แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันพฤหัสบดีที่ ๒๕ พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๕๖ ช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก เราไม่ควรประมาท พึงเร่งทำความเพียร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราเป็นคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ เราจะพากันดำเนินชีวิตอย่างไร เราเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นคนสมัยใหม่ เราก็ต้องพัฒนาใจ ต้องพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง เพื่อให้เป็นของใหม่ ของสด เพื่อให้เป็นธรรม เป็นปัจจุบัน เราให้พากันรู้ความจริงทางส่วนจิตใจ รู้ความจริงทางฝ่ายวัตถุไปพร้อมๆ กัน มันจะเป็นโลกใหม่สมัยใหม่อย่างนี้ เราจะได้ทรัพยากรทางวัตถุที่ถูกต้อง แล้วก็ไม่หลง แล้วก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ วันหนึ่งคืนหนึ่งมันก็ ๒๔ ชม. เราก็พากันนอนพักผ่อน ๖ ชม. เวลาตื่นมีอยู่ ๑๘ ชม. เราต้องเข้าใจกาลสมัยใหม่ มันเป็นของใหม่ มันคือของสด ไม่ใช่อดีต ไม่ใช่อนาคต เป็นเรื่องปัจจุบัน ปัจจุบันมันต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เพื่อให้ชีวิตของเรามันเป็นธรรม มันเป็นปัจจุบันธรรม เพราะธรรมะนี้เป็นความดับทุกข์ทางจิตใจ แล้วก็ธรรมะเป็นความดับทุกข์ทางวัตถุ เราต้องทำอย่างนี้ เราต้องปฏิบัติกับใจของเราถูกต้อง ปฏิบัติกับวัตถุถูกต้อง เพื่อเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงมี ส่วนร่างกายของเรามันอยู่ได้ก็ ๑๐๐ ปี ถ้าเราพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปอีกอาจจะอยู่ได้ ๑๐๐ กว่าปีอย่างนี้ เป็นต้น
การมีสุขภาพร่างกายดี คือ การมีร่างกายแข็งแรง ไม่เจ็บป่วย และมีอายุขัยยืนนานส่วนการมีสุขภาพจิตใจดี คือ การที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ผ่องใสอยู่เสมอ จุดสูงสุดของการมีสุขภาพจิตใจดี คือ การกำจัดกิเลสอาสวะได้หมด หรือการเป็นพระอรหันต์นั่นเอง
พระอรหันต์ทุกรูปจึงเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตใจดีเสมอเหมือนกันทุกรูป แต่สุขภาพทางด้านร่างกายนั้นแตกต่างกัน พระอรหันต์บางรูปมีอาพาธน้อย บางรูปมีอาพาธปานกลาง บางรูปมีอาพาธมาก เช่น พระปิลินทวัจฉะ เป็นต้น ในขณะที่บางรูปไม่มีอาพาธเลยซึ่งก็คือ พระพากุลเถระนั่นเอง "พระเถระครองเรือน ๘๐ ปี อาพาธเจ็บป่วยไรๆ ก็มิได้มีตลอดกาล...แม้บวชแล้วอาพาธแม้เล็กน้อยมิได้มีเลย" พระพากุลเถระจึงเป็นต้นแบบของพุทธบริษัทผู้มีสุขภาพร่างกายดีคือ แข็งแรง ไม่มีอาพาธ และอายุยืนคือท่านมีอายุถึง ๑๖๐ ปี เหตุที่ท่านมีร่างกายแข็งแรงและอายุยืนเช่นนี้ เพราะผลบุญที่ท่านได้ทำไว้ในอดีตชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะบุญจากการสร้างห้องน้ำ (เว็จกุฎี) ถวายยารักษาโรคแก่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น
เมื่อพระให้ศีลให้พรมักจะลงท้ายด้วย “อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง” เพราะพรสี่ประการนี้เป็นสมบัติอันประเสริฐ เลิศยิ่งกว่าทรัพย์ใดๆ
ในเรื่อง "อายุ" ท่านไม่ได้หวังให้เรามีอายุยืนนานแต่เพียงอย่างเดียว หากแต่ท่านมุ่งหวังให้เรามีอายุยืนยาวอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้อายุที่ยืนยาวนี้มีส่วนสร้างปัญญาหาทางพ้นทุกข์ให้แก่ตัว ไม่มัวเมากับสิ่งเร้าภายนอกทั้งหลาย
"วัณโณ" หรือผิวพรรณนั้น มีรากฐานสำคัญมาจากการเป็นผู้มีศีล ไม่ว่าจะนับถือศาสนาใด หากมีศีลเป็นวัตรประจำใจ ผิวพรรณย่อมดีอยู่เสมอ เพราะเมื่อปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ทุกข์ร้อนจะไม่มากล้ำกราย เลือดลมจึงเดินสะดวก ทำให้ผิวพรรณผ่องใส
สำหรับ "สุขัง" การที่บุคคลจะมีสุขได้นั้น จำต้องมีองค์ประกอบหลักๆ คือ มีปัจจัยสี่พร้อม รวมทั้งมีสติและปัญญา รู้ตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา ไม่ปรุงจิตให้ขึ้นลงตามสิ่งที่มากระทบ และหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ได้ในทางที่ถูกที่ควร
ส่วนท้ายสุด "พะลัง" มีอยู่สองอย่าง คือ กำลังกายและกำลังใจ ที่ต้องหมั่นฝึกฝนเตรียมพร้อมไว้รับมือกับความเปลี่ยนแปลง ด้วยการหมั่นออกกำลังกายและหมั่นฝึกจิตให้เข้มแข็งอยู่เสมอ
แม้เราจะพยายามต้านทานความชราไว้เพียงใด แต่สุดท้ายแล้วเราทุกคนก็ต้องเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน การใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท หมั่นดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอทั้งกายและใจ จะช่วยให้เราเป็นผู้มีอายุยืนอย่างมีความสุข และสามารถสร้างประโยชน์ให้สังคมได้อย่างยาวนานที่สุด
อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพร่างกายในปัจจุบันชาตินี้ ก็ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและมีอายุยืนได้เช่นกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสหลักการดูแลสุขภาพร่างกายไว้ ๕ ประการซึ่งปรากฏอยู่ในปฐมอนายุสาสูตรดังนี้ อนายุสสสูตรที่ ๑ อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต (22/125/130) ความว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการเป็นเหตุให้อายุยืน คือ (๑) บุคคลเป็นผู้ทำความสบายแก่ตนเอง (๒) รู้จักประมาณในสิ่งที่สบาย (๓) บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย (๔) เป็นผู้เที่ยวในกาลสมควร (๕) เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์” ในอนายุสสสูตรที่ ๒ (22/126/130) ลำดับที่หนึ่งถึงสามเหมือนกัน มีต่างกันที่ข้อที่สามและสี่ คือ (๔) เป็นผู้มีศีล (๕) มีมิตรดีงาม
๑) สัปปายการี ทำสิ่งที่เป็นสัปปายะ สัปปายะ แปลว่า สบาย หมายถึง ทำในสิ่งที่ทำให้มีความสบายต่อสุขภาพของตนเอง สัปปายะมี ๗ ประการ ได้แก่ อาวาส, โคจร, การสนทนา, บุคคล, โภชนะ, ฤดู และ อิริยาบถ สัปปายะทั้ง ๗ ประการนี้เป็นเครื่องสนับสนุนให้การเจริญ "สมถวิปัสสนา" มีความก้าวหน้าส่วนสัปปายะที่มีผลโดยตรงต่อการดูแลสุขภาพนั้นมี ๔ประการ คือ อาวาส, โภชนะ, ฤดู และ อิริยาบถ
อาวาส แปลว่า ที่อยู่อาศัย อาวาสเป็นที่สบายต่อสุขภาพ หมายถึง อาวาสที่มีสิ่งแวดล้อมดี มีอากาศบริสุทธิ์ ไม่มีมลภาวะเป็นพิษ ไม่ร้อนเกินไป ไม่หนาวเกินไป เป็นต้น การได้อยู่ในอาวาสเช่นนี้ก็จะทำให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและอายุยืน
โภชนะ แปลว่า อาหาร อาหารเป็นที่สบายต่อสุขภาพ หมายถึง อาหารที่มีประโยชน์ มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน และ ปลอดจากสารพิษ เป็นต้น
ฤดู หมายถึง ภูมิอากาศในแต่ละช่วงของปี โดยทั่วไปมีอยู่ ๓ ฤดู คือ ฤดูฝน ฤดูหนาวและฤดูร้อน ฤดูนั้นมีความสำคัญต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุแห่งการเจ็บป่วยอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงฤดู หากร่างกายปรับตัวไม่ทันก็อาจจะเจ็บป่วย หรือ ถึงขั้นเสียชีวิตได้ เหตุที่ช่วงเปลี่ยนฤดู มีคนไม่สบายมาก ส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่ได้ปรับความเป็นอยู่ให้ทันกับสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป
อิริยาบถ หมายถึง อาการที่ร่างกายอยู่ในท่าใดท่าหนึ่ง เช่น ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถนั้นก็มีความสำคัญต่อสุขภาพมาก ในแต่ละวันเราจะต้องผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอ ให้เกิดความสมดุลกัน เลือดลมในตัวจึงจะไหลเวียนได้สะดวก ไม่เกิดการเมื่อยล้าเพราะอยู่ในอิริยาบถใดอิริยาบถหนึ่งนานเกินไป ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดการเจ็บป่วยได้ ในอรรถกถาอธิบายไว้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงผ่อนคลายความปวดเมื่อยจากอิริยาบถหนึ่งด้วยอิริยาบถหนึ่ง ย่อมทรงบริหาร คือยังทรงอัตภาพให้เป็นไปมิให้ทรุดโทรม
กิจวัตรของพระภิกษุในสมัยพุทธกาลนั้นมีหลากหลายจึงทำให้ภิกษุได้ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถอยู่เรื่อยๆ กล่าวคือ มีทั้งการนั่งสมาธิ บิณฑบาต เดินจงกรม กวาดลานวัด และนอนอย่างมีสติคือสำเร็จสีหไสยาสน์ เป็นต้น โดยเฉพาะการเดินจงกรมนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าช่วยให้ "อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้มแล้วย่อยได้ง่าย และทำให้มีอาพาธน้อย" อานิสงส์ของการเดินจงกรม ๕ ประการ (อังคุตตรนิกาย ปัญจกนิบาต จังกมสูตร) ๑. อทฺธานกฺขโม โหติ ทำให้เป็นผู้เดินทางไกลได้ทน ๒. ปธานกฺขโม โหติ ทำให้เป็นผู้ทำความเพียรได้ทน ๓. อปฺปพาโธ โหติ ทำให้เป็นผู้มีความไข้เจ็บน้อย ๔. อสิตํ ปีตํ ขายิตํ สายิตํ สมฺมา ปริณามํ คจฺฉติ ทำให้อาหารที่กิน ดื่ม เคี้ยว ย่อยได้ดี ๕. จงฺกมาธิคโต สมาธิ จิรฎฺฐิติโก โหติ สมาธิที่บรรลุในขณะเดินจงกรมตั้งแน่วแน่อยู่ได้นาน
นอกจากการผลัดเปลี่ยนอิริยาบถให้สม่ำเสมอแล้ว ในแต่อิริยาบถจะต้องมีความถูกต้องอีกด้วย จึงจะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ ทั้งการนั่ง เดิน ยืน และนอน ในการนั่งโดยเฉพาะนั่งสมาธินั้นพระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำเสมอว่าจะต้องนั่งให้ "ตัวตรง" ดังพระดำรัสว่า "ภิกษุในธรรมวินัยนี้...นั่งคู้บัลลังก์ "ตั้งกายตรง" ดำรงสติบ่ายหน้าสู่กรรมฐาน..." ส่วนการนอนหรือจำวัดนั้นพระองค์ตรัสสอนให้นอนแบบราชสีห์คือนอนตะแคงขวา สาเหตุที่ต้องนอนตะแคงขวาเพราะจากการศึกษาของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า ท่านอนตะแคงขวาเป็นท่าที่ถูกหลักอนามัยที่สุด เนื่องจากร่างกายจะไม่กดทับหัวใจ ช่วยให้หัวใจเต้นสะดวก ไม่ทำงานหนักจนเกินไป อาหารจากกระเพาะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วย
๒) สัปปาเย มัตตัญญู รู้จักประมาณในสิ่งที่เป็นสัปปายะ ต้องรู้จักพอดีในสิ่งที่สบายนั้นด้วย ไม่ใช่ว่าสบายมากจนกลายเป็นนอนขี้เกียจอยู่ทั้งวัน รู้จักประมาณในสิ่งที่เป็นสัปปายะในที่นี้คือ การรู้จัก "ความพอดี" เช่น เรื่องอาหาร เมื่อเราจัดหาอาหารที่ดี มีประโยชน์ได้แล้ว อาหารนี้ก็ได้ชื่อว่าเป็นอาหารสัปปายะ แต่ในเวลารับประทานอาหารนั้นเราจะต้องรู้จักประมาณ ต้องรู้จักความพอดี ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป ดังที่พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า "ภิกษุ เมื่อฉันอาหารสดก็ตาม แห้งก็ตาม ไม่พึงฉันให้อิ่มเกินไป ไม่พึงฉันให้น้อยเกินไป พึงฉันแต่พอประมาณ พึงมีสติอยู่"
ความพอดีของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและเพศภาวะสำหรับพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุในสมัยพุทธกาลนั้น ฉันภัตตาหารเพียงมื้อเดียว ก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายแล้ว เพราะหน้าที่ของนักบวชคือการปฏิบัติธรรมและสอนธรรมะ ไม่ได้ทำงานที่ใช้แรงงานหนักเหมือนฆราวาสบางอาชีพ จึงไม่จำเป็นต้องฉันภัตตาหารมาก พระพุทธองค์ตรัสอานิสงส์การฉันมื้อเดียวไว้ว่า "เราฉันอาหารมื้อเดียว...สุขภาพมีโรคาพาธน้อยกระปรี้กระเปร่า มีพลานามัยสมบูรณ์ อยู่สำราญ"
สำหรับวิธีการรับประทานอาหารให้พอดีในแต่ละมื้อนั้น พระสารีบุตรกล่าวไว้ว่า "พึงเลิกฉันก่อนอิ่ม ๔-๕ คำ แล้วดื่มน้ำเท่านี้ก็เพียงพอเพื่ออยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีใจเด็ดเดี่ยวมุ่งนิพพาน" เหตุที่ต้องเลิกก่อนฉันอิ่ม ๔-๕ คำนั้น ก็เพื่อสำรองพื้นที่ในกระเพาะไว้สำหรับอาหารที่อยู่ระหว่างเดินทางในหลอดอาหาร และน้ำที่จะดื่มหลังเลิกฉันอาหารแล้ว เมื่ออาหารในหลอดอาหารตกถึงกระเพาะ และดื่มน้ำเข้าไปแล้วก็จะทำให้รู้สึกอิ่มพอดี
๓) ปริณตโภชี บริโภคสิ่งที่ย่อยง่าย อาหารที่รับประทานเข้าไปแล้วจะย่อยง่ายหรือย่อยยากขึ้นอยู่กับเหตุอย่างน้อย ๒ ประการ คือ ประเภทของอาหาร และ ความคุ้นเคยกับอาหาร โดยประเภทของอาหารนั้น หากเป็นอาหารจำพวกเนื้อสัตว์จะย่อยยาก แต่ถ้าเป็นผักผลไม้จะย่อยง่าย ส่วนความคุ้นเคยกับอาหารนั้นคือ คนแต่ละท้องถิ่นและแต่ละชาติจะคุ้นเคยกับอาหารแตกต่างกันไป
การที่อาหารไม่ย่อยหรือย่อยยากนั้นจึงมีโทษมาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระภิกษุในสมัยพุทธกาลจึงแก้ไขด้วยการฉันยาคูหรือข้าวต้มในเวลาเช้า เพราะยาคูมีอานิสงส์ ๕ ประการคือ "บรรเทาความหิว ระงับความกระหาย ให้ลมเดินคล่อง ชำระลำไส้ และเผาอาหารที่ยังไม่ย่อยให้ย่อย"
และก็พวกเหล้า พวกเบียร์ พวกไวน์ พวกยาอี ยาไอซ์ ประเภทนี้ถือว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันเป็นสิ่งระงับความคิด ระงับอารมณ์ หยุดความปรุงแต่งได้ระดับหนึ่ง ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ที่หลายๆ ประเทศ ประเทศที่กำลังเจริญทางวัตถุเอาเหล้า เอาเบียร์ เอาสรวลเสเฮฮา เอาคอนเสิร์ต เอาการบริโภคกามเป็นความสุข อันนี้ถือว่ามันไม่ใช่ มันเป็นการเพิ่มความหลง เติมเชื้อเพลิงให้กับตัวเอง ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นประชาธิปไตยที่หลายๆ ประเทศยอมรับกัน ออกกฏหมายรองรับ อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ศาสนาพุทธนี้ก็รับไม่ได้ ศาสนาอิสลามก็รับไม่ได้เรื่องนี้ ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาซิกข์ หลายๆ ศาสนาก็ยอมรับไม่ได้ พระเจ้าทุกพระเจ้านี่ ไม่มีพระเจ้าไหนที่ยอมรับสิ่งที่กล่าวนี้ได้ แต่เป็นศาสนิกชนของศาสนานั้นๆ ที่พากันหลงเอง ที่หลายๆ ปีที่ผ่านมา คนเป็นโรคมะเร็งกันมากขึ้น เป็นโรคฟุ้งซ่านก็มากขึ้น โรคซึมเศร้าก็มากขึ้น เป็นโรคที่ไม่มีความสุขใจ ไม่สงบใจมากขึ้น ก็เนื่องมาจากการบริโภคอาหารกาย และก็บริโภคอาหารทางจิตใจ คือใจของมนุษย์นี้ไม่สงบไม่มีปัญญา
๔) กาลจารี เป็นผู้เที่ยวในกาลสมควร ใช้ชีวิตให้เหมาะสมในเรื่องเวลา ไม่เคร่งเครียดบังคับตัวเองมากเกินไป รู้จักจัดเวลาให้พอดี ไม่หักโหมเกินกำลัง ประเด็นนี้มุ่งการงดเที่ยวในเวลาไม่สมควรโดยเฉพาะการเที่ยวกลางคืน เพราะจะเป็นเหตุให้ต้องนอนดึก หรือบางครั้งไม่ได้นอนซึ่งจะทำให้ร่างกายทรุดโทรมอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าไม่เที่ยวกลางคืน ก็จะมีโอกาสพักผ่อนได้เต็มที่สุขภาพก็จะสมบูรณ์แข็งแรง การแพทย์ในปัจจุบันพบว่า การนอนดึกจะทำให้ร่างกายอ่อนล้าเหมือนกับเครื่องยนต์ "overload" เป็นเหตุให้อายุสั้นการนอนดึกอย่างต่อเนื่องจึงเป็นการเร่งวันตายให้ตัวเอง การนอนของมนุษย์เรานี้ก็ต้องนอนให้เพียงพอ วันๆ หนึ่งนี้อย่างน้อย 6 ชม. อย่างมากสำหรับประชาชนคนทั่วไปก็อยู่ในไม่เกิน 8 ชม. พวกที่เป็นนักเรียน ถ้าเป็นเด็กๆ ก็น่าจะนอนวันหนึ่งก็ 8-9 ชม. ต้องบังคับตัวเองให้ได้ ถ้าอย่างนั้นมันเป็นการคอรัปชั่นเวลานอน เราเอาเวลานอนไปพูดไปคุยไปดูหนังฟังเพลง เล่นเกมส์ เล่นอะไรอย่างนี้เค้าเรียกว่าเป็นการคอรัปชั่นเวลานอน
๕) พรหมจารี ประพฤติพรหมจรรย์ ถือพรหมจรรย์ตามความเหมาะสม รู้จักปล่อยวางบ้าง อย่าเคร่งเครียดเบียดตัวเองจนตกขอบ ปฏิบัติธรรมสม่ำเสมอ ถือศีล ๘ ตามสมควร และหมั่นขัดเกลาจิตใจให้กิเลสเบาบางลง การประพฤติพรหมจรรย์นั้นเป็นเหตุให้มีสุขภาพแข็งแรงและอายุยืน ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะไม่ต้องหมกมุ่นอยู่กับเรื่องกามราคะและไม่ต้องทนทุกข์กับปัญหาทางครอบครัวและสังคมแบบชาวโลก มุ่งหน้าศึกษาพระธรรมวินัยและประพฤติปฏิบัติธรรมเป็นหลัก ส่วนคฤหัสถ์ก็สามารถประพฤติพรหมจรรย์ได้ ด้วยการรักษาศีล ๘ ในวันพระวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาต่างๆ เช่น หรือช่วงเข้าพรรษา เป็นต้น
ถ้ามนุษย์เรามีความสุข รู้อริยสัจทางส่วนร่างกาย รู้อริยสัจทางส่วนจิตใจ อย่างนี้ เราต้องเข้าใจ แม้แต่ผู้วายชนม์ที่จากไปอย่างนี้ เราก็ต้องทำให้ถูกต้อง เช่น เรามาร่วมรวมกันอย่างนี้ มาอุทิศบุญกุศลอย่างนี้ เราก็ต้องเข้าใจว่า ผู้วายชนม์มันต้องวายชนม์จากไปตามอายุขัย ถ้าไม่ใช่กรรมตัดรอนอะไรอย่างนี้ เราเป็นมนุษย์ เป็นผู้ประเสริฐเราต้องรักกัน เราต้องเป็นผู้ให้ เป็นผู้ที่เสียสละ เราต้องมอบบุญมอบกุศล ตัวเองก็ให้ได้บุญได้กุศล ผู้จากไปก็ให้ได้บุญได้กุศล เราเป็นคนรุ่นใหม่สมัยใหม่เราก็รู้เจริญวิทยาศาสตร์ เพราะเราเรียนวิทยาศาสตร์ เราเป็นพุทธะทางวิทยาศาสตร์ในแขนงต่างๆ นึกว่าตายแล้วก็แล้วไป มันไม่ใช่อย่างนั้น เพราะสิ่งนี้มี สิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าเรามีตัวมีตน การเวียนว่ายตายเกิดมันก็ย่อมมี แต่ว่าคนเป็นกับคนตายมันก็ไม่เห็นกัน เพราะปลาก็ไม่รู้เรื่องนก นกก็ไม่รู้เรื่องปลาอย่างนี้ คนตายไปแล้วก็ไม่รู้เรื่องคนเป็น คนเป็นก็ไม่รู้เรื่องคนตายอย่างนี้ พระพุทธเจ้าพระองค์ท่านทรงบำเพ็ญพุทธบารมีจนได้ตรัสรู้ จิตใจท่านว่างจากตัวตน ท่านระลึกชาติหนหลังตั้งหลายล้านชาติ ข้างหน้าก็หลายล้านชาติอย่างนี้เป็นต้น เพราะเรามีตัวมีตนมันก็เหมือนปลาไม่รู้เรื่องของนก เพราะว่า มาอยู่บนโลกทำไมมันไม่แห้งตายไม่มีน้ำ นกก็ไม่รู้เรื่องของปลาว่า มันอยู่ในน้ำมันหายใจได้ยังไงอย่างนี้ คนเราน่ะเมื่อเรามีความเห็นอย่างไม่ถูกต้อง เข้าใจอย่างไม่ถูกต้อง มันก็อย่างนี้น่ะ ถ้าเรามีตัวมีตน สมองมันก็สับสนอย่างนี้แหละ เพราะตัวตนมันคือความสับสน
ความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง มันจะดับปัญหาตั้งแต่ปัจจุบันไปแล้ว มันเข้าถึงความเป็นมนุษย์ ยกเลิกความเป็นคนตั้งแต่ปัจจุบัน เข้าถึงความเป็นเทวดา รับความสะดวกความสบาย และก็ไม่หลง ได้รับความสงบร่มเย็น และก็ไม่หลง รู้จักพระไตรลักษณ์ว่าทุกอย่างมันมีปัจจัย ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จะรู้เรื่องพระไตรลักษณ์ มันจะเข้าถึงมรรคผล เข้าถึงพระนิพพาน ตั้งแต่ในปัจจุบัน ไม่ต้องรอให้ตาย ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็สงสัยอย่างนี้แหละ มีนิวรณ์อยู่อย่างนี้แหละ เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาจะว่ามันไม่ใช่ปัจจุบัน เป็นตัวเป็นตน ตัวตนคืออดีต คือความยึดมันถือมั่น เราเอาตัวตนก็ไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ เหมือน พระเจ้าอชาตศัตรูทำลายความดี ทำลายความถูกต้อง ฆ่าพ่อของตัวเอง ผู้เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ทำลายความดีของตัวเอง ทำลายปัญญาของตัวเอง เราเอาตัวตนเราก็รับผลัดความถูกต้องไม่ได้ มันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ รับผัสสะจากพระพุทธเจ้าไม่ได้ จากพระอรหันต์ไม่ได้ เพราะตัวตนมันอันนี้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าอย่าไปหลงตัวเอง เราต้องมีปัญญาว่า ทุกอย่างคือความปรุงแต่ง ความชอบใจไม่ชอบใจ ทุกอย่างมันก็มีอยู่แล้ว เราต้องยกเลิกตัวตน เพื่อเราจะได้ว่างจากตัวตน
เราทุกคนต้องรู้จักว่าเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ต้องมาเป็นคนฉลาด มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง มีความสุขในการดำเนินชีวิต ที่เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นใหญ่ เอาธรรมเป็นที่ตั้ง เริ่มจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นผู้มีสัมมาทิฐิ เป็นผู้ที่มีศีล ๕ ศีล ๕ คือความดี คือพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ทุกคนเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ก็เพราะว่าเคยมีศีล ๕ มาก่อน เราต้องมาต่อยอดของเราให้สูงยิ่งๆขึ้นไป ทุกคนต้องพากันมีปัญญา เมื่อมีปัญญาแล้วก็มีการประพฤติการปฏิบัติ เป็นสัมมาทิฏฐิ มีความตั้งใจมั่นเป็นสัมมาสมาธิ เราต้องตั้งใจอย่างนี้ ตั้งมั่นในความดี
เพราะการประพฤติการปฏิบัติของเราอยู่ที่ปัจจุบัน อดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ อยู่ที่ปัจจุบัน ถ้าปัจจุบันเราทำอย่างไร อนาคตก็จะเป็นอย่างนั้น ที่คนส่วนใหญ่มีปัญหา ก็เพราะไม่ได้เอาธรรมเป็นหลัก ไม่ได้เอาธรรมเป็นใหญ่ มันถึงมีปัญหา มีความประพฤติไปทางอบายมุข จิตใจจึงตกไปสู่อบายภูมิ ถ้าเราทุกคนมีการประพฤติปฏิบัติด้วยตนเอง ก็จะก้าวหน้าไปเรื่อยๆ เหมือนกับเรามีเมล็ดพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก เมล็ดพันธุ์แห่งปัญญาที่นำไปสู่ความดับทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงทุกสิ่งทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย ทุกคนไม่มีใครปฏิบัติให้ ทุกท่านทุกคนต้องลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง ถ้าเราทำอย่างนี้ชีวิตของเราจึงจะเดินทางถูก ไม่มีใครยกเว้น
พระพุทธเจ้าให้เราเอาความดับทุกข์ด้วยการไม่ตามกิเลส เพราะมันเป็นเรื่องไม่จบไม่สิ้น มันเป็นเรื่องที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนฉายหนังม้วนเก่า มันไม่จบ มันจบก็เอามาฉายใหม่ บางคนก็เบื่อความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ไม่อยากเกิดแต่ก็ไม่ยอมทิ้งไม่ยอมละไม่ยอมปล่อยวาง คงคิดไม่ถึงว่าถ้าเราปล่อยวางกิเลสไม่ทำตามกิเลส มันมีความสุข เขาอยากมีรสชาติอยู่กับกิเลส ถ้าไปพระนิพพานมันจะมีรสชาติจากไหน มันเลยอาลัยอาวรณ์กับภพชาติ อาลัยอาวรณ์กับข้าวของเงินทอง พี่น้อง ยศ ตระกูล มันไม่ได้คิดว่าของพวกนี้มันของชั่วคราว ของเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา ถ้าเราปล่อยวางแล้วเราจะมีความสุขมาก ตามพระบาลีตรัสไว้ สุขอันไหนก็ไม่เท่าความสงบ เปรียบเสมือนเราแบกโลกทั้งโลกแล้วเราปล่อยวางมัน เราก็มีความสุข ถ้าเรากลับมาแก้ที่ตัวเราเองปัญหาทุกอย่างก็หมดไป
พระพุทธองค์ทรงให้เราพิจารณา สิ่งที่ต้องพิจารณาอภิณหปัจจเวกขณ์ คือ ข้อปฏิบัติที่ควรพิจารณาทุกๆ วัน มีอยู่ ๕ ประการ ได้แก่
๑. เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้แล้ว ย่อมเป็นเครื่องบรรเทาความประมาท ความมัวเมา ความลุ่มหลงในวัย ไม่ให้ประมาทในการดำรงชีวิตในแต่ละวัยก่อนความแก่จะมาถึง
๒. เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ความเจ็บไข้ได้ป่วยย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกคน และความเจ็บมีทั้งรักษาได้และรักษาไม่ได้ปะปนกันไปสักวันหนึ่งเราจะต้องเจ็บแน่นอน ดังนั้นพึงพิจารณาให้ได้ทุกๆ วัน
๓. เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ความตายไม่มีนิมิตหมายจะตายเมื่อไรไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ ๆ ก่อนตายเราควรทำอะไรให้กับชีวิตที่มีอยู่ เพราะความตายเราหนีไม่พ้นแน่นอน
๔. เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น เป็นการย้ำเตือนอยู่ตลอดเวลาว่า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราทั้งสิ่งชอบใจและไม่ชอบใจ ต่างต้องมีอันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในที่สุด เป็นการเตรียมใจรับกับ ภาพที่เป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ไม่ว่าเราจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตามเพื่อป้องกันความเศร้าโศกเสียใจ ให้คลายความยึดมั่นถือมั่นเสีย
๕. เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมใดไว้ เราทำดีจักได้ดี ทำชั่วจักได้ชั่ว เราจะต้องเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
การพิจารณาทั้ง ๕ ประการนี้ พึงพิจารณาอยู่เนืองนิตย์ จะได้ไม่ประมาทในการเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วได้พบพระพุทธศาสนา เราจะได้เอาธรรมโอสถมารักษาใจของเรา ใจของเราจึงจะหายจากโรค โดยเฉพาะโรคกิเลส โรคที่พาเราเวียนว่ายตายเกิด สักวันเราก็ต้องตาย พ่อแม่ญาติพี่น้องเราก็ต้องตาย คนที่เรารักคนที่เราเกลียดก็ต้องตาย คนที่ชอบไม่ชอบก็ต้องตาย แต่เพราะอวิชชาความหลงจึงทำให้เราไม่เข้าใจ ชีวิตในวันหนึ่งๆ ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาของชีวิตมนุษย์นั้นสั้นนัก เราไม่ควรประมาท พึงเร่งทำความเพียร เพื่อไปให้ถึงจุดหมายปลายทางของชีวิต เช่นเดียวกับพระอรหันตขีณาสพทั้งหลาย
ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ความดับทุกข์ ตั้งแต่ยังไม่ตายเพราะชีวิตของเราจะเลื่อนไปเอง เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้ถึงมี มันจะเลื่อนไปอย่างนี้ คนเราไม่อาจถึงอนาคตได้ มันจะเป็นปัจจุบันอย่างนี้ ที่ถามว่าตายไปแล้วไปไหน มันอยู่ที่ปัจจุบัน ปัจจุบันเราคิดยังไง เราก็ไปอย่างนั้น ถ้าเราไม่มีสติสัมปัชชัญญะ ไม่รู้ตัวทั่วพร้อม ปัจจุบันเราปล่อยให้มันคิดไป มันก็จะไปตามที่เราโง่ที่เราหลง ที่เรียกว่าอวิชชา มันต้องเวียนว่ายตายเกิด เพราะเราไม่ได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติเพื่อพากันไปเวียนว่ายตายเกิด ศีลนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก ธรรมนี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก ปัญญาเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลก คือปัญญารู้ธรรมะ ไม่ใช่ปัญญาหาเลี้ยงชีพ ปริญญาตรี โท เอก มันเป็นปริญญาหากิน พระพุทธเจ้าท่านให้เราเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ตั้งแต่ยังไม่ตาย ทุกอย่างมันต้องแก้ที่ใจ เราทุกคนพากันสังเกตภายนอก ภายนอกเราก็ต้องแก้ไปตามหลักเหตุผล หลักวิทยาศาสตร์ แต่ทุกคนต้องแก้ที่ใจ เพราะปัญหาทุกอย่างมันแก้ได้ด้วยปัญญาและด้วยความประพฤติ ด้วยการปฏิบัติ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee