แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันศุกร์ที่ ๑๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๗๕ ความดับทุกข์นั้นไม่ได้อยู่ไกล อยู่ที่กายวาจาใจในปัจจุบันที่เป็นอริยมรรค
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การปฏิบัติของพวกเราทุกๆ คน ทุกคนต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องกัน ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติให้ถูกต้อง ทางเรื่องจิตเรื่องใจ ผู้ที่เห็นนิพพานผู้ประเสริฐ เป็นอริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้อง ทำความดี ทำสิ่งที่ถูกต้อง ทั้งกายทั้งวาจาทั้งกิริยามารยาท การทำงานการเลี้ยงชีพการดำเนินชีวิต เราทุกคนจะได้ปฏิบัติเป็นทางสายกลาง เอาเรื่องจิตเรื่องใจ เอาเรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กัน วันหนึ่งคืนหนึ่งพวกเราก็พากันนอน 6 ชม. อย่างมากก็ไม่เกิน 8 ชม. เวลาตื่นอย่างนี้ก็ 18 ชม. เราต้องยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้เราทุกคนมีความรู้สึกสุขทุกข์ มีความชอบใจไม่ชอบใจ ตกอยู่ในภายใต้สัญชาตญาณ ที่จริงการมีความรู้สึกมันเป็นตัวเป็นตนนะ พวกเราก็พากันรู้จักว่าอันนี้มันเป็นสัญชาตญาณ มันเป็นความรู้สึก เป็นอวิชชา เป็นความหลง เพราะความไม่ถูกต้อง ที่เป็นสัญชาตญาณ เป็นตัวเราของเรา เป็นความยึดมั่นถือมั่น
ให้พวกเราทุกคนพากันรู้จัก พระพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมี เป็นระยะเวลายาวนาน หลายอสงไขย ท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้มาบอกพวกเราทุกๆ คนว่า เราจะเอาตัวเอาตน เอาอวิชชาความหลง มาเป็นเราไม่ได้ เพราะว่ามันเป็นเหตุเป็นปัจจัย พวกเรามีความทุกข์ การพัฒนาใจมีความทุกข์ทางกาย มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์แล้วไม่มีอะไร ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันจะไม่ใช่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป พระพุทธเจ้าท่านให้เราพากันรู้จัก ทุกคนจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ พวกเราพากันรู้จักอริยสัจ 4 พากันมาโฟกัส ในตัวของเราเอง ทุกๆคน ความรู้ความเข้าใจคู่การประพฤติการปฏิบัติ ในปัจจุบันปรากฏการณ์ในปัจจุบันได้เป็นข้อสอบ ข้อตอบก็อยู่ที่ปัจจุบันนี่แหละ เราทุกคนต้องพากันรู้จัก เรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็เปรียบเหมือนอายตนะภายในเปรียบเหมือนเจ้าของบ้าน ลาภยศสรรเสริญ เป็นแขกมาเยี่ยมบ้าน ปกติแขกมาเยี่ยมบ้านของเรา มาเยี่ยมแล้วเขาก็จากไป ให้พวกเราพากันเข้าใจว่า ทุกอย่างนั้นได้เกิดขึ้น ทุกอย่างนั้นตั้งอยู่แล้วจากไป เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เราทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ยกทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้วอยู่ดับไปสู่พระไตรลักษณ์ เพราะพระไตรลักษณ์ก็คือเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เห็นสิ่งที่ตั้งอยู่ เห็นสิ่งที่ดับไป เขาเรียกว่าพระไตรลักษณ์
ความดับทุกข์อยู่ที่ไหน อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีปัญญา รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ มักไม่หลงในสิ่งปรากฏการณ์ ว่าทุกๆ อย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน พวกเราเป็นมนุษย์ เป็นผู้ที่ประเสริฐ ต้องพากันมาทำความรู้จัก มาทำความเข้าใจ เราไปอยู่แห่งหนตำบลใด ทุกๆ คนก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ณ สถานที่นั้น เหมือนอาหารการบริโภค ใครอยู่ที่ไหนก็ทานอาหารที่นั่น เพราะชีวิตของเรา ต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราก็ต้องยกเลิก สิ่งที่ไม่ถูกต้องคือตัวตน อยู่ทุกหนทุกแห่ง เพื่อทุกคนจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ของตัวเอง เราทุกคนต้องเอาธรรมนำใจ เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนำวิทยาศาสตร์ เรียกว่าเอาธรรมนำวัตถุ เพื่อจะได้เป็นทางสายกลาง เพราะทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เราก็ดับทุกข์ได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะพระนิพพานนี่คือความดับทุกข์ ซึ่งเป็นการทำความดับทุกข์เพื่อความไม่มีทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง เพราะอันนี้มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง คำว่าพุทธะมันเป็นการดับทุกข์ในเรื่องจิตเรื่องใจ และดับทุกข์ทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ทุกข์เป็นสิ่งประจำโลก เพราะเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งความทุกข์ของทุกๆคนเราถึงมี ความดับทุกข์ก็มีอยู่ประจำโลก เพราพุทธะเป็นสิ่งที่มีอยู่ สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องอยู่กับพวกเราทุกๆ คน เราทุกคนจะได้รู้ว่าตั้งแต่เราเกิดมาเพื่อมาหยุดความทุกข์ ทั้งกายและทั้งใจ
เราเรียนเราศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ก็เพื่อสัมมาทิฏฐิ เหตุปัจจัย ปัญหาต่างๆ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พวกเราต้องโฟกัสมาหาตัวเอง ปฏิบัติมาที่ตัวเอง ไม่ต้องไปโฟกัสที่คนอื่น คนอื่นเขาก็โฟกัสของเขาเอง พระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติของท่าน ท่านก็โฟกัสของท่านเองเป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ได้ฟังพระพุทธเจ้าท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน โฟกัสของท่านจนได้เป็นพระอรหันต์ เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ หมู่มวลมนุษย์คิดได้ทีละอย่าง ทำได้ทีละอย่าง พูดได้ทีละอย่าง เราต้องเข้าใจ เมื่อเข้าใจแล้วก็ได้มาที่ตัวของเรานี่แหละ ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจว่า ทุกอย่างอยู่ที่เหตุ อยู่ที่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้มันถึงมี ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราก็ยกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เป็นศีลคือการประพฤติการปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่อง เป็นสายน้ำเป็นแม่น้ำ ไปสู่ทะเลสู่มหาสมุทร ต้องเข้าใจอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนมีโอกาสพอๆ กัน ต้องเอาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนถึงจะเข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไปถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ไม่ได้ เพราะตัวตนน่ะคือความไม่ถูกต้อง ต้องพากันเข้าใจ เราต้องรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เอาตัวตนเป็นความยึดมั่นถือมั่น เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เรียกว่าทุจริต ไม่ใช่มนุษย์ เป็นได้แต่เพียงคน คำว่าคนก็หมายถึงอวิชชาความหลง เป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาท ไปตามให้เกิดความทุกข์ ไปตามวัฏสงสาร หาที่จบที่หยุดไม่ได้
พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ จะได้เข้าใจเรื่องความดับทุกข์ ศีลเป็นสิ่งที่อบรมบ่มอินทรีย์ สมาธิก็คือสิ่งที่อบรมบ่มอินทรีย์ เราเอาตัวตนเป็นที่ต้อง เราไม่ได้อบรมบ่มอินทรีย์ ทุกคนพากันเข้าใจเรื่องศีลอย่างนี้ ศีล สมาธิ ปัญญา ถึงเป็นยาน ยานพาหนะ จะเป็นรถ เป็นเรือ เป็นเครื่องบิน ที่นำเราเดินทางไกล เหตุปัจจัย ศีล สมาธิ ปัญญา นี้เป็นยานนำเราออกจากวัฏสงสาร พระสารีบุตรเมื่อก่อนยังไม่ได้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ได้ฟังธรรมจากพระอัสสชิ พระอัสสชิพูดให้ฟังย่อๆ ว่า พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นที่เหตุที่ปัจจัย จะดับไปก็เพราะเหตุเพราะปัจจัย พระสารีบุตรผู้มีปัญญามาก บำเพ็ญบารมีมา ให้พากันเข้าใจ เรื่องกระบวนการปฏิจสมุบาทแห่งการเวียนว่ายตายเกิดของสังสารวัฏ รู้เหตุปัจจัยแห่งการเวียนว่ายตายเกิด เพราะทุกอย่างมันอยู่กับพวกเราเอง ไม่ได้อยู่กับคนอื่น การประพฤติการปฏิบัติให้เราทุกคนพากันเข้าใจ โฟกัสมาหาที่ตัวตนเรา เราต้องยกเลิกตัวตน ถ้าเรายกเลิกตัวตน สมองของพวกเราก็จะไม่สับสน ตัวตนนั่นแหละที่จะทำให้สมองของเราน่ะมึนตึ๊บเลยน่ะ ก็เพราะคนตาบอดมาแต่กำเนิด เรามีตัวมีตนเรียกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด สิ่งที่จะรักษาตาบอดได้ก็คือธรรมโอสถแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้มาบอกมาสอนว่า เราต้องยกเลิกความเห็นผิดเข้าใจผิดที่พวกเราพากันปฏิบัติผิด พวกเราทั้งหลายต้องพากันยกเลิกตัวยกเลิกตน ต้องพากันอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อให้ติดต่อต่อเนื่อง เพราะหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายมีโรค 2 อย่าง ทั้งโรคทางกาย โรคทางใจ โรคทางใจเป็นโรคที่มีความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด เราต้องมาประพฤติมาปฏิบัติตัวของเราเอง เพื่อความถูกต้อง เพื่อติดต่อต่อเนื่องกัน ให้เป็นกฏแห่งกรรม ให้เป็นการกระทำ ให้เป็นการปฏิบัติที่เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 ที่เป็นความเข้าใจ เป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติที่ติดต่อต่อเนื่อง เป็นสัมมาสมาธิ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อเป็นบารมี 10 ทัศ อย่างกลางเข้มข้นขึ้นมาอีก 20 ทัศ อย่างสูง 30 ทัศ ต้องเข้าใจ ต้องพากันรู้จัก ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราทุกคนจะไม่รู้จักเลยนะ เราจะมึนตึ๊บ ชีวิตของเราก็จะเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงความหลง
เราต้องเข้าใจ ยิ่งเราเป็นคนเก่ง คนฉลาด มี DNA ที่ดี ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ดำเนินชีวิตเป็นทางสายกลาง เอาแต่ตัวเอาแต่ตนเอาแต่ทางวัตถุ มันก็เป็นนักวิทยาศาสตร์เพื่อทำลายโลกให้พินาศ เพราะความเก่ง ความฉลาด ถ้ามีความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด เอาความหลงเป็นที่ตั้ง การเรียนการศึกษาระดับภายในประเทศต่างประเทศ พวกนี้แหละพวกทำลายโลก เราต้องพากันเข้าใจ เพราะว่าการดำเนินชีวิตของเราต้องพัฒนาใจกับทางวิทยาศาสตร์คู่กันไปให้มันเป็นทางสายกลาง ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับตัวเข้าหาเวลา เพราะธรรมะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำไมถูกต้อง เพราะว่ายกเลิกตัวตน เวลาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราต้องปรับตัวเข้าหาเวลา ถ้าเราไม่ปรับตัวเข้าหาเวลาไม่ได้ มันเป็นการยังมีตัวมีตนนะ เรายังตั้งอยู่ในอวิชชา ตั้งอยู่ในความหลง เราไปเพลิดเพลินไปในความเจริญของโลก ไม่ได้ เพราะโลกนั้นมันคือความอร่อย เราต้องเข้าใจ ทุกคนต้องพากันโฟกัสมาหาที่ตนเอง พยายามมีสติสัมปชัญญะ ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า เอ่อ... ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยงนะ ต้องผ่านไป อย่ามาติดอกติดใจอะไรเลย เพราะเราต้องก้าวไป มันเป็นพุทธะ เพราะสิ่งทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นข้อสอบ เราต้องตอบเราต้องประพฤติ เราต้องปฏิบัติ เพื่อให้เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม เราทุกคนต้องเข้าใจตรงนี้ ก็เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะมาหลงมาเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาทไม่ได้ ก่อนพระพุทธเจ้าจะเสด็จดับขันธ์สู่ปรินิพพาน พระพุทธเจ้าจึงบอกพวกเราทั้งหลายว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดานะ พวกท่านทั้งหลายอย่าพากันตั้งอยู่ในความประมาท อย่ามาเสียเวลา ต้องโฟกัสมาหาการประพฤติการปฏิบัติ อย่าได้หลง อย่าได้อาลัยอาวรณ์ ต้องพากันมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ลบปัจจุบันให้เป็นเลข 0 ไป ลบอดีตให้เป็นเลข 0 ไป พากันมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เราเอาตัวเอาตนในการดำเนินชีวิต จะไม่มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมนะ ถ้าเป็นสติก็เป็นมิจฉาสติ ถ้าเป็นสัมปชัญญะก็เป็นมิจฉาสัมปชัญญะ ตัวตนมันคือความไม่ถูกต้อง เราต้องรู้จัก เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็จะหลงเพลิดเพลินไปอย่างนี้แหละ
เราทุกคนต้องอบรมบ่มอินทรีย์ให้ติดต่อต่อเนื่อง เพราะสติสัมปชัญญะเราไม่สมบูรณ์ ก็เพราะเรามีความหลง มีความอร่อย ความแซ่บ ความลำ ความนัว ความหร่อย ต้องพากันรู้นะ เพราะว่าเราทุกคนต้องยกเลิกตัวตน เพื่อเราจะได้มีสัมมาทิฏฐิ จนถึงมีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ เพื่อเราจะได้ยกเลิกอวิชชา ในการเจริญภาวนาของเรา เพราะเราทุกคนทำได้อยู่แล้วปฏิบัติได้อยู่แล้ว ถ้าเราเอาตัวเอาตนดำเนินชีวิตเราก็ปฏิบัติไม่ได้ เพราะตัวตนคือมันทำไม่ได้ปฏิบัติไม่ได้ มันยาก ถ้ามายกเลิกตัวตนเมื่อไร มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ลมหายใจนี่สำคัญนะ มาหายใจเข้ามีสติรู้ พอหายใจออกก็มีสติรู้ หายใจเข้าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หายใจออกไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกอย่างเป็นพระไตรลักษณ์นะ ต้องทำให้ติดต่อปฏิบัติติดต่อ เพราะเราจะได้บริโภคธรรมโอสถ แต่ก่อนเราบริโภคอวิชชาความหลง เราต้องเข้าใจ เราทุกคนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ ปฏิบัติในเรื่องจิตเรื่องใจ ในเรื่องกาย วาจา กิริยา มารยาท เพื่ออริยมรรคของเราจะได้สมบูรณ์ ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เพราะการประพฤติการปฏิบัติต้องทันโลกทันสมัยนะ เพราะพึ่งธรรมโอสถทันโลกทันสมัย ทุกท่านทุกคนต้องโฟกัสมาที่ตัวเองในปัจจุบัน เราจะได้รู้กาล รู้เวลา ในการประพฤติในการปฏิบัติ ถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราจะไม่รู้กาลไม่รู้เวลานะ เรียกว่าไม่รู้เรื่องในการปฏิบัติเลย
ให้การปฏิบัติเป็นชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่ว่า คนหนุ่มสาว คนเฒ่า คนแก่ ประชากรของโลก ข้าราชการ นักการเมือง ต้องปรับเข้าหาเวลาเข้าหาธรรมะ เพราะเราจะได้เข้าใจปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ปัญญาธิคุณ ไม่ใช่บริสุทธิคุณ ไม่ใช่กรุณาธิคุณ มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง เราทุกคนต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราทำไปปฏิบัติไปมันก็ชัดเจนขึ้น เรายกเลิกตัวตนมันจะชัดเจน มันจะหยุดความสับสน เหมือนเราเดินทางไกล ครั้งแรกก็ยังจำอะไรไม่ได้ เราเดินหลายครั้งก็จำได้ขึ้น โอ้... ทีนี่จำได้อย่างชัดเจนเลย การที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ไม่ยกเลิกตัวตน มันจะทำให้ชีวิตของเราทุกคนสับสนนะ ทุกคนทำได้ ปฏิบัติได้ จะเป็นนักบวชก็ได้ จะเป็นผู้ที่ยังไม่ได้บวชก็ได้ ได้พอๆ กัน เพราะอันนี้เป็นเรื่องสัมมาทิฏฐิ มันเป็นเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว พระพุทธเจ้าให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ ทุกคนต่างประพฤติต่างปฏิบัติให้เหมือนกัน เพื่อให้เป็นทางสายกลาง พัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งวัตถุ ไปทางสายกลาง ความดับทุกข์มันก็จะมีได้เป็นอยู่ในเมืองกรุง อยู่ตางจังหวัด หรือต่างจังหวัด อยู่ในป่าในเขาก็ดับทุกข์ได้พอๆ กัน มันเป็นความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์อยู่ทุกหนทุกแห่งนะ ทุกท่านทุกคนต้องรู้ความดับทุกข์ มันอยู่ทุกหนทุกแห่ง มันก็อยู่กับเราทุกๆ คน ไม่ได้อยู่ที่ไหน พอทุกคนมามีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ พอไม่มีความสุขในการทำงาน การทำหน้าที่ อันนี้มันไม่ใช่ความสุขความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ ก็เหมือนเสพติด เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ เราอย่าเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเลย เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งมันต้องเป็นความทุกข์ เขาแต่งตั้งให้เราเป็นผู้หญิง ผู้ชาย เป็นเด็ก เป็นสาว เป็นคนเฒ่าคนแก่ เป็นข้าราชการ นักการเมือง เขาโฟกัสเพื่อจะเอาสมมติสัจจะมาทำงาน เพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้พัฒนาทั้งใจตนเอง พัฒนาทั้งกายวาจากิริยามารยาท พัฒนาธุรกิจหน้าที่การงาน เป็นการยกเลิกอวิชชาความหลง เป็นการโฟกัสอย่างนี้ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ เป็นข้าราชการก็ไม่ได้ เป็นนักการเมืองก็ไม่ได้ เป็นประชาชนก็ไม่ได้ เป็นพระเจ้าเป็นพระสงฆ์ก็ไม่ได้ เพราะตัวตนเป็นความไม่ถูกต้อง ก็คือไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้ เราต้องเข้าใจ เราจะได้พากันโฟกัสอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้
เราต้องขอบใจความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความหนาว ความร้อน สุข ทุกข์ ที่มันมาเป็นข้อสอบ เพื่อเราจะได้ตอบ เพื่อเราจะได้ประพฤติเพื่อเราจะได้ปฏิบัติ เพื่อหมู่มวลมนุษย์จะได้เอาความถูกต้องนำชีวิต เราต้องขอบใจนะ คนเราน่ะมีความเห็นผิด เข้าใจผิด เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็จะตกอยู่ในสัญชาตญาณน่ะ เมื่อเรายกเลิกตัวตน ความกลัวของเราก็จะไม่มี เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ต้องมีความกลัว เพราะตัวตนมันคือความกลัว ตัวตนมันไม่มีความชอบ ความไม่ชอบ ดีใจ เสียใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งยังไม่ได้ทำงานเลย ตัวตนนั้นคือความลำบาก ตัวตนน่ะเขาเรียกว่ามันเป็นต้นทุน เรามีตัวมีตนเป็นที่ตั้งนั่นคือเราเป็นนายทุนน่ะ ที่เราลงทุนเรียนหนังสือ ลงทุนทำงานมันก็คือตัวตน ตัวตนมันถึงเป็นความไม่ถูกต้อง มันต้องมีสัมมาทิฏฐิยกเลิกตัวตน เราจะได้หยุดความกลัว ปัจจุบันนี้ไม่กลัวอะไร แล้วแตอะไรจะผัสสะจะมาเผชิญ เพราะเรายกเลิกตัวตน เราก็จะไม่มีความกลัว ความวิตกกังวล เพราะเรายกเลิกตัวตน ตัวตนนี่คือความกลัวนะ ความวิตกกังวล คนเรายกเลิกตัวตน ความยากจนทางวัตถุก็จะไม่มี เพราะเรามีความสุขในการทำงาน ความยากจนมันจะมาจากไหน ทางวัตถุทางจิตใจเราก็ไม่กลัว มันก็มีความสุข เราต้องเข้าใจ ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ กลัว ไม่กลัว ชอบ ไม่ชอบ เข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ เพราะอันนี้เป็นภารกิจที่ทุกๆ คนจะต้องผ่านตัวผ่านตนให้ได้ ผ่านความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณให้ได้
เราทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะ มายกเลิกตัวตน เราอย่าไปเอาอะไรเลย อย่าไปมีไปเป็นอะไรเลย เพราะชีวิตของเราเกิดมาเป็นพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ ให้เป็นทางสายกลางไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกอย่างนั้นคือพระไตรลักษณ์ ทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราจะพากันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารทำไม เราต้องพากันรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เพราะชีวิตของเราก้าวไปอย่างนี้ เราต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ นักบวชก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน ผู้ที่ไม่ได้บวชก็พอๆ กัน เราต้องเข้าใจ ไม่ต้องไปหาพระที่ไหนในโลก เพราะพุทธะที่แท้จริงก็คือตัวเรานี่เอง เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งเราก็เป็นพระไม่ได้ เพราะเรามีตัวมีตนเราจะเป็นพระได้ยังไง เพราะว่าพระนั่นคือผู้ที่ยกเลิกตัวตน ให้พวกเราพากันเข้าใจ โฟกัสมาหาที่ตัวเรา ที่เขาแต่งตั้งผู้ที่มาบวชเป็นพระ เป็นสมณะ อันนั้นมันตำแหน่งแต่งตั้ง เพื่อให้บุคคลนั้นโฟกัสจากสมมติสัจจะ ให้เข้าสู่ปรมัตถสัจจะ เอาทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนนะ ให้เรามายกเลิกมาเสียสละ อย่ามีตัวมีตนเลย ท่านบอกพวกเราทั้งหลาย อย่าพากันเป็นอะไรเลย เป็นคนเก่ง เป็นคนไม่เก่ง ก็เป็นทุกข์ เพราะการเป็นอะไรมันมีความทุกข์ เราต้องรู้จักว่าเขาโฟกัสเขาแต่งตั้งให้เราเข้าใจ เพื่อให้ส่วนรวมที่จะเอาสมมติสัจจะมาใช้งาน เราอย่าพากันหลง
เราทุกคนต้องพากันมาสร้างบารมีความดี ความฉลาดของเราน่ะ พากันเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ว่า เราทุกคนจะเอาอะไรเข้าใจร่างกายของเรา อย่างทานอาหาร ตัวเรานั้นแหละ เป็นทั้งแพทย์ ทั้งหมอ ทั้งพยาบาล เราจะเอาอะไร เพราะในใจของเราก็ต้องได้อาหาร ได้สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่อวิชชาความหลง เรายกเลิกตัวตนเราถึงจะได้ธรรมโอสถนะ เราถึงจะได้อาหารใจ หมู่มวลมนุษย์ที่มีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เพื่อสัมมาทิฏฐิ เพื่อวิทยาศาสตร์ต่างๆ อย่างแพทย์ พยาบาลก็ พุทธะทางแพทย์ ทางพยาบาล อย่างเกษตรกรรม พุทธะทางเกษตรกรรม เพราะเราต้องเข้าใจอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตน เราต้องโฟกัสไปหาสมมติสัจจะ เพื่อเราจะได้ค้นคว้า เราจะได้ประพฤติปฏิบัติ เพื่อโลกนี้จะได้เป็นทางสายกลาง เอาธรรมนำชีวิต เอาเวลานำชีวิต ไม่ใช่พากันมาหลงในตัวในตน เรียกว่ามาหลงในขยะ ขยะนี่คือตัวตนนะ เราต้องเอาขยะนั้นมารีไซเคิล คือยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราอย่าไปหลงเลย เราจะได้เป็นคนมีพุทธะที่เราเรียน เราศึกษา เราปฏิบัติ ได้พัฒนาทั้งใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ เราต้องเข้าใจอย่างนี้นะ เมื่อเรายกเลิกตัวตน ที่นี้ทุกคนก็จะรักษากฎหมายบ้านเมืองได้ แล้วก็ทำงานทำการตามที่โฟกัสหรือแต่งตั้งให้ทำอะไรนั่นแหละ
โลกนี้ต้องปกครองด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทั้งทางจิตใจ ทั้งทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อความสุขของหมู่มวลมนุษย์ เพื่อพัฒนาสายพันธุ์ของมนุษย์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเป็นการทำลายเผ่าพันธุ์ของความเป็นมนุษย์ เราปฏิบัติให้มันติดต่อต่อเนื่อง เข้าใจยังไม่พอ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ความรู้คู่ปฏิบัติ ความรู้มันอยู่ในหนังสือก็จริง อยู่กับครูบาอาจารย์ก็จริง ถ้าเราเอาความรู้มาปฏิบัติยกเลิกตัวตน ทีนี้ ความเป็นพุทธะในการเรียนการศึกษาในการประพฤติการปฏิบัติ มันจะนำความสุขความร่มเย็นมาสู่ตัวของเราเอง แล้วก็ต่อคนอื่นนะ ชีวิตของเราก็จะมีคุณค่าให้กับเรา ให้กับผู้อื่น ให้แก่ส่วนรวม เราต้องเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติอย่างนี้ ชีวิตที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรียกว่ามันเป็นความงาม ที่เราทุกคนที่ได้ความประเสริฐเกิดมาเป็นมนุษย์ งามในเบื้องต้น ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นศีล เป็นความตั้งมั่น สมาธิ ปัญญาคือเอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนำวัตถุ เป็นวิทยาศาสตร์ ที่ไปทำศัลยกรรมกัน อันนั้นมันเป็นความงามภายนอก ให้เราเข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านอย่าให้พวกเราพากันรู้จัก ของทุกสิ่งทุกอย่างนั้น มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ มีความดับไปเป็นธรรมดา เราต้องมีสติ มีปัญญา อย่าได้ตั้งในความประมาท พากันรู้จักอริยสัจ 4
ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็รับผัสสะ รับ DNA ของพระพุทธเจ้าไม่ได้ ถ้าเราเอาตัวตนมันรับไม่ได้ ในอนาคตลูกหลานประชากรของโลกก็แย่ เพราะว่ารับ DNA จากความเห็นผิด เข้าใจผิด เราต้องพากันเข้าใจ อย่าไปคิดหนักอกหนักใจว่า โอ้... เรื่องทำยาก มันไม่ยาก ถ้าเรายกเลิกตัวตน ตัวตนคือความยาก เข้าใจอย่างนี้ เดี๋ยวนี้มันโลกสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้โลกก็ไกล พัฒนาวิทยาศาสตร์ ธรรมะมันต้องคู่กันแล้ว เพราะโลกนี้ยิ่งพัฒนาก็ยิ่งอร่อย ยิ่งแซ่บ ยิ่งลำ ยิ่งนัว ยิ่งหรอย เราต้องรู้จัก เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเป็นสุดโต่งนะ ทำให้หมู่มวลมนุษย์เครียด ตัวตนนั้นคือความเครียด เราก็มองด้วยตา ฟังด้วยหู ทุกทิศทางเห็นแต่ความเครียด ตัวตนคือความเครียด เพราะเราหลงประเด็นเราเลยเครียด ชีวิตของเราเลยไม่มีความสุข เขาเรียกว่าเราไม่ได้พัฒนาใจ ไม่ได้พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน มันเลยเครียด ตัวตนน่ะคือความเครียด เรามองแล้วหน้าใครต่อหน้าใครมีแต่ความเครียด สายตามันมองออก ตัวตนเราไม่ยกเลิก ก็เรียกว่าเป็นสายตาที่อมความทุกข์ มันอมตัวอมตนไว้ มันไม่ยกเลิกตัวตน มันก็อมทุกข์อย่างนี้แหละ เมื่อเรายกเลิกตัวตน หืม... ชีวิตของเราก็เย็นยิ่งกว่าแอร์คอนดิชั่น คนอื่นก็มองเห็นเย็นยิ่งกว่าแอร์คอนดิชั่น เป็นบุคคลที่มีความงาม งามทั้งจิตใจ งามทั้งกายวาจากิริยามารยาท เพราะเรายกเลิกตัวตน เรามีตัวตนมันจะงามได้ยังไง เพราะตัวตนคือความไม่งาม ตัวตนมันทำร้ายทั้งตัวเองทำร้ายทั้งคนอื่น ตัวตนนั้นน่ะเราต้องเข้าใจ เราต้องยกตัวตนเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า อื้ม... ทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยงนะ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราอย่ามีตัวมีตนเลย อย่าไปเป็นอะไรมีอะไรเลย อย่าไปได้ไปเสียอะไรเลย เพราะตัวตนนั้นมันมีปัญหา เราต้องยกตัวตนเข้าสู่พระไตรลักษณ์นะ ตัวตนนี้ที่พระพุทธเจ้าทรงปรารภสงฆ์สาวกว่า เห็นสุนัขจิ้งจอกวิ่งไปวิ่งมามั้ย มันไม่มีความสุขเพราะสุนัขเขาเป็นโรคเรื้อน เป็นโรคหูชัน วิ่งไปวิ่งมาอย่างนี้แหละ เรามีตัวมีตนมันก็อย่างเดียวก็สุนัขนั้นแหละ สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าต้องยกเลิกตัวตนนะ เราจะได้เข้าถึงปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เพราะความสุขความดับทุกข์นั้น อยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ก็พากันมาอบรมบ่มอินทรีย์ พากันมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เราอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่าเอาตัวตนนำชีวิตเลย เราต้องเอาพุทธะทางจิตทางใจ พุทธะทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลางนะ ที่พระพุทธเจ้านั้นสอนปัญจวคีย์ทั้ง 5 น่ะ ธรรมจักรกัปปวัตตนสูตร แสดงถึงทางสายกลาง ยกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราก็จะเข้าทางสายกลางได้ เราก็จะได้พัฒนาใจของเรา พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กันเป็นทางสายกลาง ถึงความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ที่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พระพุทธเจ้าตรัสธรรมจักรจบ ก็ทรงพูดเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ว่าทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องยกเลิกตัวตน พิจารณาพระไตรลักษณ์ติดต่อต่อเนื่อง เรามีตัวมีตน เราก็ไม่อยากพิจารณาทุกอย่างสู่พระไตรลักษณ์ เราก็จะเอาแต่ความสุข สนุกสนาน อย่างมากก็จะเอาแค่ความสงบน่ะ ความสงบ สมาธิหินทับหญ้า เอาแต่ความสงบ เราไม่อยากพิจารณา รูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ พระพุทธเจ้าถึงบอกประชากรของโลกว่าให้พิจารณาร่างกายแยกออกเป็นชิ้นๆ เหมือนกับรถยนต์นี่แหละ เอาอะไหล่ออกมันก็ไม่มีรถยนต์ ให้พิจารณาร่างกายที่มันมีชิ้นส่วน 32 ชิ้น เราจะได้รู้ว่าทุกอย่างมันเป็นปรากฏการณ์ของอวิชชาความหลงเฉยๆ ที่ก่อภพก่อชาติน่ะ ผู้ที่จะพัฒนาตนเพื่อเป็นพระอริยเจ้า ผู้ที่เป็นนักบวชให้ทำอย่างนี้ ผู้ที่เป็นฆราวาสก็อย่างนี้ เราต้องพากันมาพิจารณาพระไตรลักษณ์กัน เราอย่าเอาแต่ความสุข เพลิดเพลินในความเอร็ดอร่อยของโลก จะเอาแต่เพียงความสะดวกสบายไม่ได้นะ พระพุทธเจ้าเป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน เดี๋ยวนี้ก็เปลี่ยนเป็นฮินดู พระพุทธเจ้าพัฒนาเพื่อถึงพระนิพพานอย่างนี้ มาพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เอาศีล สมาธิ เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตเพื่อไม่ให้ใจมันสับสน ไม่ให้สมองมันสับสน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งชีวิตมันสับสน สมองมันสับสนน่ะ การภาวนาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เป็นสิ่งที่เราได้พัฒนานั้น เรื่องศีล สมาธิ ที่สมมติด้วยปัญญา เราต้องพัฒนาอย่างนี้ติดต่อต่อเนื่อง
ถ้าเราไม่ยกเลิกตัว ไม่ยกเลิกตน เราก็จะพากันสงสัยอยู่นั้นน่ะ เพราะตัวตนคือความสงสัย เราทุกคนก็จะพากันฟุ้งซ่าน เพราะตัวตนคือความฟุ้งซ่าน ความชอบไม่ชอบ เราเอาตัวตนไม่ชอบอย่างนี้ เราต้องพากันเข้าใจ ว่าการพัฒนาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เป็นสิ่งที่สำคัญนะ ถ้าเราจะมาเอาแต่ความสุขทางวัตถุ ความสุขตามใจสงบ อย่างนี้ไม่เพียงพอ เราต้องพากันเอาศีล สมาธิ ปัญญา ภาวนาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ชีวิตของเราจะได้งามในเบื้องต้น ท่ามกลาง งามในที่สุด เราต้องทำอย่างนี้ หมู่มวลมนุษย์อย่าพากันคิดเห็นผิดเข้าใจผิดนะว่า เราเป็นประชาชนเราเป็นฆราวาส เราปฏิบัติไม่ได้ เราไม่มีเวลา มันไม่ใช่นะ ไม่จริงนะ การทำงานก็เพื่อยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำงานนั่นแหละคือการปฏิบัติธรรม นั่นแหละคืออริยมรรคมีองค์ 8 ต้องเข้าใจอย่างนี้ เข้าใจเหมือนแต่ก่อน มันเข้าใจระดับศาสนาพราหมณ์ฮินดู มันต้องหยุดทำการทำงานมาปฏิบัติธรรม ไม่ใช่ การทำงานกับการปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นอันเดียวกัน พระอรหันต์ก็มีได้ท่ามกลางเมืองหลวง ท่ามกลางเมืองกรุง ตึกสูงตระหง่านเสียดฟ้า มีประชากรเต็มไปหมด พากันเข้าใจว่า โอ้... การปฏิบัติธรรมนี่อยู่ที่เรารู้ความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันปรากฏการณ์ให้เรารู้เราเห็น เพื่อมาเป็นพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ เรายกเลิกตัวตน สิ่งภายนอนถึงจะมีอยู่เป็นอยู่น่ะ ไม่มีปัญหา เป็นคนรวยอย่างฉลาดได้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เก่งของโลกได้ ไม่มีปัญหา มีประโยชน์ ให้เราเข้าใจอย่างนี้นะ คนรุ่นใหม่คนสมัยใหม่ให้พากันเข้าใจ ในชีวิตที่ประเสริฐเราต้องพัฒนาเผ่าพันธุ์ของความประเสริฐนี้ที่เรามาเกิดเป็นมนุษย์ ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา พากันมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ เราอย่าไปมีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด ว่าเราทำงานเราไม่มีการประพฤติการปฏิบัติ ไม่ใช่ ทุกอย่างในชีวิตของเราคือการประพฤติ คือการปฏิบัติ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ พุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ ถึงจะมีกับเราที่มันเป็นมรรค เป็นผล เป็นนิพพานในปัจจุบันน่ะ เพราะเรื่องทุกข์เป็นเรื่องปัจจุบัน เป็นเรื่องธรรมะที่ยกเลิกตัวตน นั่นแหละคือศีล นั่นแหละคือสมาธิ นั่นแหละคือปัญญา นั่นแหละคือมรรคผลพระนิพพาน ที่อยู่ใกล้ๆ อยู่ที่ใจ อยู่ที่กายวาจาของเราในปัจจุบันนี้นี่เอง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee