องความยึดมั่นถือมั่น
ที่มันเป็นอดีต... 'อดีต' คือกรรมเก่าที่พวกเราพากันยึดถือ ถ้าเราไม่ฝึกปล่อย ไม่ฝึกวาง มันก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยสนับสนุนกรรมใหม่ไปเรื่อยๆ สิ่งที่เป็นอดีตที่ผ่านไปแล้ว ที่มันเป็นสิ่งที่ดี...ไม่ดี พระพุทธเจ้าให้เราปล่อยวางให้หมด พยายามมีสติ มีสัมปชัญญะ พยายามทำใจของเราไม่ให้มีทุกข์ ทำใจให้เบิกบาน ผิดก็เป็นครู ถูกก็เป็นครู สิ่งที่แล้วก็แล้วไป พยายามใหม่ ตั้งใจใหม่ มาตั้งมั่นในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นในความดี สมาทานความดี เป็นผู้ที่มีความละอายต่อบาป เกรงกลัวต่อบาป มีความอด มีความทน ถ้าเราเชื่อตัวเราเอง เชื่อใจของเราเองนั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านให้เราเอาศีลเอาธรรมเป็นหลัก
เรารู้ เราเห็น เราเข้าใจนั้น มันยังใช้ไม่ได้ เราต้องเอาความรู้ความเห็นมาประพฤติปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนนั้นต้องปฏิบัติ...มันถึงจะเป็นเหมือนเขาจะเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ เป็นผู้ที่ชำนาญ ผู้ที่เป็นหมอก็ไปเรียนทางด้านเป็นหมอ ผู้ที่เป็นวิศวกรก็ไปเรียนวิศวกร ผู้ที่เป็นเกษตรกรรมก็ไปเป็นเกษตรกรรม ผู้ที่ค้าขายก็ต้องเรียนรู้ในสิ่งที่ค้าขาย บุคคลผู้นั้นถึงจะเป็น ถึงจะเชี่ยวชาญ เราทุกคนก็เหมือนกันที่ได้มรรคผลพระนิพพานก็ต้องเรียนรู้ต้องเข้าใจและประพฤติปฏิบัติ อบรมบ่มอินทรีย์ไปเรื่อยๆ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี" เรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องคุณธรรมนั้น ไม่มีใครมาแต่งตั้งให้เราได้ นอกจากประพฤติปฏิบัติของเราเอง เขาแต่งตั้งให้เราเป็นพระเป็นเณร เป็นแม่ชี มันก็เป็นแต่เพียงภายนอก ให้ทุกท่านทุกคนให้เข้าใจดีๆ ว่า เราทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติเอง หายใจเข้าออกเอง พักผ่อน รับประทานอาหารเอง ที่พึ่งแท้จริงของเรา ก็คือศีล คือสมาธิ คือสติสัมปชัญญะ ปัญญาต้องเข้าใจ เรื่องกิเลส เรื่องความอยาก เรื่องความหลงของเรา
ทุกท่านทุกคนมันมีความหลง มันถึงมีความโลภ ความโกรธ มันมี 'อวิชชา'มีความไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านถึงให้เราพามาประพฤติปฏิบัตตามอริยมรรคองค์ ๘ ประการ ที่ประกอบด้วยความคิด จิตใจ กาย ประกอบกับการทำงาน เพื่อให้เราทุกๆ คนได้ตั้งมั่นในธรรม และจะได้เข้าถึงคุณธรรม ถ้าเราประพฤติปฏิบัติอย่างอื่นมันไม่สามารถพาเราเข้าสู่ความดับทุกข์ที่แท้จริงได้
ผู้ปฏิบัติน่ะ ปฏิบัติไป ทำความเพียรไป ยิ่งไม่เข้าใจ เพราะว่าทำเพื่อเอา เพื่อมี เพื่อเป็น เพื่อบรรลุธรรม ไม่ได้ทำเพื่อเสียสละ ละตัวละตน ไม่ได้ทำเพื่อที่สุดของกองทุกข์น่ะ....หนทางเราเลยมืดบอด เราทำเหมือนกันแต่จิตใจมันไม่เหมือนกัน อย่างเราทำงานก็เพื่อเสียสละ เราทำเพื่อปล่อยเพื่อวาง เพื่อไม่มีไม่เป็น เพื่อไม่หวังอะไรตอบแทน สิ่งที่เราจะได้มาก็คือ มรรคผลนิพพาน และทรัพย์ ข้าวของ โดยได้ทั้งทรัพย์ ได้ทั้งอริยทรัพย์
ถ้าเราทำถูกมันก็มีความสุข มีความดับทุกข์ มันก็ดีไปหมด มันก็เข้าถึงพระนิพพาน ตั้งแต่ยังไม่ตาย...ขณะนี้เดี๋ยวนี้ มันก็ชำนิชำนาญไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปวิ่งหาธรรมะที่ไหน เพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา เราก็จะไม่ต้องหนีงาน หนีการ หนีสังคม เราก็จะได้ละความถือละตัวละตน ที่เราพากันแบกไว้ในจิตในใจให้มันหนักหัวสมอง
เรื่องต่างๆ ไม่ว่าสิ่งที่ดี...ไม่ดี ที่มันเกิดในชีวิตประจำวันของเรา มันทำให้เราได้ฝึกทำจิตทำใจ พระพุทธเจ้าท่านให้เราประพฤติปฏิบัติที่จิตที่ใจ ที่กาย วาจา ใจของเรา ที่สุดของความดับทุกข์มันก็จะผ่านไปทุกขณะจิตไปเรื่อยๆ อินทรีย์บารมีเราก็แก่กล้าเข้าไปเรื่อย เช่น ถ้าเราประพฤติไปยิ่งงง คนเราถ้าใจไม่สงบ มันก็เหมือนคนตาบอดนี่แหละ
ทุกท่านทุกคน... พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันปฏิบัติ ไม่ว่าเป็นพระ เป็นเณร เป็นชี เป็นญาติโยม เพื่อจิตใจของเรา ทุกๆ คนก็มีโอกาส มีเวลาเท่าๆ กัน ทุกๆ คนก็ทำไป... เสียสละไป... เราจะเอาความสุข ความดับทุกข์ในเรื่องลาภ ยศ สรรเสริญนั้นมันมีแต่ความเสื่อมความสลาย พยายามสร้างอริยทรัพย์ที่มันไม่เสื่อม...ไม่สลาย
ทุกคนอยากได้มรรคผลนิพพาน แต่มันก็ขาดเหตุปัจจัย คือการประพฤติปฏิบัติที่สม่ำเสมอ สมาธิของเราทุกคนต้องแข็งแรง เราต้องตั้งมั่นไว้นานๆ ไว้ตลอดกาล ทั้งสมาธิ ทั้งปัญญาต้องสมดุลกัน จะได้มีผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ผู้ไม่มีทุกข์ ผู้จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ถ้าเราเอาแต่สงบ มันก็เหมือนอาหารที่แช่ในตู้เย็น มันไม่สด ไม่เป็นธรรมชาติศีล สมาธิ ปัญญาของเราต้องควบคู่กันไป จะได้เกิดอริยมรรคมีองค์ ๘
เราสังเกตตัวเราให้ดี เวลาเราไม่เครียดเราทำใจอย่างไร เวลาเราเครียดเราเป็นอย่างไร เราต้องสังเกตดูเราจะได้รู้จักการวางจิตวางใจ เราจะได้ทำที่สุดแห่งกองทุกข์ให้มันถูกต้อง เรื่องความเครียด เรื่องความทุกข์ในชีวิตประจำวันของเรานี้สำคัญ ทำอย่างไรมันถึงจะไม่เครียด ถ้าเราตึงเกินไปมันก็เครียด ถ้าเราหย่อนยาน มันไปทางความหลง ความโลภ พระพุทธเจ้าท่านให้เราสังเกตตัวเอง จะได้รู้จักทางสายกลาง ประเด็นแรกก็ต้องยึดยานพาหนะ ได้แก่ ศีล สมาธิ เพื่ออาศัยรูปแบบที่เค้าทำพิมพ์ไว้แล้ว เราประพฤติปฏิบัติไป แล้วเราก็เข้าใจเอง ถ้าใจของเราไม่สงบ เราก็ไม่เข้าใจน่ะ เมื่อใจของเราสงบแล้วเราก็พากันเข้าใจเอง
จึงสรุปได้ความว่า ความสุข ความดับทุกข์ของเรา ก็คือ ใจสงบ
ใจสงบ' นั้นได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีล สมาธิ ปัญญา นั้นคือ อริยมรรคทั้ง ๘ ประการ ที่เราทุกคนจะต้องประพฤติปฏิบัติ โดยไม่มีการยกเว้นบุคคลใดบุคคลหนึ่ง...
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee