แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันเสาร์ที่ ๒๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๕๑ การทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทำเพื่อขัดเกลาไม่เอาอะไร ทำเพื่อยกเลิกตัวตน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมีความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการปฏิบัติที่ถูกต้อง เราจะได้เดินทางสายกลางที่มาพัฒนาใจ และพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน วันนึงคืนนึงพวกเราก็พากันนอน ๖ ชม. เวลาเราตื่นอยู่นี้ก็ ๑๘ ชม. เราทุกคนต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับตัวเข้าหาเวลา มีความสุขในการพฤติการปฏิบัติ ยกเลิกตัวยกเลิกตน พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจง่ายๆ แบบนี้ เราจะเอาความชอบความไม่ชอบ หรือเอาความเบื่อความไม่เบื่อไม่ได้ พวกเราต้องพากันรู้ กาลเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญ ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจแบบนี้นะ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราจะปล่อยให้ความไม่ถูกต้องดำเนินชีวิตของเราไม่ได้ เราทุกคนไม่มีสิทธิที่จะตามความชอบความไม่ชอบนะ ความชอบความไม่ชอบนั้นยังเป็นความเป็นนิติบุคคล เป็นตัวเป็นตน เค้ามีนาฬิกาก็เพื่อให้เรายกเลิกตัวยกเลิกตน ให้เรารู้จักปรับตัวเข้าหาธรรมะ เข้าหาเวลา
การรักษาศีลก็ให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆ การรักษาศีลก็เพื่อให้เรามายกเลิกตัวยกเลิกตน ต้องพากันมาเห็นความสำคัญของการรักษาศีลการปฏิบัติศีล อย่างการทำสมาธิเราก็ต้องเข้าใจความหมาย เพราะการทำสมาธินั้นก็เป็นการยกเลิกตัวตน แม้เป็นการยกเลิกตัวตนชั่วคราวก็ยังดีเพราะเราได้ยกเลิกอดีตให้เป็นศูนย์ อนาคตที่ยังไม่มาถึงก็ไม่ต้องวิตกกังวล ปัจจุบันเราก็ยกรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย เป็นเพียงเหตเป็นปัจจัย เราจะได้เข้าถึงความว่างจากการมีตัวตน
การทำข้อวัตรกิจวัตร หรือการทำงานเราต้องมีสติสัมปชัญญะ ต้องมีความสุขในการทำงาน เราจะได้ลด จะได้บรรเทาความฟุ้งซ่านของเรา ให้เราพากันเข้าใจ เราอย่าพากันคิดว่าเราทำไปเพราะวัดนี้มีระเบียบมีวินัย ถ้าไม่ทำมันจะไม่เหมือนเค้า เราอย่าพากันคิดแบบนั้น เราต้องมาเข้าใจความหมาย เพราะเราเป็นคนโชคดี เราจะได้มาประพฤติมาปฏิบัติ เราจะได้มาเจริญสติสัมปชัญญะ คนเราย่อมมีความง่วงเหงาหาวนอน เพราะความง่วงเหงาหาวนอนนั้นมันเป็นเรื่องของกาย ทุกคนย่อมมีความง่วงเหงาหาวนอนเหมือนกัน เราอย่าพากันสนใจเพราะร่างกายของเราก็เป็นแบบนี้แหละ อย่าไปหมกหมุ่น อย่าไปซบเซา ให้พากันทำจิตทำใจให้เบิกบาน ให้เราพากันยกจิตยกใจ ออกจากกาย ออกจากเวทนา เพื่อเราจะได้ฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง เพราะเรามีความง่วงเหงาหาวนอนไว้สำหรับฝึก ฝึกจิตฝึกใจ ถ้าเราไม่มีความง่วงเหงาหาวนอนเราจะเอาอะไรฝึก เรามีความง่วงเหงาหาวนอนเราจึงต้องพากันมาฝึก เราโชคดีแล้วที่เรามีความรู้สึก มีความง่วงเหงาหาวนอน คนที่ไม่มีความง่วงเหงาหาวนอน หรือไม่มีความสุขทุกข์ ก็มีแต่คนตายนั้นแหละ เราต้องพากันมีสติมีปัญญา เพราะความง่วงเหงาหาวนอนนั้นดีนะ เพราะเราจะได้มาฝึกตัวเอง เราจะเอาแต่สิ่งที่ชอบนั้นไม่ได้ ความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบนั้น มันก็คืออันเดียวกัน เพราะมันคืออวิชชา มันคือความหลง มันเป็นเพียงอารมณ์
เราจะเอาความหลงเป็นที่ตั้งไม่ได้ เค้าจะพาเรียกเราว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์ ในโลกนี้เจ้าอาวาสถึงหายาก เพราะส่วนใหญ่เป็นคนเจ้าอารมณ์ เราจะเอาความชอบ ความไม่ชอบมาครองจิตครองใจนั้นไม่ได้ ทุกคนต้องมีสติรู้ตัวทั่วพร้อม ให้หายใจเข้าชัดเจน หายใจออกชัดเจน หายใจเข้าออกสบายให้มีความสุข ยกจิตยกใจเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่ามันไม่แน่มันไม่เที่ยงเนาะ การที่เราเอาแต่ตัวตนมันก็มีแต่ความท้อแท้ ความท้อถอย เรายังไม่ได้นั่งสมาธิ ก็พากันมากลัวความง่วงเหงาหาวนอน กลัวปวดแข้งปวดขา เราต้องพากันรู้จักความคิด เราต้องไม่ไปสนใจมัน เราจะได้ก้าวไปด้วยด้วยความเป็นพุทธะด้วยการฝึกข้อวัตรข้อปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าถึงให้ทุกคนมีความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และการปฏิบัติที่ถูกต้อง ให้พวกเราพากันเอาข้อวัตรข้อปฏิบัตินำตัวนำตน เราจะได้เป็นคนที่มีข้อวัตร มีหลักในการดำเนินชีวิต เราพากันมาบวชมาปฏิบัติ เราต้องพากันมารู้จักเพราะการบวชการปฏิบัติคือให้เรามายกเลิกตัวตน ถ้าเราง่วงเหงาหาวนอน เราก็พากันมาหายใจให้ลึกให้เต็มที่ และหายใจออกให้ยาวเต็มที่อย่างมีความสุข เพื่อจะดึงสติสัมปชัญญะกลับมา แต่ถ้ายังเอาไม่อยู่ เราก็พากัน stop ลมหายใจไว้ ไม่ถึงกับกลั้นลมหายใจ เปรียบเหมือนการทำเหมือนฝายน้ำล้นในป่าในอุทยาน ที่เค้าเรียกกันว่า ฝายแม้ว เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำนั้นวิ่งเร็วเกิน เป็นการรู้จักชะลอน้ำ แต่ปัจจุบันทุกอย่างได้พัฒนากันไปไกล เค้าเรียกได้พัฒนาและเรียกกันว่า ธนาคารน้ำ
ส่วนใหญ่ใจของเราไม่มีข้อวัตรไม่มีข้อปฏิบัติ มันปล่อยใจของเราตามอัธยาศัย ใจของเราตั้งอยู่บนความเพลิดเพลินความประมาท อีกประการหนึ่ง พวกเราส่วนใหญ่ก็ยังไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ เราต้องพากันมาชะลออารมณ์ ชะลอความคิดด้วยการ stop ลมหายใจของตัวเอง คนที่ฟุ้งซ่านเค้าต้องใช้วิธีกระตุ้นลมหายใจ ด้วยการให้ใจมีสติสัมปชัญญะกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เต็มที่ เหมือนหลวงพ่อชา ท่านสอนคนที่ฟุ้งซ่านมากๆ และคนที่คุมตัวเองไม่อยู่ ท่านก็จะให้นับจำนวนไม้ขีดในกล่อง ท่านก็แกล้งทำไม้ขีดล่วงลงพื้น ท่านก็บอกให้นับดูว่าในกล่องมีกี่ไม้ พอนับจบท่านก็จะบอกว่ามันไม่แน่ ให้นับดูใหม่ เพื่อให้สติสัมปชัญญะมันกลับมา เพื่อสมองมันจะได้ช้าลง ผู้ปฏิบัติสายยุบหนอพองหนอที่ประเทศพม่า เค้าได้พากันมาเปลี่ยนจากเอาสติจดไว้ที่จมูกมาจดที่หน้าท้องแทนเพราะไว้ที่จมูกมันยังฟุ้งซ่าน เค้าเลยได้พากันเอาสติมาไว้ตรงท้องเหนือสะดือ เพื่อยกเลิกความฟุ้งซ่านลง ความหมายเค้าเป็นอย่างนั้น ท้องยุบก็รู้ท้องพองก็รู้ หรือใช้วิธีการกระตุ้นเจริญสติสัมปชัญญะโดยการยกขาซ้าย ยกขาขวา ว่ายกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ เพื่อพากันกระตุ้น และ stop สมองให้มีสติสัมปชัญญะ เราต้องพากันมาเข้าใจความหมายว่า เค้าทำกันเพื่ออะไร เค้าทำกันแบบนี้เพื่อยกเลิกความปรุงแต่งความฟุ้งซ่าน ให้พวกเราพากันหางานทำหาเครื่องอยู่ของจิตอย่างมีความสุข เค้าทำแบบนี้กันเค้าถึงได้พากันเป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์
เบื้องต้นทุกคนต้องพากันมีความสงบและมีสติสัมปชัญญะกันก่อน การทำกิจวัตรข้อวัตรเราต้องมีสติสัมปชัญญะอยู่กับเนื้ออยู่กับตัว มันจะได้เป็นสมถะความสงบ พอมันสงบและไม่ฟุ้งซ่านมาก เราก็จะได้พิจารณาทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวมันไม่ใช่ตน เราจะไปวุ่นวายกับมันทำไม ทุกอย่างมันไม่วุ่นวาย แต่ใจเราต่างหากที่วุ่นวาย เหมือนพระเซนที่ถามว่าธงมันไหว หรือลมมันไหว พระที่มีความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง ท่านก็พูดว่า จิตใจของเราที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้องต่างหากที่มันไหว
เมื่อท่านฮุ่ยเหนิงเห็นว่าถึงเวลาเผยแพร่ธรรมะจึงเดินทางมาถึงวัดฝ่าซิ่งแห่งนครกว่างตง ในขณะนั้นพระธรรมาจารย์อิ้นจงซึ่งเป็นเจ้าอาวาสกำลังเทศนาว่าด้วยมหาปรินิรวาณสูตร และธงริ้วกำลังโบกสะบัดพริ้วๆ พระภิกษุสองรูปก็โต้เถียงกันว่า "ผมว่าธงกำลังสั่นไหว" "หลวงพี่เข้าใจผิด แท้ที่จริงลมมันไหวต่างหาก" พระทั้งสองรูปต่างโต้เถียงไม่ยอมแพ้แก่กันและไม่มีทีท่าว่าจะตกลงกันได้ เพราะต่างยึดถือความเห็นของตนเองเป็นใหญ่และถูกต้อง
ท่านฮุ่ยเหนิงจึงเสนอข้อตัดสินว่า "ผมว่าท่านทั้งสองเข้าใจผิดแล้ว สิ่งที่สั่นไหวนั้นไม่ใช่ธงและลม แท้ที่จริงเป็นจิตของท่านทั้งสองต่างหาก"
ที่ประชุมในขณะนั้นต่างตื่นตะลึงต่อถ้อยคำของท่านฮุ่ยเหนิงเจ้าอาวาสอิ้นจงจึงอาราธนาให้ขึ้นนั่งบนอาสนะอันสูง แล้วซักถามปัญหาสำคัญๆ ในพระสูตรต่างๆ เมื่อได้รับคำตอบอันชัดแจ้งซึ่งมีค่าสูงกว่าความรู้ที่ได้จากตำรา พระธรรมาจารย์อิ้นจงจึงกล่าวว่า "ท่านต้องเป็นบุคคลที่มิใช่ธรรมดา อาตมาได้ฟังข่าวมานานแล้วว่า บุคคลผู้ซึ่งได้รับมอบผ้ากาสาวพัสตร์ และธรรมะจากพระสังฆปริณายกองค์ที่ห้า บัดนี้ได้เดินทางลงมาทางทิศใต้เห็นทีท่านจะเป็นบุคคลผู้นั้นแน่แล้ว"
ท่านฮุ่ยเหนิงแสดงกริยาตอบรับโดยอ่อนน้อม เจ้าอาวาสอิ้นจงจึงทำความเคารพและขอให้นำเอาผ้าและบาตรที่ได้รับมอบออกมาให้ที่ประชุมดูพร้อมทั้งซักถามว่า "เมื่อครั้งที่พระสังฆปริณายกองค์ที่ห้ามอบธรรมะอันเร้นลับสำหรับพระสังฆปริณายกให้แก่ท่านนั้น ท่านได้รับคำสั่งสอนอย่างใดบ้าง"
"นอกจากการชี้ให้เห็นแจ้งชัดในธรรมญาณแล้ว ท่านมิได้ให้คำสอนอะไรเลย ท่านมิได้เอ่ยแม้คำว่าฌาณและวิมุติ" ท่านฮุ่ยเหนิงตอบ
"เอ๊ะ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น" อาจารย์อิ้นจงสงสัย
"เพราะมันจะทำให้เกิดความหมายว่า มีหนทางขึ้นทั้งสองหนทาง ในทางพุทธธรรมจะมีสองทางไม่ได้ มันมีแต่ทางเดียวเท่านั้น"
"ที่ว่ามีแต่ทางเดียวนั้นคืออะไร อาจารย์อิ้นจงถาม
"ก็ในมหาปรินิรวาณสูตรที่ท่านเทศนาอยู่นั่นเองก็ชี้ให้เห็นอยู่แล้วว่า ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของทุกคน นั่นแหละคือทางเดียว ตัวอย่างตอนหนึ่งของพระสูตรนั้นมีว่าพระเจ้าเกากุ้ยเต๋อ ซึ่งเป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระภิกษุผู้ล่วงปาราชิกสี่อย่างหรือทำอนันตริยกรรมห้าอย่างและพวกมิจฉาทิฏฐินอกศาสนาก็ดี คนเหล่านี้จะได้ชื่อว่าถอนรากเง่าแห่งความมืดและทำลายธรรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะของตนเสียแล้วโดยสิ้นเชิงหรือไม่ พระพุทธเจ้าได้ตรัสตอบว่า รากเง่าแห่งความดีนั้นมีอยู่สองชนิดคือ ถาวรตลอดอนันตกาล กับไม่ถาวร แต่ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะนั้นจะเป็นของถาวรตลอดอนันตกาลก็ไม่ใช่จะว่าไม่ถาวร ก็ไม่ใช่ เพราะฉะนั้นรากเง่าแห่งความดีของเขาจึงไม่ถูกถอนขึ้นโดยสิ้นเชิง
ท่านฮุ่ยเหนิงได้อธิบายสืบต่อไปว่า "บัดนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าพุทธธรรมมิได้มีสองทาง แต่ที่ว่ามีทางฝ่ายดีและฝ่ายชั่วนั้นจริงอยู่ แต่เหตุเพราะธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเป็นของไม่ดี ไม่ชั่ว เพราะฉะนั้นพุทธธรรมจึงไม่มีถึงสองทางตามความคิดของปุถุชนย่อมเข้าใจว่าส่วนย่อยๆ ของขันธ์และธาตุทั้งหลายย่อมแบ่งออกเป็นสองทาง แต่ผู้ที่บรรลุธรรมแล้วย่อมเข้าใจได้ว่าสิ่งเหล่านั้นตามธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะไม่เป็นของคู่เลย"
เราต้องพากันมีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม เราจะได้ไม่ต้องพากันมาเถียงกัน ความสุขความดับทุกข์นั้นมันอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล อยู่ที่เรามีความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจที่ถูกต้อง และพากันประพฤติให้ถูกต้อง เพราะความเป็นพระมีกับเราทุกๆ คน เราทุกคนจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ให้กับตัวเอง เราจะได้มีความสุขในการทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ เราต้องเอาสติสัมปชัญญะเป็นเครื่องอยู่ เอาข้อวัตรปฏิบัติเป็นเครื่องอยู่ หากเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั้นมันฟุ้งซ่าน เพราะการเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั้นเราจัดการตัวเองไม่ได้ เอาตัวตนมันสงบไหม เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันสงบไม่ได้ เพราะตัวตนนั้นมันคือความไม่สงบ พวกเราต้องพากันมา stop สมองของเรา เพราะมันทำลายสมองของเราทุกๆคน ตัวตนนั้นคือความไม่ถูกต้อง ตัวตนนั้นแหละคือความทุจริต มีแต่จะแก้ภายนอก มีแต่จะแก้คนอื่น
ช่วงปีพุทธศักราช ๒๔๘๐-๒๔๙๐ พระกรรมฐานที่เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่มั่นได้พากันปฏิบัติกันอย่างเข้มข้น เพราะทุกท่านทุกคนได้ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่หลวงปู่มั่นเอามาบอกเอามาสอน พระทุกรูปได้พากันเข้าใจเลยพากันปฏิบัติอย่างเข้มข้น ทุกคนพากันมุ่งข้อวัตรข้อปฏิบัติ พากันทำความเพียร พากันเจริญสติสัมปชัญญะ และพากันนั่งสมาธิเดินจงกรม ทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติอย่างเต็มที่ ทางเดินจงกรมในสมัยก่อนไม่ได้เทคอนกรีตเหมือนสมัยนี้ สมันก่อนแต่ละท่านเดินทางจงกรมจนทางเดินนั้นลึกลงเป็นคืบ ทางจงกลมเลยต้องเอาดินมาถม เพราะชีวิตของพระกรรมฐานต้องมีความสุขในการทำวัตรสวดมนต์ ทำสมาธิ เพื่อจะปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง สมัยก่อนมียุงเยอะการเดินจงกรมก็ต้องรวดเร็วเพื่อไม่ให้ยุงมันกัด เพราะในป่านั้นยุงมันเยอะ สมัยก่อนไข้มาเลเรียก็ชุกชุมไม่เหมือนทุกๆ วันนี้ พระสมัยโบราณไม่มีน้ำปานะ ไม่มีชากาแฟ ไม่มีแป๊ปซี่ ไม่มีโกโก้โอวันติน ไม่มีนมเนย เหมือนทุกวันนี้นะ เป็นพระฉันท์อาหารวันละครั้งแท้ๆ นานๆ ถึงจะได้ฉันท์ของหวาน ของหวานแบบโบราณที่เค้าเอาข้าวเหนียวห่อใส่ใบตองและเอามาต้มเป็นขนม พระสมัยก่อนอยู่ห่างจากหมู่บ้านหลายกิโลเมตร บางทีพระต้องเดินทีหลายสิบกิโลเมตรกว่าจะถึงหมู่บ้าน พระเลยต้องอาศัยความแข็งแรง อาศัยความปากเปรี้ยวจากการเดินจงกรม การบิณฑบาตรทำให้ร่างกายแข็งเเรง เพราะการเดินแต่ละครั้งมันตั้งหลายกิโลเมตร พระสมัยโบราณ์ก็อดๆ อยากๆ พากันมาฉันท์อาหารเพียงเพื่อจะไม่ตาย ไม่ฟุ่มเฟื่อยเหมือนทุกวันนี้
ในปัจจุบันที่วัตถุเจริญเหมือนทุกวันนี้ ให้ทุกคนพากันคิดพากันสำนึกนะ เพราะทุกคนต้องพากันมีสติ มีความรู้ มีความเข้าใจ เราต้องกลับมาหาสติสัมปชัญญะกัน จะฟุ้งซ่านไปตามวัตถุไม่ได้ สติสัมปชัญญะเราจะไม่มี มันจะมีแต่อวิชชา มีแต่ความหลง มันจะเอาแต่ตัวตน เอาแต่วัตถุนั้นมันไม่ใช่นะ ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทต้องพากันมาเจริญสติสัมปชัญญะ อย่าไปวิ่งตามอารมณ์ อย่าไปวิ่งตามความคิด อย่าไปวิ่งตามความหลง เดี๋ยวนี้ภาพรวมประเทศของเราเค้าเอาความหลงมาดำเนินชีวิตนะ ตั้งแต่แม่ชี ผ้าขาว สามเณร พระภิกษุ จนถึงพระผู้เฒ่าได้พากันหลงในโทรศัพท์มือถือเหมือนๆ กันหมด แทบไม่มีใครยับยั้งชั่งใจเลย ไม่มีโอกาสได้เจริญสติสัมปัญญะ หรือได้พิจราณา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เข้าสู่พระไตรลักษณ์เลย เมื่อเรามีความหลง มีอวิชชาอย่างนี้ ทุกคนต้องมีจิตใต้สำนึกว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร บวชมาเพื่ออะไรบวชมาเพื่อเอาอวิชชาความหลงหรือ เพราะเราไม่ได้เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก หลายรูปเอาพระมหาเถระเป็นหลัก เอาเจ้าคณะปกครองเป็นหลัก เอาครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเป็นหลัก ความเสียหายจึงได้เกิดกับพวกเราแล้วนะ
พวกเราต้องพากันมีจิตใต้สำนึกนะว่าเราเกิดมาทำไม เราบวชมาทำไม มันจะมีประโยชน์อะไรกับการบวช เพราะถ้าเราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราก็จะไม่สามารถรับไม้ผลัดจากพระพุทธเจ้าได้ เพราะมันจูนคลื่นไม่ได้ เพราะนี่ไม่ใช่นิสัยของพระพุทธเจ้า มันคือนิสัยของเราเอง เราต้องพากันถือนิสัยของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพากันยกเลิกตัวตน และพากันมีสติสัมปชัญญะ ให้พากันเข้าใจว่า อย่างความเห็นแก่ตัวที่ว่าพระพุทธศาสนานี้ดีนะ ดีมาก เพราะบ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ เค้าเอาของมาให้ การดำรงชีพก็ไม่ต่างอะไรจากฆราวาส ต่างเพียงเราไม่มีภรรยาเท่านั้นแหละ เราพากันคิดแบบนี้ไม่ได้ เพราะผู้มาบวชได้รับสิทธิพิเศษ บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ เราต้องเอาวัดวาอารามมาประพฤติปฏิบัติเพื่อมรรคผลนิพพาน
ประเทศไทยของเรามีความปราถนาให้ทรัพยากรมนุษย์เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมดำเนินชีวิต ลูกหลานต้องเอาธรรรมะดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง คนที่มาบวชและไม่มีตัวอย่างแบบอย่าง มันก็เลยไปกันไม่ได้ เพราะมันไม่มีแบบไม่มีพิมพ์ ถ้าใครคิดแบบนั้นก็ต้องพากันคิดใหม่ ให้ยกเลิกตัวตน มีจิตใต้สำนัก ถึงแม้เราเป็นวัดบ้านวัดป่า ธรรมยุติหรือมหานิกายนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เรามีความเห็นที่ถูกต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องและมีการปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อมายกเลิกตัวตน เราจะได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พระพุทธเจ้ามีพระเมตตาที่บริสุทธ์ มีพระกรุณาที่บริสุทธ์ ท่านไม่ถือชั้นวรรณะ เพราะธรรมวินัยที่มุ่งสู่มรรคผลนิพพานนั้นเป็นการยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกตัวยกเลิกตน เราต้องเข้าใจ ผู้ที่เป็นฆราวาส ญาติโยมที่ไม่ได้บวชเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชี ให้พากันเข้าใจมีสัมมาทิฏฐิ เพราะการเป็นพระที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่เราบวช หรือไม่ได้บวช เหมือนเรารู้จักการทานอาหาร เมื่อรู้แล้ว ทานแล้วก็อิ่มไม่ต่างกัน เราจะได้รู้ว่าพระที่แท้จริงอยู่กับเรานี้เอง ไม่ได้อยู่ที่ไหน ไม่ได้อยู่ที่พระคุณเจ้าทั้งหลายหรอก การที่เราพากันเสียสละปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลามันเป็นสิ่งทีดี เราก็มีหน้าที่ของเราที่ต้องมาดูแลธาตุ ดูแลขันธ์ พากันมาเสียสละเสียภาษีอากร บำรุงพระพุทธศาสนา มันเป็นหน้าที่ของเราทุกคน ธรรมะคือการพาเรามาเสียสละ เพราะการที่เราไม่เสียสละมันก็คือเรามีตัวมีตน เราจะได้เข้าใจความเป็นเพระ เราอย่าพากันหลงที่เปลือกนอก หรือแบรนด์เนม มันเป็นสมมติที่ให้คนนั้นท่านนั้นมาเสียสละต่างหาก เมื่อเราเสียสละแล้ว ความเป็นพระนั้นก็จะเกิดขึ้นแก่เรา
เราอย่าให้เค้าหลอกเรา เพราะคนพวกนี้เก่งมาก ฉลาดมาก ถ้าคนรวยๆ หรือคนมีอำนาจวาสนา หรือคนใหญ่คนโต จะพูดดีพูดเพราะพูดเอาอกเอาใจ แต่ถ้าคนยากคนจน จะให้พรยังไม่ออก ถ้าคนรวยก็จะพูดนะจ๊ะ นะจ๊ะ
คนเราชอบเข้าใจว่า ทำบุญทำทานนั้นมันปิดนรก ปิดความทุกข์ยากลำบาก เราให้ทานเราจะมีสวรรค์วิมานรองรับ การให้ทาน การรักษาศีล การปฏิบัติธรรม เราต้องเข้าใจว่านี้คือหน้าที่ที่เราต้องมาเสียสละ เราจะเอาอะไร ทุกอย่างผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราไม่ได้อะไรอยู่แล้ว เราต้องพากันมีความสุขที่มาทำหน้าที่ของเราที่สมบูรณ์ พระพุทธเจ้าไม่ได้บอก ไม่ได้สอนว่าการให้ทานแบบนี้ได้บุญเยอะ ทำสมาธิแบบนี้มันได้บุญเยอะ หรือเจริญวิปัสสนาได้บุญมาก ท่าน ท่านแค่บอกสอนให้เรามายกเลิกตัวยกเลิกตนแบบนี้
ท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่โชคดีที่พากันมาบวช มาปฏิบัติ ท่านต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต้องเห็นข้อวัตรข้อปฏิบัติเป็นสิ่งที่ประเสริฐ อย่าคิดว่ามันริดรอนสิทธิของเรา ไม่ให้เราทำตามใจ หรือทำตามปรารถนาเลย นี่เราต้องพากันมารู้จักว่าการบวช การมาประพฤติการปฏิบัติเป็นสิ่งที่ดี ถึงการบวชนั้นของเรานั้นไม่กี่วัน ให้เราพากันมาประพฤติปฏิบัติให้อย่างเต็มที่ ดีกว่าพระที่จะบวชจนตายแต่ไม่ได้เอามรรคผลเอานิพพาน มาบรรพชาอุปสมบทเพื่อเอาพระพุทธศาสนาหาอยู่หาฉันท์ อันนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่เราไม่ต้องไปเพ่งเล็งมองเค้าหลอก เพราะเรื่องของคนอื่นก็เรื่องของคนอื่น เราต้องสลัดคืนตัวตน เพราะการที่เรามีตัวตน มันก็จะมีแต่การวิพากวิจารณ์ เห็นดี เห็นชั่วของคนอื่น เราต้องมาเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า การที่เรามีตัวตนนั้นอยู่ก็ยังไม่ใช่พระธรรมพระวินัย เป็นเพียงแต่อวิชชาความหลง เหมือนคนที่ยังไม่รู้เรื่องพระนิพพานเถียงกัน อันนั้นผิด อันนั้นถูก อันนั้นดี อันนั้นชั่ว เราก็พากันคิดกันหมกมุ่นกัน หรือเหมือนที่พระเซนคุยกันว่าธงปลิว มันเป็นเพราะธง หรือเป็นเพราะลม ถ้าเรามีตัวมีตนมันก็ย่อมเป็นอย่างนั้นแหละ ว่าอันนั้นผิด อันนี้ถูก อันนั้นยังเป็นตัวเป็นตน พระเทวทัตมีอวิชชาความหลง โลกธรรมครอบงำ ตัวตนครอบงำ ขอทำข้อวัตร ๕ ประการจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็ไม่อนุญาต เพราะยังทำเพื่อตัวเพื่อตัว คือ
๑. ให้ภิกษุทั้งหลายอยู่ป่าตลอดชีวิต เข้าสู่บ้านมีโทษ
๒. ให้ภิกษุถือบิณฑบาตตลอดชีวิต รับนิมนต์มีโทษ
๓. ให้ภิกษุถือผ้าบังสุกุลตลอดชีวิต รับคฤหบดีจีวร (ผ้าที่เขาถวาย) มีโทษ
๔. ให้ภิกษุอยู่โคนไม้ตลอดชีวิต เข้าสู่ที่มุงบังมีโทษ
๕. ให้ภิกษุห้ามฉันเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต ฉันมีโทษ
พระบรมศาสดาทรงปฏิเสธใน ๔ ข้อข้างต้น แต่ภิกษุใดจะปฏิบัติโดยสมัครใจก็ไม่บังคับ และในข้อที่ ๔ นั้นทรงอนุญาตให้อยู่โคนไม้ได้ ๘ เดือน ช่วงเข้าพรรษาซึ่งตรงกับฤดูฝนให้อยู่ประจำวัด ส่วนข้อที่ ๕ นั้นทรงอนุญาตให้ฉันเนื้อที่บริสุทธิ์โดยเงื่อนไข ๓ ประการ คือไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟัง ไม่ได้นึกรังเกียจ ว่าเขาฆ่ามาเพื่อตน
การทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ ทำเพื่อยกเลิกตัวตน อย่างหลวงพ่อกัณหาไปกราบท่านเจ้าคุณพุทธทาสที่สวนโมกขพลาราม ท่านก็ถามหลวงพ่อกัณหาว่า ท่านฉันท์เนื้อ หรือท่านฉันท์ผัก หลวงพ่อกัณหายังไม่ทันได้ตอบ ท่านเจ้าคุณพุทธทาสก็พูดขึ้นมาก่อนว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้ฉันท์เนื้อหรือฉันท์ผัก เพราะพระพุทธเจ้าท่านได้ยกเลิกตัวตนแล้ว ท่านไม่ได้ฉันท์อะไร
เรามาทานอาหารเพื่อให้ร่างกายเราอยู่ได้ เพื่อเอาชีวิตนี้ไม่เกิน 100 ปี เพื่อจะได้ประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะเราต้องตัดอวิชชา ตัดความหลงออกจากใจของเรา อาหารมันก็เป็นยา ที่เขาปรุงแต่งใส่พริก ใส่เกลือ ใส่น้ำตาล อะไรต่างๆ ใส่หวาน มัน เค็ม มันก็เป็นยาเพื่อให้ทุกคนดำรงชีพอยู่ได้ ผู้ปฏิบัติธรรมถึงพากันรู้จัก อดทน รับประทานหรือว่าฉันให้มันได้ปริมาณ อย่าไปเอาถูกกิเลส เอาตามความหลง ตามความต้องการ
พระอริยเจ้า พระอรหันต์ท่านถึงเป็นคนไม่มีหนี้ คนติดในรส ในชาติ เขาเรียกว่าคนเป็นหนี้ คนทานผักก็อย่าไปติดในผัก คนทานผลไม้ก็อย่าไปติดในผลไม้ คนฉันเนื้อก็อย่าไปติดในฉันเนื้อ ฉันปลาก็อย่าไปติด ทุกท่านทุกคนไม่ได้สู้กับใคร สู้กับตัวเอง ทุกคนต้องมีความแข็งแรงมีความต้านทานในจิตใจ มีสัมมาสมาธิมีปัญญาเพื่อใจของเราจะได้เป็นธรรมเข้าถึงความยุติธรรม เพื่อเราจะได้พัฒนาทั้งกายทั้งใจพัฒนาทางวิทยาศาสตร์และพัฒนาใจไปพร้อมกัน
ทุกท่านทุกคนต้องรับผิดชอบในใจของเรา ในกายของเรา เราอย่าทำอะไรเพื่อขลังเพื่อศักดิ์สิทธิ์ เราพากันคิดดูดีๆ ถ้าเราจะไปคิดว่าฉันอาหารเจ ฉันอาหารมังสวิรัติดี จะได้มีธรรมมีคุณธรรม ท่านต้องไม่เอาอะไร ถ้าไปเอาอะไรมันมีปัญหาแน่ ถ้าจะไปว่าฉันเจดี ฉันผักดี พวกวัว พวกควายมันก็คงจะได้บรรลุ ถ้าจะไปว่าฉันเนื้อดี ถูกต้อง ไม่ไปตามทางของพระเทวทัตอย่างนี้ ท่านก็ไม่ต้องไปคิดอะไร เพราะชีวิตของท่านคือชีวิตที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง และปฏิบัติให้ถูกต้อง เสียสละ ในผัสสะ ในอารมณ์ที่มันเกิดกับเราในปัจจุบัน ไม่อย่างนั้นมันจะไปไม่ได้ เพราะใจของเรามันจะมืด เราต้องเสียสละ
ถ้าเรารับประทานอาหาร ถ้าเราฉันข้าวในแต่ละวันนี้เพื่อความสุขในร่างกาย เพื่อความเอร็ดอร่อย เพื่อการพักผ่อน ก็ถือว่าเราไม่ได้พัฒนาตนเอง ไม่ได้เอาใจใส่ตนเอง
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้เราเอาตัวตนเป็นใหญ่ ต้องเอาธรรมเป็นใหญ่ ถ้าไม่ทำอย่างนั้น เราจะมีสงครามในจิตในใจ เราจะอยู่ด้วยการขัดแย้ง อยู่ด้วยการต่อต้าน ไม่ได้กลับมาแก้จิตแก้ใจของเรา ไม่รู้จักว่า "โลกนี้เขาเป็นอย่างนี้ตั้งแต่เรายังไม่เกิด" ให้เรารู้จักหยุด ให้รู้จักเย็น รู้จักฟังคนอื่นเค้าบ้าง เราจะเอาหัวชนฝาอย่างเดียว มันก็ตายเปล่า มันไม่มีประโยชน์อะไร
ให้พากันเข้าใจว่าการยกเลิกตัวตนสติสัมปชัญญะจะได้สมบูรณ์ เพราะการมีตัวตนจะทำให้สติสัมชัญญะเราบกพร่อง พระพุทธเจ้าของเราทำไมสุดยอดแบบนี้ ถ้ามัวแต่เอาดี เอาชั่ว มันก็ยังไม่ใช่พุทธะ ยังไม่ใช่ความคิดแบบพระพุทธเจ้า เมื่อเรามีสัมมาทิฏฐิ ยกเลิกตัวตนของเรา ทุกอย่างมันก็มีอยู่อย่างนั้นเอง เราก็จะว่างจากสิ่งที่มีอยู่อย่างนั้นเอง เป็นการพัฒนาใจ และพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นสิ่งที่ดีมาก เป็นสิ่งที่ประเสริฐมาก พระพุทธเจ้าให้เราพากันรู้อย่างนี้นะ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee