แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๔ เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต ในปัจจุบันทุกท่านก็จะเข้าถึงความสุขสงบเย็นเป็นพระนิพพาน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันอังคารที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๗
ช่วงนี้เป็นช่วงวันวิสาขบูชา เป็นเดือนวิสาขะ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญบารมี 20 อสงไขย แสนมหากัป ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าด้วยการประพฤติปฏิบัติ ด้วยการบำเพ็ญบารมีของท่าน สมบูรณ์ด้วยทั้งอัตถะทั้งพยัญชนะ พระพุทธเจ้าท่านทรงมีพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ การประพฤติการปฏิบัติของมนุษย์เนี่ย ต้องพัฒนาใจแล้วก็พัฒนาวัตถุ หรือว่าทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน พัฒนาวาจา พัฒนาธุรกิจหน้าที่การทำงาน การดำเนินชีวิตต้องเอาธรรมนำชีวิต การดำเนินทางวัตถุต้องเอาธรรมนำ การพัฒนากายก็ดี ความเพียรก็ดี ความตั้งมั่นก็ดี ต้องเอาธรรมนำชีวิต พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันประพฤติปฏิบัติเรื่องสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญ เน้นที่ปฏิปทา เพื่อให้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ที่เป็นมรรค เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 ทุกคนไม่มีสิทธิ์ที่จะทำตามใจ ทำตามอารมณ์ ทำตามความรู้สึกได้ เพราะมันจะเสียหาย มันจะไม่ถูกต้อง การปฏิบัติก็ปฏิบัติเหมือนลมหายใจทุกคน ลมหายใจเราต้องมีตั้งแต่เกิดถึงอวสานแห่งชีวิต เหมือนกับหัวใจของเราทุกคนเป็นศูนย์กลางของร่างกาย หัวใจของเราต้องสูบฉีดเลือดส่งให้สรีระร่างกาย เหมือนสมองของเราที่มันอยู่บนศีรษะ อยู่ตรงกลาง เปรียบเสมือนโรงงานที่ควบคุมคอนโทรลสรีระร่างกายของเราอย่างนี้ ทุกคนต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง ปฏิบัติอย่างนี้ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติหน้าที่ได้ถูกต้องในเรื่องจิตเรื่องใจ ในเรื่องวัตถุ หรือว่าในเรื่องกายวาจากิริยามารยาท ทุกอย่างต้องมาแก้ที่เราไม่ได้มาแก้ที่อื่น ต้องโฟกัสมาหาเราที่ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าพูดให้เรารู้จักว่า เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ เปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน เรียกว่าภายใน รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสธรรมารมณ์เป็นสิ่งภายนอก มันจะมาสัมผัสกันอย่างนี้ เพื่อให้เกิดอารมณ์ เกิดความรู้สึก เกิดความคิด เพื่อเราจะได้เป็นข้อสอบ ข้อตอบ เน้นประพฤติเน้นปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันนะ ต้องให้เข้าใจอย่างนี้
พวกเราจะได้รู้การประพฤติการปฏิบัติของเราน่ะ วันหนึ่งคืนหนึ่งพวกเราที่เป็นสามัญชน จะเป็นนักบวช จะเป็นประชาชน ให้พากันนอนหลับ เพื่อสรีระร่างกายของเราจะได้ส่งเลือดสู่ร่างกายทุกส่วนสัด สมองของเราจะได้พักผ่อนสัก 6 ชม. ถ้าประชาชนที่ยังไม่ได้เป็นนักบวช ถ้าจะแถมก็แถมซัก 7 ชม. อย่าให้เกิน 8 ชม. เวลาเราตื่นอย่างนี้เป็นเวลาที่เรามีความสุขที่สุดในโลก เพราะเรามาทำที่สุดแห่งทุกข์ ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เรามาทำที่สุดแห่งทุกข์เรื่องวัตถุ คือเรื่องปัจจัย 4 เรื่องวัตถุน่ะนะ เพราะเรามีสรีระที่เอามาบำเพ็ญบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ มันต้องเดินด้วยปัจจัย 4 เดี๋ยวนี้ทุกวันนี้ก็ยิ่งดี ยิ่งทันสมัย มีบ้าน มีรถ มียานพาน่ะ จนไปถึงเครื่องบิน แต่ก่อนก็เดินเอา แต่ต่อมาก็จักรยาน ต่อมาก็รถยนต์จนไปถึงเครื่องบิน การสื่อสารก็ง่าย มีโทรศัพท์ มีคอมพิวเตอร์ ไม่กี่นาทีก็รู้กันทั้งโลก เป็นสิ่งที่ดี
การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงเป็นเรื่องมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พากันเน้นการประพฤติการปฏิบัติในปัจจุบัน เพราะอดีตมันคือการปฏิบัติไม่ได้ เพราะว่ามันผ่านมาแล้ว สิ่งที่ไม่ถูกก็เป็นเพียงแต่ครู สิ่งที่ถูกก็เป็นเพียงแต่ครู อนาคตก็ยังไม่ถึงเวลาที่จะปฏิบัติ ปัจจุบันพระพุทธเจ้าให้พวกเราโฟกัสมาที่ปัจจุบันนะ เพราะใจของหมู่มวลมนุษย์มันคิดได้ทีละอย่าง ทีละขณะจิต อันไหนไม่ดีก็ไม่คิด พระพุทธเจ้าถึงบอกว่ายกเลิกสิ่งที่มันผิด มันจะทำให้เราเวียนว่ายตายเกิด เพราะเราต้องรู้จักว่าอันนี้มันเป็นธรรมชาติที่ปรากฏการณ์สิ่งภายนอก สิ่งภายในมันผัสสะกันมันก็เกิดอารมณ์ ต้องรู้จักว่ามันเป็นข้อสอบเป็นข้อตอบ เราต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพราะอันนั้นมันเป็นแขกมาเยี่ยมเรา เป็นอาคันตุกะมาเยี่ยมเรา มาเยี่ยมเราเขาก็จากไป เราพากันภาวนาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์นะว่า ทุกอย่างไปไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนหรอก ถึงแม้จะมีความรู้สึกสุขทุกข์หนาวร้อน ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องรู้จัก เคล็ดลับมันอยู่ที่สัมมาทิฏฐินั่นแหละ อยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะได้เข้าใจว่า โอ้... การประพฤติการปฏิบัติมันอยู่ที่นี่เอง ไม่ได้อยู่ใกล้อยู่ที่ไกล เราไม่ต้องไปหาความดับทุกข์อยู่ที่ไหนหรอก ความดับทุกข์อยู่ที่เรา อยู่ทุกหนทุกแห่งนั่นแหละ ความรู้ความเข้าใจก็เปรียบเสมือนเราเป็นเด็กน้อย เป็นเด็กน้อยก็ต้องอาศัยพ่อ อาศัยแม่ เพราะแม่เป็นครู เป็นผู้สอนของเรา ก็ไปเรียนที่โรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอกอย่างนี้นะ เมื่อไปเรียนอ่านออกเขียนได้ เราก็พากันปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันอยู่ที่เรา ที่ปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหน หาความดับทุกข์อยู่ที่ปัจจุบัน เพราะความสงบอยู่ที่ปัจจุบัน ความวิเวกอยู่ที่ปัจจุบัน เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราต้องยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้มันถูกต้องอย่างนี้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันการเวียนว่ายตายเกิด ท่านถึงบอกว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นทที่ดับไป เราต้องเข้าใจ เราจะได้เข้าใจเรื่องสมมติสัจจะ ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นผู้หญิง ผู้ชาย แต่งตั้งให้เป็นคนหนุ่ม คนสาว หรือเป็นคนแก่ อันนี้เป็นเพียงสมมติสัจจะ แต่ที่จริงแล้วมันเป็นปรมัตถสัจจะ คือมันไม่ได้เป็นอะไรเลย มันมีแต่เหตุมีแต่ปัจจัย เพราะเราไม่รู้สาเหตุ มันตามความหลง ความแซ่บ ความนัว ความอร่อย ความหรอย ความบันเทิงอะไรต่างๆ อย่างนี้นะ เราต้องรู้จักว่าสรีระร่างกายของเราให้ถูกต้อง ใจของเราให้ถูกต้อง เราต้องทำอย่างนี้ ทำให้ง่ายๆ อย่างนี้ เราทุกคนจะได้โฟกัสมาหาสิ่งที่ถูกต้องอย่างนี้ เราไม่ต้องไปแก้ไขที่ไหนหรอก มันก็จริงอยู่ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ก็ไม่มีสาวก ถ้าไม่มีพ่อมีแม่ที่เป็นตัวอย่าง หรือถ้าไม่มีโรงเรียน อย่างนี้เราต้องเข้าใจนะ เราดูตัวอย่างสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าน่ะ ผู้ที่ท่านบำเพ็ญบารมีมากับพระพุทธเจ้าสมัยนั้นน่ะ เมื่อพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ท่านก็ได้มาบรรลุธรรมพร้อมกัน เหมือนๆ กัน หลายหมื่น หลายแสน หลายล้านคน แต่อันนั้นเราไม่ต้องคิดแบบนั้นหรอก อันนั้นเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เรารู้อยู่เหมือนเรารู้นี่แหละว่า เราจะได้ไม่ต้องไปค้นคว้าอะไร เราก็เอาตัวอย่างแบบอย่างพระพุทธเจ้า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เราเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เอาพระพุทธเจ้าเป็นโมเดลน่ะ ยกหัวใจของพระพุทธเจ้าไว้ที่เรา ยกความประพฤติ ยกปฏิปทามาที่ตัวเรา เราอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พวกเราต้องถือเอาพระพุทธเจ้า ถือเอาพระรัตนตรัยอย่างนี้ พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเรายกเลิกตัวตนแล้วเราจะมีความสงบอบอุ่น เย็นเป็นแอร์คอนดิชั่น เป็นความอบอุ่นนะ เราพากันเข้าใจอย่างนี้ ปฏิปทาเป็นสิ่งที่สำคัญ ปฏิปทาก็เหมือนเลือดในหัวใจมันฉีดไปเลี้ยงร่างกาย สมองมันคอนโทรลอย่างนี้ เราต้องให้ติดต่อต่อเนื่อง เราประพฤติเราปฏิบัติอย่างนี้ เหมือนเราเดินทางจะไปในป่า ในเมือง เราไปครั้งเดียว 2 ครั้ง 5 ครั้ง 10 ครั้งมันก็จำไม่ได้หรอก เราต้องตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเรามีตัวมีตนน่ะ ก็ไม่อยากประพฤติไม่อยากปฏิบัติ ก็เพราะตัวตนนั่นแหละ มันมีตัวมีตน มันขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่หายใจมันก็ไม่อยากหายใจ ตัวตนมันจะไม่รู้เรื่องเลยนะ พระพุทธเจ้าให้นั่งสมาธิมันก็จะเอาแต่นั่งหลับ ครูบาอาจารย์เทศน์แสดงธรรมมันก็จะเอาแต่หลับ ทำวัตรสวดมนต์มันก็จะเอาแต่หลับ พระพุทธเจ้าบอกว่าสิ่งที่สำคัญคือมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง การประพฤติการปฏิบัติ ท่านถึงบอกว่า เอ้ย... เวลาพระเทศน์ก็อย่าไปนั่งหลับ พระเทศน์ก็อย่าไปคุยกัน ผู้ที่แสดงธรรมพวกนั่งหลับท่านจะต้องอาบัติ ผู้แสดงธรรมท่านกำลังแสดงธรรมเราก็บาป พระแสดงธรรมก็บาป
ครั้งหนึ่ง อุบาสก 5 คนไปฟังธรรมของพระศาสดา ที่วัดพระเชตวัน อุบาสกคนที่ 1 นั่งหลับ คนที่ 2 นั่งเอามือขีดเขียนแผ่นดิน คนที่ 3 นั่งเขย่าต้นไม้ คนที่ 4 นั่งแหงนคอดูท้องฟ้เ คนที่ 5 นั่งฟังธรรมโดยเคารพ พระอานนทเถระ ซึ่งนั่งถวายงานพัดพระศาสดาอยู่นั้น ได้แลเห็นพฤติกรรมของอุบาสกทั้ง 5 คนนั้นแล้ว จึงกราบทูลพระศาสดาว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญพระองค์ทรงแสดงธรรมแก่อุบาสกเหล่านี้ ดุจหยาดฝนเข็ดใหญ่ตกลงมาจากฟากฟ้า แต่อุบาสกเหล่านั้น กลับแสดงพฤติกรรมประลาดๆ แตกต่างกัน" จากนั้นพระเถระได้กราบทูลพฤติกรรมของอุบาสกให้พระศาสดาทรงทราบ และได้กราบทูลถึงสาเหตุที่อุบาสกเหล่านั้นมีพฤติกรรมแตกต่างกัน
พระศาสดาตรัสว่า อุบาสกคนที่นั่งหลับอยู่นั้น เคยเกิดเป็นงูมา 500 ชาติ ปกติงูจะพาดหัวไว้บนขนดแล้วหลับ ก็จึงติดนิสัยชอบหลับนั้นมาจนถึงชาติปัจจุบัน อุบาสกคนที่ชอบเอานิ้วเขี่ยแผ่นดินนั้น เคยเกิดเป็นไส้เดือนในอดีตชาติมาแล้ว 500 ชาติ จึงได้ติดนิสัยชอบคุ้ยเขี่ยแผ่นนมาจนถึงปัจจุบันชาติ อุบาสกคนที่ชอบเอามือเขย่าต้นไม้นั้น เคยเกิดเป็นลิงมาแล้ว 500 ชาติ จึงติดนิสัยชอบเขย่าต้นไม้มาจนถึงปัจจุบันชาติ อุบาสกคนที่นั่งฟังธรรมโดยคารพนั้น เคยเกิดเป็นพราหมณ์ผู้ชอบท่องมนตรามาถึง 500 ชาติ จึงติดนิสัยชอบฟังธรรมแล้วนำไปเทียบเคียงกับมนตราที่ตนเคยท่องบ่นมาตั้งแต่อดีตชาติ
อานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรมเทศนาของพระองค์ย่อมแทรกอวัยวะทั้งหลาย มีผิวเป็นต้น (เข้า) ไปจดเยื่อกระดูกตั้งอยู่ เพราะเหตุไร อุบาสกเหล่านี้แม้เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมอยู่ จึงไม่ฟังโดยเคารพ?
พระศาสดา. อานนท์ เธอเห็นจะทำความสำคัญว่า "ธรรมของเราอันบุคคลพึงฟังได้โดยง่ายกระมัง?"
อานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ธรรม (ของพระองค์) อันบุคคลพึงฟังได้โดยยากหรือ? พระศาสดา. ถูกแล้ว อานนท์. อานนท์. เพราะเหตุไร? พระเจ้าข้า.
พระศาสดา. อานนท์ บทว่า "พุทฺโธ" ก็ดี "ธมฺโม" ก็ดี "สงฺโฆ" ก็ดี อันสัตว์เหล่านี้ไม่เคยสดับแล้ว ในแสนกัลป์ แม้เป็นอเนก เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้จึงไม่สามารถฟังธรรมนี้ได้. แต่ในสงสารมีที่สุดอันใครๆ ตามรู้ไม่ได้ สัตว์เหล่านี้ฟังดิรัจฉานกถามีอย่างต่างๆ นั่นแล มาแล้ว เพราะฉะนั้น สัตว์เหล่านี้จึงเที่ยวขับร้องฟ้อนรำอยู่ในที่ทั้งหลาย มีโรงดื่มสุราและสนามเป็นที่เล่นเป็นต้น จึงไม่สามารถจะฟังธรรมได้.
อานนท์. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุบาสกทั้งหลายนั่นอาศัยอะไรจึงไม่สามารถ?
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสแก่พระอานนท์ว่า "อานนท์ อุบาสกเหล่านั้นอาศัยราคะ อาศัยโทสะ อาศัยโมหะ อาศัยตัณหา จึงไม่สามารถ. ชื่อว่าไฟ เช่นกับด้วยไฟคือราคะไม่มี, ไฟใดไม่แสดงแม้ซึ่งเถ้า ย่อมไหม้สัตว์ทั้งหลาย.
แท้จริง แม้ไฟซึ่งยังกัลป์ให้พินาศ ที่อาศัยความปรากฏแห่งอาทิตย์ ๗ ดวงบังเกิดขึ้น ย่อมไหม้โลก ไม่ให้วัตถุไรๆ เหลืออยู่เลย ก็จริง. ถึงกระนั้น ไฟนั้นย่อมไหม้ในบางคราวเท่านั้น ชื่อว่ากาลที่ไฟคือราคะ จะไม่ไหม้ ย่อมไม่มี. เพราะฉะนั้น ชื่อว่าไฟเสมอด้วยราคะก็ดี ชื่อว่าผู้จับเสมอด้วยโทสะก็ดี ชื่อว่าข่ายเสมอด้วยโมหะก็ดี ชื่อว่าแม่น้ำเสมอด้วยตัณหาก็ดี ไม่มี" ดังนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ว่า :- นตฺถิ ราคสโม อคฺคิ นตฺถิ โทสสโม คโห นตฺถิ โมหสมํ ชาลํ นตฺถิ ตณฺหาสมา นที. ไฟเสมอด้วยราคะ ไม่มี, ผู้จับเสมอด้วยโทสะไม่มี, ข่ายเสมอด้วยโมหะ ไม่มี, แม่น้ำเสมอด้วยตัณหา ไม่มี.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ราคสโม ความว่า ชื่อว่าไฟเสมอด้วยราคะ ย่อมไม่มี ด้วยสามารถแห่งอันไม่แสดงอะไรๆ เช่นควันเป็นต้น ตั้งขึ้นเผาภายในนั่นเอง.
บทว่า โทสสโม ความว่า ผู้จับทั้งหลาย มีผู้จับคือยักษ์ ผู้จับคืองูเหลือม และผู้จับคือจระเข้เป็นต้น ย่อมสามารถจับได้ในอัตภาพเดียวเท่านั้น แต่ผู้จับคือโทสะ ย่อมจับโดยส่วนเดียวทีเดียว เพราะฉะนั้น ชื่อว่าผู้จับเสมอด้วยโทสะย่อมไม่มี.
บทว่า ตณฺหาสมา ความว่า เวลาเต็มก็ดี เวลาพร่องก็ดี เวลาแห้งก็ดี ของแม่น้ำทั้งหลายมีแม่น้ำคงคาเป็นต้น ย่อมปรากฏ แต่เวลาเต็มหรือเวลาแห้งแห่งตัณหา ย่อมไม่มี. ความพร่องอย่างเดียวย่อมปรากฏเป็นนิตย์ เพราะฉะนั้น ชื่อว่าแม่น้ำเสมอด้วยตัณหา ย่อมไม่มี เพราะอรรถว่า ให้เต็มได้โดยยาก.
ในกาลจบเทศนา อุบาสกผู้ฟังธรรมอยู่โดยเคารพนั้น ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผลแล้ว.
เพราะว่าความรู้ความเข้าใจมันสำคัญนะ อย่างเราไปเรียนหนังสือก็ตั้งทั้งกาย ตั้งทั้งวาจา ตั้งทั้งใจ ตั้งใจฟังอย่างนี้ เพื่อให้มันติดต่อต่อเนื่อง เหมือนเลือดในร่างกายที่หัวใจมันสูบฉีด เหมือนกับสมองคอนโทรลตัวเองให้อยู่ จึงต้องมีชาคริยานุโยคคือหมั่นประกอบความเพียรของผู้ตื่นตัวอยู่เสมอ เราต้องตั้งอกตั้งใจ ชีวิตของเราจะได้เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม มันจะก้าวไปอย่างนี้ มันจะได้เป็นปฏิปทา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะรู้เรื่องอะไร มันไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ตัวตนมันคือไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะนะ มันจะเอาแต่ตัวเอาแต่ตน อย่างมากมันจะเอาแต่ความสงบ ตัวตนมันก็คิดว่า โอ้... เราไม่ต้องฟังหรอก เราจะเอาความสงบ เราต้องฟัง ต้องให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจ เหมือนพวกที่ไปเรียนหนังสือเราจะได้ปฏิบัติอยู่ทุกหนทุกแห่ง เวลาฟังธรรมก็ต้องนั่งตั้งใจฟัง อย่าไปหลับ เรามองดูคนนั้นหลับ คนนี้หลับก็ช่างหัวมัน เราอย่าเอาคนที่นั่งหลับเป็นสรณะเป็นที่ตั้งนะ เพราะว่าอันนั้นมันเป็นอวิชชา เป็นความหลงของเขา เขาหลงก็อย่าไปทำตามเขา เราต้องเข้าใจ ไม่ใช่เรานั่งให้เสียเวลา มาฟังให้เสียเวลา เพราะเวลาเป็นสิ่งที่มีค่า ธรรมะเป็นสิ่งที่มีค่า เราทุกคนต้องรู้จักเวลา รู้จักธรรมะ รู้จักสมมติสัจจะ สมมติสัจจะเราต้องทำให้ได้ ปฏิบัติให้ได้ เมื่อเราไม่ยกเลิกตัวตน เราจะเข้าสู่สมมติสัจจะได้ยังไง เมื่อเข้าสู่สมมติสัจจะไม่ได้ ปรมัตถสัจจะได้ยังไง เพราะว่าสมมติสัจจะมันจะเป็นฐานที่ให้คนก้าวไป เราจะได้รู้จักศีล สมาธิ ปัญญา เป็นฐาน เป็นสมมติสัจจะที่เข้าถึงวิมุตติ ความหลุดพ้น ยกเลิกตัวตน ถึงเรียกว่าศีล สมาธิ ปัญญา เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะไปเอาแต่ภายนอก ไปแก้ไขแต่ภายนอก พ่แม่ก็ไปแก้ไขแต่ลูกแต่หลาน ลูกหลานก็ไปเพ่งเล็งแต่พ่อแม่ ทำไมเอาแต่ตัวเอาแต่ตน ทุกคนอย่าไปทำอย่างนั้น ทุกคนต้องกลับไปแก้ที่ตัวเอง เพราะปัญหาต่างๆ มันอยู่ที่ตัวเองนะ เราดูปฏิปทาของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปแก้ใครเลย ท่านยังบอกสอนว่า เอ้ย นี่แผนที่เป็นอย่างนี้ การประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องยกเลิกตัวเองด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญานี่แหละ สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขที่สุดในโลก
เราต้องเข้าใจ เราไม่เสียสละ มันก็ไปไม่ได้ เพราะมันติด มันหลงน่ะ เพราะมันงงในความอร่อย ความแซ่บ ความนัว เราต้องก้าวไปปฏิบัติไป ต้องพากันมีความสุขนะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เห็นมั้ย ตัวตนนั่นน่ะกว่าที่จะแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีน่ะน่าดูเลย เพราะตัวตนมันเป็นพรรคเป็นพวก ประเทศไทยเราเนี่ยมันไม่ใช่ 3 ก๊ก น่าจะหลายร้อยก๊ก ตัวตนมันก็ต้องเป็นก๊ก แตกเป็นเหล่า ไม่ยกเลิกตัวตน มันก็มีแต่ทะเลาะวิวาทกัน แย่งขยะกัน ไม่สมัครสมานสามัคคีกัน การเรียนการศึกษานี่ก็เรียนเก่งยิ่งฉลาด ก็ยิ่งทำโลกพินาศ เพราะการศึกษาน่ะ ไม่ได้เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อจะเอา จะมี จะเป็น ศึกษาเพื่อเป็นโจร เป็นมหาโจร แล้วก็พากันคุยกันใหญ่โตมโหฬารว่า พวกนี้เล่นการเมืองไม่เป็น มันก็ยากเพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่างนี้นะต้องเข้าใจ ถ้าเรายกเลิกตัวตนมันง่ายนะ สิ่งที่ว่าเป็นการเมืองไม่จริงเนาะ ถ้ายกเลิกนั้นน่ะ เราต้องรู้จักว่า ความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ อยู่ที่เรายกเลิกตัวตน ประเทศชาติถึงจะได้มีข้าราชการ นักการเมือง ที่เป็นปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ตัวตนมันจะเป็นปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ได้ยังไง เพราะอันนั้นมันตัวตน เราไม่เข้าใจ เราจะเอาแต่ตัวแต่ตนน่ะ ประเทศไทยเรามีพื้นที่ 513,120 ตารางกิโลเมตร (198,120 ตารางไมล์) (อันดับที่ 50 ของโลก) มีประชากร 70 กว่าล้านคน ถ้าผู้บริหารเอาแต่ตัวตนเป็นที่ตั้ง ภาษีอากรของประชาชนที่ได้มาจากส่วนรวม มันไปไม่ได้ เงิน 100 บาท หรือว่า 100% กินไปแล้ว 60-70% มันจะไปได้ยังไง เพราะความถูกต้องมันเป็นไปไม่ได้ เราก็เป็นข้าราชการไม่ได้ เป็นนักการเมืองไม่ได้ เป็นนักบวชก็ไม่ได้ เพราะตัวตนมันไม่ได้ ต้องเข้าใจและเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เน้นที่ตัวเรานี่แปละ โฟกัสมาที่เรานี่แหละ เราไม่ต้องไปโทษใคร เพราะใครก็พอๆ กันนั่นแหละ เอาตัวตนมันก็พอกันนั่นแหละ
เราจะได้มีชาติ คือความเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสภิกขุ ซึ่งเป็นคนดีของโลก เป็นนักปราชญ์ของโลก เป็นบัณฑิตของโลก ท่านบอกว่า เป็นมนุษย์ได้เพราะใจสูง เหมือนหนึ่งยูงมีดีที่แววขน... เราจะเป็นมนุษย์ได้ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องนะ เราเป็นมนุษย์ได้อย่าเอาตัวตนนะ เป็นมนุษย์ได้เพราะยกเลิกตัวตนอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพาเราทำเป็นตัวอย่างแบบอย่าง ท่านบอกว่า อย่าเป็นอะไรมันเลย พระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องเป็นหรอก พระอรหันต์ก็ไม่ต้องเป็นหรอก ผู้หญิงผู้ชายอะไรก็ไม่ต้องเป็น เพราะทุกอย่างมันเป็นได้ก็เพียงเป็นสมมติสัจจะ เมื่อมีสมมติสัจจะเราก็ต้องเอาสมมติสัจจะมาใช้การใช้งาน เราอย่าไปทะเลาะกัน การทะเลาะกันมันไม่ถูกต้อง เห็นมั้ยพระธรรมกถึกกับพระวินัยธรที่ทะเลาะกัน วิวาทกัน อันนี้มันก็ยังไม่ใช่ ไม่รู้จักสมมติสัจจะ ทุกคนเมื่อยกเลิกตัวตนมันจะทะเลาะกันได้ยังไง มันจะไม่แตกแยกนิกาย แล้วจะรู้ความเป็นพระ ความเป็นพระมันไม่ได้อยู่ที่นักบวช ไม่ได้อยู่ที่ไม่ได้บวช อยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อย่างนี้ เหมือนอาหารเป็นสากล ใครทานอาหารก็ดับทุกข์ ไม่เกี่ยวกับนักบวชนักไม่ได้บวช เหมือนความทุกข์ทางกายก็เหมือนกันหมด ความทุกข์ทางใจก็เหมือนกัน เป็นสากล มนุษย์เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องทำอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ เราจะได้มีความสุขที่สุดในโลก ปรับเข้าหาธรรมะข้าหาเวลา มีความสุขในการหายใจ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการภาวนาวิปัสนา ยกทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ปฏิปทามันไม่ได้ เพราะตัวตนมันคือหยุดความถูกต้อง มันทำลายความถูกต้อง เขาเรียกว่าความดีมันติดต่อต่อเนื่องไม่ได้ เป็นปฏิปทาไม่ได้ เราต้องเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้ว เราจะเป็นคนเอเชีย เป็นคนยุโรป อยู่ทิศตะวันออก อยู่ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ ก็ไม่มีปัญหา เพราะตัวตนมันมีปัญหา เราต้องพากันเข้าใจ เราจะไปเป็นมันทำไม ตัวตนนิติบุคคล เขาโฟกัสแต่งตั้งให้เป็นเนี่ย ก็รู้ความหมายด้วย เราจะได้รู้จักเรื่องพระไตรลักษณ์ เราจะได้เข้าสู่ปรมัตถสัจจะให้เข้าใจอย่างนี้นะ เรามองไปทางซ้ายทางขวา เราก็เห็นแต่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ระลึกไปหลายสิบปีก็เห็นแต่คนจากไปแล้ว ก็คนเกิดขึ้นมากาลเวลามันก็เป็นอย่างนี้ ธรรมชาติเขาก็มีกลางวัน 12 ชม. กลางคืน 12 ชม. มันก็มีฤดูแล้ง ฤดูฝน ฤดูหนาว แล้วแต่ความหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของโลกน่ะ เพราะว่าโลกมันหมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ เราต้องพากันเข้าใจนะ ต้องพากันมีสติ มีสัมปชัญญะ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ต้องมีความสุขที่สุดในโลก เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้
เรื่องความประมาท เรื่องความเพลิดเพลิน ความไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์เป็นสิ่งที่สำคัญนะ เราประมาทนิดหน่อย เมล็ดพันธุ์ อย่างวัดเราก็สร้างมากือบ 20 ปี ตั้งแต่ก่อนเมล็ดพันธุ์นิดเดียว เดี๋ยวนี้ต้นไม้มันก็ใหญ่โตสูงตระหง่าน เพราะความเพลิดเพลิน ความประมาทอย่างนี้นะ เราอย่าไปคิดว่าความคิดอย่างนี้ไม่สำคัญ คำพูดอย่างนี้ไม่สำคัญ กิริยามารยาทอย่างนี้ไม่สำคัญ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนะ อันนั้นเราตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ความประมาทน่ะ เราต้องมาเน้นที่ปฏิปทา เน้นที่ศีลสมาธิปัญญา พระพุทธเจ้าบอกว่า สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 อยู่ที่อริยมรรคมีองค์ 8 เกิดจากเหตุ จากปัจจัย จากกรรม จากการกระทำนะ เราต้องเข้าใจ เราจะมาเอาอะไรน่ะ มันไม่ได้อะไรนะ มันมีแต่ความหลง เพราะมีแต่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ให้เราพัฒนาบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราต้องเข้าใจเรื่องศีลสมาธิปัญญา อันนี้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เราต้องทำอย่างนี้ ถึงจะเข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณได้
เห็นมั้ยหลายวัด เขาจะตั้งเจ้าอาวาสก็ตั้งไม่ได้ เพราะว่าเราเอานิติบุคคลตัวตน เราไม่รู้จักสมมติสัจจะเอามาเสียสละ เอามายกเลิกตัวตน หลายวัดตั้งเจ้าอาวาสไม่ได้ จะแต่งตั้งข้าราชการ นักการเมือง เขาก็สอบแข่งขันกัน เพื่อหาคนดี หาคนเสียสละ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าโกงกินถาวร ตั้งแต่เข้ารับข้าราชการจนไปถึงวันเกษียณ 60 ปีน่ะ เดี๋ยวนี้ผู้พิพากษาอัยการเกษียณ 70 ปีแล้ว เพราะท่านเหล่านี้เป็นคนดี เป็นคนเที่ยงธรรม เป็นความยุติธรรม แต่ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป๋ได้นะ เพราะตัวตนน่ะทำให้เป๋ อวิชชาความหลงในธนบัตรน่ะทำให้เป๋ ตัวตนมันคืออคติทั้ง 4 นะ เราต้องรู้จักว่าความมั่นคงที่เรายกเลิกตัวตน เราจะได้รู้ว่าพระเจ้าอยู่หัวคืออะไร พระเจ้าอยู่หัวคือธรรมะ ธรรมะคือพระเจ้าอยู่หัว เอาธรรมนำชีวิต เรียกว่า เอาความถูกต้อง ยกเลิกความไม่ถูกต้อง จึงเรียกว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงทศพิธราชธรรมน่ะ จะเป็นประธานาธิบดีก็เหมือนกัน ต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาทศพิธราชธรรม จะเป็นข้าราชการนักการเมืองก็เหมือนกัน ถ้างั้นไม่ได้ มันเสียหาย เราต้องเข้าใจ ทุกคนจะได้แก้ที่ตัวเอง เพื่อมันจะได้ไปได้ ถ้าเราไม่แก้ตัวเอง มันไปไม่ได้ เพราะเราจะได้เอาสายพันธุ์แห่งความพุทธะมามอบให้ลูกให้หลาน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็รับ DNA ที่มีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด มันเป็นความเสียหาย มันเป็นการทำลายความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์
เพราะนักบวชก็ยิ่งเป็นผู้ที่สำคัญกับองค์กร สถาบัน นักบวชนี่ต้องเข้มแข็ง เพราะมันเรื่องความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ต้องยกเลิกตัวตน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน เราจะเอาพระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก พระอภิธรรมปิฎก มันเป็นไปไม่ได้ เพราะเป็นความดีอยู่ในหนังสือในคัมภีร์ในตำรับตำรา แต่เราไม่เข้าสู่ภาคปฏิบัติ การเรียนการศึกษามันต้องคู่กับการปฏิบัติ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย มหามกุฏราชวิทยาลัย ก็ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ คณะสงฆ์เดินทางมาถูกแล้ว ปีนี้วัดโมลีโลกยาราม สร้างประวัติศาสตร์แห่งการทำถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง สามารถผลิตพระภิกษุสามเณร ได้ ป.ธ.9 กันเยอะแยะเลย อันนี้ถูกต้อง เพราะการเรียนการศึกษานี้เป็นการเรียนการศึกษาเพื่อจะมารู้อริยสัจ 4 รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ พากันมาเสียสละ การเรียนการศึกษามันถึงเป็นความสุขที่สุดในโลก เพราะแสงสว่างคือปัญญามันเป็นความสุข ตัวตนมันโง่มันเป็นความทุกข์ ต้องเข้าใจ เพราะมรรคผลนิพพานต้องมีทั้งใน กทม. ทั้งในต่างจังหวัด อยู่ในหมู่บ้าน อยู่ในป่าในเขา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม เป็นธรรมดีที่สุด เป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัย
ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เอาวิทยาศาสตร์มาปฏิบัติ เราจะปล่อยให้ประเทศไทยเราแห้งแล้งได้ยังไง จะปล่อยให้น้ำท่วมได้ยังไง ตัวตนมันคิดไม่ออก มันไม่รู้จักพัฒนาวิทยาศาสตร์ ไม่พัฒนาใจ เอาแต่คอยรับของจากพ่อ จากแม่ จากส่วนราชการ อันนี้ตัวตนเขาเรียกว่ามันเป็นผู้รับ ไม่ได้เป็นผู้ให้ พระพุทธเจ้าถึงให้เราปรับเข้าหาเวลา เวลาปรับเข้าหางาน มีความสุขในการทำในการปฏิบัติ ต้องอย่างนี้ ทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง ปฏิบัติตัวเอง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปเก่งตั้งแต่ก๋ากร่าง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันดูก๋ากร่างนะ มันไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี เราได้ยศได้ตำแหน่ง เขาโฟกัสมาหาเราเนี่ยถูกต้องแล้ว เราต้องรู้จัก เอาตัวตนมันก็ได้แต่พิธีรีตอง เก่งแต่พิธีรีตอง พระคุณเจ้าทั้งหลายเลยเก่งแต่พิธีรีตอง จับตาลปัตรพัดยศอย่างนั้นอย่างนี้
เราต้องคอนโทรลตัวเองเข้าสู่ภาคประพฤติปฏิบัติ พิธีก็ให้เป็นพิธีที่ประโยชน์น่ะ อย่าเอาสมมติสัจจะมาใช้ไม่ถูกต้อง เอามาใช้เป็นตัวตนเขาเรียกว่าพิธีไม่ถูกต้อง บางทีกว่าจะเผาสรีระร่างกายได้นานแสนนาน แต่ละท่านต้องใช้เวลารอนาน งอมไปหมด เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทำง่ายๆ เหมือนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพาทำ ไม่กี่นาทีก็จบ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี่ โอ้... สรีระแต่ละคน ยิ่งเป็นคนที่รวย เป็นคนที่มีอำนาจวาสนา ใช้เวลานานเกิน พระคุณเจ้าทั้งหลายบวชมาเมื่อมาอยู่กับพิธีต่างๆ อย่างนี้ ต้องเข้าใจพิธี ต้องให้น้อยลง เวลามีพิธีต่างๆ อย่างนี้ก็ต้องตั้งอกตั้งใจ ให้มันเป็นสมมติสัจจะเพื่อทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เกิดปัญญา เพื่อจะเป็นประเพณีเป็นพิธีที่มีประโยชน์ มีสัมมาทิฏฐิ อย่าไปหลงกันอย่างนี้ เราต้องเอาพุทธะนำชีวิต นักบวชทั้งหลายก็ต้องรู้กัน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราจะเอาอะไรมาบอกมาสอนประชาชน ก็ได้แต่จำจากหนังสือพระไตรปิฎก จำจากครูบาอาจารย์มาสอน เพราะตัวตนมันเป็นอย่างนี้ เราต้องเข้าใจ เราอยู่ใน กทม. อยู่ในเมืองหลวง มีรถเยอะๆ มีฝุ่นละออง มีมลพิษเยอะๆ ไม่เป็นไร สมัยใหม่เรามีแอร์ มีอะไร เราพัฒนาได้ ถึงจะมีตึกสูงตระหง่านฟ้า มีประชากรหมดไม่เป็นไรน่ะ เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัย ปฏิบัติทั้งใจทั้งวัตถุอย่างมีความสุขอย่างนี้นะ เราต้องเข้าใจ เราจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราต้องรู้จักว่า เราปรับเข้าหาเวลา เข้าหากาลและงาน พวกเราเอาแต่ตัวเอาแต่ตนมันก็ไม่ฉลาดน่ะ เพราะตัวตนมันคือความไม่ฉลาด เราต้องเข้าใจอย่างนี้ รู้จักกราบพระ ไหว้พระ นั่งสมาธิ เริ่มต้นจากความคิด อันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูดไม่ทำ ต้องเน้นอย่างนี้ ถ้าไม้งั้นมันฟุ้งซ่าน ไม่ไหว หาแต่ความอร่อยทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ หัวใจเราทุกคนเลยร้องครวญครางด้วยความทุกข์ โอ้ยๆๆ ด้วยไม่รู้จักผัสสะ ที่ไม่รู้จักภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ แทนที่มีตาหูจมูกลิ้นกายใจเพื่อจะเกิดปัญญา เกิดแต่อวิชชาความหลงน่ะ เมื่อเราได้มีโอกาสพิเศษได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทุกท่านทุกคนต้องเดินตามพระพุทธเจ้า เดินตามพระอรหันต์ เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต ในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน ทุกท่านก็จะเข้าถึงความสุขดับเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee