แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๗ อดีตจะเป็นอย่างไรก็คือบทเรียน ให้ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน เพื่อตั้งมั่นในอริยมรรค
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันศุกร์ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๗
เราทุกคนต้องมีสติมีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม รู้ว่าอันไหนผิดอันไหนถูก อันไหนดีอันไหนชั่ว เราต้องก้าวด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุ ไปพร้อมๆ กัน เราจะได้รู้หลักการ รู้โครงสร้างของชีวิตของเราทุกๆ คน วันหนึ่งคืนหนึ่งมี 24 ชั่วโมง กลางวัน 12 ชั่วโมง กลางคืน 12 ชั่วโมง การพักผ่อนของมนุษย์สำหรับประชาชนที่เป็นปุถุชนที่ไม่ได้เป็นนักบวช พักผ่อนนอนหลับ 6 ชั่วโมง อย่างมากก็ไม่เกิน 8 ชั่วโมง สำหรับนักบวชต้องพักผ่อนนอนหลับ 4 ชั่วโมงถึง 6 ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่อย่างนี้ เป็นเวลาเกือบ 20 ชั่วโมง เราต้องบริหารเวลาเพื่อให้เกิดประโยชน์ เวลานั้นเป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นสิ่งที่สำคัญ เอากลับคืนมาไม่ได้ ปัจจุบันมนุษย์เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก เพราะหมู่มวลมนุษย์จะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ในเรื่องจิตเรื่องใจ ในเรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กัน จิตใจก็ไม่ยิ่งหย่อนไปตามความถูกต้อง วัตถุก็ไม่ยิ่งหย่อน เพื่อสร้างประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน
อดีตที่ผ่านมาเป็นสิ่งที่แก้ไขไม่ได้ ถ้าผิดพลาดก็แก้ไขไม่ได้ ถ้าถูกต้องก็แก้ไขไม่ได้ อดีตคือประสบการณ์ ชีวิตของเราคือการเริ่มต้นใหม่ในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสิ่งที่ที่ผ่านมาแล้วก็แล้วไป ไม่ต้องไปยึดมั่นถือมั่น ให้ปล่อยวาง เป็นอยู่ในปัจจุบันปัจจุบันในปัจจุบัน อย่าไปประมาท ต้องมีความสุขใจสบายใจในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะเรานี้ให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ถ้าเราไม่มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ พวกเราจะพากันเป็นโรคจิตโรคประสาท โรคซึมเศร้า โรคฟุ้งซ่าน ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติปัจจุบัน ปัจจุบันเราทุกคนต้องมีสติปัญญาที่สมบูรณ์ เราจะสมบูรณ์ได้ เพราะเรามีสติมีสัมปชัญญะ รู้ว่าอันไหนดีอันไหนชั่วอันไหนผิดอันไหนถูก รู้แล้วไม่คิดไม่นึกไม่ตรึกไม่กระทำ เอาความถูกต้องในชีวิต เอาปัจจุบัน
ให้พวกเราเข้าใจ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจก็เปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน รูปเสียงกลิ่นรส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ สิ่งภายนอกมากระทบ มันเป็นแขกมันเป็นอาคันตุกะ มาเยี่ยมเรามาเยี่ยมบ้านเรา เมื่อแขกมาเยี่ยมแล้วแขกก็ต้องจากไป เพราะมันเป็นกฎแห่งกรรมหรือว่ากฎพระไตรลักษณ์ ทุกอย่างนั้นมีเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เหมือนกับสายน้ำ เหมือนกับดวงหทัยหัวใจของเราที่สูบฉีดเลือดไปทุกสัดส่วนของร่างกาย เหมือนสมองของเรามีเส้นประสาทน้อยใหญ่ เพื่อควบคุมสรีระร่างกาย ปัจจุบันพระพุทธเจ้าจึงให้เราพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาไปพร้อมๆ กัน เราต้องพากันจับหลักอย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าจับหลักอย่างนี้ ในโลกนี้ก็หลักการเดียวกันนี่แหละ เพื่อดำรงชีวิตที่ประเสริฐของมวลมนุษย์เอาหลักการเดียวกันนี่แหละ
มนุษย์ในโลกนี้ปี 2567 มีประชากรในโลก 8000 กว่าล้านคน ต้องเอาความถูกต้องนำชีวิต ทั้งทางจิตใจและทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นทางสายกลาง ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง รู้เรื่องเหตุรู้เรื่องปัจจัย รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ ชีวิตจะได้ไม่สะเปะสะปะ ทำทั้งผิดทั้งถูกทั้งดีทั้งชั่ว ชีวิตของมนุษย์จะต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ ถึงจะเป็นมนุษย์ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นจะเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงอวิชชาเป็นความหลง มนุษย์เราได้เรียนรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติมาจากบรรพบุรุษ ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัย เป็นดีเอ็นเอทางสายเลือด เป็นดีเอ็นเอทางคำพูด มนุษย์เราได้มีสมมติสัจจะ เพื่อเอามาใช้งานทำงาน เพื่อโฟกัสทั้งความดับทุกข์ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจและทางวัตถุ เพื่อเราจะได้โฟกัสถึงสัจธรรมความจริงหรือว่าปรมัตถสัจจะ ถ้าเรามีความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง เราจะไปปฏิบัติต่อสมมติสัจจะมันก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราให้มารู้จักอริยสัจ 4 น่ะ พวกเราพวกเราทั้งหลายมีการเวียนว่ายตายเกิด ในเรื่องจิตใจเรื่องทางวัตถุ มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ ถึงพวกเราจะเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสาร เป็นวัฏจักร อยู่อย่างนั้นก็ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงเฉยๆ ให้เข้าใจอย่างนี้ ทุกคนอย่าความรู้สึกทุกข์หนาวร้อน ชอบไม่ชอบมาเป็นตัวเรา ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันทราบว่า นี่คือข้อสอบนี่คือข้อตอบ มันเป็นความรู้คู่ปฏิบัติ ในปัจจุบันความรู้คู่ปัจจุบันนั้น มันจะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพราะเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน มันเป็นไฟท์ เป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติของเรา เอาตัวเอาตนเอาความรู้สึกนี้เป็นตัวเราของเราไม่ได้ เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราไม่เข้าใจแล้วเราจะไม่รู้จักสมมติสัจจะ เมื่อเราไม่รู้สมมติสัจจะ มันก็เป็นฐานของอวิชชาของความหลง เรามาเข้าถึงปรมัตถสัจจะคือความว่างจากตัวตนไม่ได้
ความเป็นมนุษย์ของเราทุกคน หรือว่าความเป็นพระอริยะเจ้าของเราทุกคน เป็นได้ทั้งนักบวช เป็นได้ทั้งประชาชนที่ไม่ได้บวช ท่านเปรียบเหมือนอาหารนี่แหละ อาหารก็คืออาหาร ถ้าใครรับประทานใครบริโภค คนนั้นก็ดับทุกข์ได้ อาหารก็มีอยู่ 2 อย่าง อาหารทางใจและก็อาหารทางกาย เมื่อเรายกเลิกตัวตนเราจะได้บริโภคอาหารทางใจ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ ไม่เป็นอวิชชาไม่เป็นความหลง ไม่เป็นการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องรู้จักอาหารทางกายและอาหารทางใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ เราถึงจะได้รู้ถึงภาษาสมมติสัจจะและก็ปรมัตถสัจจะ เรียกว่าภาษาคนภาษาธรรม คนก็คือรูปธรรมส่วนร่างกาย ภาษาธรรมคือเรื่องจิตเรื่องใจนี้ ความเป็นพระเป็นได้กับทุกๆ คนนะ โลกนี้มีโครงสร้างด้วยเอาธรรมนำชีวิต เมื่อเรายกเลิกตัวตน สมองทุกคนก็ไม่สับสน เพราะว่าไม่มีตัวไม่มีตัวตน สัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง สิ่งที่ถูกต้องถึงไม่ได้เอามาเพิ่มไม่ได้ตัด
ความดับทุกข์ของมนุษย์ถึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในกรุง เมืองหลวง ต่างจังหวัด อำเภอ หมู่บ้าน ในป่าในเขา ดับทุกข์ได้ทั้งหมด เป็นความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ทุกคน ให้เราพากันเข้าใจ เหมือนที่เราไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เพื่ออ่านออกเขียนได้ เมื่ออ่านออกเขียนได้แล้วก็ออกไปทำงานได้เลี้ยงชีพ อยู่ทุกหนทุกแห่ง ให้เข้าใจอย่างนี้ คนเราเกิดมานี้เพื่อพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ พุทธะทางกาย ทางวาจา ทางกิริยา ทางมารยาท เพื่อมามีมีสติมีสัมปชัญญะ ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ปฏิบัติต่อเนื่อง เน้นที่ปัจจุบัน ต้องพากันมาเสียสละ การเดินทางที่ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทางใจทางวัตถุต้องเสียสละ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมเบื้องต้นท่านพูดถึงการให้ทานเสียสละ ลดมานะ ละทิฏฐิ ต้องพากันเสียสละ ต้องเป็นคนเสียสละ ถ้าไม่เสียสละมันก็ไม่ได้ การบำเพ็ญบารมีเบื้องต้นก็มาจากการเสียสละ ละทิฏฐิละตัวละตน ถ้าเราไม่เสียสละ มันก็ไปไม่ได้ มันเป็นความยึดมั่นถือมั่น การที่เราไม่เสียสละสติสัมปชัญญะของเราก็จะไม่สมบูรณ์ เพราะการเสียสละนั้นมันเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ เพราะความไม่เห็นถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้อง มันมีตัวมีตนเป็นอัตโนมัติ มันเป็นความไม่ถูกต้อง มันเป็นความทุจริตตัวตนน่ะ พากันเข้าใจนะตัวตนมันคือทุจริต ตัวตนนั้นน่ะก็คือตัวตน นั้นไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่การบรรลุธรรม มันคือตัวคือตน คือไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้ความจริง ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์น่ะ ทุกๆ คนพากันเสียสละ เราจึงปรับตัวเข้าหาเวลาปรับเข้าหาธรรมะไปพร้อมๆ กัน เวลาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ธรรมะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทุกต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจเป็นเจ้าของบ้าน เพื่อเราเอามาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อมาอบรมบ่มอินทรีย์ของเรา เพื่อจะมาพิจารณา ให้เรามาปฏิบัติเพื่อเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาเป็นความถูกต้อง
เรามาเสียสละ การให้ทานในเรื่องจิตทั้งใจ เรื่องกาย เรื่องวาจา เรื่องกิริยามารยาท เรื่องการให้ทานสิ่งของ นี่เป็นเรื่องทานบารมี เป็นเบื้องต้นของสัมมาทิฏฐิ ทุกคนต้องพากันเข้าใจนะ คนที่ตระหนี่นั่นคือยึดมั่นถือมั่น เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่ายึดมั่นถือมั่น คนที่ตระหนี่กับคนที่ยึดมั่นถือมั่นก็อันเดียวกันนั่นแหละ ทั้งภาษาใจภาษาวัตถุ ถ้าเราไม่เสียสละ เราก็จะเข้าถึงธรรมไม่ได้ เพราะชีวิตของมนุษย์ก็จะเป็นปัจจุบันธรรมไม่ได้ มันเป็นปัจจุบันตัวตน การครองธาตุ ครองขันธ์ ครองอายตนะ มันจะทำให้เกิดภพเกิดชาติ เกิดความเวียนว่ายตายเกิด
การปฏิบัติเน้นที่ปัจจุบัน แล้วก็ให้ติดต่อต่อเนื่อง ถ้าเราไม่ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ไม่มีศีล เราก็เอาสมมติสัจจะมาทำงานไม่ได้ เพราะเราเอาความหลงเอาความไม่เข้าใจ ฐานของความรู้ความเข้าใจ เป็นฐานของเรื่องจิตเรื่องใจ หรือปรมัตถสัจจะไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการก็ไม่ได้ เป็นนักการเมืองก็ไม่ได้ เป็นนักบวชก็ไม่ได้ เราต้องเข้าใจ พวกเราต้องพากันเข้าใจ เพราะเรามีตา มันถึงมีรูป เรามองไปทางไหนก็เห็นยังงั้น เมื่อหันหน้าไปทางไหนก็เห็นอย่างนั้น ต้องเข้าใจอย่างนี้ พวกเราให้พากันเข้าใจ ให้ศึกษาเรียนรู้ เรียนหนังสืออ่านออกเขียนได้ เราไปเจอที่ไหนก็อ่านออกเขียนได้ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกอย่างเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี แล้วเราจะได้ให้อาหารจิตอาหารใจ เพื่อจะได้ไม่เป็นของยาก ถ้าเราไม่คิดว่า ถ้ายังงั้นเราก็ต้องให้กายของเราวิเวก ตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ฟัง สิ่งต่างๆ ไม่ถูกต้องร่างกาย มันจะไม่ได้มีโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอันนั้นมันเป็นเพียงหินทับหญ้า พระพุทธเจ้าได้ทำมาก่อน ปฏิบัติมาก่อน เพราะว่าพระพุทธเจ้าก็คือลูกหลานของพราหมณ์ แต่ปัจจุบันก็เป็นฮินดู พราหมณ์ก็จะเอาความสงบ ความวิเวก อาศัยตาไม่เห็นรูป หูไม่ฟังเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ไม่สัมผัสทางกาย ใจก็วิเวกอย่างนั้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงให้เราพัฒนาใจเพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เหมือนสายน้ำแม่น้ำ เพื่อไหลสู่ทะเลสู่มหาสมุทร เป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันมี ตามธรรมดาแล้วไก่ฟักไข่ เป็นเวลา 3 อาทิตย์ จะฟักในฟาร์มหรือฟักด้วยไฟฟ้าก็ 3 อาทิตย์เหมือนกัน ตามเหตุผล มนุษย์ทำอะไรซ้ำๆ กัน 3 อาทิตย์ขึ้นไป จิตใจของมนุษย์จะเปลี่ยนไป ถ้าทำยังงั้นก็จะเป็นปฏิปทาน่ะ ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติ ต้องพากันอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อให้อาหารทางกายให้อาหารทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อเราจะได้พัฒนาพัฒนาทั้งทางใจทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็นพุทธะทางวัตถุ พุทธะทางจิตใจ เราต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทในประเทศไทยของเรา มีโครงการมีนโยบาย เพื่อเอาธรรมนำชีวิต พวกข้าราชการ ให้ลูกหลาน ได้อุปชาอุปสมบท เป็นเวลา 120 วัน ในพรรษานอกพรรษา ในเวลาราชการ ก็ลาบวชได้ 4 เดือน เพื่อจะได้พัฒนาบุคลากรจึงได้มีการบรรพชาอุปสมบท บรรพชาอุปสมบทพัฒนาหมู่มวลมนุษย์ ในเรื่องจิตเรื่องใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อจะได้มีการติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำเพราะตามปกติแล้ว ถ้าเราทำต่อต่อเนื่อง 3 อาทิตย์แล้ว ก็ถือว่าพอที่จะจับหลักได้ พวกเราพากันมาบวชมาปฏิบัติ ความหมายของการบวช เพื่อพัฒนามนุษย์ของเราติดต่อต่อเนื่อง เพื่อเข้าถึงปรมัตถสัจจะ ต้องเอาสมมุติสัจจะนี่แหละเป็นฐาน เพื่อให้ถูกต้องตามกฏหมายบ้านเมืองในการปกครองประเทศ ต้องเอาหัวใจพระพุทธเจ้ามาไว้ในหัวใจเรา กายวาจากิริยามารยาท ของพระพุทธเจ้ามาไว้ในความประพฤติในปฏิปทาของเรา ให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราต้องพากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ทรัพยากรในความเป็นมนุษย์ถึงจะเกิดขึ้นได้ เราจะได้ยกเลิกความสับสนที่เป็นได้แต่เพียงคน เราจะบวช 7 วัน 15 วัน หรือ 2 เดือน 3 เดือน 4 เดือน ก็ให้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ยกเลิกตัวตน เวลาเราลาสิกขาลาเพศ ก็จะได้รู้เหมือนนักเรียนที่เรียนหนังสือนี่แหละ อ่านออกเขียนได้ทุกหนทุกแห่ง ประเทศเราได้รับดีเอ็นเอ คือพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราก็รับเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ เหมือนเรารับบริจาคโลหิตจากบุคคลที่ไม่มีกรุ๊ปเลือดอันเดียวกัน อันนี้ก็เลือดกรุ๊ปเอ กรุ๊ปบี กรุ๊ปโอ กรุ๊ปอะไรต่างๆ เมื่อเราตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็รับเอาพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทต้องพากันเข้าใจ ทุกคนโฟกัสเข้าหาตัวเอง เพราะว่าวัดที่มีโบสถ์มีวิหารมีเจดีย์ เป็นสถานที่ส่วนรวมเพื่อความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ เพื่อพัฒนาหมู่มวลมนุษย์ ที่ได้รับสิทธิพิเศษบ้านไม่ได้เช่า ข้าวไม่ได้ซื้อ ไปบิณฑบาตหรือเขาเอามาถวายที่วัด ให้พากันเข้าใจ
ทุกคนต้องตั้งใจประพฤติตั้งใจปฏิบัติ เห็นความถูกต้องสำคัญ เห็นสมมุติสัจจะสำคัญ เห็นเวลาสำคัญ เพื่อการฝึกตนเพื่อการปฏิบัติตน ต้องมีฉันทะมีความพอใจในการประพฤติในการปฏิบัติ เราจะเอาเอาความชอบใจไม่ชอบใจ ไปตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องเอาความถูกต้อง เอาธรรมวินัย เอาเวลาเป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติ ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท ถึงจะบวชชั่วคราวนั้นไม่เป็นไร สำคัญที่บวชแล้วก็ต้องทำให้ถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เอาตามพระพุทธเจ้าเป็นรูปเดียว อย่าไปเอาตามคนอื่น ประชากรในโลกนี้ 8000 กว่าล้านคน ที่เป็นประชาธิปไตยเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่ต้องไปเอาเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เพราะตัวตนนั้นคือความไม่ถูกต้อง เพราะตัวตนนั้นคือทุจริต เราต้องพาเข้าใจอย่างงี้ เราต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ การมีตัวมีตนอย่าไปคิดว่า โอ้... ยากปฏิบัติยาก หนาวก็หนาวร้อนก็ร้อน ฝืนทุกอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าท่านบอกพวกให้พวกท่านรู้อริยสัจ 4 น่ะ อันนี้มันเป็นข้อสอบมันเป็นข้อตอบด้วย เราต้องมีความถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องทำให้ถูกต้อง พวกท่านทั้งหลายต้องมีสติมีปัญญาอย่างนี้ ถ้ามีหนาวมีร้อนมีสุขมีทุกข์ ท่านจะไปปฏิบัติที่ไหนได้ เอาแค่สมาธิไม่ได้ พวกท่านต้องไปด้วยความประพฤติความปฏิบัติของท่านเอง ให้มันเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เพื่อก้าวไปอย่างนี้ เพราะยังเป็นเสขบุคคล บุคคลที่ยังไม่หมดกิเลสสิ้นอาสวะ เราต้องดูหน้ารู้ตาความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ ทุกคนจะได้รู้ว่าการประพฤติการปฏิบัติเป็นอย่างนี้เอง ไม่ได้ตามใจตามอัธยาศัยตามความรู้สึกตามความชอบตามความไม่ชอบ มันไม่ใช่การปฏิบัติ มันเป็นขบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราอย่าเอาความหลงเป็นความสุขเลย หลงไปเรื่อยไม่ได้หรอก เจอรูปสวยๆ ก็ร้องในใจไป เจอเสียงเพราะๆ ก็ร้องในใจไป เจออาหารอร่อยๆ ก็ร้องไป ทุกอย่างมันมีแต่การก่อภพก่อชาติ เราต้องมีปัญญา เราต้องรู้จักกาลเวลา รู้จักการประพฤติการปฏิบัติ มันอย่างนี้นี่เอง ไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหน อยู่ที่ตัวเราเอง เพราะเรามีตัวมีตนก็อย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เจ้าอารมณ์เจ้าความคิดเจ้าความรู้สึกนี่ เรารู้เจ้าเสียแล้ว เจ้าทำบ้านทำเรือน ก่อภพก่อชาติให้เราไม่ได้อีกต่อไป เราต้องเข้าใจเหมือนพระพุทธเจ้า เราต้องยกใจของพระพุทธเจ้ามาไว้อยู่ที่ตัวเรา เพื่อเป็นบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ การประพฤติการปฏิบัติของเราต้องทำอย่างงี้ เราต้องพัฒนาใจทั้งภายนอกไปพร้อมๆ กัน เราต้องเข้าใจอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติ จะช่วยให้หมู่มวลมนุษย์ได้เกิดปัญญา
เราทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ถ้าเราเอาตัวตนมันไม่ได้แน่ ความรู้ต้องเข้าสู่การปฏิบัติ เป็นปริยัติปฏิบัติปฏิเวธในปัจจุบันไปเลย อย่าลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ อย่าให้ตัวตนโลกธรรมครอบงำเรา ปัจจุบันเราต้องเตือนด้วยสติเตือนด้วยสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม พิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ความรู้มันต้องคู่การประพฤติการปฏิบัติ ผู้ที่ไม่ได้เรียนหนังสือ มันก็มีหนาวมีร้อนมีสุขมีทุกข์เหมือนกัน เมื่อเราเอาความรู้นั้นมาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน คนไม่ได้เรียนหนังสือก็ดับทุกข์ได้ เพราะเราไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ การเรียนการศึกษามันดีต่อเราเอง มันมีความมั่นคงความรู้ความเข้าใจ เพื่อเราทุกคนจะเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเรายกเลิกตัวตน ชีวิตของเรามันจะไม่สับสน มันจะเป็นปัจจุบันธรรม เอาตัวตนน่ะ ธรรมะมันก็ไปอยู่ในตัวหนังสืออยู่ในตำราหมด เพราะมันเอาตัวตัวตน ธรรมะก็ไม่ได้อยู่กับเรา
เราทุกคนต้องเข้าใจนะ การมาบวช ผู้ที่บวชใหม่ ท่านจึงให้อ่านนวโกวาทกลับไปกลับมาให้เข้าใจ เพราะเราได้เข้าใจ เราจะได้มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ว่าพระพุทธเจ้านั้น พูดอย่างนี้ทำอย่างนี้ เพื่อรู้หลักการรู้หลักวิชาการ เพื่อเราจะได้เอาสมมุติสัจจะมาใช้งาน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเอาสมมุติสัจจะใช้งานไม่ได้ เพราะตัวตนคือเอาสมมุติสัจจะมาใช้งานไม่ได้ เพราะมันเป็นตัวเป็นตน เพราะว่าธรรมะก็อยู่ในหนังสือหมด นวโกวาทก็อยู่ในพระไตรปิฎกหมด ความรู้จึงคู่การประพฤติคู่การปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน เราอย่าไปสีลพัตตปรามาส คิดว่าเรียนจบก่อน แล้วค่อยประพฤติปฏิบัติ เป็นพระธุดงค์กรรมฐาน อยู่สงบในที่วิเวก ไม่ต้องเห็นหน้าใคร เราอย่าไปคิดอย่างนั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น สอนให้ทุกคนความรู้คู่ปฏิบัติ เพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญาในปัจจุบัน เพราะความเป็นพระธรรมความเป็นพระวินัย เราต้องยกเลิกตัวตน เพราะคนเราความคิดอย่างนี้มันจะคิดอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าเราจะหมดลมหายใจ จนกว่าเขาจะเอาเราไปประชุมเพลิง เราต้องเข้าใจใหม่นะ เราจะเป็นผู้บวชไม่สึกก็ดี บวชไม่สึกก็ยิ่งต้องเข้าใจสมมติสัจจะ ที่เขาโฟกัสให้เราถูกต้องตามกฎหมาย เพราะว่ากุลบุตรลูกหลานเขาก็มาบวชชั่วคราว บวช 7 วัน 15 วัน 1 เดือน หรือ 3 เดือน 4 เดือน เขาต้องเอาตัวอย่างแบบอย่างในสิ่งที่ดีที่ถูกต้อง เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ก็ไม่รู้ว่าเรามาบวชทำไม เพราะสถาบันหลักคือศาสนา ศาสนาแปลว่ายกเลิกตัวตน เราจะมาบวชทำไม เราพากันมาบวชเพื่อตัวเพื่อตน มันทำลายพระพุทธศาสนาน่ะ มันไม่ได้ส่งผลัดส่งธรรมวินัยเข้าสู่ลูกหลานนะ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนน่ะ มันก็ไม่ได้เข้าถึงสมมติสัจจะ ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นพระ เพื่อพัฒนาทรัพยากรของมนุษย์
ตัวตนนั้นได้แก่ เปรตผียักษ์มารอสุรกายสัตว์นรกนะ เรายังมีชีวิตอยู่ยังมีลมหายใจอยู่ เรายังมีตัวตนนั่นแหละ เราเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสุรกายเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นสัตว์นรกนะ เราเข้าไม่ถึงความเป็นพระตามสมมุติสัจจะนะ ให้พวกเราเข้าใจ พระพุทธเจ้าให้เอาพระศาสนาเป็นการดำเนินเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน อย่าพากันเอาพระพุทธศาสนามาหาอยู่มาหาฉันเลี้ยงชีพนะ การที่เราไม่ได้ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ถือเอาสังคมส่วนใหญ่ เพราะส่วนใหญ่พากันทำเป็นประชาธิปไตย ทำส่วนมากเหมือนกันเรียกว่าประชาธิปไตย ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ อันนี้การประพฤติการปฏิบัติของเราอยู่ในระดับประชาธิปไตย เอาคนหมู่ใหญ่ที่เป็นอวิชชาเป็นความหลง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เดินสายเดียวกับพระเทวทัตนะ พระเทวทัตน่ะคือเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทำลายความมั่นคงของสงฆ์น่ะ ทำให้สงฆ์แตกกัน ปลงพระชนม์ของพระพุทธเจ้าหลายครั้ง วาระสุดท้ายจึงถูกแผ่นดินสูบธรณีสูบ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าสายเดียวกับพระเทวทัต เราพากันมาบรรพชาอุปสมบท เราอย่าพากันมาเป็นลูกศิษย์ของพระเทวทัต เราต้องเป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเอาธรรมนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิต ถึงจะเข้าถึงสมมติสัจจะ จะได้ส่งผลัดไปถึงปรมัตถสัจจะน่ะ ให้เราเข้าใจอย่างนี้
อย่าไปคิดว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ เวลาปฏิบัติให้เราทุกคนรู้ว่าเรายกเลิกตัวตน เข้าถึงสมมติสัจจะ นั่นแหละคือการประพฤติการปฏิบัติ ได้เป็นประโยชน์ส่วนตนได้เป็นประโยชน์ส่วนรวม ทางมหาวิทยาลัยสงฆ์ ที่ศึกษาศาสนาที่พัฒนาบุคลากร เราต้องเข้าใจนะ เราจะจะทิ้งพระธรรม ทิ้งพระวินัย ใกล้จบปริญญาตรีค่อยเข้าอบรมพระกรรมฐานอย่างนี้ มันเสียหายนะ มันตั้งอยู่ในความประมาท ความหลง ความเพลิดเพลิน ทำให้ทำลายพระศาสนา ด้วยความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง เป็นการลูบคลำในศีลในข้อวัตรในข้อปฏิบัติ ความรู้ต้องคู่การปฏิบัติ เพราะนี่เป็นการพัฒนาพื้นฐานที่มันเป็นสัญชาตญาณ ที่มันเป็นตัวเป็นตน ทุกคนน่ะไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตามใจตามอัธยาศัย พระพุทธเจ้าให้เราทุกคนโฟกัสกลับมาหาที่ตัวเอง ก้าวไปด้วยความสมัครสมานสามัคคี ความสมัครสมานสามัคคีนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็อยากทำอะไรตามอัธยาศัยอย่างนี้ มันไม่สมัครสมานสามัคคีกัน ท่านถึงบอกว่า ทุกคนในอารามนั้นต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกัน เราธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวไม่เอาตนนำชีวิต เอาตัวเอาตนนำชีวิตเรียกว่า อลัชชี ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป ไม่ใช่พระก็วางตัวว่าเป็นพระ เอาแต่แบรนด์เนม เอาแต่ศาสนพิธี มันไม่ได้ มันต้องเอาทั้งสมมุติสัจจะ เอาทั้งปรมัตถสัจจะ ความรู้คู่กันประพฤติการปฏิบัติ เอาตัวเป็นที่ตั้งมันก็เป็นได้แต่เพียงผู้ขอ ไม่ได้เป็นผู้ที่เห็นภัยในวัฏสงสาร ตำแหน่งของนักบวชที่ไม่เห็นภัยในวัฏสงสาร มันก็เป็นตำแหน่งเดียวกับเปรต ตำแหน่งเดียวกัน มันก็เก่งเชี่ยวชาญในการรับประเคน รับเงิน เก็บสังฆทาน เพื่อให้เงินให้สตางค์กับญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล
จึงต้องเข้าใจ เราต้องมีจิตสำนึก แล้วนึกถึงสิ่งที่ถูกต้อง นึกถึงความประเสริฐ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงบำเพ็ญพุทธบารมี เวลายาวนาน 20 อสงไขยแสนมหากัป นับหลายล้านชาติ เราทุกคนต้องมีจิตใต้สำนึก เราต้องมาอาศัยพุทธบารมี ที่ประชาชนทุกคนเลื่อมใส ได้มาบวชได้มาอยู่ที่วัด ที่รับอาหารบิณฑบาต บ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อ ด้วยอาศัยแบรนด์เนมของพระพุทธเจ้า เพื่อมาเสียสละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็ไม่รู้ดีรู้ชั่วรู้ผิดรู้ถูก มันก็ไม่ใช่คนกตัญญูกตเวที มันเป็นคนอกตัญญูกตเวทีนะ ต้องน้อมกลับมาดูที่ตัวเราว่าเราเป็นคนกตัญญูกตเวที หรืออกตัญญูกตเวทีน่ะ ทุกคนรู้ในใจอยู่แล้ว ถ้าเราเอาธรรมนำชีวิต เอาพระวินัยนำชีวิต เราถึงจะเป็นคนกตัญญูกตเวที เมื่อเรารู้ว่า เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เรามาระลึกถึงความกตัญญูกต่อเวที เราระลึกถึงความประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วเราก็ยกเลิกความเป็นตัวเป็นตน ยกเลิกเป็นลูกศิษย์ของพระเทวทัต ที่พระเทวทัตน่ะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง นำหมู่สงฆ์ผิด สมัยพุทธกาลพระสารีบุตรพระมหาโมคคัลลานะ ไปเอาพวกที่มีความเห็นผิดเข้าใจผิดกลับมาหาพระพุทธเจ้า ความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิดกลายเป็นลูกศิษย์พระเทวทัตโดยไม่รู้ตัวนะ
เราก็ต้องสำนึกว่า แม้พระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันปรินิพพานไปแล้วในส่วนทางร่างกาย ความถูกต้องเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะมรรคผลนิพพานเป็นคู่ของความดับทุกข์ อยู่ที่ปัจจุบัน จึงทันโลกทันสมัย ทันกาลทันเวลา เอาแต่ตัวตนมันก็จะทำตามอัธยาศัย เรารู้เราดูเราเห็นเด็กน้อยๆ พวกหนุ่มพวกสาว พวกอากงอาม่า และพวกที่มาบวชในพระศาสนา ก็มีแต่ก้มหน้าก้มตาเล่นโทรศัพท์ หมกมุ่นในอวิชชาในความหลงให้การมีโทรศัพท์มือถือก็เพื่อเราจะได้รู้อริยสัจ 4 เพื่อปัญญาสมาธิสัมมาทิฏฐิ เพราะเดี๋ยวนี้มันดีนะ เรื่องพระไตรปิฎกก็อยู่ในโทรศัพท์มือถือนี่แหละ เรื่องทุกเรื่องส่วนใหญ่ก็อยู่ในโทรศัพท์มือถือนี่แหละ ต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้การใช้งานอย่างนี้ แม้จะซื้อของขายของอะไร ก็อยู่ในมือถือนั่นแหละ ถ้าเอามือถือมาหมกมุ่นในกามในพยาบาทมันเสียหาย มันไม่ได้เจริญสติไม่ได้เจริญสัมปชัญญะ ไม่ได้ปรับเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะ มันหมกมุ่นในกามหมกมุ่นในพยาบาท มันไม่ฉลาดมันไม่มีปัญญา มีแต่อวิชชาความหลง
ท่านบอกเราสอนเราว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้น เปรียบเสมือนบ้าน ผัสสะภายนอก เขาแค่มาเยี่ยม แล้วก็จากไป ใจของเราต้องมีพุทธะพัฒนาไปอย่างนี้ในปัจจุบัน หมู่มวลมนุษย์สมัยปัจจุบันต้องพากันเข้าใจ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ การเรียนการศึกษาการพัฒนาของเราตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ก็เพื่อสัมมาทิฏฐิทางจิต ทางใจ เพื่อสัมมาทิฏฐิทางวัตถุ ต้องไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ เพื่อเดินทางสายกลางอย่างนี้ ท่านจึงให้เอาเรื่องปัจจุบัน อย่าไปศึกษาแบบท่องจำ ต้องศึกษาให้มันเป็นพุทธะในปัจจุบัน พุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ พุทธะทางวาจา กิริยามารยาท ในปัจจุบันต้องรู้จักกาลเทศะ ต้องเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรมอย่างนี้ เราจะเอาแต่ท่องจำไม่ได้ เพราะมันไม่ทันโลกทันสมัย เหมือนทุกๆ วันพระออกบิณฑบาตแล้วเราจะได้ทำบุญ ตอนเช้าทุกวัน แต่วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา พระไม่ได้ไปบิณฑบาตที่บ้าน ประชาชนมาทำบุญที่วัด เรียกได้ว่ามาตักบาตรที่วัด ผู้ที่เรียนในหนังสือ นิสัยน่ะ มันก็ติดแต่ในเรื่องอดีต เพราะชิปที่มันฝังอยู่ในสมองที่ 3 อาทิตย์ที่ติดต่อต่อเนื่อง อันนั้นมันเป็นแต่เพียงศีล มันเป็นเพียงสมาธิ ยังไม่ถึงปัญญา ไม่ถึงธรรมไม่ถึงปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องรู้จักเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันเราคิดอะไร ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง เราพูดอะไร ถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง กิริยามารยาทถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง ความเพียรเราได้เอามาประพฤติมาปฏิบัติในปัจจุบันหรือไม่ มีความตั้งมั่นในพระไตรลักษณ์มั้ย สิ่งที่สรุปผล ศีลสมาธิปัญญามันถูกต้องไหม ปัจจุบันนี้เป็นการเรียนการศึกษาที่เป็นพุทธะนะ เพราะปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เหมือนผู้ที่เคยเกี่ยวข้องกับพระอรหันต์ ที่อายุมาก ร่างกายแก่เฒ่าชรา พระอรหันต์ท่านก็จะพูดเหมือนกันหมดว่า เดี๋ยวนี้ผมจำอะไรไม่ได้นะ คอยบอกคอยเตือนผมด้วยตอนแก่เฒ่าชรา สังขารทั้งหลายไม่แน่ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ผมจำอะไรไม่ได้ เดี๋ยวผมทำผิดพลาด ผมอาจจะไปบิณฑบาตตอนเย็นก็ได้ แต่ความดับทุกข์นั้นน่ะมันอยู่ที่ปัจจุบันนะ พุทธะมันอยู่ที่ปัจจุบัน มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ยกเลิกตัวตน มันเป็นอย่างนี้นี่ บางทีอดีตมันทิ้งไปแล้ว ฉันอาหารก็ว่าไม่ได้ฉัน พูดก็ว่าไม่ได้พูด แต่ปัจจุบันนั้นท่านยกเลิกตัวตน สติสัมปชัญญะท่านก็สมบูรณ์ สตินั้นหมายถึงยกเลิกตัวตนน่ะ สติสัมปชัญญะท่านยกเลิกตัวตน อันนั้นที่ท่านจำไม่ได้ มันเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ นั้นไม่ใช่ท่าน เราต้องเข้าใจอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติ เขาถึงให้เน้นที่ปัจจุบัน การเรียนการศึกษา ที่ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่นอะไรทุกอย่าง เราต้องยกสิ่งเรานั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์
พวกเราก็พากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เมื่อเข้าใจแล้ว เราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันก็จะเป็นรู้เรื่องสมมติสัจจะเข้าถึงปรมัตถสัจจะได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่เข้าถึงปรมัตถสัจจะนะ มันไม่รู้ว่าเราเกิดมาจากไหน จะไปที่ไหน ไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม กำลังทำอะไรอยู่ เราจะไปที่ไหน พุทธะอยู่กับเราทุกคนอย่างนี้ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งทุกคนก็เศร้าหมอง เศร้ามองเหมือนดวงตาคนนี่แหละ สายตาสั้นสายตายาว มันมองไม่เห็นชัด ว่าไม่ถูกต้อง เรารู้ว่าไม่ถูกต้อง เรายังคิดยังพูดยังทำ เขาก็เรียกว่าเศร้าหมอง เอาตัวตนที่ตั้งมันคือความเศร้าหมอง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าสีลัพพตปรามาส เราต้องพากันเข้าใจนะ เราปฏิบัติธรรมะก็เน้นที่เราโฟกัสมาที่เรา เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็ได้แค่รูปแบบ เมื่อเรายกเลิกตัวตน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ว่าให้เรา ครูบาอาจารย์ก็ไม่ได้ว่าให้เรา ประชาชนก็ไม่ได้ว่าให้เรา ว่าให้เราไม่ถูกเรา ก็เพราะเรายกเลิกตัวตน เพราะเรายกเลิกตัวตน ตัวตนมันก็ครอบงำเราไม่ได้ โลกธรรมครอบงำไม่ได้ เหมือนพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้ พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเหมือนเอาหญ้าคา 8 กำ มาวางปูนั่งขัดสมาธิ โลกธรรมมาครอบงำไม่ได้เพราะความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อริยมรรคมีองค์ 8 มาปรากฏแทน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่ามันเป็นกงจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเรายกเลิกตัวตน เรามองภายนอก รูปเสียงกลิ่นรส ลาภยศสรรเสริญ อะไรต่างๆ มันก็สักแต่ว่าๆ มันปรากฏการณ์ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจแล้วก็จากไป มันไม่มีอะไร เพราะมันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันก็มองเห็นเป็นเหตุเป็นปัจจัย รูปสวยๆ ก็อยู่เก้อๆ ของมันอย่างงั้นน่ะ รูปหล่อๆ ก็อยู่เก้อๆ ของมันอย่างนั้น เราไม่ได้หลงไป ความดับทุกข์ก็เลยมีอยู่กับเราอย่างนี้
ผู้ที่มาบวชเป็นพระ ลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาส ก็พากันปฏิบัติอย่างนี้ อย่าพากันมามั่วเหมือนพระคุณเจ้า ที่มาบวชมาเอาพระศาสนามาอยู่หากินหาฉันหาเลี้ยงชีพ มาเป็นเปรตประจำวันอย่างนี้ไม่เอา ลาสิกขาไปแล้วเราก็ทำได้ปฏิบัติได้ เราจะได้เป็นเศรษฐีทางวัตถุ เศรษฐีทางธรรมไปพร้อมๆ กัน เราจะได้รู้คุณค่าความประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์นะ อย่าไปเข้าใจเหมือนแต่ก่อน ต้องเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าประเสริฐจริง ดับทุกข์ได้จริงอยู่ทุกหนทุกแห่ง แล้วก็ทำให้เรารวยด้วย ตัวตนมันทำให้เรายากจนนะ ตัวตนไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเรียน ไม่มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เป็นความทุกข์ไปหมด ตัวตนนี่แหละคือการยกเลิกมรรคผลนิพพาน ให้พวกเราเข้าใจ
เราต้องพัฒนาตัวเราทุกๆคน เพราะคนอื่นก็ให้เป็นหน้าที่ของเขาน่ะ เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตนแล้ว ธรรมะจะไม่ได้อยู่แต่ในหนังสือ ไม่ได้อยู่อยู่ในพระไตรปิฎก การจำมันจำยากเหมือนกันนะ เตรียมมาสอนคนอื่น เอาแต่ตัวเอาแต่ตนน่ะ พระที่บวชมาแทบทุกวัดหลงประเด็น จะเอาแต่ก่อเอาแต่สร้าง เอาแต่เงินเอาแต่ปัจจัย เอาแต่สังฆทาน มันไม่ใช่เป็นทางขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ พระพุทธเจ้าไม่ได้พาเราทำอย่างนั้นปฏิบัติอย่างนั้น เห็นคนรวยๆ เห็นคนมีอำนาจวาสนา ที่จะให้ยศที่จะให้ตำแหน่ง ก็เลียนแบบเหมือนทุกๆ พระทุกๆ เณร ทุกวัด แล้วพูดนะจ๊ะๆ ทำบุญอย่างนี้ได้บุญเยอะ นะจ๊ะๆ นะจ๊ะๆ มันจะทำให้โลกพินาศทำให้โลกฉิบหาย ไม่ได้สอนให้ประชาชนรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ เอาแต่ตัวเอาแต่ตนน่ะ ต้องพากันรู้พากันเข้าใจ เอาแต่ตัวแต่ตนน่ะ ประจบคฤหัสถ์ทำร้ายตระกูลแห่งความเป็นมนุษย์ของประชาชนน่ะ อาบัติสังฆาทิเสสนะ มันรองๆ อาบัติปราชิกแล้ว มหาวิทยาลัยนันลันทา นักเรียนนักศึกษาเอาแต่ตัวเอาแต่ตน เอาแต่เรียนเอาแต่ศึกษา ความรู้ความเข้าใจมันเลยไปอยู่ในแต่พระไตรปิฎก ประจบคนรวย ประจบข้าราชการนักการเมือง มันทำลายความมั่นคงของพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยนาลันทานั้น ถึงถูกเผา เราลองคิดดูดีๆ นะ เอาตัวตนมันคือทำลายชาติศาสน์กษัตริย์ มันเป็นพระไม่ได้เป็นเณรไม่ได้ เป็นข้าราชการนักการเมืองไม่ได้ เพราะตัวตนมันคือความไปไม่ได้ มันติดอยู่หลงอยู่ มันเป็นทาสของอวิชชาความหลงน่ะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสรู้ ท่านได้ยกเลิกทาสยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกตัวตนน่ะ เราต้องเข้าใจ เราเอาตัวตนมันจะเป็นศาสนาได้อย่างไร มันจะเป็นศีลสมาธิปัญญาได้อย่างไร มันก็เป็นเพียงได้แต่อวิชชาความหลง พวกเราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราทุกคนน่ะต้องพากันเข้าใจ เพราะการพัฒนาโลกมันก้าวมาไกลแล้ว เราต้องพัฒนาใจไปพร้อมๆ ทางวัตถุ เพื่อให้เป็นทางสายกลาง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee