แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พุทธะที่แท้จริง
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๑๘ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง พุทธะที่แท้จริง ตอนที่ ๑ การมาอุบัติตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพื่อมายกเลิกทาส ประกาศอิสรภาพทางจิตใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนต้องเอาปัญญานำชีวิต ต้องมีความเห็นถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเรา มนุษย์ต้องเอาปัญญานำชีวิต ต้องมีความเห็นถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเราถึงจะถูกต้อง ต้องพัฒนาทั้งใจ ต้องพัฒนาทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง ปัญญาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย พ่อแม่เป็นบุคคลสำคัญ ที่ให้ DNA ทั้งทางส่วนร่างกาย ทั้งความรู้ ทั้งการปฏิบัติ พ่อแม่ทุกคนพากันเข้าใจนะ ว่าเราเป็นครูคนแรกของบุตรธิดา เป็นครูคนแรกของลูก เมื่อครบ 3 ขวบ พ่อแม่ก็ส่งผลัดให้คุณครูโรงเรียนอนุบาล เพราะการพัฒนาบุคลากรของโลก เดี๋ยวนี้ก็เริ่มจากอนุบาล เด็กจะอยู่กับคุณครูตั้งแต่ 8 นาฬิกาถึง 3-4 โมงเย็น แล้วกลับมาอยู่กับคุณพ่อคุณแม่ พ่อแม่คุณครูถึงได้เป็นแบบพิมพ์ของลูกและของลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าก็ให้พ่อแม่กับคุณครูพากันเข้าใจอย่างนี้นะ พ่อแม่ คุณครู ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนำวัตถุ เพื่อไม่ให้ไปคิดไม่ถูกต้อง ไม่กระทำที่ไม่ถูกต้อง ยกเลิกความเป็นนิติบุคคล ความเป็นตัวเป็นตน ถึงมีเราทุกคนที่จะมีธาตุ มีขันธ์ มีอายตนะ แต่เราทุกคนพากันรู้จัก ความรู้สึกที่เป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ หาใช่นิติบุคคล หาใช่ตัวหาใช่ตน หากเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เหตุการณ์ที่ผ่านมาเราได้เอาอวิชชา เอาความหลง เอาความไม่รู้ เอาความไม่เข้าใจ ครองธาตุ ครองขันธ์ ครองอายตนะ เราถึงได้พากันเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในวัฏสงสาร อยู่ในสังสารวัฏ เป็นชีวิตที่หลง เป็นชีวิตที่อวิชชา เป็นชีวิตที่ไสยศาสตร์
พระพุทธเจ้าได้บำเพ็ญพุทธบารมีใช้เวลาหลายล้านชาติหลายอสงไขยได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ด้วยการบำเพ็ญพุทธบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เรียกว่าบารมี 30 ทัศ พระพุทธเจ้านั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นสภาวะธรรมแห่งการเป็นพุทธะ เป็นปัญญาสัมมาทิฏฐิที่มีอยู่ประจำโลก หลายร้อย หลายพันปี จะมีพระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาตรัสรู้ ได้มาบอก มาสอน ว่าธาตุ ขันธ์ อายตนะนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วพระพุทธเจ้าก็บอกหลักการประพฤติปฏิบัติง่ายๆ ว่า ตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้น เปรียบเสมือนเจ้าของบ้าน สิ่งที่มากระทบ มาผัสสะ ทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้น เปรียบเสมือนแขก หรืออาคันตุกะมาเยี่ยมมาเยือน ปกติมาเยี่ยมแล้วก็ต้องจากไป พระพุทธเจ้าตรัสว่า
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ อุปกฺกิลิฏฺฐํ ตํ อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน ยถาภูตํ นปฺปชานาติ ตสฺมา อสฺสุตวโต ปุถุชฺชนสฺส จิตฺตภาวนา นตฺถีติ วทามีติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองแล้ว ด้วยอุปกิเลสที่จรมา ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมจะไม่ทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า ปุถุชนผู้มิได้สดับ ย่อมไม่มีการอบรมจิต ฯ
ปภสฺสรมิทํ ภิกฺขเว จิตฺตํ ตญฺจ โข อาคนฺตุเกหิ อุปกฺกิเลเสหิ วิปฺปมุตฺตํ ตํ สุตวา อริยสาวโก ยถาภูตํ ปชานาติ ตสฺมา สุตวโต อริยสาวกสฺส จิตฺตภาวนา อตฺถีติ วทามีติ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้วจากอุปกิเลสที่จรมา พระอริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ย่อมทราบจิตนั้นตามความเป็นจริง ฉะนั้น เราจึงกล่าวว่า พระอริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีการอบรมจิต ฯ
เพราะการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของสภาวะธรรม มีการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โลกหมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ ทำให้มีวันหนึ่งคืนหนึ่ง มี 24 ชม. เป็นกลางคืน 12 ชม. เป็นกลางวัน 12 ชม. มันจะหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยว่างนี้อยู่ตลอดเวลา มันเป็นความถูกต้องของสภาวะธรรมตามความเป็นจริง เราเป็นมนุษย์ต้องเป็นผู้มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ เอาปัญญานำชีวิต รู้จักธาตุ รู้จักขันธ์ รู้จักอายตนะว่า ทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเพียงเหตุเพียงปัจจัย สิ่งที่มากระทบกับเราทางตาหูจมูกลิ้นกายใจนั้น แล้วแต่เป็นอาคันตุกะ ที่ได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วก็จากไป หาใช่เป็นนิติบุคคลตัวตนไม่ พระพุทธเจ้าถึงเป็นผู้รู้จักความจริงในเรื่องจิตเรื่องใจรู้จักความจริง ทางวัตถุ แล้วก็บอกให้พวกเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเอาความถูกต้องนำชีวิต เราจะได้ทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ในเรื่องจิตเรื่องใจในเรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กัน ท่านเพียงบอกว่าให้ยกทุกอย่างให้เข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือแขกมาเยี่ยมเรา คืออาคันตุกะที่เขามาเยี่ยมเรา แล้วเขาก็จากเราไป เพื่อให้เราทุกคนได้บำเพ็ญบารมีเบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด บารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ
การปกครองโลกนี้ จึงเอาธรรมนำชีวิต พระมหากษัตริย์คือบุคคลที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เอาธรรมนำชีวิต เรียกว่าทศพิธราชธรรมน่ะ ไม่มีลำเอียง ไม่มีอคติ เอาธรรมนำชีวิต เอาทศพิธราชธรรมนำแผ่นดิน สมัยในปัจจุบันผู้ที่จะเป็นประธานาธิบดีผู้ที่ปกครองประเทศ เขาต้องเอาธรรมนำชีวิต เอาทศพิธราชธรรมนำประเทศนำแผ่นดิน ศาสตร์ต่างๆ เป็นหลักการชีวิตของหมู่มวลมนุษย์มีทั้งหมด 18 ศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่เจ้าฟ้าพระราชามหากษัตริย์ในสมัยอดีตส่งบุตรหลานไปศึกษาเป็นประจำ ถ้าจะเทียบกับปัจจุบันนี้ คงเป็นวิชาเหล่านี้ คือ 1. ยุทธศาสตร์ วิชาการรบ 2. รัฐศาสตร์ การปกครอง 3. นิติศาสตร์ กฎหมาย จารีตประเพณี 4. พาณิชยศาสตร์ การค้าขาย 5. อักษรศาสตร์ วรรณคดี 6. นิรุกติศาสตร์ ภาษาของตนเองและภาษาต่างประเทศ 7. คณิตศาสตร์ การคำนวณ 8. ดาราศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ดวงดาวในจักรวาล 9. โหราศาสตร์ พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ 10. ภูมิศาสตร์ ดูพื้นที่ แผนที่ของสถานที่ต่างๆ 11. เวชศาสตร์ การพยาบาลรักษาคนป่วย 12. ตรรกศาสตร์ ว่าด้วยเหตุผล 13. สัตวศาสตร์ ดูลักษณะสัตว์ รู้จักเสียงและอาการของสัตว์ 14. วิศวกรรมศาสตร์ ช่างกล 15. ปรัชญา-ศาสนศาสตร์ วิชาการด้านแนวความคิดและศาสนาต่างๆ 16. นโยบายศาสตร์ ชั้นเชิงในการเจรจา วางแผน หรือตำรับพิชัยสงคราม 17. นาฏศาสตร์ ดนตรี นาฎศิลป์ 18. ฉันทศาสตร์ การแต่งกาพย์ กลอน โคลง
สมัยก่อนผู้จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องเรียน ต้องศึกษา 18 ศาสตร์นี้เป็นภาพรวมนะ เพื่อที่จะเป็นพระมหากษัตริย์ เพื่อจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ผู้ปกครองแผ่นดิน ก็เพราะการปกครองแผ่นดิน เอานิติบุคคล เอาตัวตนไม่ได้ ต้องเอาธรรมะ เอาความถูกต้อง ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เขาถึงเรียกว่าพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือในปัจจุบันนี้ก็ประธานาธิบดีหลายๆ ประเทศ การดำเนินชีวิตของหมู่มวลมนุษย์ทุกคน เราทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และปฏิบัติให้ถูกต้อง เราเรียนเราศึกษาจากอนุบาล ประถม มัธยม มหาวิทยาลัย จนถึงสูงสุดในการเรียนการศึกษา ก็เพื่อจะมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราจะหยุดความทุกข์ทางเรื่องจิตเรื่องใจ มีความทุกข์น้อยในทางร่างกาย ต้องพัฒนา 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องทางวัตถุ พัฒนาทางวิทยาศาสตร์ในการค้นคว้าในการปฏิบัติ เพื่อให้ศาสตร์ต่างๆ ที่มีอยู่ 18 ศาสตร์ เป็นธรรมะ การเรียนการศึกษาจนเป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ พวกเราทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ การเรียนการศึกษานั้น เพื่อหยุดความทุกข์ทางเรื่องจิตเรื่องใจ เพื่อหยุดความทุกข์ทางเรื่องกาย ด้วยการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่การศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน เพราะว่าหมู่มวลมนุษย์จะได้มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ไม่ศึกษาเพื่อตัวเพื่อตน เพราะตัวตนนั้นคือทุจริต คือความไม่ถูกต้อง ตัวตนนั้นหละ คือไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ตัวตนนั่นน่ะมันเป็นความทุกข์อย่างถาวร ที่มันนำสัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ อย่างไม่มีที่จบไม่มีที่สิ้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาบอกมาสอน เราทุกคนก็จะเวียนว่ายตายเกิดไปอย่างไม่มีที่สุด
เราทุกคนพากันรู้จักนะ เราจะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนนำชีวิตไม่ได้ เราทุกคนเราไม่รู้เลยว่าเราเกิดมาได้ยังไง ทำไมเราถึงต้องมาเกิด เพราะความไม่รู้ความไม่เข้าใจ นี่แหละทำให้เราต้องเกิดมา เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ มาบอกมาสอน ท่านก็ได้ทำตัวอย่างเป็นแบบอย่าง ยกเลิกตัวตน ไม่เอาความหลงเป็นที่ตั้ง ท่านก็จะเป็นพระพุทธเจ้า หมู่มวลมนุษย์ได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็ปฏิบัติตาม ท่านก็ได้เป็นพระอรหันต์นะ พวกเราพากันเข้าใจนะ เพราะเราจะได้รู้ว่าการที่พวกเรามายกเลิกตัวตนมันเป็นสิ่งที่สำคัญ การที่มาเอาธรรมะนำชีวิต นี้เป็นสิ่งที่สำคัญ มาเอาเวลานำชีวิตนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราทุกคนก็พากันเน้นที่ปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนก็ต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง ปฏิบัติที่ตัวเอง ด้วยเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ใจของเราวาระจิตของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เรายกเลิกตัวตน พุทธะก็เกิดขึ้นมาแทน ให้พากันปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำ ให้เป็นแม่น้ำ ให้ไหลลงสู่ทะเลสู่มหาสมุทร ให้พากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พระพุทธเจ้าบอกว่านี่คือ ศีลสมาธิปัญญา ศีลสมาธิปัญญานี้ต้องไปพร้อมๆ กัน เหมือนรถคันหนึ่งมีอะไหล่มากมายที่รวมกันเป็นรถคันหนึ่ง รถคันนั้นก็ต้องไปพร้อมกัน ที่มีอะไหล่ครบสมบูรณ์ พร้อมด้วยน้ำมัน ด้วยไฟฟ้า พร้อมทั้งคนขับต้องไปด้วยกัน ศีลสมาธิปัญญาถึงเป็นการยกเลิกตัวตน
พระพุทธเจ้าผู้บำเพ็ญพุทธบารมีที่สมบูรณ์ คือมายกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ มายกเลิกทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ทุกอย่างนั้นก็มีอยู่เป็นปกติอย่างนี้น่ะ ไม่ใช่ไม่มี เมื่อยกเลิกตัวตน ทุกคนก็จะเข้าถึงความไม่มีทุกข์ เป็นสากล ความดับทุกข์เป็นสากล เหมือนอาหารเป็นสากล ใครบริโภคอาหารก็จะเป็นสากล ให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆอย่างนี้ ทำไมเรามันเข้าใจไม่ได้ ก็เพราะเรามีตัวมีตน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นตัดสิน มันจะเข้าใจได้ยังไง เหมือนแก้วใบหนึ่งอย่างนี้แหละ แก้วใบนี้เมื่อเอาอะไรมาใส่เต็ม สิ่งอื่นๆ ก็เอามาใส่ไม่ได้ เมื่อเรายกเลิกตัวตนน่ะ ถึงจะเอาสิ่งอื่นมาใส่ได้ ตัวตนนี้นี้ทำให้เราทุกคนไม่รู้ความจริง ไม่รู้สภาวธรรม ทำให้ไม่รู้สมมติสัจจะ ทำให้ไม่รู้ปรมัตถสัจจะ เรามีตัวมีตนเราทุกคนก็เครียด ตัวตนนี้คือความทุกข์ ตัวตนนี้ความเครียด ตัวตนนี้ทำให้เราเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงความหลง คำว่าคนเนี่ยหมายถึงอวิชชา หมายถึงความหลง การมีตัวมีตนอย่างนี้มันก็เป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงอวิชชาความหลง เราต้องพากันรู้จัก ท่านพุทธทาสภิกขุ เป็นผู้เลิศด้วยปัญญาเป็นบุคคลสำคัญของโลก ยกเลิกตัวตน ท่านถึงเข้าถึงความว่างจากตัวตน ท่านถึงได้ประพันธ์ออกมาเป็นตัวอักษรว่าเราเป็นมนุษย์ได้เพราะใจสูง... เพราะเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราเป็นมนุษย์ได้เพราะจิตใจของเรามีสัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิเรียกว่าจิตใจสูง เรามีตัวมีตนเราก็ไม่ใช่ธรรมะ เราคืออธรรม เราคือทุจริต
การปกครอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ ทรงทศพิธราชธรรม เอาธรรมนำชีวิต ประชาธิปไตยมันต้องปรับเข้าหาธรรมะ สังคมนิยมก็ต้องปรับเข้าหาธรรมะ ประเพณีนิยมก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เพื่อจะพัฒนาเรื่องจิตใจ เรื่องวัตถุ ทุกอย่างถึงจะได้มีแต่คุณ ไม่มีโทษ มันเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันเป็นความว่างจากตัวตน ผู้ที่เป็นมนุษย์ทั้งหลายพากันเข้าใจนะ การดำรงชีวิตของเราไม่อาจจะเอาตัวเอาตนเข้าถึงความดับทุกข์ได้ ความดับทุกข์ต้องมาจากปัญญาสัมมาทิฏฐิ แล้วก็ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต้องก้าวไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพื่อที่จะได้เอาสมมติสัจจะเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ มีตัวมีตนมันแย่มากนะ มันขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่หายใจมันก็ไม่อยากหายใจ มันจะเอาแต่ตัวแต่ตน ตัวตนนั้นน่ะมันทำให้ทุกคนมีความทุกข์ทั้งกายทั้งใจ ตัวเองทุกข์ยังไม่พอก็ยังพาลูก พาหลาน พาประเทศชาติบ้านเมืองทุกข์อีกน่ะ การแก้ไขก็ต้องพากันโฟกัสในการปฏิบัติ ต้องโฟกัสมาที่ตัวเรา เพื่ออริยมรรคของเราจะได้สมบูรณ์ เน้นมาที่ความคิด เน้นมาที่เจตนา เพื่ออริยมรรคมีองค์ 8 ถึงจะได้สมบูรณ์
ทุกท่านต้องพากันรู้เรื่องปฏิบัตินะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่รู้เรื่องปฏิบัตินะ ไม่รู้กาละเทศะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่า สีลัพพตปรามาส เป็นมานะทิฏฐิ สำคัญว่าตัวเองเป็นตัวเป็นตน สำคัญว่าดีกว่าเขา หรือว่าสำคัญว่าเสมอกับเขา หรือว่าด้อยกว่าเขา ตัวตนน่ะมันเป็นความรู้สึก มันเป็นสัญชาตญาณ เราต้องพากันรู้จักว่า สิ่งเหล่านี้เราเป็นเจ้าของบ้าน สิ่งที่มาผัสสะมากระทบ แขกคืออาคันตุกะมาเยี่ยมเรา เดี๋ยวทุกอย่างก็จากไป ต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันก็มองเห็นธรรมะเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ เห็นเวลาเป็นสิ่งไม่สำคัญ เพราะตัวตนนั่นคือความมืด ให้ทุกท่านทุกคนโฟกัสเข้ามาหาธรรมะ ในปัจจุบัน ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิไปจนถึงสัมมาสมาธิ หลักการในการประพฤติในการปฏิบัติมันอยู่ที่เราอยู่ที่ตัวเราในปัจจุบัน เมื่อเรายังไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เรียกว่ายังเป็นเสขะบุคคล บุคคลพร่องในข้อประพฤติข้อปฏิบัติ เราต้องก้าวไปด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ปัจจุบันถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็เซ่อ เราก็เบลอ เราก็งง เราไม่รู้เรื่องการปฏิบัติ ไม่รู้จักกาละเทศะ เราก็เป็นคนไม่ทันอวิชชา ไม่ทันความหลง หรือว่าเป็นคนไม่ทันโลกทันสมัย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าคนไม่ทันโลก ไม่ทันสมัย ไม่พัฒนาใจ ไม่พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายพากันเข้าใจนะ เราจะไม่ใช่ปัญญาชน เราจะเป็นปัญญาหลงกันนะ เราพัฒนาวิทยาศาสตร์มา เพื่อมาเอามามีมาเป็น มันไม่ใช่ปัญญาชนนะ มันเป็นปัญญาหลงนะ ท่านบอกเราว่าต้องเอาทั้งธรรมะ เอาทางวัตถุไปพร้อมกัน ด้วยการเสียสละอย่างนี้แหละ เราทุกคนจะได้ว่างจากนิติบุคคลตัวตน ถ้าเรามีตัวมีตน เราก็ยังมีความรู้สึกว่า เราแก่ เราเจ็บ เราตาย เราพลัดพราก เรารู้ว่าความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพรากมันไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน พวกเราทั้งหลายต้องพากันรู้อริยสัจ 4 สภาวะธรรมเป็นอย่างนี้เอง มันไม่ได้เป็นอย่างอื่นเลย เราจะภาวนาในใจอยู่เสมอว่า เรามีความแก่เป็นธรรมดา มีความเจ็บเป็นธรรมดา มีความตายมีความพลัดพรากไปเป็นธรรรมดา มันจะไม่เป็นอย่างอื่น
พระพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพุทธบารมี 20 อสงไขย แสนมหากัป ใช้เวลาบำเพ็ญบารมีตั้งหลายล้านชาติ ได้ตรัสรู้วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 ที่ชาวโลกยกย่องว่า วันวิสาขบูชาโลก คือวันพุทธะของโลก พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ เสด็จดับขันธปรินิพพานคือวันเดียวกัน ตรงกับวันเดียวกัน ประสูติก็วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 ตรัสรู้ก็วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 เสด็จดับขันธปรินิพพานก็วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 ประสูติทางร่างกายก็วันเพ็ญ 15 ค่ำ ตรัสรู้ทางธรรมเรื่องจิตเรื่องใจก็ 15 ค่ำ เสด็จดับขันธปรินิพพานทางร่างกายก็วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 นี้เป็นประวัติศาสตร์ของโลก พระพุทธเจ้าบำเพ็ญพุทธบารมีได้ตรัสรู้วันเพ็ญ 15 ค่ำ เดือน 6 ได้ทรงธาตุทรงขันธ์ที่เป็นพุทธะเป็นเวลา 45 ปี 45 พรรษา เพื่อบอกเพื่อสอนเหล่าเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าท่านทรงบรรทมไม่เกิน 4 ชม. ทำงานเพื่อเป็นพุทธกิจเป็นเวลา 20 ชม.
หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเรายกเลิกตัวตนทั้งหลายเราก็มีความสุข ไม่มีความทุกข์เลย พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจนะ การที่มายกเลิกตัวตนมันถึงเป็นความไม่มีทุกข์ เพราะมีตัวมีตนเราถึงมีความทุกข์ พระพุทธเจ้าเป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน ปัจจุบันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นฮินดูไป แต่พิธีกรรมต่างๆ ก็ยังเป็นของพราหมณ์อยู่ พุทธนี้ก็ต่อยอดจากพราหมณ์เป็นพุทธะ เพราะพราหมณ์เอาความสงบเป็นนิพพาน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เอาความสงบเป็นพระนิพพานมันยังไม่ได้ เมื่อออกจากสมาธิเมื่อไหร่มันก็ยังมีตัวมีตนอยู่ พระพุทธเจ้าท่านจึงมาปฏิบัติมาค้นคว้าต่อมาเพิ่มปัญญา เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ ยกเลิกตัวตน เอาศีลสมาธิเป็นพื้นฐาน มาอบรมบ่มอินทรีย์เพื่อเป็นอริยมรรค เป็นข้อวัตรข้อปฏิบัติ สรุปทั้งหมดนั้นต้องเอาธรรมนำชีวิต เพื่อให้เป็นอริยมรรคมีองค์ 8 เราจะไม่ได้เอาเพียงความสงบแบบหินทับหญ้า ต้องรู้เรื่องทุกอย่างตามเป็นจริงว่าเป็นเพียงผัสสะมาเยี่ยมเยียน ทุกสิ่งทุกอย่างนั่น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน
การสั่งสอนของมนุษย์ในสมัยปัจจุบัน เป็นการสั่งสอนเอาตัวตน สั่งสอนเพื่อได้มาซึ่งวัตถุ ลาภยศสรรเสริญ ไม่ได้สอนเหมือนพระพุทธเจ้าสอน ยังต้องการอามิส ยังต้องการคำว่าขอบคุณ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการขอบคุณ ท่านไม่ต้องการอามิส เป็นคำสอนที่เป็นปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ การเทศน์การสอนการบรรยายทุกวันนี้มันเพี้ยน ทำไมถึงว่าเพี้ยน ก็ต้องว่าเพี้ยน เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่รับเงินรับปัจจัยเอง หรือว่าให้ผู้อื่นรับไว้เพื่อพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้านั่นคือบริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ไม่เอาอะไรเลย เพราะพระพุทธเจ้าท่านเป็นแต่ผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ มีความสุขในการเสียสละ เพราะการมีตัวมีตนนั่นคือการไม่เสียสละ เรามีตัวมีตนเราเลยกลัวจะไม่ได้อยู่ กลัวจะไม่ได้ฉัน กลัวจะไม่ได้มีสิ่งอำนวยความสะดวกความสบาย เรียกว่าเอาตัวรอดแบบสารพัดพิษเลยน่ะ
ให้ทุกท่านทุกคนที่มีชีวิตที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐได้พากันเข้าใจ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราไม่ได้เป็นคนที่ประเสริฐอะไร เราเป็นคนโง่ คนหลง คนงมงายต่างหาก เรียกว่ามหาหลง มหาหลงเรียกว่าบิ๊กหลง บิ๊งหลงน่ะมหาหลง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเรียกว่าความหลง เรียกว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์แปลว่าปัญญามันนอนมันไม่เดินไม่ทำงาน ความหลงมันเดินมันทำงาน ต้องพากันเข้าใจนะ เมื่อเรามีร่างกายที่ประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องเห็นคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ เห็นคุณค่าแห่งธรรมะ เห็นคุณค่าแห่งเวลา เห็นคุณค่าแห่งกฎหมายบ้านเมือง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่เห็นคุณค่าในความถูกต้อง ไม่เห็นคุณค่าในสมมติสัจจะ ไม่เห็นคุณค่าแห่งกฎหมายบ้านเมืองที่เป็นสมมติสัจจะ ไม่เห็นคุณค่าของธรรมะที่เป็นปรมัตถสัจจะ ตัวตนนี่มันทำให้มืด มันไม่รู้จักกาละเทศะ มันไม่รู้จักอันไหนดี อันไหนชั่ว อันไหนผิด อันไหนถูก เราต้องพากันมามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมนะ เพื่อจะได้หยุดสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มาหายใจเข้าหายใจออกให้มีความสุขเสียบ้าง มาเรียนหนังสือให้มีความสุขเสียบ้าง มาทำงานให้มีความสุขเสียบ้าง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็มีแต่ความสงสัย มีแต่ความฟุ้งซ่าน มันก็มีแต่ความชอบไม่ชอบ ทุกๆ ท่านทุกคนต้องพากันรู้ เพราะว่าความคิดเห็นผิด ความเข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มันทำให้ทุกคนเสียหาย แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าไม่มีอะไรเสียหายเท่ากับความเห็นผิด เข้าใจผิด แล้วปฏิบัติผิด ให้ทุกท่านทุกคนพากันมีสัมมาทิฏฐิ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เราทุกคนต้องยกพระพุทธเจ้ามาไว้ตรงหัวใจเลย อย่าเอาตัวตนเป็นหัวใจ เราจะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งได้ยังไง เพราะมันเป็นความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด มันก็ต้องปฏิบัติผิดสิ เพราะเรามีตัวมีตน
หลวงปู่ชา เมื่อหลายสิบปีก่อนท่านไปที่ประเทศอังกฤษน่ะ เพราะว่าพวกฝรั่งทางยุโรป ประเทศอังกฤษ ประเทศอเมริกา หลายๆ ประเทศมาบวชอยู่กับท่าน เพราะว่าทางยุโรปน่ะ เขามีการพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปกว่าประเทศเอเชีย พัฒนาวัตถุเราก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ มันจะแก้ปัญหายังไงเพราะเรามีตัวมีตน เพราะตัวตนมันแก้ปัญหาไม่ได้ที่ถูกต้อง เราต้องพัฒนาใจของเรา เพื่อยกเลิกตัวตนเราต้องพัฒนาวัตถุถึงจะแก้ปัญหาได้ มันถึงจะเป็นมนุษย์ได้ ไม่ใช่เป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงความหลง พวกฝรั่งสงสัยก็ถามหลวงพ่อชาว่า บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ กับบำเพ็ญเป็นพระอรหันต์อันไหนดีกว่ากัน หลวงพ่อชาก็ตอบมาจากใจ ตอบมาจากพระนิพพานที่มีอยู่ในใจของท่าน หลวงพ่อชาท่านก็บอกว่าอย่าไปเป็นอะไรมันเลย พระพุทธเจ้าก็อย่าไปเป็น พระอรหันต์ก็อย่าไปเป็น พระโพธิสัตว์ก็อย่าไปเป็น เป็นอะไรมันก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น ผู้ที่จะอธิบายเรื่องพระนิพพานมันถึงเป็นเรื่องยาก เพราะมันไม่ได้เป็นสมมติสัจจะ มันเป็นปรมัตถสัจจะ มันไม่มีตัวไม่มีตน มันไม่ได้เป็นอะไรเลย จะไปสมมติได้ยังไง จะไปแต่งตั้งยังไง พระพุทธเจ้าท่านยกเลิกตัวตน ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้าเอง การบำเพ็ญพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าใช้เวลานานกว่าพระสาวก พระสาวกละกิเลส สิ้นอาสวะ รู้เรื่องอริยสัจจะ 4 ยกเลิกตัวตน สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ แต่ความเคยชินที่เป็นวาสนาละไม่ได้ ยกตัวอย่างพระสารีบุตรผู้เลิศด้วยปัญญาละวาสนาไม่ได้ เพราะการบำเพ็ญบารมีมาน้อยกว่าพระพุทธเจ้า อย่างนี้เป็นต้น
เราเป็นประชาชนคนที่ไม่ได้บวช ให้พากันเข้าใจนะ เราเป็นประชาชนที่ไม่ได้บวชก็เป็นพระอริยเจ้าได้ มันเหมือนกันนะ เพราะการประพฤติการปฏิบัติมันโฟกัสมาที่เรา พระพุทธเจ้าก็บอกพวกเราทั้งหลาย เรื่องอาหารมันเป็นเรื่องสากล ใครทานอาหารก็ดับทุกข์ได้ เราจะเป็นนักบวช หรือผู้ที่ไม่ได้บวชก็ดับทุกข์ได้ การเป็นพระอริยเจ้าก็เป็นได้เหมือนกัน พุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ฮินดู ซิกข์ ทุกศาสนาก็เป็นพระได้ เพราะความเป็นพระอยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้นะ ผู้ที่ไม่เข้าใจพากันเข้าใจได้ ทุกท่านทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็ยกเลิกตัวตน บุคคลนั้นน่ะคือพระ พระน่ะไม่ใช่โกนหัวห่มผ้าเหลืองนะ พวกโกนหัวห่มผ้าเหลืองก็ยังเป็นธาตุเป็นขันธ์เป็นอายตนะ มันก็ยังแก่เจ็บตายน่ะ ที่เขาให้โกนหัวห่มผ้าเหลืองก็เพื่อโฟกัส เพื่อให้บุคคลได้รับแต่งตั้งเป็นสมมติสัจจะ เพื่อจะพัฒนาเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ ให้เข้าใจอย่างนี้
เราอย่าพากันหลงประเด็นนะ อย่าไปหาพระภายนอก พระมันอยู่ที่เราตัวเรา ถ้าเรายกเลิกตัวตนเมื่อไร ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง คนนั้นก็เป็นพระ ทุกคนจะได้ไม่ต้องลังเลสงสัย เพราะพระมันอยู่ที่ใจเราทุกคน อยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะความดับทุกข์อยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เราต้องเข้าใจ เหมือนทุกคนต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เมื่อเรียนหนังสืออ่านออก เขียนได้ เราก็ไปอ่านไปเขียนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ความเป็นพระก็อย่างนี้แหละ ไม่ต่างกันเลย เพราะพระมันเป็นปรมัตถสัจจะ มายกเลิกตัวตน พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกว่าพระ ท่านเรียกว่าภิกษุ ภิกษุนี่แปลได้ 2 อย่าง ภิกษุแปลว่าผู้ขอ ยกเลิกตัวตน ไม่ทำอาชีพอะไร ออกภิกขาจารบิณฑบาต ได้รับความสนับสนุนจากทุกคนมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พากันเสียสละ ให้ข้าว ให้อาหาร เขาเรียกว่าไม่เอาอะไรเลย เป็นคนขอทานอาหารเขาฉัน แล้วก็อีกอย่างภิกษุก็แปลว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร เห็นภัยในความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพรากน่ะ ยกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต โฟกัสมาหาการประพฤติมาหาการปฏิบัติของตัวเอง มีศีล มีสมาธิ เจริญปัญญา ท่านถึงบอกว่า เอ้ย... อย่าไปติดในความสุข เราต้องพิจารณาผัสสะที่มากระทบทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสู่พระไตรลักษณ์ อย่าพากันติดในความสุขความสงบ ไม่อยากพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในปัจจุบันสู่พระไตรลักษณ์ ผัสสะก็ให้แยกกายเป็นชิ้นส่วนสู่พระไตรลักษณ์ กายเหมือนกับรถยนต์คันหนึ่งนี่แหละ แยกมันออกไป แล้วมันจะไม่ได้เป็นรถยนต์ที่เอามาประกอบอย่างนี้นะ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราตัวตนเป็นที่ตั้งไม่เข้าใจนะ ถ้าเรามีตัวมีตนฟังพระพุทธเจ้า เดี๋ยวแป๊ปเดียวก็ลืมแล้ว เพราะตัวตนมันปิดบัง เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้
ถึงได้มีพระไตรปิฎก พระธรรมวินัยมี 3 ปิฎกน่ะ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตะปิฎก พระอภิธรรมปิฎก เขาจึงบันทึกไว่อ พ.ศ 300 กว่า เพราะต่อไปมันลืม เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันลืม เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเซ่อๆ เบลอๆ มันมีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด นึกว่าทำอะไรช้าๆ นึกว่าใจเย็น ที่จริงไม่ใช่ การทำช้าๆ มันไม่ใช่ใจเย็น ถ้าเรามีตัวมีตนไม่ใช่คนใจเย็น เราต้องยกเลิกตัวเอง ปรับเข้าหาพระธรรมพระวินัย มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ มันถึงจะเป็นบุคคลที่ใจเย็นนะ เราทุกคนเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ไม่รู้เราเกิดมาทำไม แล้วเราจะไปไหนก็ยังไม่รู้ เราเรียนหนังสือทำไม เราทำมาหาเลี้ยงชีพทำไม เรามาบวชทำไมเราก็ยังไม่รู้ ตัวตนน่ะคือความไม่รู้นะ ให้เราเข้าใจ เราต้องรู้การประพฤติรู้การปฏิบัตินะ เราไม่รู้การประพฤติการปฏิบัติเราจะเอาแต่ตัวแต่ตน มันดับทุกข์ได้ที่ไหน มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เรียนหนังสือก็ไม่มีความสุข เพราะเรียนหนังสือเพราะว่ามีตัวตน ทำงานมันก็ไม่มีความสุขในการทำงาน เพราะมันมีตัวตนน่ะ พิจารณาพระไตรลักษณ์ในผัสสะต่างๆ มันก็ไม่อยากพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์
ให้พวกเราพากันเข้าใจในการประพฤติในการปฏิบัตินะ ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลวันวิสาขบูชา เรามาระลึกถึงบรมพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านทรงบำเพ็ญพุทธบารมี 4 อสงไขย แสนมหากัป ใช้เวลายาวนานหลายล้านชาติ เราต้องรู้ว่าอันไหนถูกต้อง อันไหนไม่ถูกต้อง อันไหนประเสริฐ อันไหนเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่รู้เรื่องอะไรเลย ตัวตนนั่นคือความทุกข์ ให้พวกเราพากันเข้าใจ เราต้องพากันรู้ ตรัสรู้ ยกเลิกตัวตนน่ะเขาเรียกว่าตรัสรู้ เมื่ออินทรีย์บารมีของเราไม่สมบูรณ์ ก็ปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องเพื่อให้เป็นสายน้ำ เป็นแม่น้ำ เป็นมหาสมุทร พื่อความดับทุกข์อย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.