แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๖๓ ดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ให้งามในเบื้องต้นด้วยศีล งามในท่ามกลางด้วยสมาธิ และงามในที่สุดด้วยปัญญา
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การดำเนินชีวิตของเรา มันต้องไปพร้อมๆ กัน เช่นเรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องวัตถุ ต้องไปพร้อมๆ กัน เดินไปทางสายกลาง พัฒนาใจของเราให้เต็มที่ พัฒนาวัตถุ ปรับตัวเองเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ ยกเลิกตัว ยกเลิกตน ไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาธรรมะเป็นที่ตั้ง เอาเวลาเป็นที่ตั้ง วันนึงคืนนึงของพวกเราทุกคน ก็พากันนอน พากันผักผ่อน 6 ชม. เป็นอย่างน้อย สำหรับสามัญชนคนทั่วไป ถ้าอย่างมากก็ไม่เกิน 8 ชม. พวกเราอย่าพากันคอรัปชั่นเวลานอน เวลาเราตื่นขึ้นอย่างนี้มันถึงเวลา 16 ชม. หรือว่า 16-17-18 ชม. ชีวิตของเราก็ตื่นขึ้น ให้ยกเลิกตัวตน ปรับเข้าหาธรรมะ ปรับเข้าหาเวลา ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเรายกเลิกตัวตน ปรับตัวเข้าหาธรรมะ เอาเวลาเป็นหลัก เป็นบุคคลที่เที่ยงแท้แน่นอนต่อความดับทุกข์ ทั้งกาย ทั้งใจ มันเป็นชีวิตที่สมดุลนะ เราทุกคนไม่ต้องพากันไปแก้บุคคลอื่น เราต้องหันมาแก้ที่ตัวเองนี่แหละ เพราะปัญหาทุกอย่างบนโลกนี้มันอยู่ที่เราเอง ให้เรามีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้ถูกต้อง มันไม่ทำความเสียหายให้กับเรา เรามีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มันทำให้ใจของเรามั่นคง ความประเสริฐที่พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เป็นทรัพยากรที่ประเสริฐ เราต้องพากันเข้าใจนะ ที่พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญพุทธบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ ท่านไม่ได้ไปแก้ไขที่ไหนเลย ท่านไปแก้ที่ตัวของท่านนี่แหละ ปฏิบัติตัวของท่านนี่แหละ พระอรหันต์ขีณาสพ ได้ฟังคำสอนตามที่พระพุทธเจ้าบอก พระพุทธเจ้าสอน ท่านก็นำไปประพฤติไปปฏิบัติ ท่านจึงได้เป็นพระอรหันต์ พวกเราทุกคนให้พากัน จับหลัก จับประเด็นให้ได้ แล้วพากันทำติดต่อต่อเนื่อง เหมือนสายน้ำจนเป็นแม่น้ำ เป็นทะเล เป็นมหาสมุทร ชีวิตของเราทุกคนต้องทำอย่างนี้ ให้เป็นแบบนี้น่ะ
เราทุกคนต้องทำแบบนี้ มารู้ มาเข้าใจ มาประพฤติมาปฏิบัติ เพื่อชีวิตของเราทุกคนจะเป็นอริยมรรค เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นธรรมในปัจจุบันธรรม ชีวิตของเราทุกคนก็จะมีความสุขนะ ใจของพวกเราก็สบาย ใจของเราก็จะมีปัญญา ทางวัตถุที่เรามีความสุขในการทำงาน ในการเสียสละ ที่เราตื่นอยู่นี้นะ เป็นเวลา 16 ชม. ถึง 18 ชม. ความสุขทางวัตถุของเราก็ได้รับผลนั้นเป็นธรรมดา เมื่อเรายกเลิกตัวตนอย่างนี้ เราก็จะรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ รู้เรื่องทางร่างกาย ร่างกายของเรา ความรู้สึกของเรา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง สุข ทุกข์ สิ่งเหล่านี้เกิดจากปัจจัย เกิดจากผัสสะ เราถืออากาศร้อน ร่างกายของเรามันก็ร้อน ถืออากาศหนาวร่างกายของเรามันก็หนาว แล้วแต่เราจะผัสสะกระทบกับอะไร เพราะขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม เมื่อเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราก็จะรู้ว่าอันนี้มันคือเหตุคือปัจจัย อันนี้คือผัสสะ คำตอบคือความเข้าใจ คือพุทธะ เราทั้งหลายก็ยกทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากผัสสะ ว่าคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น แล้วตั้งอยู่ แล้วก็จากไป ตามเหตุ ตามผล ทุกคนก็จะได้รู้เรื่องเหล่านี้ เราจะไม่ได้เอาความสุขความทุกข์ ที่มาเกี่ยวข้องกับกาย มาเป็นตัวเป็นตน นี่มันเป็นข้อสอบให้กับพวกเราทุกคน นี่มันเป็นข้อตอบให้เราได้ตอบ ว่าอันนั้นมันคือผัสสะ ที่มันเกิดอารมณ์ เราก็ต้องยกสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ จิตใจของเรามันก็จะได้เป็นพุทธะ เป็นสิ่งที่ทำความสะอาดผัสสะ พระนิพพานก็เป็นอย่างนี้แหละ พระนิพพานคือมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อยู่ที่เรายกเลิกตัวตน มารู้เรื่องอริยสัจ 4 อย่างนี้ว่าทุกอย่างไม่แน่ไม่เที่ยง ว่าทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนนะ มันเป็นปรากฏการณ์ จนกว่าสังขารของเรามันจะจบลงตามอายุขัย ตามเหตุตามปัจจัย จิตใจของเรามันก็จะไม่สบสน สมองของเรามันจะไม่สับสน นิวรณ์นี้ถ้ามันเกิดขึ้นมันจะมาครอบงำเรา อคติความลำเอียงมันก็จะทำงานไม่ได้เพราะเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ให้เราเข้าใจอย่างนี้
ร่างกายของเราที่เกิดมาก็เพื่อจะเป็นเหตุปัจจัยทั้ง 4 เทคโนโลยีที่เราพัฒนาขึ้นมาทั้งหลาย มันก็จะมีโทษ มันก็จะมีแต่ความสุข ความดับทุกข์ เป็นการทำที่สุดของความดับทุกข์ เป็นการทำใจให้สงบไปพร้อมๆ กัน เราต้องเข้าใจอย่างนี้ มันไม่ยาก เพราะเราเกิดมาเราก็ยังมีความรู้สึกหนาว ร้อน สุข ทุกข์ เราต้องพากันรู้จักนะ มันมีหนาว มีร้อน มีสุข มีทุกข์ ก็จริง แต่ว่าอันนี้ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน นี่มันคือสภาวะธรรม ที่นำเราเวียนว่ายตายเกิด เราจะได้มีสติสัมปชัญญะสมูรณ์ ยกเลิกความเห็นไม่ถูกต้องความเข้าใจไม่ถูกต้อง แล้วเราจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ถ้าเราเอาความรู้สึกเป็นเราเป็นของเรา ชีวิตของเรามันมืดดับสนิท เอาแต่ตัว เอาแต่ตน เอาแต่ทางวัตถุ มันมีแต่อวิชชา มีแต่ความหลง เราจะรวยล้นฟ้า เป็นมหาเศรษฐี มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เรารวยมาก เรากลับโง่มาก เรามีอำนาจมีอิทธิพลมากก็ยิ่งมีความทุกข์ เป็นเหมือนกับเงาตามตัว ทางที่ถูกต้อง เราต้องพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ท่านถึงบอกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา มันต้องไปพร้อมกัน เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาวัตถุเป็นที่ตั้ง มันก็ไม่ใช่สมาธิ มันหลงในความสุข ในความสงบ ไม่ได้เห็นด้วยปัญญา เพราะความสงบ ที่มีอวิชชาความหลง มันเป็นความปรุงแต่งอยู่ ความหลงมันก็คือความปรุงแต่ง 2 อย่างนี้มันก็คืออันเดียวกัน เพราะมันเป็นอวิชชา เป็นความหลง ต้องรู้เรื่องอริยสัจ 4 คือรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เอาความหลงเป็นที่ตัง ไม่ได้ เพื่อเราจะได้ก้าวไป ทั้งทางจิตใจ ทั้งทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน
การประพฤติการปฏิบัติธรรม เป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัยอย่างนี้แหละ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง แม้แต่โลกก็ไม่ทันสมัย ชีวิตที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชื่อว่าเป็นชีวิตที่ทุจริต อันนี้ไม่ถูกต้อง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ถูกต้อง ชีวิตที่ทุจริตนะ เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันเป็นความทุจริต มันเป็นชีวิตที่ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ชีวิตที่ไม่รู้อริยสัจ 4 นะ ต้องพากันเข้าใจ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็จะสับสน เราทุกคนก็ดู ตื่นขึ้นมาเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตมันยังสับสนเลย เพราะว่ามันไม่ถูกต้อง มันเป็นชีวิตที่ผิด เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ศีลของเราก็ไม่มี สมาธิของเรา ไม่มีปัญญา ของเราก็ไม่มี เพราะเป็นชีวิตที่ประกอบด้วยตัวตน เป็นชีวิตที่ทุจริต ที่เราเอาสัญชาตญาณเป็นเรา เป็นของเรา เขาเรียกว่าเป็นชีวิตที่ทุจริต เราก็มองดูสิข้าราชการ นักการเมือง หรือคนในโลกนี้แหละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเป็นชีวิตสุดโต่ง พัฒนาเพื่อจะเอา เพื่อจะมี เพื่อจะเป็น มันเริ่มทวีคูณเพิ่มขึ้นทุกวันๆ ยิ่งการเรียนการศึกษาการพัฒนา ก็ยิ่งมีปัญหา เพราะเป็นชีวิตที่ไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราทุกคนก็ไม่เข้าใจอะไรเลยว่า เราเกิดมาทำไม? เราเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอกทำไม? เราทำการทำงานทำไม? หรือว่ามาบรรพชาอุปสมบททำม์? เพราะตัวตน มันมีความเห็นผิด เข้าใจผิด มันเลยไม่รู้ว่าคนเรานั้นพากันเกิดมาทำไม เราพากันรู้จักนะ เราเกิดมาเพื่อมาทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ เรื่องจิตใจหรือว่าเรื่องทางร่างกายหรือว่าทางวัตถุ 2 อย่างนี้แหละ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนจะต้องมีฉันทะ มีความเข้าใจ พากันมีความสุข ในการประพฤติ การปฏิบัติ ปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา พากันมีความสุขที่สุดในโลกในการประพฤติปฏิบัติ มีผัสสะมากมายซึ่งมาเป็นข้อสอบ ให้เราตอบ ให้เราปฏิบัติ ให้มารู้ว่า ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ เอาเวลาเป็นหลัก ต้องยกเลิกตัวตน ต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ คือศีล ว่าเราต้องคิดอย่างนี้พูดอย่างนี้ทำอย่างนี้ ต้องปรับเข้าหาความถูกต้องอย่างนี้ เมื่อเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ก็จะซื่อบื้อ เซ่อเบลอ มืดแปดด้าน หรือว่ามากกว่านั้น เพราะนี่คืออาการของตัวตน ต้องยกเลิกอดีตอนาคต ไม่ต้องไปคิดมัน ปล่อยวางเข้าสู่ธรรมะเข้าสู่เวลา พากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะมีสัมมาทิฏฐิทางจิตใจคุณธรรม สัมมาทิฏฐิทางวัตถุ ให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้นะ ชีวิตของเรามันจะเข้าถึงสมาธิ ถึงปัญญาได้ในทุกวัน พระพุทธเจ้าท่านถึงบอกว่า สมณะที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 นี้อยู่ที่เรา มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ในปัจจุบัน ใครมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ก็ดับทุกข์ด้วยกันหมด จะเป็นนักบวชก็ดี ทุกๆ ศาสนาก็ดี มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็ดับทุกข์หมด ก็เหมือนอาหาร ถ้าเราทานอาหารมันก็ดับทุกข์ทางกาย เมื่อเราเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง มันก็ดับทุกข์ทางจิตใจ
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจง่ายๆ ความเป็นพระมันอยู่ที่เรา ไม่ใช่อยู่ที่คนอื่น เราอย่าไปหาพระที่อื่นนะ หาพระที่อื่นมันไม่เจอ เพราะพระมันอยู่ที่เรา มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรายกเลิกตัวตน ปฏิบัติใจปฏิบัติกายของเรา ปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ความเป็นพระก็จะมีกับเราทุกคน พระเขานับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ พวกนักบวชเป็นบุคคลที่ปฏิญาณตนว่ายกเลิกตัวตน เอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะนำชีวิต พร้อมด้วยพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เขาถึงเรียกว่าพระ พระคือพระธรรม พระวินัย เราต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้าใครยกเลิกตัวตน บุคคลนั้นก็เป็นพระได้เหมือนๆ กัน ให้เราทุกคนเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้พากันปฏิบัติตัวเองให้ถูกต้อง ถ้าเราไม่เข้าใจ เราก็จะเอาแต่ทางตัวตน เอาแต่ทางวัตถุ เอาแต่ทางโลกธรรม เอาวัตถุครอบงำจิตใจ เดี๋ยวทุกอย่างมันจะไม่เป็นคุณนะ มันจะเป็นโทษ เราอย่าเอาความรู้สึกเป็นเราเลย อย่าเอาความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เป็นเราเลย เพราะทุกอย่างมันไม่ใช่เรา เราต้องพากันมารู้สภาวะธรรม เอาความรู้สึกเมื่อไร มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ มันไปเจออากาศร้อนก็จะเป็นอย่างนี้ อากาศหนาวก็จะเป็นอย่างนี้ อากาศพอดีก็เป็นอย่างนึง เจอคนหนุ่ม คนสาว คนเจ็บ คนแก่ คนตาย ก็เป็นอย่างนึง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็ต้องมีความทุกข์อย่างนี้แหละ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่คนรักตนเองนะ เป็นคนหลงต่างหาก หลงตัวเองยังไม่พอ ยังไปหลงลูก หลงหลาน หลงบ้าน หลงช่อง เขาเรียกว่าเป็นมหาหลง เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งความหลง ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่รู้ผิด ไม่รู้ถูก ไม่รู้ดี ไม่รู้ชั่ว หลงเพราะตัวตนมันปิดมันบัง ความหลงมันบัง พุทธะเกิดขึ้นไม่ได้ เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ พากันมีสติมีสัมปชัญญะ คนเรานะไม่มีสติสัมปชัญญะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่าไม่มีสัมมาสติ แต่สติมีจริง แต่เป็นสติหลงน่ะ เอาความหลงเป็นที่ตั้ง เอาวัตถุเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราน่ะต้องพัฒนาวิทยาศาสตร์พัฒนาใจพร้อมๆ กัน เราถึงจะไม่มีหลง
การปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจ การปฏิบัติธรรม คือการดำรงชีพของเรา ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ในชีวิตประจำวันนี่แหละ เราเข้าใจเหมือนที่เราไปเรียนหนังสือ อ่านหนังสือ มันรู้เรื่องเข้าใจ แล้วก็เอาไปปฏิบัติทุกหนทุกแห่ง ไม่ใช่ต้องมาบวช เหมือนนักบวช พวกที่มาบวชไม่เข้าใจก็แก้ปัญหาไม่ได้ ไม่เข้าใจว่าตัวเองบวชมาทำไม 99% มักไม่รู้ว่าตัวเองบวชมาทำไม อย่างเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ยกเลิกตัวตนน่ะ เราก็ไม่ได้เข้าสู่ธรรม เข้าสู่พระวินัย เรามีความหลง เราไปทางไสยศาสตร์ ความหลงแปลว่าไสยศาสตร์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ประพฤติตัวตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไม่เอาอะไรเลย มีแต่เสียสละ ชีวิตของพระพุทธเจ้าจึงเป็นธรรมะ ธรรมะคือพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตัว ไม่มีตน มีธรรมะ ยกเลิกตัวตน ถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า แม้เป็นชื่อพระพุทธเจ้า เป็นชื่อของความดับทุกข์ทางใจ ดับทุกข์ทางวัตถุ โดยที่ท่านยกเลิกตัวตน ไม่มีใครแต่งตั้งให้ท่าน ตำแหน่งที่เราสมมติกัน เป็นตำแหน่งแต่งตั้ง เพื่อความสะดวกความสบายในการใช้งาน ที่เป็นสมมติสัจจะ ซึ่งเราจะได้ใช้สมมติที่ถูกต้อง เราต้องเอาสมมตินั้นมาปฏิบัติ มาเสียสละ เราอย่าเอาสมมติมาเป็นตัวเป็นตน ทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้ ไม่งั้นมันจะหลงประเด็น มันจะเครียด ให้เราโฟกัสมาที่ตัวเราให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พากันมาเสียสละ เพื่อเอาธรรมนำชีวิต เพื่อเอาการยกเลิกตัวตนนำชีวิต เพื่อมาเสียสละ ปรับเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ สมมติมันเป็นสิ่งที่คนโฟกัสมาที่เรา เราก็ต้องพากันมาเสียสละ ทุกคนต้องพากันมาเสียสละ ปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา วันนึงมีเวลา 24 ชม. พระพุทธเจ้าท่านทรงบรรทม วันละ 4 ชม. ทำงานวันละ 20 ชม. ยกเลิกตัวตน ก็ไม่มีความทุกข์ เรามีตัวมีตน มันก็จะมีความทุกข์ เรามีตัวมีตน มีความรู้สึกหนาว ร้อน มีความรู้สึกขี้เกียจ ความขี้เกียจคือตัวตน ตัวตนที่ว่ามันทำไม่ได้ มันยาก มันลำบาก ท่านถึงบอกว่าเราอย่าไปสนใจมันเลย เอาธรรมะเป็นหลัก เอาเวลาเป็นหลัก เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ
คำว่าพระนิพพาน เป็นเครื่องดับทุกข์ทางจิตใจ ดับทุกข์ทางวัตถุ มันเป็นทางสายกลาง เป็นทางไม่สุดโต่ง ไม่ไปทางซ้าย ไม่ไปทางขวา ปัจจุบันก็ว่าง ปราศจากนิติบุคคล เห็นประชาชนเป็นแสน เป็นล้าน เป็น 8000 ล้านของโลก ทุกคนมายกเลิกตัวตน ทุกอย่างมันก็ร่มเย็น มีตึกราม บ้านช่อง มีทุกอย่างมันก็จะว่างจากตัวตน เป็นพระนิพพานเป็นอย่างนี้นะ เรามีตัวมีตนเราจะไม่รู้เรื่องพระนิพพานหรอก เพราะพระนิพพานมันอยู่เหนือความปรุงแต่ง ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น สภาวะธรรม ความเป็นพุทธะ เป็นสภาวะธรรมที่จะเอาสมมติสัจจะมาใช้งาน ยกเลิกตัวตน อยู่ในทางสายกลาง เรียกว่าพระนิพพาน พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้วก็ถึงพระนิพพานตั้งแต่ยังมีอายุขัย ท่านเสียสละ ใช้เวลา 45 ปี ร่างกายท่านจึงดับขันธปรินิพพานอย่างสมบูรณ์ ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ทุกคนนั้นดับทุกข์ได้พอๆ กันนะ ผู้หญิงดับทุกข์ได้พอๆ กัน ผู้ชายดับทุกข์ได้พอๆ กัน เด็ก ผู้ใหญ่ ดับทุกข์ได้พอๆ กัน หากมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องเอาธรรมดำเนินชีวิต เอาธรรมนำวัตถุไปพร้อมๆ กัน
เราเอาตัวตนมาเป็นที่ตั้งน่ะ ลูกเราหลานเรามันรับเอาดีเอ็นเอแห่งอวิชชาความหลง เมื่อเรามีตัวตน ลูกเราหลานเรา เขาก็รับเอาผัสสะอย่างนั้นไป เพราะเรามีตัวมีตน ลูกหลานเห็นเรา ก็จะไม่ไว้วางใจเรา ลูกหลานคงไม่ไว้วางใจเรา เราจะมีประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้องอย่างนี้
การปล่อยวางต้องพากันเข้าใจ การปล่อยวางนี่ไม่ใช่ไม่ทำอะไร เราดูตัวอย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเรา ทรงบรรทม 4 ชม. ทำงาน 20 ชม. ปล่อยวาง ไม่มีตัวมีตน ต้องเสียสละ ต้องยกเลิกตัวตน ต้องเข้าใจอย่างนี้ ลูกหลานเรามันจะได้เข้าใจ เพราะคนที่อยู่ใกล้ๆ พวกเราคือลูกคือหลาน ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งลูกหลานเห็นก็แย่เลยนะ พ่อแม่ปู่ย่าตายาย คือพระประจำบ้านประจำครอบครัว เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราคงไม่ได้เป็นพระ ต้องเข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะไม่มีปัญญาเลย ความแก่ ความเจ็บ มันเกิดขึ้นก็มีแต่ความทุกข์ แล้วมันไม่รู้เรื่องอริยสัจ 4 เลย มีทุกข์อย่างเดียว ไม่รู้เลย ไม่ได้ขอบใจความแก่ ความเจ็บไข้ไม่สบาย เอาความจริงมาเทศน มาสอนให้เราเกิดสติปัญญา ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนนะ ว่าท่านกำลังแก่ กำลังเจ็บ อีกไม่นานท่านก็จะตายนะ เห็นมั้ยปู่ย่าตายาย บรรพบุรุษของท่านพากันตายไปหมด อีกสักวันก็จะต้องตาย ท่านจะต้องรู้อริยสัจ 4 รู้เรื่องพระไตรลักษณ์นะ อย่าไปหลงตัวหลงตน หลงลูก หลงหลาน หลงปู่ หลงย่า ไม่ได้เป็นคนบริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ นะ
เราต้องรู้คุณค่าของธรรมะ ธรรมะประเสริฐที่สุด ที่ยกเลิกตัวตน ที่พัฒนาสติปัญญา มนุษย์เป็นผู้ประเสริฐ คำว่าประเสริฐนะ ถ้าไม่รู้ ท่านก็ไม่รู้ว่าท่านเกิดมาทำไม เราเรียนเราศึกษาทำมาหากินเพื่ออะไร ผู้มาบรรพชาอุปสมบทก็ไม่รู้ว่าบวชมาทำไม ต้องพากันเข้าใจ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะไม่รู้หรอก ตัวตนมันคือความไม่รู้ ตัวตนมันไม่ใช่พุทธะนะ ไม่ใช่ธรรมะ ไม่ใช่สังฆะ ตัวตนคือตัวตน ตัวตนมันคือความหลง พากันเข้าใจ เมื่อเราไม่รู้ ทางจิตใจของเราเราแก้ปัญหาไม่ได้ ทางกายก็แก้ปัญหาไม่ได้ เราก็มีความยากจน ชีวิตของเราก็มีแต่อบายมุข อบายภูมิ การแก้ปัญหา พวกเราต้องรู้จักพากันแก้ปัญหาอย่างนี้ ถึงแม้โลกนี้จะเป็นประชาธิปไตย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทั้งโลกเป็นประชาธิปไตย นั่นคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนมันจะยกเลิกส่งที่ถูกต้อง ให้เข้าใจ เหมือนผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท บวชมาแล้วยังเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรียกว่ายกเลิกมรรคผลนิพพานของตัวเอง ยกเลิกธรรมวินัย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็ต้องว่างจากมรรคผลพระนิพพานแน่นอน ไม่ต้องสงสัยหรอก เพราะว่าทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันก็ต้องมี ถ้าสิ่งนี้ไม่มีสิ่งต่อไปมันก็ไม่มี ให้เราพากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้รู้พุทธะของเวลาของศีลของธรรม เราจะเข้าใจว่า โอ... พระพุทธเจ้าทำไมสุดยอดอย่างนี้ นำพาหมู่มวลมนุษย์ประพฤติปฏิบัติทางจิตใจ คุณธรรม ได้พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง ไม่สุดโต่ง
ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญนะ เราต้องมีสติปัฏฐานนะ ฐานของเราคือสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้รู้กาล รู้เวลา รู้ว่าเราต้องเอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมนำชีวิต รู้ว่าอันไหนเราคิดได้ คิดไม่ได้ พูดได้ ต้องทำกิริยามารยาทอย่างนี้ ผู้ปฏิบัติยกเลิกตัวตนมันจะฉลาดขึ้น มันจะรู้กาลเทศะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็จะได้แค่หินทับหญ้า มันก็จะได้แค่ความสงบ มันเป็นคนไม่มีปัญญา ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ถึงจะเป็นคนบ้านนอก บ้านนา เป็นคนชนบท ไม่เกี่ยวกันเลย เป็นเรื่องรู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เรียกว่าเป็นผู้ที่รู้ความจริง ทั้งทางจิตใจ รู้ความจริงทางวัตถุ เราต้องเข้าใจอย่างนี้ เราถึงจะได้รู้เรื่องของตัวเอง
การนั่งสมาธิ เราก็ยังไม่เข้าใจนะ การนั่งสมาธิเขาก็ยกเลิกตัวตน เพื่อให้อดียกเลิกไป เรื่องอนาคตที่เราอยากจะให้มันมี มันเป็น มันจะได้ยกเลิก ปัจจุบันก็ว่างจากตัวตน ให้เข้าสู่ความว่าง เข้าสู่ลมหายใจ ว่ามันไม่แน่ ไม่เที่ยง ลมหายใจว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ว่างเปล่าจากตัวตน มันเป็นการยกเลิก การที่เรามานั่งสมาธิเพื่อที่จะมาเอา มันไม่ใช่ เราจะเข้าสมาธิได้เป็นบางครั้งบางคราว สมาธินั้นก็จะเสื่อมได้ ถ้าใจเราเสื่อม สมาธิเราจะเสื่อม พวกนี้จึงจะเอาแต่ความสงบ เอาแต่ความวิเวก อาศัยตาไม่เห็นรูป หูไม่ฟังเสียง วัดป่าวัดกรรมฐานห่างบ้านห่างสังคม ไม่ได้ยินเสียงผู้ เสียงคน เข้าใจนะ สมาธิท่านให้เรารู้จักว่า สมาธิให้ยกเลิกในปัจจุบันก็ว่างจากตัวตน ไม่ว่าเราจะอยู่ในบ้าน อยู่ในกรุงเมืองหลวง ความสงบก็มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง นั่งสมาธิทุกคนก็พากันประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่บ้านเช้าเย็นพากันนั่งสมาธิกันนะ สักชั่วโมงหนึ่งก็ยังดี เอาแต่ดูทีวี เอาแต่เล่นโทรศัพท์ ตั้งแต่เด็กอนุบาลจนถึงอากงอาม่า มันไม่ได้นะ เราตั้งอยู่ในความหลง ความเพลิดเพลินประมาทนะ เราต้องคอนโทรลตัวเองให้ได้ให้อยู่ ปรับตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา เหมือนขับรถ ต้องคอนโทรตัวเองเพื่อให้ตัวเองไปตามถนน คนขับเครื่องบินน่ะ ต้องคอนโทรลตัวเองว่า เราจะไปประเทศไหนน่ะ เราจะคอนโทรลตัวเองสู่รันเวย์อย่างนี้เป็นต้น ต้องเข้าใจ เรามีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ยังไม่ได้นั่งสมาธิ กลัวปวดแข้ง ปวดขา กลัวง่วงหงาวหาวนอนละ พวกกรรมฐานพวกปฏิปทาตกเนี่ย ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินตั้งอยู่ในความประมาท ครูบาอาจารย์กรรมฐานน่ะ ท่านพากันตื่นตี 3 ก็ กลัวๆ ไม่อยากไปอยู่ ท่านไม่ให้เล่นโทรศัพท์ ท่านไม่ให้มีมือถือ กลัวใหญ่เลย เพราะความมีตัวมีตน มันเป็นอวิชชา เป็นความหลง มันเป็นความมืด กลัวพุทธะ ท่านบอกว่า เอ้ย... ถ้าอาการอย่างนี้ มันเป็นโอกาสของเรานะ เราต้องยกเลิกความรู้สึกนึกคิด เราไม่ต้องกลัว ความกลัวมันแสดงบ่งบอกว่าเรามีตัวมีตน รู้แล้วต้องเข้าสู่ภาคปฏิบัติ อย่าไปสนใจ อย่าไปกลัวปวดแข้งปวดขา ถ้าเราไม่ปวดแข้งไม่ปวดขา ถ้าเราไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย พระนิพพานมันจะมีจากไหน เพราะเรามีร่างกาย เพื่อที่จะได้บททดสอบทางจิตใจ พุทธะเป็นผู้ตอบ จะได้พัฒนาวัตถุพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง เราอย่าไปกลัว ความกลัวมันมีได้ เพราะเรามีตัวมีตนนะ กลัวจิ้งจกตุ๊กแก กลัวอะไรสารพัดกลัว กลัวผี กลัวอะไร กลัวความคิดอย่างนี้ เรียกว่าไม่รู้อริยสัจ 4 เราอย่าไปสนใจมันเลย ความรู้สึกอย่างนี้ ความคิดอย่างนี้ มันไม่ถูกต้องหรอก มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเราเคยอยู่กับเขามานานหลายภพ หลายชาติ หลายหมื่น หลายแสน หลายล้านชาติ ความกลัวมันเกิดเพราะเรามีตัวมีตนนั่นเอง จะรักษาพระวินัยก็กลัว กลัวไม่ได้อยู่ ไม่ได้กิน ไม่ได้ฉัน พากันมารับเงินรับปัจจัย มาสั่งสมสังฆทานกัน เพราะความกลัว กลัวไม่ได้อยู่ ไม่ได้ฉัน ท่านบอกว่า เราต้องยกเลิก ความรู้สึกอย่างนี้น่ะ ถ้าเราไม่ยกเลิกสิ่งนี้ ก็ชื่อว่าเราเป็นคนที่ยกเลิกอริยมรรค เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง คือยกเลิกมรรคผลพระนิพพาน ถึงเราจะมาบวชเท่ากับเราไม่ได้บวชนี่แหละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเขาเรียกว่าลาสิกขา คนลาสิกขานี่คือเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่เห็นพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่เป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถือว่าไม่สำคัญน่ะ ปลงผมห่มผ้าเหลืองไปก่อนเพื่อจะได้มีอยู่มีฉันน่ะ เพื่อจะได้มีศาลาอลังการ มีรถหรู มันคิดไปคนละอย่างกับพระพุทธเจ้านะ ความกลัวเป็นอย่างนี้แหละ มันเลยเป็นไปเพื่อสั่งสมอวิชชาความหลง สั่งสมกิเลส ตัวตนเป็นความสั่งสมความทุกข์ มันเป็นอาหารของอวิชชาความหลงนะ
พากันเข้าใจ ถึงพวกเราเป็นคนรวย เป็นคนกรุง ก็พากันเข้าใจนะ การปฏิบัติธรรมของเราก็เป็นคนรวยนั่นแหละ เป็นคนกรุงนั่นแหละ มาวัดมาวามาเป็นบางครั้งบางคราว พระพุทธเจ้าถึงให้ฆราวาสผู้ครองเรือนมาวันพระ มาวัน 8 ค่ำ 15 ค่ำ ให้พากันยกเลิกตัวตน พากันมารักษาศีล 8 ศีล เอา 5 มันใจอ่อน มันจะเอาแต่ความสะดวกสบายมันใจอ่อน มันบริโภคความสะดวกสบาย มันใจอ่อน มันจะเอาแต่เพียงวัตถุ ไม่ปฏิบัติใจไปพร้อมๆ กัน พากันมารักษาศีลอุโบสถกันที่วัด เพื่อจะได้มองเห็นหน้าเห็นตากัน บางคนเขาปฏิบัติ คนนี้เขาปฏิบัติ จะได้มีกำลังใจ พวกพระเจ้าพระสงฆ์พากันปฏิบัติ ครั้งพุทธกาลเขาก็จะรักษาศีลอุโบสถเดือนหนึ่ง ๘ วัน เราเข้าใจแล้ว เราก็คอนโทรลตัวเองบังคับตัวเองน่ะ เราเป็นคนรวยเป็นคนมี ก็ต้องมีระเบียบมีวินัยให้กับตัวเอง มาวัดไม่สะดวก ก็ทำที่บ้านเรา บ้านเราก็สะดวกดี ก็รักษาอยู่ที่บ้านเรา มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ให้ยกเลิก ถ้าเราเป็นนักธุรกิจ เราเอาแต่โทรศัพท์ หรือเอาคอมพิวเตอร์ใช้เฉพาะทำธุรกิจหน้าที่การงาน ไม่ต้องเอามาใช้เพื่อบันเทิง บ้านคนรวยน่ะเปรียบเสมือนเมืองสวรรค์นะ ฟูกหนาเป็นครึ่งศอก อะไรก็สะดวกสบาย เราต้องเข้าใจ เมื่อมีไวรัสเยอะ เราก็ต้องมีวัคซีนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน คือภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ ยกทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เราจะเป็นคนหลงไม่ได้ เรามิใช่เกิดมาเพื่อความหลง เราอย่าไปคิดว่าเรารวย เรามียศถาบรรดาศักดิ์แล้วจะแน่ มันไม่แน่สักคน หรอก ทุกคนมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก ได้ประชุมเพลิงกันทั้งหมดไม่มีใครเหลือ
เราต้องภาวนาตั้งหลักดีๆ เมื่อมีไวรัสเขาก็ยังมีผ้าปิดจมูก เราก็มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง พิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้ไม่ให้ความหลงมันกลืนกินเรา เมื่อ 2-3 ปีก่อน ไวรัสโควิดมันเอาหมู่มวลมนุษย์ตายไปจากโลกนี้ตั้งหลายล้านคน แต่อวิชชาความหลงมันเล่นงานเรามากกว่านี้ เราต้องเข้าใจนะ ความเป็นพุทธะต้องให้มีกับเรา ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน เราต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติ รถวิ่งไปที่ไหนมันก็เห็นอะไรเยอะ เราเกี่ยวข้องกับอะไร ให้มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราจะได้เอาทุกอย่างมาภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ เราทุกคนต้องเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ เอาตัวตนมันคือผู้ที่ไม่รู้เกิดมาทำไม มาบวชทำไม ให้เราเข้าใจอย่างนี้ โลกเรามันพัฒนามาไกลนะ แต่เราก็ยังไม่ได้พัฒนาเรื่องพุทธะที่จิตใจของเรามันหลง มันวิ่งไม่หยุดนะ ความหลงคือวิ่งไม่หยุด ความหลงคือเรื่องไม่จบ เขาสร้างหนัง สร้างละคร มันก็ยังจบเรื่อง เอาตัวตนมันคือเรื่องไม่จบ ให้พากันเข้าใจ
เราพากันมาอยู่วัดมาปฏิบัติ เป็นคนรวยคนมีสตางค์มาอยู่วัด ก็มายกเลิกความหลง ยกเลิกเรื่องอดีต ยกเลิกเรื่องอนาคต ปัจจุบันเข้าสู่ความว่าง เอาวิปัสสนามาพิจารณาว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง ไม่แน่นอนจริงหนอ พ่อเราก็ตาย แม่ก็ตาย ญาติบรรพบุรุษก็ตาย เราเกิดมาก็แก่อย่างนี้ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย เราก็พัฒนาใจให้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ สติปัญญาเราจะได้สมบูรณ์ เราจะได้ส่งพุทธะหรือว่าส่งผัสสะมอบให้กับลูกกับหลาน มันจะมีประโยชน์อะไรที่เรารวยมหาศาลมีอำนาจวาสนามหาศาล สิ่งที่เราจะมอบให้ลูกหลาน ก็คือเรื่องเศรษฐกิจกับคุณธรรมไปพร้อมๆ กันนะ พากันเข้าใจ เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าเอาแต่ติดอยู่กับสบาย โทรศัพท์ของเราเอาใช้เวลาจำเป็น เจริญสติสัมปชัญญะ สมาธิมันก็ได้อยู่หรอก ถ้าเรายกเลิกตัวตน ถ้าเราจะเอาอย่างโน้นอย่างนี้ มันไม่ได้ เพราะมันไม่ถูกต้อง ต้องเข้าใจเรื่องศีลสมาธิปัญญา เข้าใจเรื่องบารมี 10 ทัศ 20 ทัศ 30 ทัศ เป็นการที่เราแก้ไขตนเองปฏิบัติตนเอง เรื่องสัมมาทิฏฐิทางจิตใจ สัมมาทิฏฐิทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้
วัดเป็นศูนย์รวมของผู้ที่จะเอามรรคผลพระนิพพาน วัดนี่คือข้อวัตรข้อปฏิบัตินะ เราอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงาน ก็ต้องรู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ อย่าเอาความหลง ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ เราต้องเข้าใจคำว่าวัดอย่างนี้ เราเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ถ้าเราไม่รู้ก็แล้วไป เราเข้าใจใหม่ได้ เราอยู่ที่ไหน เราต้องมีวัตร มีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ เราจะหลงเรื่อย...อยู่ไม่ได้นะ อันนี้ก็อร่อย อันนี้ก็แซ่บ อันนี้ก็นัว อันนี้ก็หรอย ไปเรื่อย... มันก็จะบริโภคความหลง ให้เรารู้เราเข้าใจ เพราะชีวิตของเรามันจำกัด เวลาของเรามันจำกัด มันจะได้ทันเหตุการณ์ เราทุกท่านทุกคนพากันอยู่ที่ปัจจุบัน เพื่อเป็นปัจจุบันธรรม ทางจิตใจ ทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราจะไม่ได้ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลินความประมาท ก่อนพระพุทธเจ้าท่านจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านบอกพวกพุทธบริษัททั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความเสื่อมสิ้นเป็นธรรมดานะ เราอย่าพากันหลง อย่าไปเพลิดเพลิน อย่าไปประมาท
ทุกคนก็พากันแก้ไขตัวเองให้ได้ อย่าไปว่าโอ้ยๆๆ ยากจัง พูดมันพูดง่าย แต่ปฏิบัติยาก เออจริง...ยาก ถ้าเอาตัวตน มันก็ต้องยากน่ะ เพราะความถูกต้อง การทำได้ทำไม่ได้คือยกเลิกตัวตน มีตัวตนมันก็เป็นของยาก ให้ทุกคนเข้าใจเรื่องประพฤติเรื่องปฏิบัติ เราอย่าไปว่าการประพฤติการปฏิบัติเป็นของยาก
ขออนุโมนทากับทุกๆ ท่าน ผู้ที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่สูงสุด ท่านต้องพัฒนาใจท่าน พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง ดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ให้งามในเบื้องต้นด้วยศีล งามในท่ามกลางด้วยสมาธิ และงามในที่สุดด้วยปัญญา พาไปสู่ความสงบเย็นเป็นพระนิพพานนับจากนี้ด้วยเทอญ...
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee