แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๕ วันวิสาขบูชา น้อมถวายปฏิบัติบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการมายกเลิกตัวตน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนาวันวิสาขบูชา วันพุธที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๖๗
วันนี้เป็นวันวิสาขบูชา คือวันบูชาพระพุทธเจ้า ในวันเพ็ญเดือนวิสาขะซึ่งตรงกับวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือนหก นับเป็นวันประวัติศาสตร์ของพระพุทธศาสนา เป็นวันมหัศจรรย์ของโลก วันที่โลกสว่างด้วยแสงธรรมอำไพ กล่าวคือ เป็นทั้งวันประสูติ วันตรัสรู้ธรรม และวันเสด็จดับขันธปรินิพพานของ พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพุทธศาสนาเป็นเป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นความรู้คู่การปฏิบัติที่มีความตั้งมั่นในความถูกต้อง เป็นความดับทุกข์ทั้งทางใจเป็นความดับทุกข์ทั้งทางกาย เป็นทางสายกลาง พัฒนาทางใจพัฒนาทั้งวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ทำการณ์ทันเวลาทันโลกทันสมัย มนุษย์คือผู้ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติถูกต้อง สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 จึงได้มีอยู่ที่ปฏิบัติในอริยมรรคมีองค์ 8 เน้นความรู้ความเข้าใจในการประพฤติปฏิบัติ มีความตั้งมั่น มีสติมีปัญญาว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีได้ โฟกัสความรู้ การปฏิบัติ ความตั้งมั่นสติปัญญา เข้ามาหาตัวมนุษย์เอง
วันหนึ่งคืนหนึ่งมี 24 ชั่วโมง ที่โลกหมุนรอบตัวเอง กลางคืนมี 12 ชั่วโมง กลางวันมี 12 ชั่วโมง การนอนการพักผ่อน 6 ชั่วโมง อย่างมากไม่เกิน 8 ชั่วโมง สำหรับนักบวชก็ 4 ชั่วโมง ไม่เกิน 6 ชั่วโมง เวลาที่ตื่นอยู่ต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา คำว่าปัญญานี้คือยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้รู้จักว่าธาตุขันธ์อายตนะนั้น เปรียบเสมือนเจ้าของบ้านเป็นอายตนะภายใน ที่อาศัยอายตนะภายนอกมากระทบมาสัมผัส ที่ทำให้เกิดเวทนาเกิดความรู้สึกเกิดอารมณ์ เพื่อเป็นเข้าวัดเข้าปฏิบัติ เพื่อเป็นโจทย์เป็นข้อตอบในปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ปัจจุบันคือการประพฤติคือการปฏิบัติ ให้ผู้ปฏิบัติพากันรู้พากันเข้าใจ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ อายตนะภายในตาหูจมูกลิ้นกายใจคือเจ้าของ อายตนะภายนอกคือรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสทำอารมณ์ ที่มากระทบมาสัมผัส เป็นเหมือนแขกที่มาเยี่ยมเรามาเยี่ยมบ้านของเรา ปกติแขกมาเยี่ยมอาคันตุกะมาเยี่ยมแล้วเขาก็ต้องจากไป เราทุกคนต้องพากันมีพุทธะ เราจะได้พากันยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยง ว่าทุกอย่างนั้นมีความเปลี่ยนแปลงไป ว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพียงแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัยมันเกิดขึ้นแล้วก็ตั้งอยู่แล้วก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรที่จะมากไปกว่านี้ พระพุทธเจ้าจึงบอกให้หมู่มวลมนุษย์รับรู้รับทราบว่า ไม่มีอะไรนะ มีแต่สิ่งที่เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มนุษย์ต้องมีปัญญามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพราะเราต้องเอาพุทธะนำชีวิต
การปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่อง เหมือนลมหายใจของเราทุกๆ คนนี่แหละลมหายใจต้องติดต่อต่อเนื่องตั้งแต่วันที่เกิดมาจนถึงอายุขัยหมดสิ้นลมหายใจจึงจะหยุดลง เหมือนร่างกายของเราทุกคนมีหัวใจเป็นศูนย์กลางในการสูบฉีดเลือดไปสู่ร่างกายทุกส่วนสัด และเหมือนสมองเราที่คอยควบคุม control เส้นประสาทน้อยใหญ่ในร่างกายทุกส่วน การปฏิบัติต้องติดต่อต่อเนื่อง เพื่อความถูกต้อง เพราะทุกคนยังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ยังเป็นเสขะบุคคล คือบุคคลที่ต้องประพฤติต้องปฏิบัติ ที่จะต้องเดินทาง ทุกคนต้องพากันเข้าใจ ใจของเราน่ะ น่ะมันคิดได้ทีละอย่าง ทีละวาระจิต เมื่อเราไม่ยกเลิก มันก็ต้องมีการเดินต่อเกิดต่อ เมื่อเรายกเลิกแล้วสิ่งเหล่านั้นก็หยุดลง เพราะธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ เมื่อเรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง สมองของพวกเราก็จะไม่สับสน การยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้จึงเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ที่เอาความประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ได้รับสมมติสัจจะว่าเป็นมนุษย์ แต่ที่จริงแล้วเราไม่ได้เป็นอะไรเลย ตามสภาวธรรมแล้วไม่ได้เป็นอะไรเลย เพราะในร่างกายเรื่องวัตถุก็ต้องมีสมมติสัจจะ เพื่อความสะดวกในการใช้งาน เพื่อจะได้พัฒนาใจของตนเอง
พระพุทธเจ้าคือผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ได้บำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลายาวนานถึง 20 อสงไขยแสน มหากัป นับเป็นหลายล้านชาติ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ โฟกัสมาที่ตัวของท่านเอง ด้วยบารมี 30 ทัศ คือบารมี 10 อุปบารมี 10 และปรมัตถบารมี 10 ท่านเน้นที่ตัวของท่านเอง เราทุกคนต้องพากันเข้าใจนะ การประพฤติการปฏิบัติพวกเรามาเน้นที่ตัวของเราเอง เน้นเรื่องจิตเรื่องใจ เน้นที่การกระทำคำพูด และความเพียรความตั้งมั่น เพื่อการประพฤติการปฏิบัติของเราจะได้ติดต่อต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำที่ไหลสู่แม่น้ำสู่ทะเลมหาสมุทร ก็พากันเข้าใจอย่างนี้ เพราะการประพฤติการปฏิบัติเป็นคู่กับความรู้ เป็นความตั้งมั่น เป็นปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ ความดับทุกข์ก็เป็นสากล ความทุกข์ก็เป็นของสากล ผู้ที่เป็นนักบวชและผู้ไม่ได้เป็นนักบวชก็ต้องปฏิบัติเหมือนกันทุกๆ คนไม่มีใครยกเว้น ต้องปรับชีวิตเข้าหาความถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การทำงานกับการพัฒนาจิตใจเป็นไปพร้อมๆกัน ชีวิตของเราในปัจจุบันต้องเป็นมักเป็นผลเป็นพระนิพพานในปัจจุบัน
ปัจจุบันนี้เป็นปีพุทธศักราช 2567 เป็นปีคริสตศักราช 2024 โลกได้พัฒนาก้าวมาไกล ประชากรของโลกในขณะนี้ก็ 8,000 กว่าล้านคน การพัฒนาใจกับพัฒนาวัตถุก็ต้องไปพร้อมๆ กัน ให้พวกเราพากันเข้าใจ เมื่อเรายังเป็นเด็กอยู่ในท้องของมารดา เกิดมา 2 ขวบ 3 ขวบก็อาศัยพ่ออาศัยแม่ พ่อแม่ถึงเป็นคนสำคัญที่สุดในโลก พ่อแม่ทุกคนต้องพากันเข้าใจนะ ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่เป็นผู้ส่ง DNA ให้ลูกทางร่างกาย ในความรู้ความเข้าใจ ในการประพฤติในการปฏิบัติ พ่อแม่จึงต้องมีหลักในการประพฤติปฏิบัติของตนเอง เพื่อเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ ต้องเอาพุทธะนำชีวิตในเรื่องจิตเรื่องใจ ในการกระทำคำพูด ในธุรกิจหน้าที่การงาน ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ปรับเข้าหาเวลาปรับเข้าหาธรรมะ เพราะใจของเราก็คิดได้ทีละอย่าง วาจากิริยามารยาทก็ทำได้ทีละอย่าง เราต้องยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พ่อแม่จึงเป็นพระประจำบ้าน จึงไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตามอวิชชาตามความหลง จึงต้องเอาพุทธะนำจิตใจนำวาจานั้นกิริยามารยาทและการกระทำ พ่อแม่ถึงจะเข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ พ่อแม่ต้องเอาธรรมนำชีวิต โฟกัสเข้าไปหาธรรมะเข้าหาเวลานั่นแหละ เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องเราก็ได้ปฏิบัติถูกต้อง เราจะไปทุกข์ทำไม เพราะนี่เป็นความถูกต้อง ที่พวกเราพากันทุกข์เพราะเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด ได้พากันเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะมาเป็นเรามาเป็นของเรา พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราว่าไม่ใช่นะ มันเป็นเพียงอาการของธาตุขันธ์อายตนะ ให้ยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องมีพุทธะเราต้องรู้ต้องยกเลิกความไม่ถูกต้อง เพราะความไม่ถูกต้องนั้นได้นำพวกเราทั้งหลายเวียนว่ายตายเกิดเป็นสังสารวัฏยังหาที่สุดหาประมาณไม่ได้
เรามีโอกาสดีมีโอกาสพิเศษแล้ว เราต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เวลาที่เราตื่นอยู่นี้ เป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุดในโลก ที่เราจะได้เอาธรรมนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิต เพื่อเป็นการอบรมบ่มอินทรีย์ของเราทุกๆ คน เราจะได้หยุดอวิชชาหยุดความหลง ต้องพากันคอนโทรลตัวเอง เพื่อเข้าสู่ความดับทุกข์ทั้งใจและทั้งกาย ความชอบและความไม่ชอบนั้นเป็นความรู้สึกเป็นสัญชาตญาณ ที่เราได้เอาความรู้สึกเอาสัญชาตญาณนั้นเป็นตัวเป็นตน ทุกคนต้องเข้าใจ พระพุทธเจ้าจึงให้ยกความชอบความไม่ชอบนั้นเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยงเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ต้องจากไป ไม่มีอะไรไม่จากไป
การพัฒนาของหมู่มวลมนุษย์ ได้พัฒนาก้าวไปทางวิทยาศาสตร์ ได้อำนวยความสะดวกความสบายเพื่อแก้ไขภายนอก พวกเราต้องพากันเข้าใจว่ามันเป็นเพียงสิ่งอำนวยความสะดวกความสบาย หรือว่าอำนวยความเอร็ดอร่อยทางวัตถุ เราต้องพัฒนาใจเราให้มีสติมีปัญญา ยกมาพินิจพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อเป็นความรู้คู่กับการดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวัน เราอย่าไปปล่อยโอกาสปล่อยเวลาไปโดยไม่ได้พัฒนาพุทธะขึ้นในใจ ถึงเราจะเป็นคนรวยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี เราทุกคนก็ตกอยู่ในอำนาจของกฎแห่งกรรมและกฎพระไตรลักษณ์ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น เราจะมาหลงงมงายเวียนว่ายตายเกิดทั้งทางจิตใจทั้งทางวัตถุไปอย่างนี้ไม่ได้ จึงต้องพากันพัฒนาใจไปพร้อมๆ กับเทคโนโลยีไปเรื่อยๆ สติกับปัญญาต้องไปพร้อมๆ กัน ศีลสมาธิปัญญาต้องเดินไปพร้อมๆ กัน เราปฏิบัติตัวเองอย่างนี้ มนุษย์ทุกคนก็ต้องทำอย่างนี้ เพราะความดับทุกข์มันเป็นสากล
เราทุกคนเกิดมาต้องมีพุทธะ ก้าวไปเป็นอริยมรรค มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง … เมื่อเราเอาความถูกต้องเป็นหลักจิตใจเราก็จะเข้าสู่ความว่าง สิ่งภายนอกมันมีอยู่ เมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จิตก็จะว่าง ถึงโลกนี้จะเป็นของใหม่สมัยใหม่ จิตใจก็จะไม่มีปัญหา ชีวิตก็เข้าถึงปรมัตถสัจจะด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะเป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ เป็นความมั่นคงที่ถูกต้อง เป็นความสุขความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ แล้วทุกคนก็จะทำได้ปฏิบัติได้ เพราะเรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ที่เราทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ ก็เพราะความเห็นผิดเข้าใจผิดก็เลยเป็นของยากปฏิบัติไม่ได้ ศาสตร์ต่างๆ ที่เป็นความรู้คู่หมู่มวลมนุษย์ที่มีอยู่มากมายถึง 18 ศาสตร์ ที่พัฒนาหมู่มวลมนุษย์ตั้งแต่วัยเด็ก เพื่อพัฒนาสัมมาทิฏฐิ การเรียนการศึกษานั้นเพื่อเป็นสัมมาทิฏฐิพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูก ไม่ใช่การเรียนการศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน การเรียนการศึกษาเพื่อมีสัมมาทิฏฐิ เมื่อเรารู้เราเข้าใจเราปฏิบัติก็จะเข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ เหมือนที่พระพุทธเจ้าพาทำพาปฏิบัติ ทำอย่างนี้จึงจะเป็นการครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะอย่างถูกต้อง การเรียนการศึกษาการทำงานก็เพื่อคิดให้ถูกต้องพูดให้ถูกต้องทำให้ถูกต้อง มีความเพียรที่ถูกต้อง มีความระลึกมีความตั้งมั่นที่ถูกต้อง ต้องพากันเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง
วัดนี้หมายถึงข้อวัตรข้อปฏิบัติของเราทุกๆ คน ให้พากันเข้าใจนะ เราอยู่ที่ไหนก็ต้องมีวัดมีข้อวัตรข้อปฏิบัติ มีปฏิปทาที่ติดต่อต่อเนื่องเหมือนสายน้ำ เหมือนเลือดในกายที่หัวใจสูบฉีด เหมือนสมองที่คอนโทรลร่างกาย คำว่าวัดก็หมายความอย่างนั้น เราอยู่ที่ไหนก็มีข้อวัตรมีข้อปฏิบัติอยู่ในทุกหนทุกแห่ง เรายืนเราเดินเรานั่งเรานอน แล้วก็มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เรียกว่าวัดคือข้อวัตรข้อปฏิบัติ
บ้านก็คืออายตนะภายใน ให้กระชับมาเรื่องจิตเรื่องใจอย่างนี้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เหมือนกับบ้าน แขกมาเยี่ยมมายามเราแล้วก็จากไป ได้แก่รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสและความนึกคิด ก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ บ้านภายนอกเราก็รู้อยู่แล้วบ้านใครบ้านท่าน มีที่ดินแล้วก็ปลูกบ้าน เอาวัสดุหลายอย่างมารวมกันประกอบกันจึงรวมกันเป็นบ้านภายนอก ที่เป็น 1 ในปัจจัย 4 ที่ได้ให้เราได้อยู่ได้อาศัยได้บริโภค นั่นคือบ้านภายนอก เพราะเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐต้องพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน มีบ้านมีที่อยู่อาศัย มีอาหาร มีเครื่องนุ่งห่ม มนุษย์เราน่ะต้องรู้จักบ้านภายในบ้านภายนอก บ้านของจิตใจแล้วก็บ้านของร่างกาย มี 2 บ้านนะ ส่วนใหญ่เมื่อไม่เข้าใจก็จะรู้แต่บ้านทางกาย เราต้องรู้บ้านทางใจด้วยบ้านทางกายด้วย ต้องรู้เรื่องอาหารทางใจด้วยอาหารทางกายด้วย ความคิดของหมู่มวลมนุษย์ มันเป็นอาหารทางใจ ถ้าเราเอาความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดก็ทำให้เราปฏิบัติผิด ทำให้หมู่มวลมนุษย์นี้เวียนว่ายตายเกิด เพราะมันเป็นกระบวนการของเหตุของปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ความคิดนี้เราต้องรู้จัก รู้จักแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ภาคประพฤติภาคปฏิบัติเรียกว่าศีล ปฏิบัติศีลอยากติดต่อต่อเนื่องจึงพัฒนาเป็นสมาธิ รวมกันเป็นหนึ่ง จะเข้าถึงปรมัตถสัจจะ ยกเลิกความเห็นไม่ถูกต้องได้
เราต้องรู้จักอาหารทางใจ การที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่าเวียนว่ายตายเกิด ความคิดถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ความคิดของหมู่มวลมนุษย์ ถ้าไม่เอาความถูกต้องเป็นหลัก เปรียบเสมือนการมีสามีภรรยาตลอดทั้ง 24 ชั่วโมง ผู้ชายก็มีภรรยา ผู้หญิงก็มีสามี เพราะหัวใจที่มีอวิชชาที่มีความหลงนั่นแหละคือมีภรรยามีสามี ท่านจึงให้เราพากันเข้าใจนะ เราอย่าไปคิดอย่าไปตรึกในกามในพยาบาท ความคิดอย่างนี้ท่านให้เราน้อมเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเกิดขึ้นมาเพื่อให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ เราอย่าปล่อยให้ความคิดมันทำงานมันปรุงแต่ง ปกติทางหลักเขตหลักผลหลักวิทยาศาสตร์ที่ติดต่อต่อเนื่องกันใช้เวลา 21 วัน คือ 3 อาทิตย์ ถ้าคิดอะไรซ้ำๆ พูดทำซ้ำๆ 3 อาทิตย์มันจะเป็นความเคยชิน เป็นเหมือนชิพที่ฝังอยู่ในสัญญาขันธ์ จึงต้องรู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ในปัจจุบัน น้อมเข้ามาสู่พระไตรลักษณ์ ให้รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เองที่ให้มนุษย์ได้พัฒนาจิตใจ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เป็นบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ เราจะได้รู้การประพฤติการปฏิบัติของเรา รู้การรู้เวลารู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเราก็มืดเหมือนตาบอดมาแต่กำเนิด
ทุกคนต้องรู้จักความคิดรู้จักอารมณ์ เพื่อเราจะได้ให้อาหารทางจิตทางใจเพื่อพัฒนาปฏิปทาให้ติดต่อต่อเนื่องเรื่อง ปฏิปทานี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องเข้าใจในเรื่องอาหารของจิตของใจ การปฏิบัติก็เหมือนกับคนเดินทางนี่แหละ ยังเดินทางเข้าไปในป่าหรือในหมู่บ้านหรือในเมืองกรุง ใหม่ๆ ก็ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรหรอก เมื่อเรามีการเรียนการศึกษามีการประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง มันจะค่อยๆ เข้าใจ ในเรื่องจิตเรื่องใจในการประพฤติการปฏิบัติมันเป็นอย่างนี้ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้มันจะไม่เครียดหรือ ความเครียดมันอยู่ที่เรามีตัวมีตน เรามีตัวมีตนมันถึงมีความเครียด ตัวตนมันก็เหมือนคนป่วยนี่แหละ มันก็เครียด ถ้าเรายกเลิกตัวตน ทุกอย่างมันก็ไม่สับสน ทุกอย่างมันก็ว่างเบาสบายคลายกังวล มันไม่มีความเครียด มันยกเลิกตัวตนแล้วก็ยกเลิกอวิชชาความหลง อันวิชาความหลงมันทำให้เครียด ในส่วนร่างกายเมื่อเราได้พักผ่อน 6 ชั่วโมง หรืออย่างมากไม่เกิน 8 ชั่วโมง ร่างกายมันก็ไม่เครียดแล้ว อย่างประชาชนคนไม่ได้บวชวันหนึ่งก็ทานอาหารวันละ 3 ครั้ง 4-5 ชั่วโมงก็ทานครั้งหนึ่ง เพื่อให้อาหารเก่าๆ มันย่อย อาหารใหม่มาต่อ อาหารเก่าก็ถ่ายเทออก กลางคืนเราก็พักผ่อน ทำอย่างนี้ก็ไม่เครียด สำหรับนักบวชในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าให้ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว เพราะว่าผู้ที่เป็นนักบวช มีชีวิตอยู่ด้วยการขออาหารเลี้ยงชีพ ฉันวันละครั้งก็เพียงพอ ไม่ต้อง 3 ครั้งเหมือนกับคนไม่ได้บวช เราเป็นนักบวชก็ให้ฉันอาหารวันละครั้ง ให้เพียงพอตามปริมาณแคลอรี่ ฉันครั้งเดียวจะไม่หิวหรือ? ไม่หิว เพราะว่าความหิวนี้เกิดจากความปรุงแต่งนะ ความปรุงแต่งมันทำให้เราหิว ความปรุงแต่งมันกดดัน ถ้าเรายกเลิกทานวันละ 3 ครั้ง มาทานเพียงครั้งเดียว ใจของเรามายกเลิก มันก็จะไม่หิว ใหม่ๆ จิตใจเรายังไม่ยกเลิก มันก็จะหิว เมื่อจิตใจพัฒนาไปด้วยพระธรรมวินัยอย่างนี้ เราจะไปอยากฉันว่าเรา 3 ครั้งก็ไม่ได้ เพราะเราต้องปฏิบัติตามสมมติสัจจะ เมื่อเรายกเลิกตัวตน ปลงใจอย่างนี้ ความหิวมันก็จะไม่มี เราดูตัวอย่างอย่างพระอรหันต์ที่ท่านเข้านิโรธสมาบัติ ท่านจะอยู่ในสมาบัติถึง 7 วัน แล้วถึงออกมาฉัน เพราะท่านยกเลิกตัวตน ความหิวนี่แหละมันมาจากความคิดความปรุงแต่ง อย่างเราอดข้าวอย่างนี้อดข้าวหลายวันก็ได้ เพราะเราได้ยกเลิกความคิดยกเลิกอารมณ์ว่าจะไม่ตรึกไม่นึกไม่คิด ความหิวความกระวนกระวายมันก็จะไม่มี ที่บางคนน่ะอดข้าว ว่าจะผอมก็ไม่ผอม เพราะมันอยู่ที่อารมณ์อยู่ที่ความคิด มาคิดคำนวณดูแล้ว สัญชาตญาณที่เป็นตัวเป็นตนนี่แหละมันเผาเรา ความคิดที่เป็นตัวตนมันเผาเรา ใจที่เข้าสู่สมมติสัจจะว่าต้องทานอาหารวันละครั้งทานฉันละครั้ง ความหิวมันก็จะยกเลิกไป เพราะว่ามันหยุดสัญชาตญาณด้วยสมมติสัจจะที่ลงใจเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ
ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ข้ามสัญชาตญาณอย่างพระอรหันตขีณาสพ พระอรหันต์ผู้ชายถึงยกเลิกน้ำอสุจิถึงเป็นคนหนุ่มก็จะหยุดผลิตออกมา พระอรหันต์ผู้หญิงถึงจะเป็นสาวก็ยกเลิกประจำเดือนการมีระดู เพราะอันนี้มันเป็นกฎธรรมชาติ มันเป็นการก้าวข้ามสัญชาตญาณแห่งความเป็นตัวตน เราต้องเข้าใจ ธรรมะที่เป็นมรรคผลพระนิพพานถึงพิเศษอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าจึงให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ต้องรู้เรื่องอาหารของใจคือความคิด อาหารทางกายคือสิ่งที่เราบริโภคเข้าร่างกายเรา มันมีอาหาร 2 อย่างนี่แหละ หมู่มวลมนุษย์ส่วนใหญ่ก็จะเอาแต่ทางกาย ไม่ได้ให้อาหารทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ก็ไม่ได้ไปสายกลาง ไปแต่ทางสุดโต่งที่ไม่ถูกต้อง หมู่มวลมนุษย์จึงต้องให้อาหารทางใจอาหารทางกายไปพร้อมกัน แต่เรามีความคิดเห็นผิด เอาอาหารทางกายมาเป็นอาหารทางใจ จะใช่หรือ ที่เราอร่อย แซ่บ ลำ นัว นะ อันนี้มันเป็นอาหารทางกายไม่ใช่อาหารทางใจ อาหารทางใจคือมายกเลิกตัวตน พัฒนาวัตถุให้ไปพร้อมๆ กัน จะได้เป็นคนทันโลกทันสมัย ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
การประพฤติการปฏิบัตินี้เป็นเรื่องยากเรื่องละเอียดอ่อน มันไม่ยากนะให้เราเข้าใจ เมื่อเรามีลมหายใจอยู่ แล้วก็ปฏิบัติได้ทุกคนนั่นแหละ เราเป็นนักบวชเป็นฆราวาสก็ทำได้เหมือนกัน คำว่าพระพุทธเจ้าท่านนับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ไม่ได้เอาผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทเป็นพระนะ พระน่ะนับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ผู้ที่บวชและไม่ได้บวชก็เป็นพระได้พอๆ กัน ที่ผู้ที่มาบวชได้รับสิทธิพิเศษ ที่เป็นสมมติสัจจะว่าจะยกเลิกตัวตนไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ถือนิสัยของตัวเองไม่ถือนิสัยของอวิชชาความหลง ถือพุทธะ ยกเลิกตัวเอง มีแต่พระธรรมมีแต่พระวินัย ให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ เพื่อเอาสมมติสัจจะพัฒนาไปสู่ปรมัตถสัจจะ ยกเลิกตัวตน ที่อบรมบ่มอินทรีย์กันผู้ที่มาบวชเพื่อเป็นพระ ท่านถึงเรียกว่าภิกษุ ภิกษุนี้แปลว่าได้ 2 อย่าง ความหมายหนึ่งแปลว่าผู้ขอ ขออาหารจากการบิณฑบาต และความหมายที่ 2 แล้วว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ยกเลิกตัวตน มีความสุขในการเอาธรรมนำชีวิตเอาความถูกต้องนำชีวิต ผู้ที่มาบวชยังมีสิทธิพิเศษ เป็นบุคคลผู้เที่ยงแท้แน่นอนต่อมรรคผลนิพพาน ถึงเรียกกันว่าพระๆ นั้นคือพระธรรมพระวินัย ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อ้าว! แล้วผู้ที่มาก่อนผมห่มผ้าเหลืองหลายแสนรูปนี้ยังไม่ใช่พระหรือ? ตอบ เป็นพระบางรูป ส่วนใหญ่ยังไม่ใช่พระ ต้องดูที่การประพฤติการปฏิบัติ ถ้ายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้ก็ไม่ใช่พระ เป็นสมมติสัจจะที่เรียกว่าพระจึงเรียกว่าสมมุติสงฆ์ ที่ถูกต้องตามกฎหมายของแต่ละประเทศ
เราต้องเข้าถึงปรมัตถสัจจะ เข้าถึงการประพฤติการปฏิบัติ ยกเลิกตัวตน เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระพุทธเจ้ามาไว้ในใจ เอาพระธรรมมาไว้ในใจ เอาพระอริยสงฆ์มาไว้ในใจ เอาการประพฤติการปฏิบัติมาไว้ในใจ และในกายในวาจาอย่างนี้ ถ้าเรายังเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง พระพุทธเจ้าให้ทำอย่างหนึ่ง เราก็ไปทำอีกอย่างหนึ่ง นี่ยังไม่ใช่พระ เป็นเพียงภิกษุ จึงให้พากันเข้าใจความเป็นพระน่ะ ไม่ใช่เฉพาะผู้ที่โกนหัวห่มผ้าเหลือง พระนั้นคือผู้ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถึงเป็นพระได้ทั้งนักบวชและผู้ไม่ได้บวช ผู้ที่มาบวชมีฐานะแตกต่างกันจากคนขอทาน เพราะนักบวชจะขอทานจากประชาชนเพราะเห็นภัยในวัฏสงสาร มายกเลิกตัวตนด้วยการประพฤติด้วยการปฏิบัติ ประพฤติตัวปฏิบัติตนไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน พระพุทธเจ้าบอกว่าชีวิตของนักบวชเหมือนกับแมลงภู่ผึ้ง ไปเอาน้ำหวานจากเกสรดอกไม้เพียงเล็กน้อย แล้วก็ไม่ได้ทำลายเกษรดอกไม้ให้ชอกช้ำ ถ้าจะพูดลึกๆ ก็ดีกว่าผึ้ง เพราะผึ้งก็ยังนำไปสะสมเลี้ยงลูกเลี้ยงครอบครัว แต่ชีวิตของนักบวชไม่สะสมไม่เอาอะไร ฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ไม่เก็บไม่สะสมอะไร ไม่เก็บเสบียงอะไรไว้เพื่อวันพรุ่งนี้ ชีวิตของนักบวชพระพุทธเจ้าให้ยกเลิกตัวตนอย่างนี้ ไม่เก็บของที่เป็นอาหารการฉัน ภายหลังมีภิกษุป่วยถึงได้มีน้ำปานะ มีเภสัช 5 คือเนยใสเนยข้นน้ำตาลน้ำผึ้งน้ำอ้อย แล้วของพวกนี้ก็เก็บไว้ได้เพื่อเป็นยา ไม่ใช่เป็นอาหาร ความเป็นพระนี้ต้องเป็นพระธรรมพระวินัย ต้องยกเลิกตัวตน อย่างเราเห็นพระกำลังประพฤติปฏิบัติในปัจจุบันพี่ถือว่าไม่ถูกต้อง อย่างเช่นรับเงินเองหรือให้ผู้อื่นรับให้ จะรับเองหรือให้ผู้อื่นเก็บไว้ให้ก็คืออันเดียวกัน จะธรรมยุตหรือมหานิกายถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็คือความเห็นผิดเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าไม่มีธรรมยุตมหานิกาย เป็นพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือยกเลิกตัวตน ไม่มีเถรวาทมหายานวัชรยาน ไม่มีธรรมยุตมหานิกาย จึงต้องเน้นเข้ามาหาตัวเองเพื่อยกเลิกตัวตน การที่มีความแตกแยกเป็นนิกายนู้นนิกายนี้ ให้พากันเข้าใจนะว่าอันนี้คือความไม่ถูกต้อง แล้วก็พากันปฏิบัติด้วยความไม่ถูกต้อง มันเป็นความเสียหาย ตัวตนมันทำให้ทุกคนแตกความสมัครสมานสามัคคีกัน ต้องเข้าใจว่าพระพุทธศาสนาคือพุทธะ ที่ต้องมายกเลิกตัวตน ถ้าไม่มีคำว่าธรรมยุตมานิกายวัดบ้านวัดป่า ต้องเข้าใจอย่างนี้ เรามีตัวมีตนจะเป็นพระได้อย่างไร เพราะพระนั้นต้องไม่มีตัวไม่มีตน ต้องเข้าถึงปรมัตถสัจจะยกเลิกตัวตน เราต้องเข้าใจ ความไม่รู้ความไม่เข้าใจเราเข้าใจเห็นได้จากประวัติศาสตร์ อย่างพระธรรมกถึกกับพระวินัยธรทะเลาะกันในเรื่องเล็กๆน้อยๆ พระพุทธเจ้าก็บอกไม่ให้ทะเลาะกัน ต้องเอาสมมติสัจจะมาเน้นเพื่อให้มีความตั้งมั่น ในความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ที่เอาความถูกต้องนำชีวิต ไม่ได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง การมีตัวมีตนมันทะเลาะกันอย่างนี้แหละ
คณะสงฆ์ในประเทศไทยเรามีพระธรรมพระวินัย เอาตามพระมหาเถระผู้ใหญ่มีพระมหากัสสปะเป็นประธานในการทำสังคายนาครั้งแรก พร้อมด้วยพระอรหันต์ 500 องค์ และทรงจำติดต่อกันมา 300 กว่าปี จึงได้บันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเป็นตัวอักษร จึงนับว่าเป็นความโชคดีกว่าหลายๆ ประเทศ แต่ว่ามีความแตกแยกเป็น 2 นิกาย คือนิกายใหญ่ที่มาจากลังกาวงศ์ ในสมัยต่อมาเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมาก พากันทิ้งพระธรรมพระวินัย จึงได้เกิดนิกายใหม่ขึ้นมาที่เริ่มมาจากในหลวงรัชกาลที่ 4 สมัยที่ยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุอยู่ ได้เคารพเลื่อมใสในข้อวัตรข้อปฏิบัติของพระเถรวาทชาวมอญ จึงได้ตั้งนิกายใหม่ขึ้นมา เรียกชื่อว่าธรรมยุติกนิกาย และเรียกนิกายดั้งเดิมว่ามหานิกาย ทั้งธรรมยุตและมหานิกายก็มาจากสายเดียวกันคือเถรวาทแบบลังกาวงศ์ พวกเราทั้งหลายต้องพากันมายกเลิกคำว่าธรรมยุตกับมหานิกาย ถ้าเราเอาตามพระพุทธเจ้า มายกเลิกตัวตน ก็ดีหมดมีปัญญาหมด ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่ดีไม่มีปัญญา พวกเราทั้งหลายทั้งสองนิกายต้องพากันรู้ว่าพระพุทธเจ้าของเราท่านสอนให้ยกเลิกตัวตน อย่าพากันถือตัวถือตนเลย เพื่อพวกเราจะได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ทั้งนักบวชทั้งฆราวาสก็สามารถเป็นพระได้ จึงให้เข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจแล้วจะเอาสมมติสัจจะมาใช้งานไม่ได้ สมมุติต่างๆ ก็เพื่อให้เราโฟกัสเข้าหาความถูกต้อง
เมื่อคราวงานออกเมรุพระราชทานเพลิงสรีระสังขารหลวงปู่เทศน์ เทสรังสี เมื่อปี พ.ศ. 2539 ที่วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย มีเหตุการณ์ที่ไม่ดีไม่ถูกต้องคือพระมหานิกายกับธรรมยุตทะเลาะกัน ในเรื่องอาหาร คณะผู้จัดงานได้จัดตั้งโต๊ะอาหารเป็น 2 ชุด 3 แถวนี้สำหรับธรรมยุต 3 แถวนี้สำหรับมหานิกาย เอาอาหารทั้งหลายมาวางไว้เพื่อให้คณะสงฆ์ได้พิจารณาอาหารใส่บาตรแล้วไปนั่งฉันในสถานที่ที่จะจัดไว้ พระมหานิกายก็อยากจะรู้อยากจะเห็นอาหารของพระธรรมยุตว่ามีอะไรบ้าง แล้วก็ไปดูว่าเหมือนกันไหม มีอคติมีลำเอียงในการจัดอาหารไหม เดินไปดูแล้วก็จับดูสิ่งโน้นสิ่งนี้ พระธรรมยุตที่เฝ้าอาหารที่รับประเคนแล้วก็เฝ้าอยู่ เพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้บวชมาจับอาหารแล้วก็ต้องประเคนใหม่ตามพระวินัย พระมหานิกายก็ไปจับอาหารนั้น พระธรรมยุตก็มาห้ามว่า ท่านๆๆ ท่านอย่าไปจับ พระมหานิกายก็ถามว่าทำไมห้ามจับ พระธรรมยุตก็บอกว่าถ้าจับแล้วต้องประเคนใหม่ เพราะว่าท่านบวชมหานิกายไม่ใช่ธรรมยุต การบวชของท่าน ท่านว่าคำขานนาคไม่ถูกหลักภาษามคธ การบวชของท่านไม่ถูกต้องไม่สมบูรณ์ ถ้ามาจับแล้วต้องประเคนใหม่ ฐานะของท่านเลยอยู่ในระดับสามเณร เหตุนี้แหละจึงมีเรื่องจะชกต่อยกัน ต้องมาจับมาห้ามมาแยกออกจากกัน เพราะทะเลาะกันในเรื่องธรรมยุตกับมหานิกาย ก็เพราะไม่เข้าใจความหมายของคำว่าพระและคำว่าพระศาสนา พระศาสนาก็มีสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะคู่กัน ที่เขาสมมติแต่งตั้งก็เพื่อให้เป็นพระทางส่วนของร่างกายและเป็นพระในทางจิตใจ เพราะเอาแต่ทางกายเอาแต่ทางวัตถุมันก็ไม่ถูกต้อง มันเลยต้องทะเลาะกัน ความเป็นพระจึงเป็นได้แต่สมมติสัจจะ
อันที่จริงแล้วน่ะ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนก็เป็นพระได้ ไม่เกี่ยวกับบวชหรือไม่ได้บวช ไม่เกี่ยวกับจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกาย ถ้าจะให้พูดตรงไปตรงมา ถ้าคนที่รู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะไปบวชกับต้นไม้ก็ได้ ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าต้นไม้มันให้ใบสุทธิเราได้ ถูกต้องตามกฎหมายถูกต้องตามสมมติสัจจะ ผู้ที่ไม่เข้าใจสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะ มันก็จะมีปัญหาอย่างนี้แหละ สิ่งที่โง่ไปแล้วก็แล้วไปเนาะ เราจะเป็นธรรมยุตเป็นมหานิกายเป็นวัดบ้านวัดป่า เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาธรรมะเป็นหลัก ไม่ใช่เอานิติบุคคลเอาตัวเอาตน ไม่เอาสมมติสัจจะเป็นหลัก ต้องเอาปรมัตถสัจจะเป็นหลัก เมื่อเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็เป็นได้แต่ข้าราชการแต่งตั้ง นักการเมืองแต่งตั้ง นักบวชแต่งตั้ง จึงต้องเข้าใจความหมายของสมมติสัจจะและปรมัตถสัจจะนะ เดี๋ยวนี้เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ต้องบาดหมางกัน เพราะตัวตนมันคือความแตกแยกคือความบาดหมาง ถึงจะปกครองประเทศชาติเพื่อความมั่นคงก็จริงอยู่ ผู้บริหารจึงต้องเข้าใจว่า การยกเลิกตัวตนมันถึงจะสมัครสมานสามัคคีกันได้ เมื่อเรามีตัวมีตนจะสมัครสมานสามัคคีกันได้อย่างไร เราจะเอาตัวตนเป็นนิพพานไม่ได้
อย่างครูบาอาจารย์สายกรรมฐานที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ในสายหลวงปู่มั่น ก็ถือพระวินัยเคร่งครัด ยกเลิกตัวตน ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นก็มีทั้งธรรมยุตและมหานิกาย เพราะหลวงปู่มั่นถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ท่านไม่ได้ถือธรรมยุตมหานิกาย อย่างหลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง, หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล วัดป่ามณีรัตน์ (วัดป่าบ้านคุ้ม) อ.สำโรง จ.อุบลราชธานี, หลวงปู่กินรี จันทิโย วัดกันตศิลาวาส อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์ ที่เป็นศิษย์หลวงปู่มั่น หลวงปู่ทองรัตน์ เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์ท่านเป็นพระในมหานิกาย ซึ่งปกตินั้น ศิษย์สายหลวงปู่มั่นจะเป็นธรรมยุตเดิมทีหลวงปู่ทองรัตน์ต้องการจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่หลวงปู่มั่นไม่อนุญาตเพราะเห็นว่าหลวงปู่ทองรัตน์มีปฏิปทาการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว และท่านเห็นว่าถ้าหากจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุตกันหมด ต่อไปพระสายมหานิกายอาจจะไม่มีผู้แนะนำการปฏิบัติ อีกทั้งมรรคผลก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของตัวผู้ปฏิบัตินั้น (ซึ่งเหตุผลนี้ เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่หลวงปู่มั่นให้เหตุผลกับหลวงพ่อชา ตอนที่หลวงพ่อชาคิดจะเปลี่ยนญัตติจากมหานิกายเป็นธรรมยุต)
เพราะฉะนั้น ทั้งธรรมยุตทั้งมหานิกายที่ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าตามหลวงปู่มั่น ก็ได้เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอรหันต์กัน เพราะเมื่อยกเลิกตัวตนก็เข้าสู่ทางสายกลาง ยกสมมติสัจจะเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ ยุคนี้ก็เป็นยุคหลานศิษย์เหลนศิษย์ของหลวงปู่มั่น เวลาไปหากัน ก็มีความบาดหมางกัน เวลานั่งฉันภัตตาหาร ก็ต้องให้ธรรมยุตนั่งแถวนึง มหานิกายนั่งแถวนึง เพราะเอาตัวเอาตน ไม่ยกเลิกตัวตน เพราะตัวตนคือความบาดหมาง ตัวตนนั่นแหละคือความแตกแยกแตกความสมัครสมานสามัคคี สิ่งที่สำคัญเราจึงต้องมายกเลิกตัวตน จึงจะเข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ
รู้หรือเปล่าว่าตัวตนนั้นมันไม่ใช่ลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ตัวตนนั่นแหละคือลูกศิษย์พระเทวทัต พระเทวทัตเอาตัวตนเป็นที่ตั้งถึงได้ทำลายสงฆ์ จึงได้ลอบปลงพระชนม์ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าหลายครั้งหลายครา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านว่างจากตัวตน ยกเลิกตัวตน ใครจะไปทำอะไรท่านไม่ได้ เพราะท่านขลังศักดิ์สิทธิ์ เพราะท่านยกเลิกตัวตน ให้พากันเข้าใจนะ ตัวตนนั่นแหละคือลูกศิษย์พระเทวทัต เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้มันเสียหาย มันทำลายทั้งตัวเองทำลายทั้งส่วนรวม มันไม่มีประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวมเลย จึงไม่ใช่เข้าถึงพระพุทธศาสนา เพราะเป็นตัวเป็นตน ความสมัครสมานสามัคคีที่เป็นบริสุทธิคุณเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะเอาตัวเอาตนนั้นไม่ได้หรอก ให้เข้าใจว่าตัวตนนั่นแหละห้ามมรรคห้ามผลห้ามพระนิพพาน ถ้าเอาตัวตนมันจะไปได้อย่างไร เพราะตัวตนมันคือไปไม่ได้ ตัวตนนั้นคือการหยุดคือการยกเลิกมรรคผลพระนิพพาน เรียกว่าตายจากความถูกต้องตายจากความเป็นธรรมความยุติธรรม เหมือนการจบลงของหัวใจที่สูบฉีดเลือด เหมือนการหยุดทำงานของสมองที่คอนโทรลส่วนต่างๆ ของร่างกาย ให้ทุกท่านพากันเข้าใจ ถ้าเราเอาตัวตนมันจะไม่รู้อริยสัจ 4 เลย เพราะการมาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า การบรรลุธรรมของพระอรหันต์คือการมารู้อริยสัจ 4 รู้กระบวนการปฏิจจสมุปบาท ตัวตนน่ะจะไม่รู้สมมติสัจจะเพื่อเป็นฐานให้เข้าสู่ปรมัตถสัจจะ ตัวตนที่ได้รับแต่งตั้งที่เป็นสมมติสัจจะ มันปิดบังปรมัตถสัจจะ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุ ชีวิตถึงจะสงบอบอุ่นเย็นเป็นแอร์คอนดิชั่น อบอุ่นด้วยสัมมาทิฏฐิที่ก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญา
ในวันนี้ทุกท่านทุกคนเมื่อหวนรำลึกถึงพระมหาปัญญาธิคุณ พระมหาบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณเช่นนี้ เพื่อจะแสดงกตัญญูกตเวทิตาธรรมต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้อาศัยสัจธรรมคำสอนของพระองค์เป็นดั่งนาวา ดำรงสัญจรออกจากทะเลวัฏทุกข์ให้ข้ามถึงฟากฝั่งบรมสุขคือนิพพานอันเกษม เหล่าพุทธสาวกได้อิ่มเอมดื่มด่ำธรรมโอสถ ได้อาศัยพระศาสนาของพระตถาคต เป็นเครื่องดับทุกข์ตลอดมา จึงต้องตั้งใจศึกษาและปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในดิถีวันวิสาขบูชาในคราวครั้งนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee