แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันพฤหัสบดีที่ ๑๖ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๗๔ เมื่อหัวดีเก่งฉลาด ต้องมีพุทธศาสตร์ในการดำเนินชีวิต
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
วันนี้ที่คุณหมอ ที่พากันมาอยู่วัดเพื่อธรรมะ เพื่อมารู้จักการประพฤติ มารู้จักการปฏิบัติ พวกเก่งหัวดีของประเทศ ได้รับ DNA จากพ่อจากแม่ เมื่อท่านเป็นผู้มีบุญมาเกิด เพื่อที่จะพัฒนาทรัพยากรประเทศไทยของเรา ประเทศของเรานี่ยังเอาะรรมมะเป็นหลักเอาธรรมะนำชีวิต ปกครองตนเอง ปกครองประเทศ เรียกว่าประชาธิปไตย พระมหากษัตริย์ก็ปรับตัวเข้าหาธรรมะ นักบวชก็ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ข้าราชการ พ่อค้า ก็ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ชีวิตที่ประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์นิ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง ทั้งการเรื่องจิตเรื่องใจ ทางธรรมะ ทางวัตถุ นั่นคือการพัฒนาหลักในวิทยาศาสตร์ เพื่อมีปัจจัย 4 ใช้สอย เพื่อมีความสะดวกสบาย ทั้งใจทั้งกาย ผู้ที่เกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์ แต่ว่าด้านใจ ท่านพุทธทาสภิกขุ ท่านจึงกล่าวว่า เป็นมนุษย์เป็นได้เพราะใจสูง... เราเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถึงจะเป็นมนุษย์ ไม่งั้นจะเป็นได้แต่เป็นคน คำว่าคนจะเป็นได้แต่อวิชชา เป็นได้แต่ความหลง
เราเอาตัวตน ครองธาตุ ครองขันธ์ ครองอายตนะ นั่นคือความทุกข์ เอาตัวตนเขาเรียกว่าเป็นความทุกข์อย่างถาวร ตัวตนนั่นคือความทุกข์อย่างถาวร เราต้องพากันเข้าใจ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราจะได้ประโยชน์ไปทางสายกลาง เพราะในโลกที่เราเป็นอยู่ ในโลกปัจจุบันที่มีประชากร 8000 กว่าล้านคน หลายร้อยหลายพันปี ถึงจะมีผู้ที่บำเพ็ญพุทธบารมีมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เน้นความถูกต้อง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งการเวียนว่ายตายเกิด ทางส่วนร่างกายแล้วก็ส่วนทางใจมันก็เป็นไป ส่วนร่างกายของมนุษย์ปัจจุบันก็ 80 หรือ 100 ต้นๆ ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราก็จะสามารถอายุยืนกว่านี้ได้ เพราะสิ่งถูกต้อง ทางส่วนวิทยาศาสตร์ ทุกคนรู้ตัวเอง ว่าต้องคิดยังไง ต้องพูดยังไง ต้องทำยังไง ต้องเอาอาหารอะไรเข้าสู่ร่างกาย กี่แคลอรี ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่รู้ เรียกว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์นี่คือความไม่รู้ เราพากันเข้าใจอย่างนี้ การพัฒนาหมู่มวลมนุษย์ก็ต้องพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง ใจของเราก็ไม่สร้างปัญหา กายของเราก็ไม่สร้างปัญหา มันจะเป็นทางสายกลางอย่างนี้
เมื่อท่านทั้งหลายเป็นประชาชนคนหัวดีของประเทศ ก็ต้องเอาหัวดีเอาหัวฉลาดที่ได้รับ DNA จากพันธุกรรมมาประพฤติมาปฏิบัติ ส่วนทางจิตใจนั้นก็ถ้าเรายังมีอวิชชามีความหลง มันก็ยังเป็นพลังงานที่ยังเวียนว่ายตายเกิด มีคนถามพระพุทธเจ้าว่าตายแล้วเกิดตายแล้วสูญ พระพุทธเจ้าบอกว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี ถ้าเรายังมีอวิชชามีความหลง มันก็ยังเป็นพลังงานที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด การตายเกิดก็ยังไม่เท่ากัน อย่างนี้ที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง แม้ในปัจจุบันก็ยังเวียนว่ายตายเกิด ใจของเราเป็นอวิชชาเป็นความหลง เอาความหลงเป็นที่ตั้ง วาระจิตของหมู่มวลมนุษย์น่ะ บางครั้งก็เป็นเปรต เป็นผี เป็นยักษ์ เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน มันก็ยังตกนรกทั้งเป็น ขึ้นสวรรค์ทั้งเป็น สงบทั้งเป็น เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราให้เข้าใจเรื่องเวียนว่ายตายเกิด เรื่องจิตเรื่องใจ ให้เข้าใจอย่างนี้ ท่านบอกว่า ถ้าเรายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตของเรายังไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเรายกเลิกตัวตน เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง ในบุคคลนั้นยังไม่หมดกิเลส ต้องอบรมบ่มอินทรีย์ระดับจิตใจของหมู่มวลมนุษย์ ที่เป็นสากล ก็จะเริ่มต้นจากพระโสดาบัน จนไปถึงพระอรหันต์ พระโสดาบันก็เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติ พระสกทาคามีเกิดอีก 1 ชาติในกามภูมิ อนาคามีเกิดอีกครั้งเดียว แล้วก็ไม่ได้กลับมาที่หมู่มวลมนุษย์ ได้กลับไปเกิดที่พรหมโลก สำหรับพระอรหันต์ก็คือผู้ที่ยกเลิกตัวตน มีสติปัญญาสมบูรณ์ ก็ไม่มีการเกิดอีกต่อไป ต้องเข้าใจอย่างนี้ เรื่องของกาย เรื่องของใจ เราต้องเข้าใจเรื่องธรรมะ ที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่อย่างนี้
ตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่คือมันเป็นหลัก เป็นหลักก็คืออยู่กับที่ รูปเสียงกลิ่นรส ผัสสะความคิดต่างๆ มันเป็นแขกมาเยี่ยมเรา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ มาเยี่ยมแล้วก็จากไป พระพุทธเจ้าท่านพาเราให้พากันรู้จักอย่างนี้ เราจะได้ไม่ต้องหลงไปเรื่อย เพราะสิ่งเหล่านี้เราต้องรู้จัก เราจะได้พัฒนาใจของเราให้เป็นพุทธะ เป็นตัวผู้รู้ เราจะได้รู้จัก ทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย ทุกอย่างนั้นเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็จากไป ให้พวกเรารู้จักพิจารณาสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ได้เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จากไป เราจะไปหลง ติดอกติดใจเลย เราต้องทำอย่างนี้ ให้เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะไม่ได้หลงเวียนว่ายตายเกิด
หมู่มวลมนุษย์ของเราต้องพากันนอน 6 ชม. อย่างมากก็ไม่เกิน 8 ชม. อย่าไปคอรัปชั่นเวลานอน ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา เอาเวลาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ธรรมะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทุกคนต้องปฏิบัติ ทุกคนต้องเตือนตัวเอง เพราะปัจจุบันนี่แหละ มันมาประทบเรา เป็นข้อสอบ เราต้องตอบด้วยสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ว่ามันเยี่ยมเยือนเราเดี๋ยวก็จากไป เพราะการประพฤติการปฏิบัตินี้อยู่กับเรา อยู่ทุกหนทุกแห่งในชีวิตประจำวัน เพราะว่าเราไปไหนก็มีข้อสอบ ที่นั้นมีข้อตอบ เราจะได้ทำให้เกิดเป็นความดับทุกข์ทางเรื่องจิตเรื่องใจ ความดับทุกข์ทางร่างกาย เพราะปัญหาต่างๆ ในโลกนี้มันอยู่ที่ความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ยิ่งเราเป็นคนเก่ง คนฉลาด เป็นคนมีปัญญา ยิ่งทำความเสียหาย ถ้าเราไม่มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าคนไม่ได้เรียน ไม่ได้ศึกษา คนหัวไม่ดี มันไม่ได้เสียหายเท่าคนมีปัญญา คนมีหัวดี มี DNA ดี มันต้องเข้าใจ ในปัจจุบัน โลกนี้เอาตัวตนเป็นหลัก เอาตัวตนดำเนินชีวิต หมู่มวลมนุษย์ในปัจจุบัน 8,000 กว่าล้านคนเป็นประชาธิปไตย คือเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง หรือจะเป็นสังคมนิยม เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราต้องเข้าใจ เราจะได้พัฒนาตัวเรา ประเทศชาติ มนุษย์เรามิอาจเข้าถึงความดับทุกข์ได้ เมื่อเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ต้องเอาสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อย่างนี้นะ เราต้องเข้าใจ
เราต้องรู้ว่าธาตุ ขันธ์ อายตนะ อะไรต่างๆ มันก็เป็นเพียงจิตใจ เป็นความรู้สึกที่เรียกว่ามันเป็นสัญชาตญาณ ต้องรู้จักว่าอันนี้มันไม่ใช่เรา มันเป็นเพียงธรรมะที่ปรากฏเป็นสิ่งภายนอกสิ่งภายใน เราต้องเข้าใจ อริยมรรคแห่งการดำเนินชีวิตของเรา เราพากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเรารู้ตัวอย่างแบบอย่าง พวกหัวดี คนฉลาด มีการเรียนการศึกษาจบสูง เมื่อเราหัวดีหัวฉลาด เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ทำลายทั้งตัวเอง ทำลายทั้งคนอื่น พวกคนอื่นหัวไม่ดีก็ไปเอาเปรียบเขา พวกคนอื่นไม่ได้เรียนไม่ได้ศึกษาก็ไปเอาเปรียบเขา
ให้เราพากันรู้จักคำว่าไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์คือการเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความหลงเป็นที่ตั้งมันคือไสยศาสตร์ เราจะไปทำตามความไม่รู้ไม่ได้ เพราะเราต้องเอาความถูกต้องนำชีวิตของเรา เพราะความดับทุกข์มันอยู่กับหมู่มวลมนุษย์อยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่ใครรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ความดับทุกข์ก็เป็นสากล เหมือนอาหาร อาหารก็เป็นสากล พวกผลไม้ ขนมนมเนย มันเป็นสิ่งที่ดับทุกข์ได้ หมู่มวลมนุษย์หรือสัตว์ทั้งหลายถ้าบริโภคมันถึงความดับทุกข์มันเป็นสากล ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันก็ดับทุกข์ได้ทุกๆ ศาสนา ความดับทุกข์มันเป็นได้เป็นสากล เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราต้องพากันเข้าใจง่ายๆ เราอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่มันไม่ฉลาด มันก็ยิ่งมีความฟุ้งซ่านมาก มีตัวตนมาก ชีวิตนี้เราก็จะเกิดมาเพื่อจะมาทำความเสียหายให้กับตัวเราแล้วก็ส่วนรวม เราต้องเข้าใจ เราเข้าใจทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ เข้าใจทั้งเรื่องวิทยาศาสตร์ ทุกอย่างมันพัฒนาได้ ถ้าเราเอาตัวตนมันมืด ตัวตนคือความมืด พูดภาษาชาวบ้านเรียกว่า มึนตึ๊บเลย ตาก็เห็นรูป หูก็ฟังเสียง ผัสสะต่างๆ เราก็ไปตามสิ่งแวดล้อม เพราะความหลง มันทำให้เราไม่รู้จักดีจักชั่ว ไม่รู้จักผิดรู้จักถูก
เราต้องเข้าใจการปฏิบัติธรรม ยกเลิกตัวตนมันเป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัย เพราะว่ามันพัฒนาทั้งใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน มันจะมีความดับทุกข์ทั้งทางกายทางใจ มันเป็นสภาวะที่ว่างจากสิ่งทุกอย่างมีอยู่ เรามีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เห็นสิ่งต่างๆจะมี แต่ถ้าเรายกเลิกตัวตน มันก็ว่าง มันก็สงบเย็นยิ่งกว่าแอร์คอนดิชั่น ยิ่งกว่าสงบอบอุ่นอีก เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทั้งกายทั้งใจอย่างนี้ สุดยอดเลยนะ เป็นความดับทุกข์ควบคู่กับโลก เป็นธรรมสมัยใหม่ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่สมัยใหม่ มันไม่ทันกาลทันเวลา การเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าไม่รู้กาละเทศะ พวกเราทั้งหลายจะต้องรู้จักคำว่าพุทธะ พุทธะนี่หมายถึงว่า รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พุทธะน่ะดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ ดับทุกข์ทั้งเรื่องจิตเรื่องใจ ดับทุกข์ทั้งเรื่องร่างกาย ที่เราพากันเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ก็เพื่อพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ มันต้องเป็นทางสายกลางอย่างนี้แหละ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ความมั่นคงของหมู่มวลมนุษย์ต้องเอาธรรมนำชีวิตไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต มันต้องพัฒนาใจของเราดีๆ พัฒนาวาจากิริยามารยาทของเราดี พัฒนาเรื่องทำมาหากิน ทุกอย่างมันเป็นพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ พวกที่มาเรียนหมอเรียนแพทย์อย่างนี้ พุทธะทางพวกหมอพวกแพทย์ พวกอุตสาหกรรมก็พุทธะทางอุตสาหกรรม พวกเกษตรกรรมก็พุทธะทางเกษตรกรรม พวกการค้ากาขายก็พุทธะการค้าการขาย เป็นต้น
เราต้องเข้าใจว่าเรานี้เกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อทำที่สุดแห่งการดับทุกข์ความว่าความดับทุกข์ทางเรื่องจิตเรื่องใจ ความดับทุกข์ทางวัตถุ มันไปพร้อมๆ กัน 2 อย่าง คนเราต้องพากันรู้จัก เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง จิตของมนุษย์มันคิดได้ทีละอย่าง อันไหนไม่ดีก็ไม่คิด อันไหนไม่ดีก็อย่าไปปรุงแต่ง เราต้องรู้จัก เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้วอย่างนี้มันจะตกอยู่ในสัญชาตญาณ ยกตัวอย่างให้เข้าใจง่ายๆ หมู่มวลมนุษย์และสัตว์โลกทั้งหลาย ผู้ชายทำไมถึงมีน้ำอสุจิ เพราะมีตัวมีตนมันก็ต้องผลิตน้ำอสุจิออกมา อย่างผู้หญิงก็มีประจำเดือน พระอรหันต์จึงยกเลิกการมีน้ำอสุจิ ผู้หญิงจะเป็นเด็กสาว ก็ยกเลิกไม่ต้องมีประจำเดือน พวกนักวิทยาศาสตร์ยังไม่เข้าใจถึงระดับนี้ เพราะเป็นเรื่องเหตุเรื่องผลทางวัตถุ คิดแต่เรื่องร่ำรวย คิดว่าตายแล้วก็แล้วไป ให้เข้าใจอย่างนี้ วิทยาศาสตร์ก็ให้เราเข้าใจ ก็พัฒนาใจด้วย พัฒนาวัตถุด้วย ให้เป็นทางสายกลาง ปัญหาต่างๆ มันก็อยู่กับพวกเรานี่แหละ อย่างประเทศไทยเรานี่นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไปไม่ได้ เพราะตัวตนมันเป็นความยากจน ตัวตนคือความขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่หายใจมันยังไม่อยากหายใจ ไม่มีความสุขในการปรับเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ในการดำรงชีวิต ทุกข์ยากลำบากยากจน หมู่มวลมนุษย์มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป มันขี้เกียจขี้คร้าน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าตัวเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ธรรมเหล่าใดเป็นแห่งความเกียจคร้าน ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า ตัวตนมันทำให้เราทุกข์ ยากจนทั้งทางวัตถุ ยากจนทั้งทางจิตใจ ไม่รู้อริยสัจ 4 ไม่รู้เหตุผลทางจิตใจ ไม่รู้เหตุผลทางการกระทำ เป็นผู้ที่ไม่รู้กาละเทศะ
เราต้องเข้าใจ เราจะได้รู้ว่าความมั่นคงมีอยู่ในสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราต้องเข้าใจ เราอย่าเป็นคนไปเอาความรู้สึกมันหนาวมันร้อนมันสุขมันทุกข์ เรื่องธาตุ เรื่องขันธ์ เรื่องอายตนะ ที่มันเป็นอาคันตุกะที่มาเยี่ยมเรา ให้เราได้รู้ว่า โอ้โห... มาให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ รูปมันจะสวยเท่าไหร่ก็ช่าวหัวมัน จะหล่อแค่ไหนก็ช่าวหัวมัน มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็จากไป ทุกอย่างมันไม่แน่ไม่เที่ยง เราจะหลงไปไม่ได้ เราต้องมีปัญญา เราต้องมีพุทธะ ทิ้งสู่พระไตรลักษณ์ให้มันว่าง เป็นตัวตนที่กำลังเกิดขึ้น ตั้งอยู่ สักแต่ว่า มันเป็นปรากฏการณ์ที่ให้เรามีข้อสอบมีข้อตอบ ให้เข้าใจอย่างนี้ เราจะได้มีศีล คือจะได้มีความประพฤติที่หยุดวัฏสงสาร ทำมันให้ถูกต้อง ตามสิ่งแวดล้อมไป เสียสละตัวตน สม่ำเสมอ มันถึงจะได้สัมมาสมาธิ มันเป็นวิทยาศาสตร์ไก่มันฟักไข่ใช้เวลา 3 อาทิตย์ออกลูกมาเป็นตัวไก่ วิทยาศาสตร์นี่คือ 3 อาทิตย์ ส่วนใหญ่เขาก็จะ 3 อาทิตย์ แม้แต่คนเรานี้ ทำอะไรก็ทำ 3 อาทิตย์ มันก็จะเป็นผลเป็นจริง เป็นนิสัย เป็นอุปนิสัย เหมือนพระพุทธเจ้าท่านก็ละนิสัยด้วยการบำเพ็ญ ใช้เวลาหลายล้านชาติหรือหลายอสงไขย ให้รู้จักว่าใจของเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือเป็นบุคคลที่ ถ้าเป็นผู้หญิงก็มีผัวทั้งวัน ถ้าผู้ชายก็มีเมียทั้งวัน ตัวตนมันมีการเวียนว่ายตายเกิด ให้รู้เรื่องจิตเรื่องใจ เราจะรู้แค่เรื่องทางวัตถุไม่ได้ ต้องรู้ 2 อย่าง ต้องรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ เราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่เข้าใจเราก็ไม่รู้เราเกิดมาทำไม เราเรียนหนังสือทำไม เราเรียนหนังสือก็เพื่อรู้เหตุรู้ผล เพราะคนเราเกิดมาก็อาศัย DNA จากพ่อจากแม่ จะได้มีสัมมาทิฏฐิทางจิตใจ สัมมาทิฏฐิทางวัตถุ เรามารู้เป้าหมาย
เราเรียนเพื่อตัวเพื่อตน ทำงานเพื่อตัวเพื่อตน ทำอะไรก็เพื่อตัวเพื่อตน มันแก้ปัญหาหมู่มวลมนุษย์ไม่ได้ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่ทางสายกลาง ตัวตนมันไม่ใช่รักตัวเอง มันทำลายความประเสริฐการเกิดมาเป็นมนุษย์ ตัวตนไม่ใช่ปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ที่เราว่าเรารักพ่อ รักแม่ รักญาติพี่น้อง รักประเทศชาติ มันไม่จริง มันมีอวิชชามีความหลง เราต้องเข้าใจว่า ถ้ารักตัวเองต้องยกเลิกการเวียนว่ายตายเกิด ยกเลิกอวิชชาความหลง เพราะจะได้มีปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ ทุกคนจะได้มีความสุข เราต้องเข้าใจอย่างนี้
ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ 3 อย่างนี้เป็นหลักของการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เราเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต ศาสน์ นี้หมายถึงศาสนาคือคำสอน และคือศาสตร์ต่างๆ นี่แหละ เมื่อครั้งที่เรียนศึกษาวิชาพระพุทธประวัติ เรามักจะเห็นคำว่า 18 ศาสตร์ซึ่งเป็นวิชาที่เจ้าฟ้าพระราชามหากษัตริย์ในสมัยอดีตส่งบุตรหลานไปศึกษาเป็นประจำ ถ้าจะเทียบกับปัจจุบันนี้ คงเป็นวิชาเหล่านี้ คือ 1. ยุทธศาสตร์ วิชาการรบ 2. รัฐศาสตร์ การปกครอง 3. นิติศาสตร์ กฎหมาย จารีตประเพณี 4. พาณิชยศาสตร์ การค้าขาย 5. อักษรศาสตร์ วรรณคดี 6. นิรุกติศาสตร์ ภาษาของตนเองและภาษาต่างประเทศ 7. คณิตศาสตร์ การคำนวณ 8. ดาราศาสตร์ ศึกษาเกี่ยวกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ดวงดาวในจักรวาล 9. โหราศาสตร์ พยากรณ์เหตุการณ์ต่างๆ 10. ภูมิศาสตร์ ดูพื้นที่ แผนที่ของสถานที่ต่างๆ 11. เวชศาสตร์ การพยาบาลรักษาคนป่วย 12. ตรรกศาสตร์ ว่าด้วยเหตุผล 13. สัตวศาสตร์ ดูลักษณะสัตว์ รู้จักเสียงและอาการของสัตว์ 14. วิศวกรรมศาสตร์ ช่างกล 15. ปรัชญา-ศาสนศาสตร์ วิชาการด้านแนวความคิดและศาสนาต่างๆ 16. นโยบายศาสตร์ ชั้นเชิงในการเจรจา วางแผน หรือตำรับพิชัยสงคราม 17. นาฏศาสตร์ ดนตรี นาฎศิลป์ 18. ฉันทศาสตร์ การแต่งกาพย์ กลอน โคลง
ศาสนาก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือศาสนา ศาสนาคือยกเลิกตัวตน ทุกศาสนาน่ะคือยกเลิกตัวตน ตัวตนน่ะคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนน่ะคือทุจริต ใครมีตัวมีตน เขาก็เรียกว่าทุจริต ถามว่าประเทศไทยเขาบริหารกันเหมือนทุกวันนี้จะไปได้มั้ย ไปไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไปไม่ได้ จะกี่ยุค กี่สมัย กี่หลายพัน หลายหมื่น แสนชาติก็ไปไม่ได้ เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราไม่ได้เข้าหาความมั่นคงของชาติ กษัตริย์ก็หมายถึงเอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต
พระมหากษัตริย์คือผู้ทรงทศพิธราชธรรม ประธานาธิบดีก็คือผู้ที่ต้องมีทศพิธราชธรรม เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต ความมั่นคงของชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มันอยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง บ้านเราเมือวเรามันถึงจะมีความมั่นคง ตัวตนไม่ใช่ความมั่นคงนะ ตัวตนนิเป็นความล้มเหลวที่สิ้นเชิง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง การเรียนการศึกษาก็แข่งขันกัน เพื่อจะมาเอาเปรียบคนอื่น แต่ก่อนทางพระศาสนา ตื่นขึ้นมาก็ต้องมาเสียสละ มาปรับตัวเข้าหาเวลา ปรับเข้าหาการเสียสละ เป็นผู้เสียสละ ไม่เสียสละมันก็ไม่มีปัญญา แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด ตัวตนก็ยังเอาตัวไม่รอด อย่างมากก็เป็นได้แต่ประชาธิปไตย อย่างมากก็เป็นได้แต่สังคมนิยม หรือประเพณีนิยม เพราะมันยังไม่เข้าถึงความมั่นคงของชาติ ของพระศาสนานะ เราต้องพากันเข้าใจ เราจะเป็นคนทันโลกทันสมัย เราจะมีพระศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ มันยังไม่เข้าใจเรื่องศาสนา เอาศาสนาทะเลาะกัน เถียงกัน ฆ่ากัน แต่ละศาสนาก็แบ่งนิกายตั้งมากมาย หลายก๊กหลายเหล่า ศาสนานี้คือยกเลิกตัวตน พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็คือมายกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกทาส เอาความหลงเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าทาส ศาสนายกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกผู้ที่มารู้สมมติสัจจะ สมมติสัจจะที่มาแต่งตั้งให้มาเสียสละกัน ไปโฟกัส ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นพระราชามหากษัตริย์ แต่งตั้งให้เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสมเด็จพระสังฆราช หรือตำแหน่งต่างๆ ทั้งราชการ และการเมือง ตลอดถึงเป็นพ่อเป็นแม่ ล้วนแต่เป็นตำแหน่งที่เขาโฟกัสมาให้เราพากันเสียสละ ให้เราพัฒนาเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องวัตถุให้เป็นหลักเหตุหลักผล เป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อเราจะได้พัฒนา ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกการทะเลาะกันนะ
ประเทศไทยของเราในปัจจุบัน ไม่รู้สมมติสัจจะ ไม่รู้ธรรมะ ระดับการโกงกินคอรัปชั่นของประเทศไทยของเรานี่ก็อยู่ระดับ ร้อยต้นๆ ของโลก ในจำนวน 200 ประเทศ ประเทศไทยเราก็ หืม... อย่างนี้ถึงจะมีทั้งศาสนาพุทธ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู คริสต์ ให้พากันเข้าใจ พวกเราทั้งหลายพากันเป็นคนมีปัญญา มี DNA ดี เราต้องเข้าใจ เราถึงจะได้ขับเคลื่อนประเทศชาติของเรา ถ้าเราไปตามรุ่นพ่อรุ่นพี่หลงสุดๆ ร่ำรวยทางวัตถุ ส่งลูกไปเรียนต่อไปเรียนเมืองนอกเมืองนา พากันมาปลูก DNA มาปลูกความหลงอย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่ถูกต้อง การเรียนการศึกษาเพื่อความไม่ถูกต้อง การทำมาหากินไม่ถูกต้อง การมาบวชมาบรรพชาอุปสมบทในศาสนามันก็ไม่ถูกต้อง เราต้องเข้าใจว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุด เรายกเลิกตัวตน เราเอาความรู้สึกมาใช้งาน ไม่ใช่เขาแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการ โกงตั้งแต่เข้ารับราชการจนวันเกษียณ เรียกว่าโกงกินอย่างถาวร อันนี้ไม่ใช่โกงกินอย่างสัญจรเหมือนนักการเมืองวาระ 4 - 6 ปี แต่ว่ากินมากอย่างนี้ เราต้องเข้าใจเรื่องสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ พวกเราต้องพากันรับรู้ว่า ปัญหาของเรา บ้านเมืองมันเป็นแบบนี้เพราะหมู่มวลมนุษย์เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมาก ไม่รู้จักความผิด ความถูก ความดี ความชั่ว เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันทำความเสียหาย มันเป็นสุดโต่ง เห็นมั้ยที่เขาว่า ขวาจัด ซ้ายจัด ประชาธิปไตยก็ไม่ไปสายกลาง พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุ ไปพร้อมๆ กัน มันต้องไปตามสายกลาง มันต้องเอาธรรมนำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำชีวิต เราต้องเข้าใจ
ให้รู้เรื่องพระศาสนา พระศาสนาจะทำให้เรายกเลิกตัวตน ยกเลิกความทุกข์ ถ้าเรารู้จักพัฒนา เราอย่าทอดทิ้งปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ กรุณาธิคุณ พวกเราจะไม่มีทะเลาะกันนะ ระหว่างสามีภรรยา ระหว่างญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล เพราะว่าตัวตนไม่ให้สมัครสมานสามัคคีกัน แทบทุกตระกูลแย่งขยะกัน มองหน้ามองตากันไม่ได้ เพราะตัวตนคืออวิชชาคือความหลง
เราต้องรู้จักกับคำว่าสมาธิ สมาธิมันคือยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำงาน เราละความเห็นแก่ตัว เราก็ต้องยกเลิกตัวตน ก็มีความสุขในการทำงาน เรานั่งสมาธิต้องยกเลิกเรื่องอดีต ยกเลิกเรื่องอนาคต ปัจจุบันมันก็คือความว่าง ทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นอาคันตุกะมาเยี่ยมเราก็จากไป เปลี่ยนเป็นความว่างจากตัวตนอย่างนี้ ให้เข้าใจความหมายของสมาธิ เอาตัวตนเป็นปัญญาประเสริฐไม่ได้ เพราะตัวตนมันเกิดปัญญาไม่ได้ นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายที่จะเป็นทุกอย่างในโลก ก็เพราะจากความว่าง เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราต้องเข้าใจสมาธิน่ะ ส่วนใหญ่คนก็มีหลง งมงาย สมาธิไปทางหลง งมงาย เพราะสมาธิเพื่อตัวเพื่อตนมันหลงงมงาย พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน พราหมณ์ก็ได้ความสงบ สงบเย็น พอเรายกเลิกตาหูจมูกลิ้นกายใจ ก็ยังมีในความสงบอยู่ เอาความสงบเป็นตัวเป็นตน เมื่ออกจากสมาธิแล้วมีโลภ โกรธ หลง มีรูปเสียงกลิ่นรส ลาภยศสรรเสริญมันกระทบิ่งกว่าฟ้าผ่า ต้องเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ พวกไม่เข้าใจ แล้วจะเอาแต่สมาธินี่ ก็อยากได้เงินได้สตางค์ได้ของ ไปสอนแต่เรื่องสมาธิ ศาสนามันไม่เข้าถึงความดับทุกข์ มันเอาแต่ในวัตถุ พระพุทธเจ้าว่าอย่างนึงก็เอาอย่างนึงอย่างนี้ ท่านถึงบอกว่าอย่าไปเอาอะไรมันเลย อย่าไปมีอะไรไปเป็นอะไร ยกเลิกตัวตน มันกลัวอดตาย ก็ไม่ฟังพระพุทธเจ้า ก็ตัวตนมันเอาตัวรอด กลัวอดตายก็พากันไปรับเงิน รับสตางค์ เก็บเงินเอง หรือให้มัคทายก ฝ่ายมหานิกายของประเทศไทยเราเก็บตังเอง ฝ่ายธรรมยุตให้โยมเก็บให้ ให้มัคทายกเก็บให้อย่างนี้ มันก็พอๆ กันนั้นแหละ พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าไปกลัวอดตาย ยิ่งเราเสียสละ ยิ่งจะมีคนอยากมากราบมาไหว้ เพราะความไม่มั่นคง ก็พากันเป็นหมอดูหมอเดา พากันขายพระ ขายเหรียญ หาทำน้ำมนต์ พ่นน้ำหมาก แล้วพากันไปหากฐินหาผ้าป่า ได้ปลุกเสกเลขยัน พากันไปหมอดูหมอเดา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้แล้วตั้วแต่ 2500 กว่าปี ไม่ใช่เดี๋ยวนี้นะ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะเป็นอย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่านะ นี่เป็นคำของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ยังไม่ได้เรียนพระศาสนาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า พากันรู้ก็ โอ้... พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้พระเอาเงินเอาสตางค์ไว้เก็บเองหรือให้ผู้อื่นเก็บให้ เพราะว่าเขาสมาทานต่อประชาชนแล้วว่าจะยกเลิกตัวตน ก็ได้พิเศษแล้ว บ้านก็ไม่ได้เช่า ข้าวก็ไม่ได้ซื้อ เขาเอาของมาให้ยังมากราบมาไหว้อีก ต้องเข้าใจอย่างนี้นะ พวกเราเป็นชาวพุทธ ทุกศาสนาน่ะเอาแต่ตัวแต่ตนมันก็มีแต่แบรนด์เนม โกนหัว ห่มจีวร ทุกศาสนาก็มีแต่ศาสนพิธี เพื่อทำให้มันถูกต้อง เวลาโยมไปไหนรวยๆ พูดเสียงต่ำเสียงสูง นะจ๊ะๆ เจริญพรอะไรต่างๆ มันเป็นกันทุกหน้าทุกตาอย่างไม่น่าเชื่อ ตัวตนมันไม่เข้าใจ มันเอาตัวรอดในทางไม่ถูกต้อง
เราพากันเป็นแพทย์ เป็นหมอ เราเป็นคนหัวดี เราต้องพากันเข้าใจนะ ความดับทุกข์ มันต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้องว ปฏิบัติถูกต้อง เอาการยกเลิกตัวตนเป็นความสุข เอาการทำงานเป็นความสุข เอาธรรมะเป็นความสุข เราจะได้รู้ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ การเวียนว่ายตายเกิด ไม่ยากจนทางวัตถุ ไม่ยากจนทางจิตใจ ตัวตนเขาเรียกว่าจนอย่างถาวร เราก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราพากันมาอยู่วัด 2 วัน 3 วัน ให้เจริญสติสัมปชัญญะ อย่าพากันเล่นโทรศัพท์มาก โทรศัพท์มันดีจริง คอมพิวเตอร์ดีจริงก็เพราะมันเป็นวัตถุสมัยใหม่ เดี๋ยวนี้เพียงนาทีเดียวเราก็รู้กันทั้งโลก มันประหยัดค่าใช้จ่าย เราต้องรู้ว่า มันจะมีทั้งคุณทั้งโทษ มันต้องใจเข้มแข็ง เดินไปอย่างนี้แหละ มันก็เจอสิ่งที่สวยๆ หล่อๆ อย่างนี้ มันจะยืนงงอยู่ทำไม ก็ต้องผ่านไป เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็จะงงอยู่อย่างนั้น ให้เราอย่าพากันพยายามเจริญสติสัมปชัญญะ ฝึกหายใจเข้าให้รู้ มีความสุข หายใจออกมีความสุข ฝึกเจริญสติ หายใจเข้ามันก็ไม่แน่ไม่เที่ยง หายใจออกไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เพื่อการปฏิบัติของเรามันจะได้ติดต่อต่อเนื่อง มันจะได้ทำความเข้าใจ เหมือนกับเราเรียนหนังสือ เราอ่านออกเขียนได้เราก็จะได้ทุกระดับ ทุกหนทุกแห่ง เรามาอยู่ที่วัดมันก็เขียนที่วัด
ความเป็นพระอยู่กับเราทุกๆ คน ความเป็นพระ พระโสดาบันถึงพระอรหันต์ ประชาชนคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้บวชจะดำเนินชีวิตได้ถึงพระอนาคามี ถ้าจะเป็นพระอรหันต์ต้องออกบวช เพราะประชาชนมันภารกิจมาก ดูแลธุรกิจหน้าที่การงานของตัวเอง ดูแลญาติพี่น้อง ดูแลวงศ์ตระกูล ดูแลประเทศชาติ เสียภาษีอากร เพื่อส่วนรวม ดูแลพระศาสนา เพื่อธำรงไว้สิ่งที่ดีสิ่งที่ถูกต้อง มาเสียสละ ถึงก้าวไปได้ถึงอนาคามี ต้องเข้าใจอย่างนี้นะ เราจะได้รู้พระที่แท้จริงมันอยู่กับเราทุกคน ไม่ได้อยู่ที่วัด อยู่ในสถานที่ใดที่หนึ่ง อยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง เราจะต้องเข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปหลงงมงาย ว่าพระอยู่ที่ไหน ที่เขาพูดทำบุญอย่างโน้น ได้บุญอย่างโน้นอย่างนี้ ก็กลัวศาสนาอยู่ไม่ได้ คนเรามันอวิชชาความหลงมาก มันจะพูดมากเกินความเป็นจริงไป ทำบุญอย่างนี้ๆ สวรรค์วิมานจะรองรับ นะจ๊ะๆ อย่างนี้ คนรุ่นใหม่สมัยใหม่ให้เข้าใจ มรรคผลนิพพานมันอยู่ที่เรานี่แหละ ที่อยู่ในบ้าน ใน กทม. ในที่เจริญ เป็นสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ ให้เข้าใจอย่างนี้ จะได้รู้ว่าความมั่นคงของ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิ เราเป็นคนเก่ง คนฉลาด เป็นคนรวย ก็พลัดพรากอยู่ เราต้องเอาความถูกต้องเป็นหลัก นอบน้อมเอาสมมติสัจจะมาทำงานมาใช้งาน เพื่อให้มันเกิดประโยชน์ เพราะเราจะได้เป็นแอร์คอนดิชั่นเดินได้ ถ้าเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็จะมีประโยชน์ต่อตัวเอง ต่อส่วนรวม เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อยากให้เขารักก็พากันไปศัลยกรรม ทั้งในประเทศเราหรือประเทศเกาหลีน่ะ ทำให้คนรักน่ะ ถ้าอยากให้คนรักก็ต้องยกเลิกตัวตน ทุกคนเขาก็รักอยู่แล้ว เพราะตัวตนมันเป็นสิ่งที่ไม่น่ารัก ตัวตนไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญานะ เราจะเข้าใจอย่างนี้ ตัวตนมันจัดฉาก มันเป็นการเล่นละครจัดฉาก การมีตัวตนดังก็จริง ศัลยกรรม คนที่เกี่ยวข้องกับเรา เป็นพ่อก็ดี เป็แม่ก็ดี เป็นญาติพี่น้องอยู่ในครอบครัว รู้กัน พอมีตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกคนก็ไม่รัก เพราะตัวตนคือความไม่อบอุ่นนะ เราต้องเข้าใจ ตัวตนน่ะพูดกับพ่อกับแม่มันไม่เพราะ พูดกับเพศตรงข้ามรุ่นราวคราวเดียวพูดเพราะ มันไม่รู้สิ่งที่ถูกต้องไม่ถูกต้อง ตัวตนนี้มันเล่นงานเรา ให้เข้าใจ ตัวตนมันจะสงสัยไปเรื่อย สงสัยนิพพานเป็นยังไง สวรรค์เป็นยังไง ตายแล้วเกิด ที่ประเทศโน้นเป็นยังไง ประเทศนี้เป็นยังไง มันก็สงสัยอยู่นั่น คนตอบก็ไม่ได้อยู่ได้นอน เพราะมันสงสัยอยู่ ต้องเข้าใจ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee