แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันศุกร์ที่ ๑๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๗๐ เข้มแข็งกระตือรือร้นสร้างความดีสร้างบารมี เพื่อความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
พระพุทธเจ้าได้อุบัติในโลกนี้ เพื่อให้เรายกเลิกความทุกข์ ยกเลิกความคิดเห็นผิด ความเข้าใจผิด เข้าสู่ภาคการประพฤติ ภาคการปฏิบัติ ทั้งกายทั้งใจ สัมมาทิฏฐิจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปัจจุบันจนถึงปริญญาเอก ทางธรรมะปัจจุบันนี้ก็นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม 9 ประโยค เราพากันเข้าใจ เพราะเราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ มันจะได้พัฒนา 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน พัฒนาใจแล้วก็พัฒนาวัตถุหรือวิทยาศาสตร์ไปพร้อมกัน ตัวตนนี้มันคือทุจริต ตัวตนนี้ ไม่ใช่บริสุทธิคุณ ไม่ใช่กรุณาธิคุณ ไม่ใช่ปัญญาธิคุณ มันเป็นอวิชชาเป็นความหลง พระพุทธเจ้าจึงบอกเราว่า ถึงเราจะมีธาตุ มีขันธ์ มีอายตนะ มีความรู้สึก สุข ทุกข์ หนาว ร้อน นี้ก็ถือว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย พระพุทธเจ้าถึงมาพิจารณาเหตุผล เรื่องปฏิจจสมุปบาท สาเหตุทางจิตทางใจในการเวียนว่ายตายเกิด ที่เป็นวัฏจักร
หมู่มวลมนุษย์ถึงเป็นผู้ที่ประเสริฐ พัฒนาด้านจิตใจคุณธรรม พัฒนาชีวิต และพัฒนาวิทยาศาสตร์ เพื่อปัจจัย 4 เพื่อความสะดวกความสบาย การพัฒนาของพวกเรา เราทั้งหลายได้พัฒนามาถึงปัจจุบันนี้ ทุกคนต้องพากันเข้าใจว่า ความดับทุกข์นั้นอยู่ที่เรามีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรามีตา ถึงจะเป็นพุทธะ เป็นความฉลาด มีหูก็เป็นพุทธะ ทุกอย่างเป็นอย่างนี้ ความสงบวิเวกมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ยกเลิกตัวตนอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่ทันเหตุ ทันเวลา ทันการณ์ ทันสมัย ไม่ว่าโลกนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเป็นล้านๆ ปี ความเป็นพุทธะก็จะมีอยู่ประจำโลก ทุกคนพากันเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะเอาแต่อวิชชา เอาแต่ความหลง เอาแต่ตัวตน หรือว่าเอาแต่โลกธรรม อย่างนี้มันไม่ได้ ตัวตนนี้มันพาให้เราทุกคนมีความทุกข์ ตัวตนทำให้เราเป็นทั้งเปรต ทั้งผี ทั้งยักษ์ ทั้งมาร ทั้งอสุรกาย เป็นทั้งสัตว์เดรัจฉาน ที่มารวมตัวกันอยู่ ในรูปกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด หรือว่าปฏิจจสมุปบาทอย่างนี้
หลวงปู่ชาที่เมื่อหลายปีก่อน 40 ปี 50 ปีก่อน ถามพระที่เป็นหัวหน้าสาขา เป็นเจ้าอาวาสต่างๆ ว่า เป็นยังไง จิตใจพวกเราเป็นยังไงน่ะ ทุกคนก็ตอบว่าแย่กันหมด เพราะวุ่นวายต้องบริหารวัด ต้องบริหารการก่อสร้าง บริหารพระอีก อยากจะขอความเมตตาหลวงพ่อขอออกวิเวก เพื่อความสงบ เพื่อพัฒนาตนเองน่ะ โอ้... หลวงปู่ชาว่า เสียหาย มันไม่ถูกต้อง อย่างผมเนี่ยนะ ที่เป็นครูบาอาจารย์ของพวกท่าน ผมนี่สอนตัวเอง 100% ปฏิบัติตัวเอง 100% เพียงแต่บอกพวกท่าน บอกญาติโยม ประชาชนเพียง 5% เท่านั้น ผมก็ก้าวมาอย่างนี้เป็นทางสายกลางอย่างนี้ พวกท่านต้องพากันเข้าใจ คนไม่เข้าใจน่ะ ก็เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เห็นมั้ยๆ ศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ก่อนก็เป็นศาสนาพราหมณ์ หรือว่าศาสนาฮินดูในปัจจุบัน พระพุทธเจ้าคือลูกหลานของพราหมณ์ พราหมณ์ก็ไปได้ถึงความสงบ ความสงบมันก็ยังมีตัวมีตนอยู่ เราทุกคนมันต้องทานอาหาร เพราะร่างกายของเรา ธาตุ 4 ขันธ์ 5 อายตนะต่างๆ นั้นอยู่ด้วยอาหาร อย่างมากเข้านิโรธสมาบัติส่วนใหญ่ก็ พระอรหันต์เข้านิโรธสมาบัติส่วนใหญ่ก็อยู่ภายใน 7 วัน ก็ต้องออกมาอย่างนี้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า โอ้ อันนี้ไม่ได้ ความดับทุกข์ ระดับความสงบ ระดับนี้ไม่ได้ พอเราออกมามันต้องพัฒนา หรือว่าค้นคว้า สร้างบารมีอีกให้กับตัวเอง ถึงพัฒนา เจริญปัญญา เพราะ โลกนี้ก้าวมา ทุกก้าวด้วยสัมมาทิฏฐิ ทั้งทางฝ่ายวัตถุและก็ทางฝ่ายจิตใจไปพร้อมๆ กัน เพราะพระนิพพานมันต้องมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ที่เรามีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่ในกทม. ก็ดี อยู่ในประเทศเบอร์ 1 ของโลกก็ดี ทางยุโรป ทางอังกฤษ หรือว่าประเทศเจริญทางวัตถุ เราต้องเข้าใจว่า พระนิพพานเป็นสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง พัฒนาทั้งใจ พัฒนาทั้งวัตถุ ไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ เราจะเอาแค่สมาธิไม่ได้ เราต้องรู้จักว่า ทุกอย่างนั้น ที่เรามองเห็นด้วยตา ฟังด้วยหูนั้น มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เราสร้างขึ้นแล้วก็มาตั้งอยู่ ไม่เกินกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นปี มันก็ต้องจากไปอย่างนี้ ต้องเข้าใจ โอ้... ความสงบ ความดับทุกข์ มันอยู่ในอริยมรรคมีองค์ 8 นี้เอง เพราะเราต้องเข้าใจ
การปฏิบัติมันก็ได้อยู่หรอก เพราะเราจะพูดครั้งหนึ่ง มันก็พูดได้ทีละครั้ง อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนดีก็พูดไป ใจของเรามันก็คิดได้ทีละอย่าง อันไหนดีก็คิด มันก็ภาวนาไปอย่างนี้ มันเป็นความดับทุกข์ คนเราความยากความจนนี้ เพราะความไม่เข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็ต้องยากจนน่ะ เพราะตัวตนมันทำให้หมู่มวลมนุษย์มีความทุกข์ ไปเรียนหนังสือก็ว่ามันทุกข์ มีภาระอย่างนี้ ไปทำงาน ไปรับข้าราชการก็ว่า มีงานเยอะ เพราะตัวตนนั่นแหละ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้นะ พวกไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจเรื่องพระศาสนา คิดว่าบริหารราชการคือว่ามีภาระเยอะ ความคิดเห็นผิด เข้าใจผิดนี่ มันทุกข์ตั้งแต่เช้าจนนอนหลับนะ บางคนน่ะพระนี้ไม่เข้าใจทั้งวัดบ้านวัดป่า อะไรทั้งหลายทั้งปวง นึกว่าการปล่อยวางไม่ทำอะไรมันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่ร้อยนะ มันน่าจะเกินร้อย มันถึงไม่มีความสุขในการทำงาน การปฏิบัติธรรม เหมือนลูกศิษย์อาจารย์ชา ที่ไม่รู้คำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เข้าใจที่อาจารย์ชาเทศน์ ทั้งที่อาจารย์ชาเทศน์ไว้แจ่มแจ้งดี สมัยก่อน สมัยโบราณนี้ก็กุฏิมุงจาก มุงอะไรอย่างนี้
" .. พระรูปหนึ่ง "ชาบซึ้งคำสอนเรื่องปล่อยวางมาก" จึงพยายามวางเฉยต่อทุกสิ่งทุกอย่าง "แม้ลมพัดหลังคากุฏิตกไปข้างหน้า" ท่านก็เฉย "ฝนรั่ว แดดส่องท่านก็ขยับหนี ไปทางนั้นที ทางนี้ที" ท่านคิดในใจว่า "หลังคารั่วเป็นเรื่องภายนอก จะรั่วก็ รั่วไป" ปล่อยวางไม่ใส่ใจ "เรื่องของเราคือการทำจิตใจให้สงบและว่างเท่านั้น"
ตามปกติหลวงพ่อจะเดินตรวจกุฏิทุกหลังเป็นประจำ เพือสอดล่องการกระทำของศิษย์ "พระเณรมักทิ้งร่องรอย ความประพฤติไว้ที่กุฏิเสมอ" เช่น "ดูได้จากทางจงกรม ความสะอาดของกุฏิ" ทางเข้าออก "การตากผ้า การรักษาบริขาร" การปิดเปิดประตูหน้าต่างและจำนวนสิ่งของเครื่องใช้ ฯลฯ
บ่ายวันหนึ่ง หลวงพ่อเดินไปพบหลังคากุฏิตกลงมา
จึงถามว่า "เอ .. นี่กุฏิใคร?’"
"กุฏิผมเองครับ’" พระรูปที่กำลังฝึกปล่อยวาง กราบเรียน
"หลังคาตกลงมากองอยู่นี่ ทำไมไม่ซ่อมแซมมันล่ะ?'"
"ก็หลวงพ่อสอนให้ปล่อยวางไม่ใช่หรือครับ ผมก็เลย ไม่สนใจมัน’"
พระรูปนั้นตอบแล้วนึกสงลัย จึงเรียนถามท่านอีกว่า "ผมไม่ยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางถึงขนาดนี้ ยังไม่ถูก หรือครับ?"
การปล่อยวางไม่ใช่เป็นอย่างนี่ "ที่ท่านทำนี่ เรียกว่าปล่อยทิ้ง" เป็นลักษณะของคนไม่รู้เรื่อง
"ฝนตกหลังคารั่ว ต้องขยับไปทางโน้น แดดออกขยับมาทางนี้" ทำไมต้องขยับหนีล่ะ "ทำไมไม่ปล่อย ไม่วางอยู่ตรงนั้น" .. "
หลวงพ่อจึงว่า นี่คือการปล่อยวางของควาย
ท่านอาจารย์สรุปว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนว่า อะไรๆก็ต้องปล่อยวาง อะไรๆก็ต้องอดทน เราต้องมีปัญญาแยกแยะว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งไหนควรอดทนก็ต้องอดทน บางสิ่งบางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน บางสิ่งบางอย่างก็ควรจะแก้ไข การปล่อยวางของเราต้องมีปัญญา เป็นตัวกำกับอยู่ด้วยเสมอ
โอ้... คำว่าปล่อยวางก็คือยกเลิกตัวตน เขาเรียกว่าปล่อยวาง คำว่าใจเย็นนี้คือยกเลิกตัวตน ต้องรู้จัก ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา อย่างนี้ อย่าถือนิสัยตัวเอง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็คือธรรมะ ธรรมะก็คือพระพุทธเจ้า เรายกเลิกตัวตนน่ะ มันก็ไม่ยาก เรามีตัวมีตนน่ะมันยาก ประชากรของประเทศเรา ก็โกงกินคอรัปชั่น ประเทศไทยของเราก็อยู่ในอันดับร้อยต้นๆ อย่างนี้ เดนมาร์กยังคงรั้งอันดับ 1 ประเทศทุจริตน้อยที่สุด ขณะที่ไทยร่วงจากปีก่อน 7 อันดับไปอยู่ที่ 108 ประเทศไทยนี้อยู่ระดับโกงกินที่มองเห็นด้วยรูปธรรม อยู่ในระดับร้อยขึ้นไป ถือว่ามาก GDP ความเห็นแก่ตัว เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เพราะตัวตนมันเยอะ มันไม่เก่ง ไม่ฉลาดอย่างนี้ ประเทศไหนเอาเวลาเป็นหลัก หรือเอากฎหมายบ้านเมืองเป็นหลัก ถึงไม่เอาตัวตนเป็นหลัก ทุกคนสมัครสมานสามัคคีกัน ปรับเข้าหาธรรมะ มีการโกงกินคอรัปชั่นน้อย อันดับหนึ่งของโลกในปัจจุบัน เขาเรียกว่า เป็นคนไม่เอาตามอัธยาศัย ปรับเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา ให้พากันเข้าใจ อย่าเอาตามอัธยาศัย ไม่ได้ มันจะนำความทุกข์มาให้เรายิ่งๆ ขึ้นไป อย่างไม่มีที่จบ เราทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏสงสาร เราตัวตนเป็นที่ตั้งมันคือวัฏสงสาร เราต้องพากันเข้าใจว่า เราเกิดมาทำไม เกิดมาเพื่อมามีความทุกข์ เป็นอมตะอย่างนี้นะหรือ เราทำมาหากินเพื่ออะไร เราศึกษาเพื่ออะไร เรามาบวชเพื่ออะไร เรามีประเทศนี้เพื่ออะไร เราต้องรู้จักพากันเข้าใจ ทั้งเรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นทางสายกลางอย่างนี้ ยกเลิกตัวตนอย่างนี้
ทุกคนก็ทำได้ปฏิบัติได้ คนรุ่นใหม่ คนสมัยใหม่ เขาก็ต้องพัฒนาวัตถุอย่างนี้ มีความสุขในการพัฒนาอย่างนี้ ตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่อยากเรียนหนังสือ ไม่อยากทำงาน มันก็เป็นแต่ผู้เอา ผู้เอามันไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า เราต้องเป็นผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เราไม่เสียสละ เราก็ไม่ได้เป็นผู้ให้ เราก็ไม่มีศีล ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญาอย่างนี้ เราต้องเข้าใจ การนั่งสมาธิก็คือยกเลิกตัวตน ยกเลิกอดีต อนาคต ว่าทุกอย่างมันไม่ใช่บุคคลตัวตน เราต้องให้จิตใจมันว่า เราต้องเข้าใจ เราทำอะไรเพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น ไม่ได้ มันเสียหาย เมื่อเรายกเลิกตัวตน ความเป็นผู้หญิงก็ไม่มี ความเป็นผู้ชายก็ไม่มี คนเด็ก คนหนุ่ม คนสาว อะไรๆ ก็ไม่มี เพราะมันว่างจากตัวตน มันก็ต้องเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ เรายกเลิกตัวตน เราถึงจะเข้าถึงความไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่พลัดพราก เราจะได้เอาสมมติสัจจะ ที่เขาโฟกัสให้พวกเราเสียสละ ที่เราเอาสมมติขึ้นมา ตำแหน่งที่แต่งตั้ง ตำแหน่งที่เราได้รับสมมติสัจจะ เพื่อมาเสียสละ ไม่ใช่เพื่อให้เรามายึดมั่นถือมั่น ความยึดมั่นถือมั่น มันคือความไม่ถูกต้อง ทางจิตทางใจ ถ้าทางกายเขาก็ว่าคนท้องผูก อันเดียวกัน เราต้องพากันรู้ พากันเข้าใจ
เราพากันเรียนหนังสือ พวกเด็กๆ ตั้งแต่เด็กน้อยตอนอนุบาล ต้องรู้ว่าเรียนหนังสือเพื่ออะไร ไม่ใช่เราเรียนมาเพื่อจะมาเอา มามี มาเป็น เพื่อให้รู้ว่าอันไหนผิด อันไหนถูก อันไหนดี อันไหนชั่ว แล้วก็พากันมาปฏิบัติที่ทุกหนทุกแห่ง เราต้องเข้าใจ การปฏิบัติสมัยใหม่มันต้องดีกว่าสมัยก่อนน่ะ เพราะมันได้พัฒนาวิทยาศาสตร์มาไกลแล้ว เราต้องพัฒนาสัมมาทิฏฐิให้เราไม่หลงในวิทยาศาสตร์ที่เราพัฒนามา เราต้องเข้าใจ เมื่อเรายกเลิกตัวตน ความถูกต้องถึงจะเกิด เราเรียนหนังสือ หรือฟังครูบาอาจารย์อย่างนี้มันก็พอสังเขป คนไหนหัวดีจำดี มันก็เอามาเทศน์มาสอน ใครหัวไม่ดีอย่างนี้ มันก็เทศน์ไม่ได้ ถ้าใครหัวดีหรือไม่ดี ถ้าเป็นคนซื่อสัตย์ ยกเลิกตัวตน มันก็เทศน์ได้ สอนได้ทุกคน หลายคนหัวไม่ดีก็ยังเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอยู่ มันจะเอาอะไรไปเทศน์ไปสอน เพราะไม่ได้ยกเลิกตัวตน
เราอย่าพากันหนักอกหนักใจในการประพฤติในการปฏิบัตินะ เราทุกคนต้องพากันเสียสละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเครียดนะ อย่างพระเรานี่ เครียด นั่งสมาธิที่ส่วนรวมก็ตัวตรง ไปนั่งอยู่ที่กุฏินี่ก็นั่งพิงฝา พออยู่ที่ศาลามันอายเพื่อน อายโยมใช่มั้ย มันไม่มีธรรมมะธรรโม มีแต่ตัวแต่ตน ทำไปเพราะตัวตน มันกลัวศักดิ์ศรีทางตัวตนจะหาย มันเลยนั่งศาลาทั้งตัวตน บางคนไม่มีความละอายก็ปล่อยให้ตัวเองตัวโยกคอตก เพราะการปฏิบัติมันต้องโฟกัสตัวเอง พระพุทธเจ้าไม่ให้เราสู้กับใคร ต้องยกเลิกตัวตน ต้องเข้มแข็ง เหมือนเหล็กที่จะมาทำมีดที่ดีๆ ก็ต้องเป็นเหล็กแข็ง เหล็กอ่อนๆ ที่มีเนื้อเหล็กที่อันนี้ มันก็ไม่ได้ ต้องแข็งแกร่ง เราอย่าไปอ่อนแอ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่ามันขาลง ขาตกต่ำอย่างนี้ เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เราก็คนจะเป็นครูบาอาจารย์ลูกศิษย์ลูกหาเขาก็ไม่เคารพเลื่อมใส คุณพ่อคุณแม่ คนที่เป็นราชการนักการเมือง เขาก็ไม่เคารพนับถือ เพราะว่าตัวตน
ความเป็นพระพระพุทธเจ้าท่านนับมาตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ ให้เข้าใจ คนที่บวช กับคนที่ไม่ได้บวช ความเป็นพระได้มันเหมือนกัน เหมือนพวกข้าว พวกผักปลาอาหารอย่างนี้ ถ้าใครมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ไปฉันหรือว่าไปรับประทานมันก็ดับทุกข์ด้วยกัน ความถูกต้องมันเป็นสากล ความไม่ถูกต้องมันก็เป็นสากล ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้รู้จักเอาสมมติมาใช้งาน เอาสมมติสัจจะมาใช้งาน จะได้เอามาใช้งาน เราก็ลองคิดดูดีๆ เราก็เห็นเขาแสดงหนังแสดงละคร ที่เขาเขียนบทขึ้นมา แต่อันนั้นเขียนด้วยสมมติสัจจะให้เป็นเรื่องเป็นราว การที่เราดำเนินชีวิตมันก็อย่างเดียวกัน ก็สมมติมาให้เราเป็นคนโน้น คนนี้ แต่ถ้าเราไม่เอาสมมติเข้ามาสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติอย่างนี้ ทุกคนก็เป็นพระไม่ได้
คนเรามันไปเน้นตั้งแต่ทางร่างกายทางวัตถุ มันไม่รู้จักความสงบทางจิตทางใจทางพระนิพพาน ทางเสียสละเลย การมาทำสมาธิก็เพื่อเสียสละปล่อยวาง เพื่อเอาโลกธรรมทั้งหลายออกจากจิตจากใจ
คนเราเกิดมามันก็ไม่ได้เอาอะไรมา มาแต่ตัวเปล่าๆ เสื้อผ้าอาภรณ์ไม่มี เวลาละสังขารไปก็ไม่ได้เอาอะไรไป เราเกิดมา...เราจะมาลุ่มหลงงมงาย เป็นคนติดสุขติดสบายเป็นคนบาปอย่างนี้ คงไม่ได้คงไม่ดี แน่นะ
ทุกคนก็ขวนขวายไม่อยากแก่ ไม่อยากเจ็บ ไม่อยากตาย มันจะเป็นไปได้ยังไงล่ะ... คนเรามันต้องแก่ เจ็บ ตาย มันต้องพลัดพราก มันต้องจากไป
บางทีคนเรามันไม่ได้ตายเพราะความแก่ ความเจ็บ มันตายเพราะคิดมาก เพราะโรคทางจิตทางใจมันหนักกว่าโรคทางกาย เป็นมะเร็งทางกายมันยังไม่เท่าไหร่ แต่เป็นมะเร็งทางใจนี้มันแย่นะ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านให้เราปล่อยให้เราวาง จะหนีไปไหน ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย "มันเป็นไปไม่ได้.... "
เราเป็นหนี้เป็นสินเค้าแล้วต้องยอมจ่ายต้องยอมชำระหนี้เค้านะ ใจของเรามันสงบ ใจเราอย่าเป็นนักรบ นักต่อยนักตี นักเดินขบวน ทำไมๆ ถึงเป็นอย่างนั้น ทำไมรัฐบาลถึงเป็นอย่างนี้ ทำไมมันถึงแล้งอย่างนี้ มันถึงร้อนอย่างนี้ ทำไมมันถึงไม่รวย ทำไมมันอาภัพอับจนอย่างนี้
แล้วเรามันเกิดมาทำไม เราเกิดมาเพื่อมาสร้างบารมี สร้างคุณค่า สร้างคุณธรรม ไม่ใช่เราจะมาเป็นนักรบ นักตบนักตี นักทำไมๆ อยู่นั่นแหละ เราต้องฝึกปล่อยฝึกวาง การทำสมาธินี้แปลว่าปล่อยวาง เสียสละ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ปัญญาของเราถึงจะเกิดได้ สติสัมปชัญญะของเราถึงจะสมบูรณ์
ศีล คือข้อวัตรปฏิบัติที่จะให้เราเป็นคนมีระเบียบมีวินัย เพื่อให้เป็นคนไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นคนไม่เห็นแก่ตัว คนเรามันต้องมีระเบียบ มีวินัย จิตใจถึงมีศักยภาพ จิตใจถึงหนักแน่นเข้มแข็ง จิตใจถึงมีพลัง ถ้าคนไม่มีศีล ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย เค้าเรียกว่าเป็นนักปรัชญา ไม่ใช่นักประพฤติปฏิบัติ เป็นพวกความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด
เราทำการทำงานอย่างนี้ พระพุทธเจ้าท่านก็ให้เราทำสมาธินี้ มีสมาธิในการทำงาน มีความสุขมีความพอใจในการเสียสละความขี้เกียจขี้คร้านออกจากใจของเรา ต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจเสียสละเพื่องาน คนเราถ้าไม่ทำงานแล้วก็ไม่ได้เสียสละ ไม่ได้ละความเห็นแก่ตัว
ท่านเรียกว่า... การทำงาน คือการปฏิบัติธรรม คือการเสียสละ ละความโลภ ความโกรธ ความหลงนะ คนเราทุกๆ คนนี้มันไม่อยากทำงาน อยากทำงานก็อยากทำแต่งานที่ชอบๆ อันไหนไม่ชอบมันก็ไม่อยากทำ ขึ้นชื่อว่างานทุกอย่าง มันเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เราเสียสละทั้งนั้นนะ ชอบหรือไม่ชอบเราก็ต้องทำ เพื่อให้สติสัมปชัญญะสมบูรณ์ในปัจจุบัน... เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถ้าปัจจุบันเรามีความสุข มันก็เป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ เพราะว่าพระอาทิตย์ พระจันทร์ มันกำหนดวันเวลาว่าเป็นกลางวันกลางคืน เป็นอดีต เป็นอนาคต แต่ที่แท้จริงแล้ว ถ้าเราไม่ไปกำหนดเอาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์มันก็เป็นปัจจุบันไปเรื่อยๆ
ต้องเน้นทำงานให้มีความสุข คนที่ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเสียสละนี้แหละ เค้าเรียกว่าเป็นคนเห็นแก่ตัวมากๆ ความเห็นแก่ตัวนี้ ทำให้ทุกคนเรียนหนังสือไม่เก่ง ทำให้ทุกคนยากจน ไม่ร่ำไม่รวย ไม่มีคุณธรรม
โยมก็ทำงานโยม พระก็ทำงานพระ ทุกคนจะไม่ทำงานไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านทำงานเพื่อตัวเองจนหมดกิเลสสิ้นอาสวะ หมดกิเลสสิ้นอาสวะแล้วก็ยังทำงานเพื่อคนอื่นอีก เราอย่าพากันติดสุขติดสบาย ไม่ได้นะ
เราเกิดมาเพื่อสร้างความดี สร้างบารมี เพื่อเสียสละ ละความเห็นแก่ตัวเพื่อทำงาน เราอย่าว่าเราทำแต่งานเราไม่มีเวลาพักผ่อนเลย เราคิดอย่างนี้มันคนเห็นแก่ตัวนะ คนเราน่ะถ้าเราไม่มีความเห็นแก่ตัว คือการพักผ่อนจิตใจ คือ การไม่แบกของหนัก เราอย่าไปคิดว่าพักผ่อนมันจะมีความสุขนะ มันอาจ จะมีความสุขทางกาย แต่ใจมันไม่มีความสุขนะ
พระพุทธเจ้าท่านพักผ่อน...ด้วยการทำงาน ด้วยการเสียสละ เวลาหยุดสั่งสอนคนอื่น หยุดทำประโยชน์ส่วนรวม ท่านก็เข้านิโรธสมาบัติ ปล่อยวางจิตปล่อยวางใจ มันก็เป็นงานอย่างหนึ่ง เป็นงานไม่มีความโลภ ความโกรธ ความหลง งานเสียสละ งานปล่อย งานวาง
เราดูพระพุทธเจ้าน่ะ ทำไม...? พระพุทธเจ้าท่านถึงขยันแท้ ขยันจริงๆ วันหนึ่งก็พักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมง นอกจากนั้นก็ทำงานตลอดอย่างนี้แหล... เพราะว่าท่านเสียสละ ถ้าเราทำงานไปมีความสุขไป มันก็เสียสละไปในตัวเรื่อย... มันรีแลกซ์ มันคลายเครียดไปเรื่อยๆ
เราทำงานกับเพื่อนกับฝูง เราก็มีความสุขในการที่ได้ทำงานกับเพื่อนกับฝูง เราอยู่กับเจ้านาย ก็มีความสุขในการทำงานกับเจ้านาย เราอยู่กับลูกน้อง ก็มีความสุขในการทำงานกับลูกน้อง มีความรักมาก เมตตามาก สงสารมาก เพราะใจของเรามีแต่ความสุขมีแต่ความเมตตา มีแต่ความสงสาร ไม่ถือโทษโกรธเคือง ไม่เอาเปรียบเอารัดใคร มีแต่เป็นผู้ให้ผู้เสียสละ ใจดีใจสบาย แล้วก็มองทุกอย่างในแง่ที่ดีๆ
สิ่งไม่ดีก็มา แก้ที่ใจเรา ถ้าทุกอย่างมันดีหมดเราก็ไม่ได้แก้จิตใจของเรา สิ่งที่มันไม่ดีเราก็จะได้แก้ที่จิตที่ใจ เราจะได้พัฒนา เราคิดอย่างนี้ เราเจริญปัญญาอย่างนี้นะ เราคิดในแง่บวก คิดในแง่ที่เกิดสติเกิดปัญญา ถ้าเราใจดี ใจสบาย เราไม่เครียด ธรรมะมันก็ไหลมาเทมา ความสุขความดับทุกข์มันก็เป็นอัตโนมัติของมันไปเรื่อย
คนเราส่วนใหญ่ก็เอาแต่ใจตัวเองนะ ลืมตัวไป... เป็นคุณพ่อก็เอาแต่ใจตัวเอง เป็นคุณแม่ก็เอาแต่ใจตัวเอง เป็นภรรยาก็เอาแต่ใจตัวเอง อย่างนี้แหละ ท่านว่า มันไม่ถูก จะทำให้เราเป็นคนเสียผู้เสียคนนะ ทำให้เราเป็นภัยต่อตัวเองต่อคนอื่นนะ
ท่านให้เราเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่สงบที่เย็นนะ อย่าเป็นคนทิฏฐิมานะ ปากจัด เจ้าอารมณ์ อะไรก็แตะไม่ได้ ต้องไม่ได้ ยิ่งเป็นผู้นำยิ่งเป็นใหญ่เป็นโตก็ยิ่งอัตตาตัวตนมาก อย่างนี้มันไม่ดีเลยนะ เป็นผู้แบกของหนักน่ะ จิตใจน่ะพกอาวุธพกระเบิดนะ ระเบิดคนอื่นระเบิดตัวเองนะ
เจริญเมตตาเยอะๆ เรา...ครอบครัวเรา ลูกเรา...หลานเราน่ะ ถ้าเราไม่มีความรัก ไม่มีความเมตตาความสงสาร เอาแต่จิตแต่ใจ ครอบครัวของเราจะมีความสุขความดับทุกข์ได้อย่างไร...? เพราะเราเผาบ้านเรา เผาครอบครัวเรา เพราะเราเป็นคนทิฏฐิมานะ ปากจัด เจ้าอารมณ์ ไม่ฝึกจิตใจสงบ ใจเย็น จิตใจมีอุเบกขาวางเฉย ไปพูดแต่สิ่งที่มันไม่ดี พูดแต่สิ่งที่มันไม่สบายใจ ลูกเราหลานเรา...ถ้าเราไปว่าเค้าดี เค้าก็ดี ว่าไม่ดีเค้าก็ไม่ดี มันอยู่ที่คุณพ่อคุณแม่นะ คุณพ่อคุณแม่นี้สำคัญ คุณพ่อคุณแม่นี้ต้องสงบ ต้องใจเย็น ถ้าเป็นคนทิฏฐิมานะเจ้าอารมณ์ ใครก็บอกไม่ได้สอนไม่ได้ เค้าเรียกว่า เป็นคนอันตรายนะ เป็นบุคคลที่มีปัญหานะ พยายามเอาใจลูก เอาใจหลาน เอาใจทุกๆ คน เราอย่าไปเป็นคนมีทิฏฐิมานะมีตัวตน ถึงจะได้ชื่อว่าเป็นปูชนียบุคคล เป็นที่รักที่เคารพ ลูกหลาน ของญาติ ของตระกูล ถึงจะยังไม่ตาย ก็เป็นปูชนียบุคคลที่เคลื่อนไหวได้เดินได้นะ ลูกๆ หลานๆ เค้าก็ดีใจภูมิใจ มีความสุขในการทำงาน ไม่ระแวง ไม่ลังเลสงสัย พอใจลงใจนะ แล้วเค้าก็เอาตัวอย่างในทางที่ดีๆ พ่อแม่นี้สำคัญ พระพุทธเจ้าท่านสอนเรานะ บอกเรานะ...
เรื่องร่ำเรื่องรวยนี้ต้องฝึกปล่อยฝึกวางนะ รวยหรือจนนี้ไม่สำคัญ มันสำคัญอยู่ที่ใจมันสงบ คนเราน่ะถ้ารวยล้นฟ้าเป็นมหาเศรษฐีแต่ถ้าใจมันไม่สงบ ใจมันก็ไม่มีความสุขความดับทุกข์ มันก็ไปพระนิพพานไม่ได้
เราฝึกปล่อยฝึกวาง ลูกเราจะเป็นอย่างไร หลานเราจะเป็นอย่างไร ก็ช่างหัวมัน จะจนจะรวยอย่างไรก็ช่างหัวมัน ทุกคนก็กินข้าวเอง ทุกคนหายใจเข้า หายใจออกเอง เราจะไปทุกข์แทนเขา ให้เป็นการเวียนว่ายตายเกิดอีกก็คงไม่ดี ต้องฝึกปล่อย ฝึกปลง ฝึกวางมันถึงจะดีนะ ถ้าไม่อย่างนั้นเสียท่ากิเลสนะ
มาฝึกจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว มามีความสุขในการฝึกตัวเองปฏิบัติตัวเอง อย่าได้เห็นแก่รสอร่อยของโลก 'โลก' ก็คือความหลงที่ผูกจิตผูกใจเรา สิ่งต่างๆ อยู่ในโลกนี้ ถ้าเรารู้จักพัฒนาตัวเองมันก็เกิดคุณ
พัฒนาตัวเองอย่างไร...? 'การพัฒนาตัวเอง' ก็คือไม่ทำตามความต้องการของตัวเอง ต้องเอาพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง เอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง เอาพระอริยสงฆ์เป็นที่พึ่ง เป็นทางประพฤติปฏิบัติ
ครูบาอาจารย์ท่านอยากให้พวกเราได้เจริญสติสัมปชัญญะให้มันสมบูรณ์ เพื่อจิตใจจะได้มีกำลัง มีพลัง เพราะแต่ละคนแต่ละท่านรู้ว่าสิ่งนั้นมันไม่ดี แต่ว่ายังทำอยู่ แสดงว่าสติสัมปชัญญะมันยังอ่อน สติสัมปชัญญะมันไม่สมบูรณ์ เมื่อปัญหามันมีอย่างนี้เราก็ต้องกลับมาแก้ที่ตัวเรา การขึ้นภูเขาสูงก็เป็นสิ่งที่ยากลำบาก การข้ามทะเลทรายก็เป็นสิ่งที่ยากลำบาก การฝืนจิต ฝืนใจ ฝืนอารมณ์ของตัวเองที่มันติดมันหลงมันก็ลำบากอย่างนั้นนะ
การสร้างบารมีมันต้องยากลำบาก ถ้าไม่ยากลำบากก็ไม่ได้ชื่อการสร้างบารมี พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมาหนักกว่าเราตั้งเยอะนี่เราเพียงขี้ปะติ๋วของพระพุทธเจ้านะ แค่นี้ถ้าเราว่ายากลำบาก...มันใช้ไม่ได้
'ความยากลำบาก' เค้าเรียกว่าการสร้างศีล สร้างสมาธิ สร้างปัญญา
ศาสนา ก็แปลว่า การสร้างบารมี การฝืนใจตัวเอง ฝืนอารมณ์ ถ้าเรารู้เฉยๆ เราเข้าใจเฉยๆ เราไม่ประพฤติปฏิบัติตาม มันยังไม่ใช่ศาสนา มันเป็นปรัชญามันยังใช้ไม่ได้ ทุกท่านทุกคนต้องเข้าถึงศาสนา เข้าถึงการประพฤติปฏิบัตินะ ถ้าเราอยู่เฉย ๆ อยู่โดยไม่ได้ฝืน ไม่ได้อดไม่ได้ทน ศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเกิดขึ้นกับเราได้อย่างไร...? เราเป็นคนอ่อนแอ เป็นคนไม่มีศักยภาพนี้มันไม่ได้นะ
พระพุทธเจ้าท่านหวังว่า เราทุก ๆ คนจะเข้มแข็ง กระตือรือร้น สร้างความดี สร้างบารมีนะ ความสุขความดับทุกข์ที่แท้จริง อยู่ที่เราเอาชนะใจตัวเอง เอาชนะกิเลสของตัวเอง เพราะปัญหาต่าง ๆ ที่เราไปดิ้นรนภายนอกมันเป็นเรื่องทางกาย เรื่องภายใน ก็คือการสร้างบารมีทางจิตทางใจนี้แหละ ถือว่าเราได้ทำงานในสิ่งที่ประเสริฐแล้วนะ หวังว่าทุกคนทุกท่านจะมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ สร้างความดี สร้างบารมีกันนะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee