แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันศุกร์ที่ ๒๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๕๗ ควรมีสติสัมปปชัญญะรู้ตัวตลอดเวลา พร้อมกับมายกเลิกยกเลิกตน เพื่อถ่ายถอนความเห็นผิดความเข้าใจผิด
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้พวกเราพากันเข้าใจในการประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคนว่า การประพฤติปฏิบัติเราจะเอาความรู้สึกมาดำเนินการใช้ชีวิตไม่ได้ เราต้องมีสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และปฏิบัติที่ถูกต้อง เราจะได้พัฒนาทั้งทางใจและทางวัตถไปพร้อมๆ กัน เพราะใจของเราก็ไม่ควรยิ่งหย่อน และวัตถุของเราก็ไม่ควรยิ่งหย่อนเช่นเดียวกัน แบบนี้จึงจะเป็นทางสายกลาง ที่ทั้งสองอย่างจะถูกพัฒนาไปพร้อมๆ กัน ที่ผ่านมาเราทุกคนได้เอาความรู้สึกมาดำเนินชีวิต เพราะความรู้สึกของเรานั้นมันขึ้นอยู่กับบผัสสะ อายตนะ และขึ้นอยู่กับธาตุ ขึ้นอยู่กับขันธ์ จริงๆ เราทุกคนมีแต่ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มีแต่ความทุกข์ที่ตั้งอยู่ และมีแต่ความทุกข์ที่ดับไป ความรู้สึกนั้นเป็นเพียงอาการของธาตุ อาการของขันธ์ ของอายตนะ และของผัสสะ ให้ทุกคนพากันรู้ว่าอันนี้คือธาตุ คือขันธ์ คืออายตนะ ที่มันเกิดขึ้นเพราะเหตุเพราะปัจจัย หาใช่นิติบุลคล หรือหาใช่ตัวหาใช่ตนของเราไม่ ทุกอย่างล้วนตกอยู่ใต้พระไตรลักษณ์ ทุกอย่างเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปตามเหตตามปัจจัย ของขบวนการธาตุขันธ์อายตนะ การที่คนเราเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้งมันทำให้เรามีปัญหา ทำให้เราไม่รู้ความจริง เราจะรู้ความจริงอริยสัจ ๔ ได้อย่างไร หากเราเรามัวแต่บริโภคความรู้สึกหรือผัสสะต่างๆ เป็นอาหาร
ถ้าพวกเราดำเนินชีวิตแบบนี้ ชีวิตของเราก็จะไม่มีสติสัมปชัญญะ ให้ทุกท่านทุกคนพากันรู้ชัด เราจะได้รู้ทุกข์ เหตุที่ให้เกิดทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เราจะได้ยกเลิกความไม่เข้าใจ เราจะได้ไม่ไปตามอวิชชาความหลง เราควรเอาสติสัมปะชัญญะดำเนินชีวิตที่ประเสริฐของเรานี้ เราพากันมายกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกธาตุ ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ เพราะเมื่อก่อนเราเอาสิ่งเหล่านี้ เป็นเราเป็นตัวเป็นตนของเรา การที่เราพากันมายกเลิกตัวตนอย่างสมบูรณ์โดยมีมีสติสัปชัญญะ และสัมมาทิฏฐิเป็นตัวขับเคลื่อน ทุกคนจะได้ไม่เพี้ยน หรือสับสนว่าชีวิตของเรานี้ควรเดินทางไปอย่างไร เราจะได้มาลบสิ่งที่ผ่านมาให้เป็นศูนย์ ปัจจุบันของเรา เราได้จะได้รู้ชัดว่าสิ่งเหลานี้เป็นพระไตรลักษณ์ เป็นสิ่งที่ผัสสะได้เกิดขึ้น เป็นสิ่งที่ผัสสะได้ตั้งอยู่ และเป็นสิ่งที่ผัสสะได้ดับไป ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเข้าใจว่าเราจะเอาความรู้สึกของเรามาดำเนินชีวิตไม่ได้ ทุกคนต้องเอาพุทธะตัวผู้รู้มาดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ และดำเนินชีวิตบนความไม่เพลิดเพลิน และความไม่ประมาท ก่อนพระพุทธเจ้าท่านเสด็จดับขันธปรินิพพาน ท่านก็ได้บอกกับพวกเราว่า “สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจง (ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่น) ให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด” ทุกอย่างมันเป็นเพียงธาตุขันธ์อายตนะ ทุกอย่างเป็นเพียงผัสสะ ทุกท่านควรมีสติสัมปปชัญญะรู้ตัวตลอดเวลา พร้อมยกเลิกยกเลิกตน ถอนความเห็นผิด ถอนความเข้าใจผิด และไม่ประมาททำความเพียรให้ถึงพร้อมเถิด อันนี้คือความหมายของพระวาจาสุดท้ายก่อนเสด็จดับขันธปรินิพพาน
การปฏิบัติของหมู่มวลมนุษย์ต้องมุ่งเน้นการพัฒนาใจ เพื่อให้มีสติสัมปัญญะเพื่อยกเลิกตัวตน ไม่เอาความรู้สึกของเรามาดำเนินชีวิต ให้เราเอาพระไตรลักษณ์เป็นอาหารของใจ ยกทุกอย่างที่เกิดทางรูป ทางเวทนา ทางสัญญา ทางสังขาร ทางวิญญาณ สู่พระไตรลักษณ์ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อเป็นอาหารใจของเรา เราไม่ต้องเอาอวิชชา หรือความหลงเป็นอาหารของใจ เพื่อเราจะได้จัดการเรื่องอดีตให้เป็นศูนย์ ปัจจุบันของเราเราจะได้รู้อริยสัจ ๔ ได้ชัดเจน และไม่เอาตัวไม่เอาตนธาตุขันธ์เป็นเราเป็นของของเรา ให้ทุกๆ ท่านเอาธาตุเอาขันธ์เป็นข้อสอบ เราต้องตอบด้วยปัญญาสัมมมาทิฏฐิว่า ทุกอย่างมันไม่แน่ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน สิ่งเรานี้เป็นเพียงผัสสะที่ทำให้เราสุข ให้เราทุกข์ หรือทำให้เราหนาว ทำให้เราร้อน อันนี้เป็นเพียงผัสสะที่เราทุกคนต้องเผชิญ
เราทุกคนต้องไม่เอาความรู้สึกของมาเป็นตัวเรา หรือเป็นที่ตั้งการดำเนินชีวิต เพราะถ้าเราทำผิดแบบนี้เมื่อไหร่ เราก็จะหลง จะเพลิดเพลิง และจะดำเนินชีวิตตั้งอยู่บนความประมาท ทำให้หมู่มวลมนุษย์ไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทำให้เทวดาไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ และทำให้หมู่มวลพรหมไม่มีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ทำให้เราไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ เพราะเราเอาตัวตน และความรู้สึกเป็นที่ตั้ง ชีวิตนี้จะเป็นชีวิตที่เพี้ยน จะไม่สามารถเป็นชีวิตที่ถูกดำเนินด้วยวิปัสนาได้ แต่เป็นเพียงแค่วิปัสสนูปกิเลส เป็นผู้ตั้งอยู่บนความเพลิดเพลินความหลงและความประมาท ความรู้สึกนี้คือความไม่ถูกต้อง แบบนี้เรียกว่าเรากำลังทุจริตตัวเราเอง ทุจริตคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนคือความไม่ถูกต้อง เพราะเรายังไม่รู้อริยสัจ ๔ และใช้ชีวิตบนความเพลิดเพลินบนความประมาท เมื่อเราเอาความรู้สึกของเราเป็นที่ตั้ง นิวรณ์ทั้งหลายจึงเกิดขึ้นแก่เรา อคติความลำเอียงต่างๆ จึงเกิดขึ้นแก่เรา ความมืดจึงเกิดขึ้นแก่เรา การดำรงธาตุดำรงขันธ์ของเราเป็นเพียงไปเพื่อประกอบทุกข์ การเรียนการศึกษาของก็ทำไปเพื่อประกอบทุกข์ เพราะเราเอาความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของของเรา แบบนี้จะเป็นชีวิตที่แก้ไขปัญหาไม่ได้ ทำไมมันแก้ไขไม่ได้ ก็เพราะอันนี้เป็นสิ่งที่ยังไม่ถูกต้อง ความสุขความดับทุกข์ที่สมบูรณ์แบบยังไม่มี ยังไม่เกิดขึ้นกับเรา
เราทุกคนต้องพากันมาแก้ไขตัวเอง มาปฏิบัติตัวเอง เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านก็แก้ไขตัวเอง เหมือนพระอรหันต์ ที่ท่านฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ท่านก็เริ่มแก้ไขจากตัวท่านเอง ทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องความเข้าใจที่ถูกต้องและการปฏิบัติที่ถูกต้อง เราทั้งหลายต้องหันมาแก้ไขที่ตัวเอง โดยมีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ ยกเลิกความรู้สึก ยกเลิกตัวยกเลิกตน ให้เรามามีสติรู้ตัวทั่วพร้อม คนเราน่ะถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะไม่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีสติสัมปชัญญะ หรือหากถ้ามีสติ ก็เป็นเพียงสติที่เป็นไปเพื่อการประกอบทุกข์ ถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกตนสติสัมปชัญญะของเราก็จะสมบูรณ์ขึ้น สมองของเราก็จะไม่สับสน และไม่มืด หรือภาษาชาวบ้านที่เค้าเรียกกันว่ามึนตึ๊บ บอดสนิททุกด้าน
ทำไมคนเราทุกคนแต่ละวินาที แต่ละนาที แต่ละชม หรือแต่ละวัน ชีวิตของเรานั้นมันไม่คงเส้นคงวา อันนี้ก็เพราะว่าเราเอาความรู้สึกของเราเป็นที่ตั้งมันเลยไม่คงเส้นคงวา เพราเราเอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตะเป็นที่ตั้งชีวิตของเรานั้นก็เลยไม่คงเส้นไม่คงวา เพราะทุกอย่างของเราล้วนขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย และขึ้นอยู่กับผัสสะที่ผ่านมาและผ่านไป ทุกคนต้องพากันมาเข้าใจใจ เราได้ปรับใจเข้าหาธรรมะ ปรับใจของเราเข้าหาเวลา ธรรมะก็คือการยกเลิกตัวตน และยกทุกอย่างให้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ เวลาก็คือธรรม คือความถูกต้อง ใจของเราเวลาที่มันมีตัวตนมันก็จะแปรเปลี่ยนตามผัสสะที่เผชิญ เช่น อากาศร้อนใจของเราก็เป็นอย่างนึง อากาศหนาวใจของเราก็เป็นอย่างนึง ไปเจอคนแก่ใจของเราก็เป็นอย่างนึง ไปเจอหนุ่มสาวใจของเราก็เป็นอย่างนึง ได้ลิ้มรสอาหารอร่อยใจของเราก็เป็นอย่างนึง ลิ้มรสอาหารไม่อร่อยใจของเราก็เป็นอย่างนึง เพราะอันนี้เป็นเพียงแค่ผัสสะมันเลยเป็นแบบนี้ เพราะเรามีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจที่ยังขาดปัญญา ขาดสติสัมปชัญญะ เราเลยเอาความรู้สึกของเราเป็นที่ตั้ง เอาผัสสะของเราเป็นที่ตั้ง ทำให้เรามีความชอบ ความไม่ชอบทั้งวันทั้งคืน การที่เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะไม่มีสติสัปปชัญญะ ทุกท่านต้องหันกลับมาหาตัวเองให้รู้ตัวทั่วพร้อม ให้หายใจเข้ามีความสุข หายใจออกมีความสุข ให้รู้ตัวชัดว่า หายใจเข้า มันไม่แน่ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวตน หายใจออก มันไม่แน่ มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ตัวตน ทุกอย่างล้วนเป็นเพียงแต่ผัสสะ เราจะมัวตามแต่ผัสสะตามสิ่งแวดล้อมได้อย่างไง
ทุกคนต้องพากันเข้าใจว่า สติสัมปชัญญะจะเป็นเครื่องมือสำคัญที่ทำให้เรารู้ชัดในพระไตรลักษณ์ในปัจจุบัน ให้เรามาเสียสละ ละตัวละตัว ให้ทุกคนมาเข้าใจว่าหมู่มวลมนุษย์นั้น เรามี ๒๔ ชม. เราก็พากันมีความสุขโดยเอาสัมมาทิฏฐิมาดำเนินชีวิต เราจะได้มีความสุขในการทำงาน และมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติธรรม วันนึงเราก็พากันนอนหลับประมาณ ๖ ชม. ส่วนอีก ๑๘ ชม. เราก็ต้องมีความสุขบนพื้นฐานของสัมมาทิฏฐิในการทำงานและการปฏิบัติธรรม มุ้งเน้นการยกเลิกตัวตนอย่างเต็มร้อย อย่าให้ตัวตนของเราเหลืออยู่เลย เพราะการที่เรามีตัวมีตนเหลืออยู่ มันก็คือการที่เรามาลูบคลำในศีล เราพากันมายกระดับการประพฤติการปฏิบัติเรื่องจิตเรื่องใจ เรื่องการทำงานเพื่อพัฒนา และพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน การที่เรามีตัวตน เราก็จะไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ทำไมคนเราคิดว่า การทำงานคือความทุกข์ ก็เพราะเรามีตัวตน เพราะตัวตนนั้นแหละคือความทุกข์ หรือความรู้สึกต่างๆ ที่เราหลงไปหลงมา เช่น ยาก ง่าย สุข ทุกข์ เย็น ร้อน อ่อน แข็ง หย่อน ตึง ทุกอย่างก็เพราะเราเอาตัวตนมาดำเนินการใช้ชีวิต
การที่เราคิดว่าการเรียน หรือการทำงานทำเพราะความจำเป็น อันนี้คือการคิดแบบนายทุน โดยมีอวิชชาเป็นตัวนำ ไม่ใช่เอาสัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เพราะเรายังทำอะไรก็เป็นไปเพื่อการลงทุน เพื่อหวังที่จะได้ประโยชน์จากการกระทำนั้นๆ เช่นว่าเราทำแบบนี้ เราจะเป็นคนที่มีความสุขขึ้น แต่ความคิดที่เอาความรู้สึกนำการใช้ชีวิตแบบนี้ก็ยังประกอบด้วยตัวตน มันเอาแต่เรื่องตัวตน เอาแต่เรื่องทางวัตถุที่ยังไม่ได้พัฒนาทางด้านจิตใจไปพร้อมๆ กัน ให้พากันมาเข้าใจว่าอันนี้ยังสุดโต่งยังไม่ใช่ทางสายกลาง
มนุษย์คือผู้ที่ประเสริฐ เราควรพัฒนาใจไปพร้อมกับพัฒนาทางวัตถุ เราได้รับความสะดวกสบายจากทางวัตถุแล้ว เราก็ต้องยกทุกอย่างพิจารณาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้เป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่คน ไม่ใช่ผู้ที่ตั้งอยู่บนความประมาท เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราจะพากันเพี้ยนเพราะไม่รู้จากอริยสัจ ๔ การพัฒนาหมู่มวลมนุษย์คือการพัฒนาใจและวัตถุไปพร้อมๆ กัน ทุกอย่างจะได้ก้าวไปอย่างเป็นปัจจุบันธรรม เราทุกคนจะได้แก้ทั้งทางใจและทางวัตถุ ที่ทั้งสองทางจะได้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันและกัน คนเราต้องเอาสติสัมปชัญญะนำการดำเนินชีวิต เพราะหากเราเอาตัวตนและความหลงเป็นที่ตั้ง อันนี้ถือว่าเป็นการทำร้ายตัวเอง และเป็นการทำร้ายผู้อื่น มันเป็นการก่อภพก่อชาติ มันเป็นชีวิตที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน เพราะเราเอาความรู้สึกของเราเป็นที่ตั้ง ตัวเราก็จะถูกดึงไปตามความรู้สึก ตามผัสสะยังไม่ใช่คนที่มีปัญญา หรือมีสติสัมปชัญญะแต่เพียงนิดนึงเลย การที่เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะมีความรู้สึกว่าอยากจะมี อยากจะเป็น อยากจะไม่มีไม่เป็น ความอยากเหล่านี้จะกลายเป็นภัตตาหาร มันเป็นความทุกข์ที่แผดเผาเราในทุกปัจจุบันขณะ มันเป็นชีวิตที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ ว่าอะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุให้เกิดทุกข์ และข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ให้หมู่มวลมนุษย์พากันมารู้ว่าการดับทุกข์ของเรามีได้กับเราทุกคนที่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่ว่าจะเป็นนักบวช ฆราวาส หรือศาสนาอะไร ให้ทุกคนพากันมาเข้าใจ และมีความสุขในการยกเลิกตัวตน เราจะได้มีความสุขในการทำงาน รักษาศีล และปฏิบัติธรรม
ในแต่ละวันให้เราตื่นขึ้นมามีความสุขในการแก้ไข้ตัวเอง ปฏิบัติตัวเองโดยมีสติสัมปชัญญะเป็นตัวขับเคลื่อนการดำเนินชีวิต หากเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะขี้เกียจขี้คร้านไม่อยากหายใจ ทุกวันนี้คนเราทำงานก็เพื่อจะเอา เรียนก็เพื่อจะเอา รักษาศีล และทำสมาธิก็เพื่อจะเอา เราควรเปลี่ยนความคิดว่า เรามาทำเพื่อความถูกต้อง ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง ความผิดก็คือความผิด ความถูกต้องไม่ได้เอามาเพิ่ม หรือเอามาตัด ทุกอย่างจะเป็นของมันในตัว เมื่อมีมรรคก็มีผล มีรู้ก็มีไม่รู้ การเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะมีแต่ความยากลำบาก พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าการนั่งสมาธิคือเพื่อมาลบอดีต และมาลบความปรุงแต่งของอนาคตให้เป็นศูนย์ ทุกอย่างลงอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่ต้องเอาอะไร ไม่ต้องเอาความสงบ ไม่ต้องเอามรรคผลนิพพาน แบบนี้คือการยกเลิกตัวตนชั่วคราว เหมือนการเอาหินมาทับหญ้า เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิคู่กัน เพื่อเจริญทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้พัฒนาอย่างครบวงจรคือศีลสมาธิและปัญญาทั้งวันทั้งคืน
เราทุกคนต้องพากันมาทำอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาส หรือศาสนาใด เราไม่ใช่จะเอาแต่สมาธิที่เป็นแค่หินทับหญ้า ให้พวกเราหัดมาเจริญปัญญา พิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ การที่เรายังไม่ถึงความเป็นพุทธะ เพราะเรายังเอาความสงบ เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง ที่ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ เราไม่สามารถพัฒนาใจและทางวัตถุได้อย่างเต็มที่ พวกเราส่วนมากยังมีความสุดโต่งในการพัฒนาวัตถุ เอาตัวตนเอาความรู้สึกตัวเองมาดำเนินการใช้ชีวิต พวกที่เรียนหนังสือก็ดี ทำงานก็ดี ปฏิบัติธรรมก็ดี การที่เราทำทุกอย่างเพื่อตัวเพื่อตน เราก็จะเป็นทุกข์ ถ้าเราถามพระพุทธเจ้าว่า เป็นอะไรดีที่สุด ท่านคงบอกเราว่า อย่าเป็นอะไรเลย เพราะเป็นอะไรมันก็เป็นทุกข์ เราต้องพากันมีความสุข อย่าทำตัวเป็นนายทุนโดยหวังว่าทำอะไรก็เพื่อจะมีผลตอบแทน อย่าได้หวังอะไรจากการประพฤติปฏิบัติธรรมะเพราะอย่างนี้เค้ายังเรียกว่านายทุน
เราต้องพยายามปรับปรุงแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนกว่าจะอ่อนน้อมถ่อมตน แล้วก็ทำความดี
...แต่ว่าทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพราะรักความดี แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นคนดี ก็ถ้าเราเป็น คนดี แล้วจะเป็นทุกข์
หลายปีที่แล้วมา หลวงพ่อชา ลงไปเยี่ยมวัดชิตเฮิร์สท์ที่อังกฤษ มีอุบาสกคนหนึ่งที่เคยศึกษาธรรมะฝ่ายมหายาน มาถามหลวงพ่อชา เรื่องการปฏิบัติว่า “คนที่ปฏิบัติเพื่อเป็นอรหันต์ กับคนปฏิบัติเพื่อเป็นพระโพธิสัตว์ อันไหนจะดีกว่ากัน อันไหนสูงกว่ากัน”
หลวงพ่อชาตอบว่า “อย่าเป็นอะไรเลย พระอรหันต์ก็อย่าเป็นเลย พระโพธิสัตว์ก็อย่าเป็นเลย แม้พระพุทธเจ้าก็อย่าเป็นเลย เป็นอะไรแล้วก็ต้องเป็นทุกข์ทันที”
คืออย่าเป็นคนดี อย่าไปถึงระดับนั้น เป็นคน อย่าเป็นคนดี ถ้าเป็นคนดีแล้วต้องรำคาญคนไม่ดี ทุกวันนี้คนที่ไม่ดีมากกว่าคนดีเยอะ ไปที่ไหนก็กลุ้มใจ มีแต่ความไม่พอใจ เหมือนกับคนที่สูบบุหรี่เลิกแล้วดูคนอื่นสูบ ก็ไปเทศน์ให้เขาฟัง นี่เรียกว่าติดดี ท่านไม่ให้ติด แม้จะเป็นความดีท่านก็ไม่ให้เราติด เพราะว่าความติดเป็นทุกข์ สร้างความทุกข์ใจ
ทำความดีเพื่อความดี... ทำความดีเพราะรักความดี... แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นคนดี เพราะถ้าเราเป็นคนดีแล้วจะเป็นทุกข์
เพียงแค่เห็นคำว่า "อย่าเป็นคนดี" ก็รู้สึกถึง ใช่หรือ ? แล้วสิ่งที่เราเพียรทำทุกวันนี้ล่ะ
"การทำความดีเพื่อเป็นคนดี" กับ "การทำความดีเพื่อความดี"
คำแรก ... ทำให้เกิดคำว่า ติดดี
คำหลัง...เป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด ทำแล้วไม่ทุกข์ใจ ทำด้วยความสุขที่เต็มเปี่ยมหัวใจ
ให้เราพากันมาเข้าใจว่าการทำงาน การปฏิบัติธรรม การรักษาศีล การพิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์เป็นความสุข ให้ทุกคนพากันมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าหากใจเราไม่สงบก็ให้พากันมา stop ลมหายใจ พอใจมันจะขาดสติสัมปชัญญะมันก็จะกลับมา ออกซิเจนในสมองก็จะดีขึ้น ที่มีความสับสนก็จะดีขึ้น เพราะการที่มีตัวตนเยอะ มันก็จะเป็นแบบนี้ เรามีแต่การทำเพื่อจะมี เพื่อจะเป็น เหมือนองคุลีมาลที่วิ่งตามพระพุทธเจ้า คนเราที่วิ่งตามความหลง ความหลงคือความไม่หยุด วิ่งตามเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ องคุลีมาลเลยบอกว่า “หยุดก่อนสมณะ” พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า “เราหยุดแล้ว ท่านต่างหากยังไม่หยุด” องคุลิมาลไม่เข้าใจ จึงทูลถามไปว่า “ท่านกำลังเดินอยู่แต่กล่าวว่าหยุดแล้ว ส่วนข้าพเจ้า ผู้หยุดแล้วแต่กลับกลายว่าไม่หยุด ท่านหมายความว่าอย่างไร”
พระองค์ตรัสตอบว่า “ดูก่อนองคุลีมาล เราเลิกเบียดเบียนสัตว์ทั้งหลายแล้ว เราวางศาสตราวุธแล้ว ส่วนท่านสิไม่สำรวมในสัตว์ เที่ยวเบียดเบียนล้างผลาญชีวิตสัตว์ เราจึงชื่อว่าหยุดแล้ว ท่านชื่อว่ายังไม่หยุด”
พอองคุลีมาลได้มายกเลิกตัวตน ยกเลิกตามอวิชชาความหลง และหันมาพึ่งสติสัมปชัญญะในการดำเนินชีวิต หันมาฟังเทศนาของพระพุทธเจ้า และเพียรพยามบ่มอินทรีย์ในไม่ช้าองคุลีมาลก็มีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์
ความหลงไม่ได้เป็นการแก้ที่ต้นเหตุ แต่เป็นการแก้ที่ปลายเหต เรายังแก้กันผิดจุด ปลายเหตุแก้ปัญหาไม่ได้ อย่างอริยสัจ ๔ ท่านเลยเอาทุกข์ขึ้นก่อน ทุกข์มีเพราะเรามีตัวตน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราต้องพากันมายกเลิกตัวตน และหมั่นพัฒนาให้เรามีสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ และยกทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาเข้าสู่พระไตรลักษณ์ สมองของเราจะได้ไม่สับสน และไม่ดิ้นรนเหมือนลิงที่ยังไม่ได้รับการฝึก จะได้ไม่ดิ้นล่อกแล่กๆ ใจของพระพุทธเจ้าเจ้าเป็นใจที่บริสุทธ์เป็นใจที่ไม่ล่อกแล่ก ตาก็ไม่ล่อกแล่ก พระอริยสาวกของพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน เมื่อพระศาสดาเสด็จไปยังธรรมสภาด้วยพุทธลีลาอันงามยิ่ง เสด็จขึ้นสู่พุทธอาสน์ อันเตรียมไว้ แล้วทรงเปล่งพระรัศมี ๖ สี ออกอ่อนๆ ประหนึ่งสุริโยทัยเริ่มทอแสง เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จมาถึง ภิกษุทั้งหลายหยุดสนทนา นั่งนิ่งเงียบ พระสุคตเจ้า ทรงมองดูภิกษุบริษัทด้วยพระหฤทัยอันอ่อนโยน ทรงรำพึงว่า "บริษัทนี้งามยิ่งนัก การคนองมือ คนองเท้า หรือเสียงไอ เสียงจามของภิกษุสักรูปหนึ่งมิได้มีเธอทั้งหลายมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างสูงยิ่ง หากเราไม่พูดขึ้นก่อนจักไม่มีใครพูดเลย แม้จะนั่งอยู่ชั่วอายุก็ตาม"
ให้ทุกคนหันมาสังเกตว่า เวลาใจของเรามีตัวมีตน ใจมันล่อกแล่ก ตามันก็ล่อกแล่ก ล่อกแล่กแบบนั้นคือใจของเรายังเป็นโจร ใจของเรายังผิด ยังทุจริต ยังเป็นนิติบุคคล ยังเป็นแค่ทุกข์ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ทุกคนนั้นแก้ปัญหาได้ด้วยการมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการปฏิบัติที่ถูกต้อง การก้าวไปในชีวิตประจำวันของเรา เวลาจะได้ไม่กินเรา หากเรามีความเห็นผิดเวลาจะกินเรา เพราะเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราจะเสียเวลาในการดำเนินชิวิตที่ประเสริฐ เพราะคนธรรมดาสามัญที่เป็นปุถุชนนั้น เมื่อกลัวตายก็รีบทำบุญ แต่พระอริยเจ้าผู้รู้จริงและเห็นจริงในสิ่งทั้งปวงนั้น กลับกล่าวว่าเมื่อเห็นภัยในความตายแล้ว ก็จงหวังนิพพานอันเป็นธรรมเครื่องให้สงบ โดยการละเหยื่อทั้งหลายในโลกนี้เสียซึ่งย่อมจะหมายความว่า แม้แต่สิ่งที่เรียกว่าบุญ ก็ยังจัดไว้ในพวกที่เป็นเหยื่ออยู่นั่นเอง เพราะเป็นเครื่องล่อให้บุคคลหลงใหล พอใจ ด้วยความอยาก หรือความต้องการ ว่าจะได้เกิดในสุคติ เป็นสุข สนุกสนานกันอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นต้น จึงได้เรียกว่าเหยื่อ
ถ้าเห็นภัยอันตรายที่เกิดจากเวลา ที่เคี้ยวกินสรรพสัตว์กันจริงแล้ว ก็จะต้องทำให้ยิ่งไปกว่านั้น คือต้องหวังความสงบระงับจากการครอบงำของเวลา เพราะว่าไม่ต้องการเหยื่อนั่นเอง ดังนั้นพระพุทธองค์ตรัสจึงสรุปไว้ในขั้นสุดท้ายว่า...“โย จ กาลฆโส ภูโต ส ภูตปจินึ ปจิ บุคคลใดเป็นผู้กลืนกินกาลเวลา บุคคลนั้นได้เผาตัณหาที่เบียดเบียนเหล่าสัตว์ได้แล้ว”
เป็นของคู่กันว่า สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ตามธรรมดานั้นย่อมถูกเวลากัดกิน แต่พระอริยเจ้าผู้กำจัดความอยากเสียได้นั้น กลับเป็นผู้กินซึ่งเวลา หมายความว่า กำจัดกาลเวลาเสียได้ โดยเฉพาะปฏิสนธิกาล เพราะท่านไม่กลับมาเกิดในวัฏสงสารอีกนั่นเอง
พระพุทธเจ้าให้เรามีสัมมาทิฏฐิ เราจะได้หันมาหยุดเวลา เพราะตัวตนนี้มันมันทำร้ายเราเอง ไม่ใช่คนอื่นที่ไหนมาทำร้าย การที่เรามาแก้ไขหมู่มวลมนุษย์ เราต้องหันมาแก้ไขที่สัมมาทิฏฐิ ความเห็น ความเข้าใจ และข้อปฏิบัติของเรา หมู่มวลมนุษย์เป็นสัปปายะที่ประเสริฐ เพราะเราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เมื่อเราได้ความประเสริฐนี้แล้ว เราทุกคนต้องเห็นคุณค่าความประเสริฐเที่เราได้เป็นมนุษย์ อย่าได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ยกเลิกความเป็นคน ที่เป็นผู้ที่มีแต่ความหลง เราจะได้มาเป็นมนุษย์ เราจะเป็นมนุษย์ได้ยังไงถ้าเรามีอวชิชชาเป็นความหลงเป็นตัวนำชีวิตของเรา เรามาดูตัวอย่าง ตำแหน่งต่างๆ ที่เราได้รับการแต่งตั้งเราก็ไม่ได้ทำหน้าที่ตำแหน่งที่เราได้รับ อย่างเรามาบวชเป็นพระ พระคือพระธรรรม คือพระวินัย หากเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราก็ไม่ได้เป็นพระอะไร เป็นเพียงแต่พระแต่งตั้ง เป็นพระที่ทุจริต ความเป็นพระที่ได้สิทธิพิเศษจากการโกนผมห่มผ้าเหลือง คือบ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวไม่ต้องซื้อ หากเรายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ความทุจริตก็ยังมีแน่นอยู่ในใจเรา เราก็ยังไม่ได้เป็นพระ พ่อแม่ ครู อาจาย์ ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ หรืออไรต่างๆ และยังไม่ได้เป็นผู้มีความสุขในการปฏิบัติยกเลิกตัวตน
ทุกคนอย่าเอาความรู้สึกของตัวเองมาดำเนินชีวิต หากทุกคนมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง และมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เราทุกคนก็จะไม่มีใครมาบังคับเรา มาปกครองเราได้ เพราะตัวเราเองจะดำเนินชีวิตด้วยตัวเราเอง เราต้องหันมาปกครองตัวเองด้วยสัมมาทิฏฐิ และมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ รู้จักผิดถูกชั่วดี และยกเลิกตัวตน อย่าเอาความรู้สึกตัวเองเป็นที่ตั้ง เพราะไม่งั้นไม่ว่าจะมองทางซ้ายขวาหน้าหลัง ก็เป็นเพียงแต่คนผู้ที่ยังมีหลงอยู่ เราอย่ามัวแต่มองคนอื่น เพราะปัญหาทุกอย่างอยู่ที่ตัวเราเอง หมู่มวลมนุษย์ต้องป็นสัปปายะที่ประเสริฐ ที่พัฒนาใจ และพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อความสมดุลทางจิตใตและความสมดุลทางวัตถุ เราต้องรู้จักว่า เราต้องก้าวไปด้วยพุทธะ ด้วยธรรมะ ด้วยสังฆะ ก้าวไปด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจและการปฏิบัติที่ถูกต้อง แบบนี้จะเป็นการก้าวไปแบบที่ประเสริฐที่เราได้เกิดมาเป็นมุนษย์ ให้เรามาตั้งอยู่บนความถูกต้อง ในพระรัตนตรัย มีความสงบร่มเย็น มีสติสัมปชัญญะทุกหนแห่ง ความดับทุกข์มันอยู่ตรงนี้ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องว่า ทุกอย่างมันไม่เที่ยง เราเอาอายุขัยของเราที่ไม่เกินร้อยปีมาบำเพ็ญบารมีเพราะเราได้เป็นมนุษย์ที่ประเสริฐ อย่าเอาความหลงมาเป็นการดำเนินชีวิต เพราะแบบนั้นยังเป็นการหลงในขยะ เราถึงจะเป็นคนทันโลกทันสมัยที่แท้จริง ไม่งั้นเราก็จะเป็นทุกข์อย่างคนจน ทุกข์อย่างคนรวยปานกลาง หรือทุกอย่างคนรวย ถ้ายังไม่มีสมมาทิฏฐิ เราก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ดับทุกข์ไม่ได้ ตัวตนเปรียบอุปมาเหมือนทะเลมหาสมุทรที่ไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ เรามีอวิชชาความหลง การดำเนินชีวิตเราย่อมเป็นแบบนี้ ไม่สามารถเป็นแบบอื่น เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันจึงมี การที่เรามีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลก ให้เรามาอบรมบ่มอินทรีย์จนกว่าสติของเราจะกลายเป็นมหาสติที่ติดต่อต่อเนื่องอย่างสมบรูณ์ เพราะสติจะทำให้สัมมาทิฏฐิเราสมบูรณ์ เพื่อมาหยุดวัฏสงสาร หยุดความทุกข์ เราจะได้เอาสมมุติมาใช้ให้ถูกต้อง พร้อมกับการใช้วิมุติที่ถูกต้องโดยมีสติมีปัญญาเป็นตัวขับเคลื่อนไปสู่ความดับเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee