แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันอังคารที่ ๓๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๖๑ ความสงบอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง จึงต้องว่างจากตัวตน อย่ามีตัวมีตนเลย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราเกิดมาร่างกายเป็นมนุษย์ เป็นสัปปายะที่ประเสริฐ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติใจ ปฏิบัติกาย เพื่อให้ถูกต้อง เพื่อจะเข้าถึงความดับทุกข์ทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน จึงได้มีการเรียนการศึกษา ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ฝ่ายจิตใจตั้งแต่นักธรรมตรี จนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค ชีวิตของมนุษย์ต้องเดินสายกลาง พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็นธรรม เป็นความยุติธรรมไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราเอาความถูกต้องนำชีวิต ชีวิตของเราก็จะพากันเป็นได้แต่เพียงคน เป็นได้แต่เพียงความหลง นี้เป็นความหมายคำว่าคน นี้เป็นความหมายคำว่าชาติ เป็นอริยมรรคในกาย ในวาจา ในใจ ในธุรกิจหน้าที่การงาน ถ้าไม่อย่างนั้นการเรียน การศึกษา ก็เป็นไปเพื่อตัวตน การทำงานก็เพื่อตัวตน ตัวตนมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ มันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป นอกจากทุกข์นั้นไม่มีเลย มันไม่ใช่ปัญญาสัมมาทิฏฐิทางจิตใจ มันไม่ใช่ปัญญาสัมมาทิฐิทางวัตถุ มันไม่ได้เป็นทางสายกลาง โครงสร้างของโลกนี้ ความถูกต้องคือที่ยกเลิกตัวตน เอาธรรมนำชีวิต เอาธรรมนำวัตถุ ที่พัฒนาใจ พัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เพื่อเป็นคนรุ่นใหม่ สมัยใหม่ ต่อยอดจากคนรุ่นเก่าสมัยเก่า เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เข้าถึงความเป็นธรรม ความยุติธรรมไม่ได้ ตัวตนนั้นคือปัญหาของเราทุกคน นั่นแหละคือเจ้าปัญหา เป็นทาสของอวิชชาของความหลง ที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ท่านมายกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกตัวตน เราถึงจะเป็นผู้เข้าสู่ความเป็นธรรม เป็นความยุติธรรม เป็นความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์ เพราะเรามีตัวมีตนมันก็ซื่อบื้อ ปัญญามันเกิดไม่ได้ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งปัญญามันจะเกิดขึ้นไม่ได้ เรามีตัวมีตน ตัวตนทำให้เราไม่รู้อริยสัจ ๔ ระบบความคิดก็ไม่รู้จัก ระบบคำพูดก็ไม่รู้จัก เรียกว่าปฏิบัติไม่ถูกต้อง ความมีตัวมีตนมันจะทำลายตัวของเราเอง ตัวตนเป็นการทำร้ายตัวเอง เป็นการทำร้ายบุคคลอื่น เป็นความพินาศ เป็นความฉิบหาย มันเป็นอันตราย
ให้ทุกท่านพากันเข้าใจนะ ความหมายของศีลนี่คือมายกเลิกตัวตน ถ้าเรามีตัวตนแล้วเราจะเป็นคนไม่มีศีล สมาธินั้นคือการมายกเลิกตัว มายกเลิกตน เป็นสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ลบเรื่องอดีตที่เราผ่านมาออกไปให้หมด ปัจจุบันเราก็ว่างจากตัวจากตน ถึงแม้เราจะมีความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ รู้สึกหนาว รู้สึกร้อน สิ่งเหล่านี้ก็ไม่มีตัว ไม่มีตน มันก็เป็นเพียงธาตุ เพียงขันธ์ เพียงอายตนะ เราทุกท่านต้องยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันมีแน่ ไม่เที่ยง มันเกิดขึ้น มันตั้งอยู่ แล้วก็ดับไปอย่างนี้ มันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตนเลย ปัจจุบันนี้แหละเราต้องยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เพื่อให้ใจของเราเข้าสู่ในปัจจุบัน อนาคตเราทุกคนต้องตั้งเป้าหมายไว้ ว่าเราจะดำรงชีวิตที่ประเสริฐ เอาธรรมนำชีวิต ไม่เอาตัวตนนำชีวิต ยกเลิกตัวตนเสียหมด เมื่อยกเลิกตัวตนชีวิตของเราจะได้เที่ยงแท้แน่นอนต่ออริยมรรค คือหนทางที่ประเสริฐ ผู้ที่ยกเลิกตัวตน คือผู้ที่เที่ยงแท้แน่นอนต่อมรรคผลนิพพาน คือผู้ที่ตกกระแสของพระนิพพาน ที่ปิดอบายมุขอบายภูมิ ด้วยปัญญาที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง
คนเรามีตัวมีตนมันถึงได้พากันตรึกในกาม กามคือความหลงในความสุข ความสะดวกความสบาย ตรึกในพยาบาทคือความหลง ตามใจ ตามความไม่พอใจ เมื่อเราเป็นเสขะบุคคล บุคคลที่ยังต้องปฏิบัติอยู่ ก็ต้องพากันอบรมบ่มอินทรีย์อย่างนี้ ชีวิตของเราต้องดำเนินไปด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิ ต้องเอาทางจิตใจ ทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกตนมันก็ง่ายหรอก ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตนทำยังไงมันก็ไม่ได้หรอก มันมีแต่จะเครียด เพราะตัวตนคือความสับสน คือความเครียด เราเป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ มามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ชีวิตของเราจะเข้าสู่ความเป็นธรรม ความยุติธรรม ทางเรื่องจิตใจ ทางเรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่งมนุษย์เราก็พากันนอนสัก ๖ ชั่วโมง สมองของเราถึงจะมีสติ มีสัมปชัญญะสมบูรณ์ เราตื่นอยู่อย่างนี้ ๑๘ ชั่วโมง เราก็มีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม เพื่อเราจะได้ทำประโยชน์ตนเองในการประพฤติในการปฏิบัติ และประโยชน์ของบุคคลอื่น เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราทุกคนก็จะมีความสุข ทุกคนก็จะไม่เครียด ทุกๆ คนก็พากันคิดเหมือนกันว่าการปฏิบัติธรรมมันยาก การปฏิบัติธรรมไม่ยาก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันยาก เพราะความยากอย่างนี้คือตัวตน ความยากมันทำไม่ได้ ปฏิบัติไม่ได้ มันเป็นเรื่องตัว เรื่องตนนะ
ความเป็นพระของเราทุกคนมันเป็นได้พอๆ กัน ผู้ที่บรรพชาอุปสมบทก็เป็นพระได้ ผู้ที่เป็นคฤหัสถ์ก็เป็นพระได้ เหมือนทุกท่านทุกคนทานอาหารนี่แหละ ทุกคนก็ดับทุกข์ทางกายได้ทุกคน ไม่มีใครยกเว้น ความดับทุกข์ไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ถ้าเราไม่เข้าใจจะพลาดโอกาสเสียเวลา การปฏิบัติเหมือนกับพวกที่เรียนหนังสือที่โรงเรียน เมื่อเรียนเข้าใจแล้วก็ไปเรียน ไปอ่านได้ทุกหนทุกแห่ง ทุกท่านทุกคนพากันรู้ตัวเอง มีสติรู้ตัวโทษพร้อม ที่เป็นสติปัฏฐานทั้ง ๔ ว่า เรากำลังยืน กำลังเดิน กำลังนั่ง กำลังนอน กำลังพูด กำลังทานอาหาร ปัจจุบันเราต้องรู้ตัวเอง เราต้องเอาความถูกต้องมาประพฤติ มาปฏิบัติในปัจจุบัน ถ้าเราเอาแต่ตัว เอาแต่ตน มันก็เซ่อ มันก็เบลอ ไม่รู้เรื่องในการประพฤติ ไม่รู้เรื่องในการปฏิบัติ มันก็เป็นหินทับหญ้า มันไม่ใช่ปัญญา มีใจที่ประเสริฐแล้วก็ไม่เอาไปคิดที่ดีๆ มันก็เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พุทธะมันเกิดไม่ได้ เอาตัว เอาตน พุทธะมันเกิดไม่ได้ มีแต่นิวรณ์ มีแต่ฟุ้งซ่าน มีแต่ลังเลสงสัย มีแต่โกรธ มีแต่พยาบาท มีแต่ความลำเอียง ด้วยอคติทั้ง ๔ ทุกคนพากันเข้าใจนะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตเขาเรียกว่าไม่รู้อริยสัจ ๔ เรียกว่าเป็นชีวิตที่เป็นผู้แพ้ ตัวตนเป็นที่ตั้ง การมีตัวตนมันเยอะ หัวใจเลยเป็นผู้แพ้ เรียกว่าหัวใจเป็นผู้ห่างจากมรรคผลพระนิพพาน ถ้าจะเปรียบเทียบทางใจ เรียกว่าหัวใจปาราชิก คือหัวใจยกเลิกความถูกต้อง ยกเลิกความยุติธรรม ให้เข้าใจอย่างนี้นะ
การปฏิบัติของเรามันถึงเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ มันพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กันเลย พัฒนาวาจา พัฒนากิริยามารยาท ทั้งใจ ทั้งวัตถุ ไปพร้อมๆ กัน อย่างนี้เราถึงเรียกว่าผู้ที่รู้ตัวเอง ว่าเราต้องไปคิด อันนี้คิดได้ อันนี้เกิดปัญญา ต้องรู้ ไม่ปล่อยให้ตัวเองเสียหายเสียเวลา เพราะปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องจัดการตัวเองให้ถูกต้อง ทั้งกาย ทั้งวาจา ทั้งจิตใจ ทั้งกิริยามารยาท ทั้งความภาค ความเพียร ทั้งความตั้งมั่น การปฏิบัติธรรมมันถึงเป็นอย่างนี้นะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่เข้าใจ เราเผลอ เราตั้งอยู่ในความประมาท หลายวัน หลายปีไป ก็เหมือนเป็นต้นไม้ใหญ่อย่างสง่างาม เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ตั้งอยู่ในความเพลิดเพลิน ความประมาท มันก็ย่อมเป็นได้อย่างนี้ ทุกท่านทุกคนมีความลังเลสงสัย ว่าเราประพฤติ ว่าเราปฏิบัติธรรมน่ะ ชีวิตในความคิดเรามันจะไปได้หรือ ไปรอดหรือ ไปได้ ไปรอด ที่ไปไม่ได้ ไปไม่รอด เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ชีวิตก็ไปไม่รอดเพราะตัวตนมันขี้เกียจขี้คร้าน ตัวตนนั้นคืออบายมุขอบายภูมิ ให้เราเข้าใจ เมื่อเรายกเลิกตัว ยกเลิกตน เราปรับตัวเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ ปรับตัวเราเข้าหาธรรมะ ปรับครอบครัวเรา ปรับทุกๆ คนเขาหาธรรมะ มันจะมีความยากมาจากไหน เพราะเราพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ความคิด ตัวเรา ถึงมีความทุกข์ ให้เข้าใจนะ เราจะทำยังไงมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะเรามีตัวมีตน มันไม่มีความสุขในการทำงาน มันไม่มีความสุขในการเรียน มันไม่มีความสุขในการปฏิบัติธรรม พากันเข้าใจ มันเสียหายมาหลายปีแล้ว หลายภพ หลายชาติแล้ว ต้องเข้าใจว่าปัญหาต่างๆ นั้น ต้องพากันเข้าใจ มาแก้ที่ตัวเรานี่แหละ เราทุกคนไม่ต้องไปแก้ใคร ให้มีพุทธะทั้งทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ
การเรียน การศึกษา ก็เพื่อเป็นพุทธะ ต้องพากันเข้าใจ ชีวิตจะได้ดีขึ้น สงบขึ้น เมื่อดีขึ้น เมื่อร่ำรวยขึ้น เมื่อความสะดวกความสบาย พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่าให้หลง ต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ อย่าพากันก๋า อย่าพากันกร่าง ว่าความรวย ความสะดวกความสบาย ความมีหน้ามีตา ชื่อเสียง เกียรติยศ สิ่งเหล่านี้ก็ย่อมมีความเกิด ความแก่ ความตาย ความพลัดพราก ท่านบอกว่าอย่าพากันเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเลย ท่านทั้งหลายจงยกเลิกตัวตนเถิด พากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ตัวตนนี่แหละทำให้เราทุกคนพากันหลง พากันงมงาย หัวใจของเราทุกคนเป็นหัวใจไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์คือความหลง ไสยศาสตร์คือความหลับ ให้เข้าใจนะ ตัวตนคือไสยศาสตร์ ตัวตนคือความหลง เราไม่ต้องไปหาไสยศาสตร์ที่ไหนหรอก ไสยศาสตร์คือตัวเรา เราไปคิดว่าเป็นมนต์ดำ ไม่ใช่ มันอยู่ที่เรานี่เอง ความทุจริต หรือว่าสีดำ ที่มันเป็นไสยศาสตร์มันอยู่ที่เรานี่แหละ เราต้องพากันเข้าใจอย่างนี้นะ ความเครียดทั้งหลายมันอยู่ที่เรามีตัวมีตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน ความเครียดมันก็หายไป เมื่อเราได้รับการแต่งตั้งให้มีตำแหน่งอย่างนั้น อย่างนี้ เราก็มาหลงอีกไม่ได้ เพราะเราได้รับแต่งตั้งเป็นอะไรก็เพื่อสมมติ ให้เอาสมมติสัจจะนี้ เอามาทำงานนะ ทุกอย่างไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เราสมมติสัจจะเพื่อมาทำงาน เราต้องเข้าใจดีๆ นะ เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างก็จะผลักไปหาอนิจจัง ก็จะผลักไปหาอนัตตา เพราะตัวตนมันมีมาก ปัจจุบันมันมองข้ามไปหมด มันไม่ได้เทคแคร์สิ่งสมมติในปัจจุบัน มันเอาใจ มันเอาวาจา มันเอากิริยามารยาทออกมาใช้งานไม่ได้ เอามาใช้งานไม่เป็น เพราะตัวตนมันไม่ละ มันซื่อบื้อ ถ้าเรายกเลิกตัวตน มันถึงพร้อมด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา มันจะไม่เป็นคนซื่อบื้อ เราจะเอาตัวตนเป็นเรามันไม่ได้ คิดว่าได้ทำตามใจมันดี มันไม่ใช่ มันไม่ดีนะ มันเป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในข้อวัตร ในข้อปฏิบัติ
ถ้าเราพากันเอาตัว เอาตนเป็นที่ตั้ง มันก็ไม่แตกต่างอะไรกับพระเทวทัต ไม่แตกต่างอะไรกับฮิตเลอร์ที่เยอรมัน ฮิตเลอร์เป็นคนออสเตรียไปอยู่เยอรมันสมัย ๗๐ ถึง ๘๐ ปีก่อน ฆ่าเพื่อน ทำร้ายเพื่อน เป็นร้อยคน มันมีตัวตน มันทำให้ความคิดเราแตกแยก ไปอยู่ที่ไหน หรืออยู่คนเดียวก็ไม่สงบ เราต้องพากันเข้าใจ เราจะเข้าสู่สันติ ความสงบสุขได้ยังไง เพราะชีวิตของเราพากันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่เห็นความสำคัญของศีล กับสมาธิ สมองก็เซ่อ ก็เบลอ มันก็มีแต่โลกธรรม พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจ ถ้าเรายกเลิกตัวตนทุกๆ อิริยาบถทั้ง ๔ เราก็จะมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เรียกว่ามีสติที่เป็นธรรม มีสัมปชัญญะที่เป็นธรรมตลอดกาล อยู่ในระดับขณิกสมาธิ สมาธิตลอดกาล ถ้าเรายกใจเราขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ในการยืนเดินเหินนั่งนอน ใจของเราก็เป็นอุปจาระสมาธิ อุปจาระสมาธิคือการเดินไปด้วยสติ ด้วยสัมปชัญญะ ด้วยปัญญา ภาวนา วิตกวิจารณ์ พิจารณาไตรลักษณ์ เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ จิตใจของเราก็ไขว้เขว เราจะพากันมาบวชก็ยิ่งดี ถ้าอยู่ที่บ้านก็ไม่มีปัญหา ให้เข้าใจพุทธะมันแก้ปัญหาได้ การยกเลิกตัวตนมันแก้ปัญหาได้
ความสงบอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง ต้องว่างจากตัวตน อย่ามีตัวมีตนเลย ถามว่า มีตัวมีตนมันดีไหม? มีตัวมีตนมันไม่ได้ ท่านถึงบอกทุกคนว่าอย่าไปเป็นอะไรเลย เป็นอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งนั้นแหละ สิ่งที่มันมี มันเป็น แล้วไม่มีทุกข์ไม่มีเลย พระพุทธเจ้าก็อย่าไปเป็นเลย พระอรหันต์ก็อย่าเป็นเลย ทุกคนพากันเข้าใจนะ เราไม่ต้องไปหาพระที่ไหน พระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เรามีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการเรียน มีความสุขในสมาธิ มีความสุขที่เราเสียสละตัวตน ที่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์จะได้มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ทำไมพระอรหันต์ท่านถึงมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ เพราะท่านยกเลิกตัวตน ท่านถึงมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ให้เข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ การทำสมาธิทุกคนจำเป็นต้องทำสมาธิ สมาธิสำหรับประชาชนผู้อยู่ครองเรือน อยู่ที่บ้าน เวลาเช้า เวลาเย็น เพื่อที่เราจะได้ยกเลิกตัวตน ให้จิตใจของเราว่างจากตัวตน เราอย่าเอาแต่มีสติ มีสัมปชัญญะ ในอริยมรรคอย่างเดียว เราต้องพากันนั่งสมาธิ เพื่อฐานเราจะได้หนักแน่น เพื่อจะได้เข้าสมาธิระดับสูงขึ้นไปอีก ถ้าเรายกเลิกตัวตน การเข้าสมาธิของเราก็จะเข้าได้ทุกครั้ง เพราะสมาธิมันได้แก่ยกเลิกสิ่งที่เป็นอดีต ยกเลิกสิ่งที่เป็นอนาคต ยกเลิกปัจจุบันที่เป็นตัวตน เราเอาตัวตนมันก็จะเอาความสงบ เอาความสงบมันไม่ได้ ถ้ามีตัวมีตน มันต้องยกเลิก ไม่เอาอะไร ครั้งที่ทำการสังคายนา พระอานนท์ท่านเร่งทำความเพียรเพื่อจะเป็นพระอรหันต์ เอาตัวตน ก็เป็นพระอรหันต์ไม่ได้ เมื่อพระอานนท์ท่านยกเลิกตัวตน ไม่เอาแล้ว เพียงแค่นี้เพราะเขาสู่ความสงบ ดับเย็นเป็นพระนิพพาน
เพราะตัวตนคือความสับสน มันไม่ได้ดับเย็นเป็นพระนิพพาน การเข้าสมาธิต้องเข้าใจว่า เรานั่งสมาธิเพื่อยกเลิกตัวตน สงบก็ไม่เอา ไม่สงบก็ไม่เอา เพื่อยกเลิกตัวตน ถ้าใจไม่สงบก็สต็อพลมหายใจไว้ เมื่อลมหายใจมันจะหมดมันก็จะกลับมา สติสัมปชัญญะก็จะสมบูรณ์ ทำหลายครั้งมันก็เข้าใจ เพื่อจะได้เอาพุทธะเป็นหลัก ให้เราทำอย่างนี้นะ จะทำไปบ่อยๆ มันก็จะยิ่งชำนาญติดต่อต่อเนื่อง เพราะฐานมันดี เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มันถึงจะเป็นวสี เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเดี๋ยวมันก็มืด เดี๋ยวมันก็สว่าง เพราะตัวตนมันเป็นอย่างนี้เอง เราทุกคนเอาตัวตน เอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตนะไม่ได้ เพราะตัวตนมันเอาธาตุ เอาขันธ์ เอาความรู้สึก เอาอายตนะ มันยังเป็นธรรมที่ปรุงแต่ง มันเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ที่เกิดเป็นความรู้สึก พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่างนี้ต้องยกเลิก เอาสิ่งเหล่านี้เป็นข้อสอบ ตอบด้วยพระไตรลักษณ์ ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่แน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เอาสิ่งเหล่านี้มาซักฟอก เมื่อมีสิ่งสกปรกเช่นเสื้อผ้าก็ใช้ผงซักฟอกมาซักมาฟอกให้สะอาด เรามีตัวตนเราจะเอาแต่ความสงบ เอาแต่ความสุข จนไม่อยากพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้ถอนออกจากตัวตน เพื่อพิจารณาพระไตรลักษณ์ อย่าไปขี้เกียจ ขี้คร้าน หัวใจมันมีตัวมีตน มันก็ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่อยากทำงาน แม้หายใจมันก็ไม่อยากหายใจ ให้เราพากันเข้าใจ ภาวนาทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์
ผู้ที่มาบวชในพระศาสนา ปลงผม นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ สิ่งสำคัญก็คือให้ยกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ให้รู้ความหมายของศีล สมาธิ ปัญญา อย่าไปขี้เกียจขี้คร้าน คิดว่าสงบแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพมันยังไม่เพียงพอนะ เราต้องภาวนาพิจารณาแยกธาตุ แยกขันธ์ แยกอายตนะ เพื่อเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ทำไมพวกนี้บวชมาไม่มีความก้าวหน้า มันจะมีความก้าวหน้าได้ยังไง เพราะมันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มีมิจฉาทิฏฐิ มาบวชก็ยังไม่เข้าใจในการบวชเลย ยังจะมาเอา มามี มาเป็น ยังไม่รู้ว่าบวชมาเพื่ออะไร เกิดมาทำไม เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็มืดอย่างนี้แหละ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ ทวนกระแสเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าพวกที่ตามกระแส ตามสิ่งแวดล้อม ตามความรู้สึก มีความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด เขาเรียกว่าตามกระแส ตามอวิชชา ตามความหลง ทำอย่างนี้แหละ มันผิดนะ มันไม่ถูกต้อง ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เราต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า ยกเลิกกระแส ยกเลิกตัวตน เราต้องรู้จักว่าเราอย่าไปตามโลก ตามกระแส เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะเป็นคนตามโลก ตามกระแส เปรียบเหมือนเราเป็นผงของเศษเหล็ก มีแม่เหล็กชิ้นใหญ่มันก็จะดึงดูดเราไป ทุกคนต้องรู้ว่าตัวเองมีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้องนะ อย่าตามไป อย่าไปตามกระแส เราต้องมีสติมีสัมปชัญญะ ปฏิบัติตัวเข้าหาธรรมะ ปฏิบัติตัวเข้าหาเวลา กลับมาหาสติสัมปชัญญะ มีปัญญาว่าทุกอย่างไม่แน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน เราจะได้มีศีล มีสมาธิ มีปัญญา เราอย่าได้พากันตามกระแส พยายามกลับมามีสติรู้ตัวทั่วพร้อมในปัจจุบัน ความฟุ้งซ่านของอวิชชา ของความหลง มันมีพลังมาก เปรียบเหมือนแม่เหล็กที่ดึงให้เราไป เราต้องรู้อริยสัจ ๔ เราจะไปตามสิ่งแวดล้อม ที่เป็นกระบวนการแห่งการเวียนว่ายตาย เกิดมันไม่ได้ มันมีพลังเยอะ ให้เรารู้เห็นด้วยปัญญาว่า ทุกอย่างน่ะ มันไม่แน่ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มันมีแต่ทุกข์ที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ที่ดับไป มันไม่ใช่ความสุข อวิชชาความหลง ถ้ามันไม่แน่จริง มันไม่เอาสัตว์ทั้งหลายท่องเที่ยวในวัฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดอย่างไม่มีที่จบที่สิ้นหรอก
เราทั้งหลายต้องพากันรู้จัก อย่าหลงไป อย่าตามไป เรามีความความกลัวในการทำงาน นั่นน่ะเพราะเรากำลังตามกระแส เรากลัวในการรักษาศีล ในการทำข้อวัตร ข้อปฏิบัติ นั่นคือเรากำลังตามกระแส เรากำลังเอาความหลงเป็นที่ตั้ง เราต้องรู้จักว่าชีวิตของเราต้องมีทั้งความสงบ มีปัญญา เราอย่าไปตามโลก ตามกระแส ที่มาจากทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ อย่าได้ตามกระแสแห่งอารมณ์อย่างนี้ เราทุกคน เห็นไหมพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะตรัสรู้ ท่านตั้งใจว่าชีวิตนี้ต้องปฏิบัติให้ติดต่อต่อเนื่อง เหมือนกับสายน้ำไหลที่มันไหลไปทางต่ำ มันต้องทวนไปข้างบน ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมีปัญหา เราต้องเข้าใจว่าทำไมไม่มีความสุขในการทำงาน ในการปฏิบัติธรรม เพราะการมีตัว มีตน มันต้องรู้จัก จะไปตามกระแสไม่ได้ เรามองไปไหนก็เอาพิจารณาดูสู่พระไตรลักษณ์ก็ให้เห็นสิ่งเหล่านี้ตามความเป็นจริง เห็นความเกิดบ้าง เห็นความแก่บ้าง เห็นความเจ็บบ้าง เห็นความตายบ้าง เห็นสมณะนักบวชบ้าง เพื่อจะพากันเอาธรรมะเป็นหลัก เพื่อจะได้พากันทวนกระแส สร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ ๓๐ ทัศ เพื่อเป็นการทวนโลกทวนกระแส เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะสร้างบารมีได้ยังไง เพราะการสร้างบารมีคือการมายกเลิกตัวตน เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ อย่างต้น อย่างกลาง อย่างสูง เพื่อลงรายละเอียด เพื่อการประพฤติ เพื่อการปฏิบัติ มันจะได้ติดต่อต่อเนื่องเป็นสายน้ำ
เราทุกคนต้องรู้เรื่องการประพฤติ การปฏิบัติ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไม่ยกเลิกตัวตน ไม่รู้เรื่องการประพฤติ การปฏิบัติ มันก็จะไปตามโลก ตามกระแส ไปตามสิ่งแวดล้อม เราก็ไม่ได้สร้างบารมี ๑๐ ทัศ ๒๐ ทัศ บารมี ๓๐ ทัศ การเกิดมาที่ได้รับร่างกายเป็นมนุษย์ มันเสียหาย มันสูญเปล่า ต้องเห็นความสำคัญในเรื่องศีล อย่าได้เป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีล ในข้อวัตร ในข้อปฏิบัติ พระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ที่มีมาในพระไตรปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่มาในภิกขุปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ มีความสำคัญหมด มีความสำคัญมาก เพราะการปฏิบัติธรรมมันไม่ใช่ระดับกฎหมายบ้านเมือง มันเป็นระดับเรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องมรรคผลนิพพาน ให้เข้าใจ สำหรับผู้ที่กำลังอบรมบ่มอินทรีย์ เมื่อเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราเป็นคนไม่เข้าใจคุณค่าของพระ วินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ จิตใจของเราก็ยังหยาบ ยังสกปรกอยู่ ยังหยาบในความรู้สึกนึกคิดอย่างนี้ มันเป็นความรู้สึกที่เป็นอวิชชา เป็นความหลงอยู่ มันไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ตน ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์คนอื่น สำหรับพระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีมาหลายล้านชาติ จนได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ เมื่อท่านตรัสรู้ครั้งแรก ๒๐ ปี ท่านยังไม่ได้บัญญัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ด้วยพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ท่านได้บัญญัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ให้พากันเข้าใจ ไม่ว่าจะเป็นวัดบ้าน วัดป่า หินยาน เถรวาท มหายาน วัชรยาน ก็ต้องเน้นเอาความถูกต้อง เราจะได้ทรงผลัดให้รุ่นที่เกิดมาภายหลัง เพราะพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ มันเป็นการยกเลิกนิติบุคคล ยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง ยกเลิกการตรึกในกาม การตรึกในพยาบาท ต้องเห็นคุณค่าพระวินัยเหมือนพระสารีบุตร ที่ท่านเห็นคุณค่าของพระวินัย และตอนที่ท่านเป็นโรคทางร่างกาย ท่านได้พูดคุยกับพระมหาโมคคัลลานะว่า โรคนี้น่ะ เมื่อยังไม่ได้บรรพชาอุปสมบท มารดาได้ทำข้าวมธุปายาสให้ โรคนี้ก็หายไป เมื่อเทวดารับรู้ จึงเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้เทวดาในสถานที่นั้นไปแสดงฤทธิ์ หมายให้ญาติโยมได้ถวายข้าวมธุปายาส แต่พระสารีบุตรที่กำลังอาพาธอยู่ ท่านพระสารีบุตรท่านมีเมตตาที่บริสุทธิ์ มีความกรุณาที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่บริสุทธิ์ ท่านถึงไม่ยอมฉันข้าวมธุปายาส ก็เพื่อประโยชน์สุขของกุลบุตรที่บวชในภายหลัง เป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง เพราะการพูดให้ฟัง ยังไม่สู้การทำให้เห็น เพราะพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เป็นสิ่งที่สำคัญ มันถึงเข้าสู่ระบบเรื่องจิต เรื่องใจที่ยกเลิกตัวตน เพราะมันมีกับเราทั้งวันทั้งคืน เรียกว่ามันมาหยุด มันยกเลิก
ผู้ที่ไม่เข้าใจก็เลยปล่อยให้ตัวเองนี้คิด คิดอย่างนี้ในเรื่องจิตเรื่องใจ ก็แปลว่าหัวใจยังมีบุตรมีภรรยามีครอบครัวอยู่ทั้งวันทั้งคืน การที่เราไม่เข้าสู่พระธรรมวินัยไม่ได้ ความละอายต่อบาป ความเกรงกลัวต่อบาป คือยังมีตัวมีตนอยู่ หัวใจเรายังมีครอบครัวอยู่ ยังมีอวิชชา มีความหลงอยู่ เราต้องเข้าใจว่าศีลนี้คือการยกเลิก ยกเลิกทาส ยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกตัว ยกเลิกตน มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ทั้งหลายเราต้องเข้าใจคุณค่าของศีล ของสมาธิ ของปัญญา ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่รู้คุณค่าของศีล สมาธิ ปัญญา เราก็ไม่รู้คุณค่าของเวลา ไม่รู้คุณค่าของปัจจุบัน ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จะเป็นคนไม่รู้จักผิด ถูก ไม่รู้จักดี ไม่รู้จักชั่ว เอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็จะไปแก้แต่ภายนอก ดิ้นรน แสวงหา เพื่อตัวตน ไม่ได้ปฏิบัติตนเพื่อเสียสละ เพื่อละตัว ละตน มันเป็นทุกข์ ๒ ต่อนะ ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ เราก็จะพากันไปแก้แต่ปลายเหตุ ไปหาหมอ ไปโรงพยาบาล ก็ให้หมอ ให้พยาบาลเดือดร้อน เราต้องพากันเข้าใจ ธรรมโอสถ การยกเลิกตัวตน คือการบริโภคธรรมโอสถ พวกหมอก็ให้ยา ก็เพื่อระงับหลายเหตุ ต้นเหตุมันอยู่ที่เรามีตัวตนนี่แหละ ให้พากันเข้าใจ ให้เราพากันบริโภคธรรมโอสถ อย่าพากันบริโภคตัวตนเลย
พวกเราพากันเข้าใจนะ เราจะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ถ้าเราไม่เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ขั้นต้นชีวิตของเราก็จะเข้าสู่เพื่อการเรียน การศึกษา เป็นเพียงนักปรัชญา เป็นนักจิตวิทยา ไม่ได้เข้าถึงความเป็นพุทธะทางจิตใจทางวิทยาศาสตร์ เรานี่แหละที่เป็นมหาโจร โจรในเอเชียยังไม่เท่าไหร่ เพราะการพัฒนาเทคโนโลยีทางวิชา ที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สู้ทางยุโรปไม่ได้ ทางยุโรปมีการพัฒนาเทคโนโลยีไปมากกว่าทางเอเชีย เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง แม้เอาศาสนาไปสู่ทวีปยุโรป ก็เป็นศาสนาไม่ได้ นักบวชที่นำศาสนาไปสู่ยุโรป ที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ลูกศิษย์หลวงตามหาบัว ลูกศิษย์ท่านพุทธทาส จะเป็นลูกศิษย์สายไหนๆ ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง พวกนี้ก็เป็นเพียงนักปรัชญา นักจิตวิทยา เป็นโจรที่ยิ่งใหญ่เลย เพราะว่ายังไม่ได้ละตัว ละตน ใหม่ๆ ก็ดูดี แต่ต่อไปก็จะเสียหาย เราต้องยกเลิกตัวตน กลับมาหาสติ กลับมาหาสัมปชัญญะ อย่าได้มองข้ามพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ อย่าเอาพระสัทธรรมไปปฏิรูป ต้องเอาธรรมนำใจ เอาธรรมนำชีวิต เพราะเอาธรรมนำใจ นำชีวิต มันเป็นการพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน มันเหมาะสมสำหรับการพัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อเข้าถึงความสง่างามของจิตใจทางวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน ให้เข้าใจอย่างนี้นะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง กว่าจะรู้ตัวเองก็เปรียบเสมือนเรือลำใหญ่ ที่อยู่ในลำห้วยที่เล็ก มันกลับตัวยาก ให้พาการเข้าใจ พากันมีสติมีสัมปชัญญะ
เราทุกๆ คนต้องมีความสมัครสมานสามัคคีกัน เราพากันมาเสียสละ ยกเลิกตัวตน อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ให้ยกเลิกตัวตนเป็นที่ตั้ง จะได้ชื่อว่าเป็นผู้กตัญญูกตเวที ความเป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์จะได้มีแก่หมู่มวลมนุษย์ มีพระศาสนานำชีวิต มีธรรมะเป็นหลัก สมัยปัจจุบันนี้ที่เป็นกษัตริย์ก็ดี ที่เป็นประธานาธิบดีก็ดี ก็ต้องเอาทศพิธราชธรรมนำชีวิต ต้องเอาปัญญานำชีวิต ไม่ใช่เอาตัวตนนำ มันแก้ปัญหาไม่ได้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee