แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันพุธที่ ๑ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๖๒ ความยกเลิกตัวตนนั้น จะเป็นความดับทุกข์ สงบเย็นในปัจจุบัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การดำรงชีวิตของพวกเรา ต้องพัฒนาใจให้มีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง และพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ทุกคนในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวันเพื่อให้เป็นอริยมรรค ทุกคนต้องพากันปฏิบัติอย่างนี้ การเรียน การศึกษา ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก นั้นเป็นสัมมาทิฏฐิทางจิตใจ เป็นสัมมาทิฏฐิทางวิทยาศาสตร์ ๒ อย่างนี้ต้องไปพร้อมๆ กัน ยกเลิกความไม่ถูกต้อง เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ทั้งทางจิตใจและทางวัตถุให้เป็นทางสายกลาง ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ สัมมาทิฏฐิทางฝ่ายวัตถุ สัมมาทิฏฐิฝ่ายจิตใจเป็นสิ่งที่สำคัญ เป็นการขับเคลื่อน เป็นภาคประพฤติ ภาคปฏิบัติ และความตั้งมั่นเพื่อติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำ เป็นแม่น้ำ เป็นทะเล เป็นมหาสมุทร
ทุกคนต้องยกเลิกความเป็นนิติบุคคล ตัวตนเราเขา ถึงพวกเราจะมีความรู้สึกหนาว ร้อน อ่อน แข็ง ชอบ ไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้ก็ให้ทุกท่านมีสัมมาทิฏฐิ ว่าเรื่องนี้ สิ่งเหล่านี้ มันเป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตนเราเขา มันเป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทฝ่ายวัตถุ ใจของเราต้องพากันมีพุทธะ ยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ว่าเป็นผัสสะ เป็นอายตนะ เราทุกคนต้องยกสิ่งเหล่านี้สู่พระไตรลักษณ์ อย่าได้หลงนิมิตทางอารมณ์ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ยกเลิกตัวตน พระอรหันต์คือผู้ที่ยกเลิกตัวตน เมื่อเราไม่ยกเลิกตัวตนนั้นเราจะรับผัสสะ รับธรรมะกับท่านไม่ได้ พวกเราทุกคนพากันเข้าใจนะ การดำรงชีวิตของเราต้องพากันรู้จักอย่างนี้ ต้องเข้าใจและประพฤติปฏิบัติให้เป็น เราถึงจะบอกลูก บอกหลาน บอกประชาชนได้ เพราะทุกคนนั้นต้องเป็นพุทธะทางความรู้ความเข้าใจ ไม่ได้เป็นอย่างอื่น แต่มันอยู่ที่ตัวของเราเองทุกๆ คน เราถึงจะพากันช่วยเหลือตัวเองได้ เราก็พากันเดินไปพร้อมๆ กัน เมื่อเราทุกคนยกเลิกตัวตน เราก็จะเข้าถึงความบริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ เมื่อเราไม่เข้าใจ เมื่อเราไม่เป็น เราจะไปบอก ไปสอนใครได้ ทุกคนต้องพากันโฟกัสกลับมาหาตัวเอง เมื่อเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ตัวของเราก็สงบ อบอุ่น เยือกเย็น ครอบครัวเราก็สงบ อบอุ่น เพราะเราได้สร้างแอร์คอนดิชั่นขึ้นในตัวเรา เมื่อเราสร้างความสงบอบอุ่น บรรยากาศในตัวเราก็จะดีขึ้น บรรยากาศในครอบครัวก็จะดีขึ้น เพราะเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เราก็จะไม่เผาตัวเอง ไม่เผาคนอื่น เป็นความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เมื่อเรามีความสงบอบอุ่น ชีวิตของเราก็เป็นชีวิตแอร์คอนดิชั่น ความสมัครสมานสามัคคีก็ย่อมมี เพราะทุกคนได้รับความสงบอบอุ่น เพราะจิตใจมีบริสุทธิคุณ ปัญญาธิคุณ กรุณาธิคุณ
ความยกเลิกตัวตนนั้นมันจะเป็นพระนิพพานในปัจจุบัน ในชีวิตประจำวัน การยกเลิกตัวตนมันเป็นความสมัครสมานสามัคคีกัน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน ความสมัครสมานสามัคคีกันจะเป็นไปไม่ได้ แต่ละครอบครัวก็ไม่มีความสุข สงบ อบอุ่น เพราะแต่ละครอบครัวนั้นไม่รู้อริยสัจ ๔ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ความไว้เนื้อเชื่อใจก็ย่อมไม่มี เราทุกคนต้องพากันมารู้จัก รู้แจ้ง ว่าเราเกิดมาทำไม เราเรียน เราศึกษาทำไม เราทำมาหากินทำไม เรามาบวชมาปฏิบัติทำไม เราต้องเข้าใจว่าการกระทำที่กล่าวมานี้คือ เพื่อให้ถูกต้องทางใจ ถูกต้องทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเมื่อไหร่ ความทุกข์ย่อมมี ย่อมเป็น ตามเหตุปัจจัยตามกระบวนการ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้ก็ถึงมี โลกนี้ต้องมีการปกครองโดยเอาธรรมะเป็นหลัก เอาธรรมะนำชีวิต ทั้งฝ่ายจิตใจและฝ่ายวัตถุ
ที่ว่า “มนุษย์เกิดมาทำไม” ก็ต้องตามไปดูว่าเหตุปัจจัยของการเกิดนี้คืออะไร พระพุทธองค์ตรัสว่า เหตุปัจจัยของการเกิดมาเป็นมนุษย์ คือ เพราะมีตัณหา ตามพระพุทธภาษิต ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ ตัณหาทำให้คนเกิด และไม่ทำให้เกิดอย่างเดียว ทำให้ทุกข์ด้วย.. ที่ว่า ตณฺหามาตุกํ ทุกฺขํ ความทุกข์มีตัณหาเป็นมารดา มีพระพุทธภาษิตที่ยาวๆ เช่น ตณฺหา ชเนติ ปุริสํ ทีฆมทฺธานสํสรํ ตัณหาทำให้คนเกิด ทำให้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ตลอดกาลยาวนาน ให้เป็นอย่างนั้นบ้าง ให้เป็นอย่างนี้บ้าง ไม่อาจจะล่วงพ้นสังสารวัฏไปได้
ตัณหาคือความอยาก ถามว่าอยากอะไร ก็อยากใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส (ผ่านทางอายตนะทั้ง ๖ คือ ตา,หู,จมูก ลิ้น,กาย,ใจ) เป็นความอยากที่เกิดจากความไม่รู้ จึงทำให้สิ่งหนึ่งยังต้องเกิดมาเป็นมนุษย์บนโลกนี้ ส่วนจะเกิดแล้วเป็นอะไรก็แล้วแต่ว่าสร้างเหตุปัจจัยมาอย่างไร
ทุกชีวิตในโลกนี้ ประชากรของโลกขณะนี้รวมๆ ๘ พันล้านคน ต้องดำเนินชีวิตที่เอาธรรมะนำชีวิต เอาธรรมะนำวัตถุ เพราะความถูกต้องก็คือความถูกต้อง เราไม่ได้ตัด ไม่ได้เพิ่ม ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ถ้าเราไม่มีสัมมาทิฏฐิ เราก็ไม่รู้ว่าเราเกิดมาทำไม ทำเพื่ออะไร ทุกท่านทุกคนพากันมาปฏิบัติที่ตัวเอง แก้ที่ตัวเอง ทำหน้าที่ของเราให้สมบูรณ์ วันหนึ่งคืนหนึ่งพากันนอนวันละ ๖ ชั่วโมง อีก ๑๘ ชั่วโมง เป็นเวลาที่หมู่มวลมนุษย์ตื่นอยู่ ก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีฉันทะ มีความพอใจ มีความสุขในการประพฤติ การปฏิบัติ เมื่อทุกคนยกเลิกตัวตน ชีวิตก็เป็นแอร์คอนดิชั่น มีสัมมาทิฏฐิ มีความสุขทางวัตถุ พร้อมกับรู้เรื่องไตรลักษณ์ รู้เรื่องอริยสัจ ๔ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตน ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น เป็นเพียงสภาวะธรรม จิตใจของเราก็จะเป็นธรรมะ เป็นปัจจุบันที่เป็นธรรม ความเครียดของหมู่มวลมนุษย์ก็จะไม่มี เพราะความเครียดมีเพราะความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เพราะความเครียดของมนุษย์มีเพราะความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เอาธาตุ เอาขันธ์เป็นเรา เอาอายตนะเป็นเรา มันก็เป็นความเครียด มันไม่เครียด มันเป็นไปไม่ได้ เพราะมันเป็นกระบวนการของความเครียด
เราทุกคนมีความกลัว ทำไมมันกลัว เพราะมีตัวตน มันต้องกลัว คนเรานะ ถ้าไม่มีตัวตนมันไม่กลัว ความกลัวที่เกิดขึ้นมาได้เพราะมีตัวตน ตัวตนนี่ทำให้กลัว ทำให้เป็นความทุกข์ เราจะยกเลิกความกลัวได้อย่างไร เราจะยกเลิกความกลัวได้ คือยกเลิกธาตุ ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ ยกเลิกกาย ใจ นี่แหละ พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ แต่ความมีตัวมีตนหนะ ทุกคนไม่อยากภาวนา ไม่อยากยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ความกลัวนี่ก็ไม่อยากภาวนา พิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ จะพากันเอาแต่ความสงบ คิดว่าความสงบจะแก้ไขได้ ความสงบแก้ได้ ความสงบแก้ไขได้อยู่ แต่เป็นระดับหินทับหญ้า มันไม่ครบวงจร มันไม่พร้อมด้วยศีล สมาธิ ปัญญา มันไประดับสมาธิ เราดูภาพรวมของโลก ก็เอาความสุขระดับมนุษย์ ระดับสวรรค์ ระดับเอาความสงบ พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานพราหมณ์ก่อน พราหมณ์นั้นก็ได้เพียงความสงบ เอาความสงบคือความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ได้นะ ต้องพัฒนาขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เพราะความสงบมันไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ เมื่อเราออกจากความสงบ โลกธรรมมันก็ครอบงำเรา เมื่อตาเห็นรูปก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า หูได้ยินเสียงก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า อายตนะทั้งหลายกระทบผัสสะก็เหมือนกับถูกฟ้าผ่า เพราะเราเอาแต่ความสงบอยู่ เรามีตัวมีตนอยู่ ยังไม่เข้าถึงอริยมรรค ที่ทั้ง ๓ อย่าง ที่เป็นศีล สมาธิ ปัญญา
เรามีตัวมีตน เรียนหนังสือก็เพื่อจะเอา ทำงานก็เพื่อจะเอา มาบวชก็เพื่อจะเอา การที่จะเอามันแก้ปัญหาได้ไหม ไม่ได้ เพราะความหลงของเรามันซ้อนอยู่ เพราะเรายังไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ ชีวิตของเรามันไม่ได้เป็นชีวิตที่สดชื่นเบิกบาน เพราะโลกธรรม ความหลง มันครอบงำใจเรา ความทุจริตหมายถึงตัวตน เราเอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตนะเป็นเรา คือทุจริต เพราะทุกอย่างไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นเพียงเหตุ เพียงปัจจัยเท่านั้น ไม่ใช่เรานะ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ใครจะมาไว้วางใจผู้ที่มีตัวตน พวกลูก พวกหลาน ก็ไม่ไว้วางใจพ่อแม่ปู่ย่าตายาย เพราะมันไม่ถูกต้อง ที่ว่าพ่อแม่เป็นพระอรหันต์ประจำบ้าน เราไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราเอาตัว เอาตน เป็นที่ตั้ง พวกลูกหลานมันก็เถียงเรา เพราะเรามีตัว มีตน เรามีตัว มีตน ถึงแม้เราจะเป็นเจ้าอาวาส พระรูปวัดก็ไม่นับถือเรา เพราะเรามีตัว มีตน เราไม่ได้เป็นเจ้าอาวาส เราเป็นเจ้าอาละวาด เราจะไปแก้ที่ไปเหตุ เราก็ไม่ได้แก้ที่ตัวเอง เหมือนอย่างรถไฟมีหลายโบกี้ สิ่งที่สำคัญอยู่ที่หัวจักร ถ้าหัวจักรเสียมันไปได้ไหม? ไปไม่ได้ การมีตัว มีตน มันคือไปไม่ได้ ตัวตนคือตัวทุกข์ ตัวเหตุให้เกิดทุกข์ ข้อปฏิบัติที่ทำให้มีความทุกข์
ให้ทุกคนพากันเข้าใจ อย่าพากันแก้ไขที่คนอื่น หรือว่าปลายเหตุ ต้องพากันมาแก้ที่ตัวเอง เพื่อให้มันง่ายขึ้น เมื่อแก้ไม่ถูก มันก็แก้ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ถูกต้อง มันก็แก้ไม่ได้ สถานที่ไม่สงบ สถานที่ไม่วิเวก ไม่สัปปายะ อันนั้นไม่จริง เรามีตัว มีตน เราไม่รู้อริยสัจ ๔ ต่างหาก ที่ทำให้ไม่มีความสงบ ความวิเวก เพราะความสงบ ความวิเวก สงบเย็น อยู่ที่เรานี่เอง ต้องเข้าใจปัญหานะ ถึงจะมีตึกสูงตระหง่านฟ้า ประชากร 8,000 ล้านคน ทุกอย่างนั้นก็จะไม่มีปัญหา ถ้าเรายกเลิกตัวตน ทุกอย่างมันก็จะอยู่เก้อๆ ของมันอย่างนั้น ต้องเข้าใจอย่างนี้ เราต้องรู้ว่าความสงบความวิเวก อยู่ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พระนิพพานคือว่างจากตัวตนนะ ไม่ใช่ให้สิ่งภายนอกมันว่าง ให้เข้าใจ ให้สิ่งภายนอกว่างจะมีประโยชน์อะไร พระนิพพานก็ขาดศูนย์สิอย่างนี้
พระพุทธเจ้าท่านเข้าถึงพระนิพพานตั้งแต่ตายก่อนตาย พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ ท่านทรงธาตุ ทรงขันธ์ ทรงอายตนะอยู่ ๔๕ พรรษา วันหนึ่งคืนหนึ่งทรงบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง เสียสละเพื่อหมู่มวลมนุษย์และเทวดาและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ๒๐ ชั่วโมง ทรงใช้วันเวลาให้ผ่านไปด้วยความเสียสละการบำเพ็ญพุทธกิจเพื่อเวไนยสัตว์ คือ ๑. ปุพฺพณฺเห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาเช้าเสด็จบิณฑบาต
๒. สายณฺเห ธมฺมเทสนํ เวลาเย็นทรงแสดงธรรม
๓. ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ เวลาค่ำประทานโอวาทแก่เหล่าภิกษุ
๔. อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหนํ เที่ยงคืนทรงตอบปัญหาเทวดา
๕. ปจฺจุสฺเสว คเต กาเล ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ จวนสว่าง ทรงตรวจพิจารณาสัตว์ที่สามารถและที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมอันควรจะเสด็จไปโปรดหรือไม่ (สรุปท้ายว่า เอเต ปญฺจวิเธ กิจฺเจ วิโสเธติ มุนิปุงฺคโว พระพุทธเจ้าองค์พระมุนีผู้ประเสริฐทรงยังกิจ ๕ ประการนี้ให้หมดจด)
ในวันหนึ่งๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น จะทรงบำเพ็ญกรณียกิจอยู่ ๕ อย่าง ซึ่งเป็นกิจวัตรหลัก พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญประโยชน์ทั้งกลางวัน และกลางคืน เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขของเหล่าเวไนยสัตว์ เพราะอัตตหิตประโยชน์ คือ ประโยชน์ของพระองค์ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์แล้ว ตั้งแต่ประทับนั่งอยู่ใต้ควงไม้พระศรีมหาโพธิ์ ในวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ นั่นคืองานขจัดกิเลสอาสวะให้หมดสิ้นไปจากใจ เหลือเพียงประโยชน์ของชาวโลก คือ งานสร้างสันติสุขให้บังเกิดขึ้นในโลก ซึ่งเป็นพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ที่จะนำพาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้หลุดพ้นจากทุกข์ไปสู่มรรคผลพระนิพพาน
ในบรรดาพุทธกิจ ๕ อย่างนั้น เริ่มตั้งแต่กิจวัตรในเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จลุกขึ้นแต่เช้าตรู่ ทรงปฏิบัติพระสรีระ และทรงประทับนั่งเข้านิโรธสมาบัติบนพุทธอาสน์จนถึงเวลาภิกขาจาร ครั้นถึงเวลาภิกขาจาร ทรงครองจีวร ถือบาตร บางครั้งเสด็จพระองค์เดียว บางครั้งแวดล้อมไปด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์ เสด็จเข้าไปบิณฑบาตตามหมู่บ้านหรือพระนคร
เมื่อพระบรมโลกนาถเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ลมที่พัดอ่อนๆ พัดไปเบื้องหน้าแผ้วพื้นพสุธาให้สะอาดหมดจด ทันทีที่พระบาทเบื้องขวาประดิษฐานลงภายในธรณีประตู พระฉัพพรรณรังสีก็เปล่งสว่างไสว แผ่ซ่านออกจากพระพุทธสรีระประมาณ ๑ วา และนกทั้งหลายซึ่งอยู่ในสถานที่ใกล้ๆ พากันเปล่งสำเนียงเสนาะโสต เมื่อพุทธศาสนิกชนรู้ว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาต ต่างพากันแต่งตัวนุ่งห่มเรียบร้อย พร้อมทั้งถืออาหารคาวหวานของหอมและดอกไม้ ออกจากบ้านเดินไปตามถนน บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยของหอมและดอกไม้ ด้วยความเคารพ ถวายบังคมแล้วกราบทูลขอสงฆ์ว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์โปรดประทานภิกษุแก่พวกข้าพระองค์ แล้วรับบาตรน้อมถวายบิณฑบาตโดยเคารพ
หลังจากทำภัตกิจแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงพระธรรมเทศนาโปรดพุทธบริษัทให้ได้บรรลุธรรม ตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ จนกระทั่งได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากนั้นทรงลุกจากอาสนะเสด็จกลับพระวิหาร ครั้นทรงบำเพ็ญพุทธกิจช่วงนี้แล้ว ทรงประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ตามสมควรแก่จริตอัธยาศัยของภิกษุแต่ละรูป ทรงประทานกรรมฐานที่เหมาะแก่ภิกษุแต่ละรูป
เมื่อภิกษุสงฆ์รับโอวาทแล้ว ก็กลับไปที่พักกลางวันของตนเอง หาที่หลีกเร้นตามอัธยาศัย เช่นไปสู่ป่า ไปสู่โคนไม้ เรือนว่าง ลอมฟาง สำหรับท่านที่มีฤทธานุภาพมาก กิจที่จะทำอาสวะให้สิ้นไปของท่านสำเร็จแล้ว ท่านจะเข้านิโรธสมาบัติ เสวยสุขอยู่ด้วยพระนิพพานในปัจจุบัน
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ตรวจดูเหล่าเวไนยสัตว์ที่จะได้บรรลุธรรมาภิสมัยตามสถานที่ต่างๆ ในช่วงคล้อยบ่ายไปแล้ว มหาชนพากันนุ่งห่มเรียบร้อย ถือของหอมและดอกไม้ มาประชุมกันในพระวิหารโดยพร้อมเพรียง เมื่อถึงเวลาพระพุทธองค์จะทรงแสดงธรรม ที่ควรแก่กาลสมัยท่ามกลางธรรมสภา ซึ่งการเทศนาของพระพุทธองค์ในแต่ละครั้งจะมีผู้บรรลุธรรมกันมากมาย
หากพระผู้มีพระภาคเจ้ามีพุทธประสงค์จะสรงสนานพระวรกาย จะเสด็จลุกจากพุทธอาสน์เข้าสู่ซุ้มที่สรงสนาน ทรงสรงพระวรกายด้วยน้ำที่ภิกษุผู้เป็นพุทธอุปัฏฐากจัดถวาย จากนั้นจะเสด็จไปประทับบนพุทธอาสน์ในพระคันธกุฏี หลีกเร้นอยู่เพียงลำพังพระองค์เดียว ในช่วงค่ำภิกษุสงฆ์พากันมาเข้าเฝ้าเพื่อฟังธรรม ทูลถามปัญหา หรือทูลขอกรรมฐาน ตลอดช่วงเย็นนั้นพระพุทธองค์จะให้โอกาสกับพระภิกษุสงฆ์ซักถามปัญหาได้เต็มที่จนถึงปฐมยาม ซึ่งอยู่ในช่วงราว ๔ ทุ่ม เมื่อสิ้นสุดกิจในปฐมยาม หลังจากภิกษุสงฆ์ถวายบังคมลาพระพุทธองค์แล้ว เหล่าเทวดาในหมื่นโลกธาตุ จะพากันมาเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อทูลถามปัญหาที่เตรียมมา เทวดาเขารักในการฟังธรรมมากทีเดียว พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเมตตาตอบปัญหาแก่เทวดาจนบรรลุธรรมกันมากมายนับไม่ถ้วน ส่วนปัจฉิมยาม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแบ่งเวลาออกเป็น ๓ ส่วน คือ ทรงยับยั้งอยู่ด้วยการเสด็จจงกรม เพื่อเปลื้องจากความเมื่อยล้าที่ทรงนั่งแสดงธรรม และตอบปัญหาเทวดามาเป็นเวลาหลายชั่วโมง
ในส่วนที่สอง พระองค์จะเสด็จเข้าพระคันธกุฎี ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ สำเร็จสีหไสยาสน์ คือ ทรงนอนตะแคงขวา พระองค์บรรทมโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องเสด็จลุกขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่สามของปัจฉิมยาม ครั้นเสด็จลุกขึ้นประทับนั่งแล้ว ทรงใช้พุทธจักษุแผ่ข่ายพระญาณออกไปตลอดหมื่นโลกธาตุ เพื่อตรวจดูสรรพสัตว์ผู้สร้างสมบุญญาธิการไว้อย่างดีแล้ว มีบารมีและอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะได้บรรลุธรรมาภิสมัย แม้อยู่ไกลเพียงไร พระองค์ก็จะเสด็จไปโปรดให้ได้บรรลุธรรม นี่เป็นพุทธกิจ ๕ ประการ โดยย่อๆ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา
จึงต้องเข้าใจว่านิพพานเน้นที่ปัจจุบัน โฟกัสที่ปัจจุบัน พระพุทธเจ้าให้เราโฟกัสมาที่ปัจจุบัน ไม่ใช่มาบอกเราว่าให้ทานอย่างนี้ได้บุญเยอะนะ จะได้ไปเกิดบนสวรรค์มีวิมานรองรับ สอนอย่างนี้ทำให้โลกมันฉิบหาย เพราะว่าสอนให้มีตัวมีตน เรามีความคิดเห็นอย่างนี้ ไม่รู้จักคำว่าพุทธะนะ ถ้าเราเกี่ยวข้องกับคนที่ให้ผลประโยชน์เรา ให้อำนาจเราน่ะ เราก็จะนะจ๊ะ นะจ๊ะ เหมือนกับเป็นอยู่ทุกวันนี้ มันไม่ได้ เพราะตัวตนคือความหลง คือไสยศาสตร์ ตัวเราหลงยังไม่พอ ยังไปบอกให้ประชาชนคนมากมายให้หลงเหมือนเรา ไม่ได้ ไม่ใช่พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมคำสอนของพวกที่หลงอยู่ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่รู้ทุกข์ รู้ความดับทุกข์ แม้แต่คำว่าขอบคุณก็ไม่ต้องการ เขาเรียกว่าเป็นผู้ให้ ถ้าเรามีความคิด คิดว่าเราจะเอาเรา ก็ยังมีหัวใจระดับเปรตอยู่ เปรตก็คือผู้ที่จะเอา เราต้องเข้าใจ
มนุษย์เราเกิดมาต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ต้องมาเสียสละยกเลิกตัวตน ปรับตัวเข้าหาเวลา ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เวลาเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ยกเลิกตัวตนอย่างนี้ เรามีตัวมีตนเราเลยพากันเซ่อ เบลอ ซื่อบื้อ ไม่เทคแคร์สิ่งที่ถูกต้องในปัจจุบันเลย ไม่น้อมเข้าหาความถูกต้อง เป็นคนแข็งกระด้าง เป็นคนไม่รู้เรื่องปัจจุบัน ไม่รู้ว่าอันนี้ไม่ต้องคิด อันนี้ไม่ต้องพูด อันนี้ไม่ต้องทำ ตัวตนนั้นเรียกว่ามันไม่รู้ เรียกว่ามันซื่อบื้อเหลือเกิน เรียกว่าไม่รู้จัก ปล่อยให้ตัวตนทำงาน เรียกว่าไม่รู้จักกาลเทศะ คนมีตัว มีตน เรียกว่าคนไม่รู้จักกาละเทศะ ปล่อยให้ตัวตนทำงาน เขาเรียกว่าผู้ที่ไม่มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ตัวตนนั่นแหละคือสติสัมปชัญญะจะไม่สมบูรณ์ เราทุกคนต้องเป็นผู้ให้ ต้องเป็นผู้เสียสละ เรายกเลิกตัวตนมีความสุขในการทำงาน ถ้าครอบครัวเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็มีความสุขในการทำงาน ครอบครัวเราก็ไม่ยากจน เพราะคนไม่มีตัวตน มันไม่มีตัวตนหนะ เพราะคนไม่มีตัวตนมันไม่มีความขี้เกียจ ตัวตนน่ะมันขี้เกียจ ตัวตนมันหลงตัวเอง หลงลูก หลงหลาน หลงทรัพย์สมบัติ นี่คือตัวตนนะ ไม่ใช่รักตัวเอง รักลูก รักหลาน รักคนอื่นนะ มันหลง ทุกคนโฟกัสมาหาตัวเองนะ เราน่ะหลงลูก หลงหลาน ทำให้ลูกหลานเสียคน ไม่ให้ลูกหลานปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับตัวเข้าหาเวลา นั่นคือผู้ที่ทำลายลูก ทำลายหลาน ตัวตนน่ะมันพากันหลงเห็นไหม เด็กขวบ ๒ ขวบไปถึงอากงอาม่า พระคุณเจ้าทั้งหลายพากันหลง พากันเล่นโทรศัพท์ ไลน์โทรศัพท์ มันจะมองหน้าใครล่ะ มันมองแต่โทรศัพท์ เล่นโทรศัพท์ นั่นแหละกำลังบริโภคอวิชชาความหลงนะ เป็นผู้ที่ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ไม่มีความสุขในการทำงาน เมื่อเราไม่มีความสุขในการทำงาน ครอบครัวเรามันก็ยากจน ประเทศชาติเราก็ยากจน เราจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยงครอบครัว จะเอาทรัพย์สมบัติที่ไหนมาใช้ มาจ่าย เพราะเราไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ไม่มีความสุขในการทำงาน อวิชชาความหลงเล่นงานเรานะ เราทุกคนต้องพากันมาเสียสละตัวตนนะ โลกถึงจะก้าวไปด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพราะการบริหารใจของเรา บริหารครอบครัว หรือว่าประเทศ ต้องเดินไปทั้งทางจิตใจ และทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราจะเอาแต่ใจ เราจะทานอาหารที่ไหน มีบ้าน มีรถ มีเครื่องบินได้อย่างไร เราจะเอาแต่วัตถุ จิตใจของเราก็ไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ มันก็มีแต่โกงกินคอรัปชั่น ของทุกอย่างบนโลกเขาต้องเสียภาษีอากร เพื่อที่จะปกครองโลก เพื่อให้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาทออกมานะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ข้าราชการก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวตน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนักการเมืองก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวตน นักบวชก็เป็นไปไม่ได้ เพราะตัวตน ตัวตนเป็นเรื่องคอรัปชั่น ถ้ายกเลิกตัวตน สมัครสมานสามัคคี ถ้ายกเลิกตัวตนก็คือสมัครสมานสามัคคี ตัวตนนั้นน่ะเป็นเรื่องของคอรัปชั่นที่เกิดขึ้นในโลก ตัวตนน่ะคนรวยก็รวยที่สุดในโลก คนจนก็จนที่สุดในโลก นั่นคือผลของอวิชชาความหลง ไม่ใช่พุทธะ ตัวตนทำให้ทุกคนไม่รู้ธรรมะ ไม่รู้ว่าสิ่งที่ดีที่สุดคือธรรมะ คือความถูกต้อง ตัวตนเรียกว่าความไม่เข้มแข็ง โลกจะเข้มแข็ง ประเทศเข้มแข็ง ต้องมายกเลิกตัวตน พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน อย่างครอบครัวเรายกเลิกตัวตน ครอบครัวเราก็เข้มแข็ง ยกเลิกตัวตนมันมีความสมัครสมานสามัคคี เพราะทุกคนเห็นด้วยพอใจ ถ้าเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็อยากเสียภาษีอากร อยากเสียสละเพราะการเสียสละเป็นความสุขนะ เราไม่เสียสละเราก็ไม่มีความสุข ไม่ปรับตัวเข้าหาธรรมะก็ไม่มีความสุข ไม่ปรับตัวเข้าหาเวลาก็ไม่มีความสุข การที่มีเงิน ๑๐๐ บาท เพราะตัวตนมันก็กินไปแล้ว ๖๐ บาท ๗๐ บาท มันจะพัฒนาประเทศได้อย่างไร เพราะตัวตนนี่แหละคือบ่อนทำลาย ตัวตนยกเลิกธรรมะ ยกเลิกความถูกต้อง ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ความสมัครสมานสามัคคี ยกเลิกตัวตนจึงเป็นสิ่งที่ชนะเลิศ อย่างจังหวัดนครราชสีมานี้ เดี๋ยวนี้มีประชากรประมาณ 2,600,000 เมื่อเราทุกคนยกเลิกตัวตน เพียงเสียสละคนละ 1 บาท วันหนึ่งก็ได้สตางค์วันละ 2,600,000 บาท ปีหนึ่งก็ได้เงินเพิ่มมาก ผลของการเสียสละปี 1 ก็ได้เงินเพิ่มมาก อีกหลายปีก็ได้เพิ่ม ความมั่นคงในการเสียสละ ยกเลิกตัวตน ความสมัครสมานสามัคคีมันถึงช่วยเหลือจังหวัดนครราชสีมา เช่น ความแห้งแล้งก็ดี น้ำท่วมก็ดี ยกเลิกตัวตนเท่านั้นจึงจะเกิดความสมัครสมานสามัคคีขึ้นได้ ความสมัครสมานสามัคคีต้องเกิดในหมู่มวลมนุษย์ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ถ้าเรามีตัวมีตน ความสมัครสมานสามัคคีมันก็น้อย มันก็จะไปหนักใครคนใดคนหนึ่ง เหมือนกับครอบครัวครอบครัวหนึ่ง ถ้าคน 1- 2 คนทำงาน มีคนคอยบริโภค 5 คน 6 คนมันก็ไม่รอด เพราะตัวตนเยอะ ไม่ยกเลิกตัวตน ความสมัครสมานสามัคคีไม่มี รอแต่กินอย่างเดียว เพราะตัวตนคือคอรัปชั่นไป 60% 70% ผู้รับเหมาเอาไปกินยังเหลืออยู่ อย่างมากก็ 20% เพื่อส่วนรวม เราต้องรู้ความเข้มแข็ง ความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พัฒนาใจของเราด้วย พัฒนาวัตถุของเราด้วย อย่างมีความสุข เราจะได้ไม่อยู่กับความหลง ความฟุ้งซ่าน อยู่กับความไม่ถูกต้อง ความไม่ยุติธรรม เอาตัวตนครองธาตุ ครองขันธ์ ครองอายตนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมึนตึ๊บ ว่าเราจะแก้ไขได้อย่างไร แก้ไขไม่ยาก ทำอย่างนี้แหละ ความเข้มแข็งถึงจะส่วนรวมก็มาช่วยกัน ส่วนครอบครัวก็มาช่วยกัน เราจะไปรอแต่ให้คนอื่นมาช่วย มันยังไม่ใช่ เราต้องช่วยตัวเอง ต้องเป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ ตัวตนคือไม่เป็นผู้ให้ ไม่เป็นผู้เสียสละ
ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทคอยมาเป็นผู้เอา มาเป็นผู้รับประเคน มารับจ๊อบ ไม่ได้เป็นผู้ที่เสียสละเลย เมื่อไม่เสียสละ มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นได้อย่างไร คิดไปแล้วหัวมันจะระเบิด มันเป็นไปไม่ได้ มาบวชให้มายกเลิกตัวตน เราก็จะมาเอา เป็นผู้เอา มันเป็นไปไม่ได้ ตัวตนคือการทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ คำว่าชาติ หมายถึงความเป็นมนุษย์ เหมือนคำของท่านเจ้าคุณพุทธทาส เป็นมนุษย์ได้เพราะมีจิตใจสูง... เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันจะสูงได้อย่างไร มันก็ต่ำที่สุด การมาบวช มาบรรพชาอุปสมบท มันเลยเป็นโมฆะ เพราะเราไม่เข้าใจว่าเราเกิดมาทำไม เรียนศึกษาทำงานทำไม เราต้องเข้าใจนะ เราเกิดมาเพื่อพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ ต้องเข้าใจว่าศีลมีความหมายว่าอย่างไร ศีลคือยกเลิกตัวตน สมาธิคือยกเลิกตัวตนที่ไม่เป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่างจากตัวตน ปัญญาเป็นตัวพัฒนาสู่พระไตรลักษณ์ ยกเลิกตัวตน เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ สำหรับผู้ที่เป็นเสขะบุคคลต้องพัฒนาทั้งนามธรรมรูปธรรมไปพร้อมๆ กัน เราต้องเข้าใจนะว่าชีวิตของพวกเราเป็นชีวิตที่ประเสริฐมาก เรายังไม่รู้เรื่องเลยว่าสิ่งที่ประเสริฐได้เกิดขึ้นกับเรา เรายังไม่รู้คุณค่าของธรรมะ ยังไม่รู้คุณค่าของลมหายใจ ปล่อยโอกาส ปล่อยเวลาให้ผ่านไป ด้วยอวิชชาความหลง มันเป็นการทำลายความมั่นคงของพวกเรา มันเป็นสิ่งที่เสียหาย เวลามันกลืนกินทุกคน ให้ทุกคนแก่ไป รอให้เขาประชุมเพลิง หรือพระราชทานเพลิง ก็แล้วแต่ มันไม่มีประโยชน์อะไร เราเอาตัวตน เดี๋ยวก็เสื่อม เดี๋ยวก็เจริญ ความเสื่อม ความเจริญ อยู่ที่ตัวตน มันก็เป็นได้แต่อวิชชาความหลง เราต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ชีวิตของเราจะได้ผ่านไปอย่างพุทธะ ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน จึงจะเป็นทางสายกลาง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee