แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันเสาร์ที่ ๑๓ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๔๘ วันมหาสงกรานต์ ให้ชีวิตเปลี่ยนผ่านก้าวหน้าไป ด้วยใจที่มีธรรมะมานำ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๗
วันนี้เป็นวันที่โลกสมมติว่า เป็น “วันมหาสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ของไทย” วันขึ้นปีใหม่ในทางพระพุทธศาสนาของเราไม่ค่อยกล่าวไว้เท่าไรนัก เพราะพระพุทธองค์ทรงถือว่า การที่ เรามีโอกาสลืมตามาดูโลกในทุกๆ เช้าวันใหม่นั้น นับเป็นโอกาสอันสุดวิเศษแล้ว ที่เราสามารถมีชีวิต รอดมาอีก ๑ วัน ฉะนั้นทุกวันจึงเป็นช่วงเวลาอันแสนประเสริฐ ที่จะเริ่มสั่งสมบุญ ปรารภความเพียร กันต่อไป แม้จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ เรายังคงสร้างบารมีกันต่อไป และทำให้ยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา พระบรม ศาสดาทรงเน้นให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่ง ใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งธรรม ปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับ มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย”
"สงกรานต์" มาจากคำในภาษาสันสกฤต (สํกฺรานฺติ) แปลตรงตัวว่า "การเปลี่ยนผ่านของดวงดาว" หรือ "การเปลี่ยนแปลง" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงสงกรานต์หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่นๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ
แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็น เดือนแรกของปี สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจากหากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง
ปัจจุบันปฏิทินไทยกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" (ภาษาเขมร แปลว่า "อยู่ ") และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก"
คำว่า สงกรานต์ คำนี้เป็นภาษาสันสกฤต ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่า ก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้ โดยเฉพาะคำว่า สงกรานต์ แปลว่า การก้าวหน้า เราก็จะต้องรู้เรื่องการก้าวหน้าของเวลาเป็นส่วนสำคัญ จึงจะเรียกได้ว่ารู้เรื่องสงกรานต์ คำว่าความก้าวหน้านี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าอะไรๆมันล่วงไปข้างหน้า แต่ว่ามันมีความสำคัญที่มันเกี่ยวกันกับมนุษย์อย่างไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาพินิจพิจารณากันให้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับข้อนี้มีทางที่จะมองเห็นได้เป็น ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้
ความจริงของธรรมชาติเป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ความจริงมันมีเฉพาะกลางวัน และกลางคืนเท่านั้น และกลางวันและกลางคืนมันก็เกิดเพราะพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แล้วตกไปในตอนเย็น เราเรียกว่าเป็นกลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ลับโลกไปแล้ว จนพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาใหม่ เราเรียกว่ากลางคืน มันเป็นไปอย่างนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้นสิ่งที่มีจริงก็คือวันและคืน ส่วนปีเดือนมนุษย์เรากำหนดกันขึ้นมาเอง เพื่อให้หมายรู้เรื่องวันเดือนปี ในการเป็นอยู่ของมนุษย์เราเท่านั้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า การสมมุติวันเดือนปีขึ้นมา มิใช่เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องมีสาระอย่างยิ่ง เป็นแต่ว่าบางคนในสมัยนี้นำเรื่องปีเก่าปีใหม่ ไปทำลายตนเองหนักเข้าไปอีก
แบบไหนที่เรียกว่า นำเทศกาลปีเก่าปีใหม่มาทำลายตนเอง? คือ โดยธรรมดาแล้ว ชีวิตคน อายุสัตว์มันจะกัดกินตัวมันเอง ให้หมดลงเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปหนึ่งปี ก็เท่ากับว่าอายุหมดไปแล้วหนึ่งปี นั่นคือเขาใกล้ความตายไปอีกแล้วหนึ่งปี เราจวนจะตายแล้ว แต่เพราะไม่มีใครรู้วันตายของตน แต่ละคนจึงประมาท สนุกไปเรื่อยทั้งๆ ที่ชีวิตกำลังเข้าหาความตายอยู่ทุกขณะจิต
ภาพของปุถุชนเรานั้น ปรากฏในสายตาของพระอริยะว่า เหมือนคนถูกไฟลุกโชนอยู่บนหัวแล้ว แต่ยังหาได้หาสำนึกไม่ยังสนุกอยู่ตลอด ด้วยประการฉะนี้ เราจึงมองเห็นภาพของนักดื่มทั้งหลาย ทำกิริยาดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงเทศกาลปีเก่าปีใหม่ พวกเขาชวนกันมาฉลองปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เหมือนพร้อมกับตะโกนกันด้วยความดีใจว่า พวกเรามากินเหล้าฉลองชัยที่พวกเราใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปีแล้วเถิด !
ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้ ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน ถ้าคนก้าวหน้า เวลาก็ถูกกิน ใครฟังเข้าใจ คนนั้นเป็นผู้มีปัญญา ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน นี้ก็พอจะเห็นได้ไม่ยากนัก ว่าวันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน
แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน
สรุปความสั้นๆ ก็ว่า ถ้าคนไม่รู้ธรรมะ เวลาก็กินคน ถ้าคนรู้ธรรมะ คนก็กินเวลา การที่เวลากินคนนั้นไม่เป็นของสนุกเลย หมายความว่ามีความทุกข์ร้อนนานาประการเกี่ยวกับการที่เวลามันล่วงไปๆ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากก็ร้อนใจอยู่ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเวลา คือยังทำอะไรไม่เสร็จ ยังทำอะไรไม่ได้ตามที่ตัวต้องการ ยังหิวยังกระหายอยู่เสมอ อย่างนี้เรียกว่าคนลำบากเดือดร้อนเพราะถูกเวลากิน เพราะว่าเขาไม่เป็นผู้รู้ธรรม ไม่รู้จักปล่อยวางสิ่งทั้งปวง อย่าให้มารบกวนจิตใจ
ถ้าเราพิจารณาดูอีกทางหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่รู้ธรรมะนั้นย่อมเดินถอยหลัง เพราะถูกเวลากิน ไม่มีการก้าวหน้า คนโง่ คนพาล คนเขลาชนิดนี้ย่อมไม่มีสงกรานต์กับใครเลย เพราะว่าเขาไม่ก้าวหน้า แต่กลับถอยหลังไปเสียอีก ถ้าบุคคลผู้ใดรู้ธรรม บุคคลนั้นก้าวหน้าเรื่อยไป บุคคลนี้มีสงกรานต์ คือมีการก้าวหน้า แต่ถ้าพูดว่าสงกรานต์ สงกรานต์แล้วก็เป็นกันทุกคน พูดเป็นกันทุกคน ถ้ายิ่งเล่นสงกรานต์ เช่น สาดน้ำ เป็นต้นกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำเป็นกันทุกคน แต่คิดๆดูเถิดว่า มันเป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด การเล่นสงกรานต์เพียงเท่านั้นมันจะเป็นสงกรานต์ คือเป็นความก้าวหน้าไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่มัวแต่เหลวไหลอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีการก้าวหน้า ถ้าเป็นสงกรานต์จริงๆ มันต้องเป็นการก้าวหน้า คือมีจิตใจที่ก้าวหน้า
เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงพูดว่า คนที่ไม่รู้ธรรมะย่อมถอยหลัง ไม่มีการก้าวหน้า ไม่มีสงกรานต์ คนที่มีความรู้ธรรมะเท่านั้น ที่มีการก้าวไปข้างหน้าและมีสงกรานต์ คนมีธรรมะนั้นไม่ถูกเวลากิน แต่เป็นผู้กินเวลา คนไม่มีธรรมะนั้นถูกเวลากิน เรื่องของ เรื่องนี้จึงมีความสำคัญอยู่ตรงที่ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ถ้าก้าวหน้าก็มีสงกรานต์ ถ้าไม่ก้าวหน้าก็ไม่มีสงกรานต์ แม้จะโห่ร้อง ตะโกนก้องกันอย่างไร จะทำพิธีรีตองกันอย่างไร มันก็ไม่มีสงกรานต์ที่ถูกต้องไปไม่ได้ ถ้าจะเรียกว่าเล่นสงกรานต์ ก็เป็นการเล่นของคนโง่ที่ไม่รู้จักว่าสงกรานต์คืออะไรอยู่นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" พระพุทธภาษิตนี้ก็เนื่องด้วยสงกรานต์ คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นี้ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นคนทั้งหลายจงรีบถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ไม่ประมาทก็คือจัดทำสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ให้เป็นไปในทางก้าวหน้า ให้ก้าวไปๆ เสียจากความทุกข์ ให้ออกไปจากความทุกข์ให้ได้ นั้นก็เป็นความก้าวหน้า นี้ถ้าเราจะเรียกกันว่า สงกรานต์คือความก้าวล่วงไปปีหนึ่งนั้น มันก้าวล่วงไปอย่างไร
ถ้าถือเอาตามพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ มันก็ต้องก้าวล่วงไปด้วยความดับทุกข์ คือดับทุกข์ได้มากขึ้น เวลาล่วงไปปีหนึ่งๆ ก็ดับทุกข์ได้มากขึ้น ใกล้ความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ยิ่งขึ้นไปทุกที เดี๋ยวนี้ใครกำลังเป็นอย่างไรก็ขอให้พิจารณาดูตัวเอง สอบสวนตัวเองดูให้ดีด้วยกันจงทุกคนเถิด
ให้พวกเราทั้งหลายมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ทุกๆ คนต้องรู้เป้าหมายของชีวิต ความเห็นถูกต้อง ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง การประพฤติปฏิบัติของเราให้ถูกต้อง คำว่านิพพานเป็นความดับทุกข์ทางจิตใจดับทุกข์ทางวัตถุ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ชีวิตของเราก็จะดำเนินสู่ทางสายกลาง เป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราทุกคนต้องพากันยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะตัวตนนั้นคือความทุกข์ทางใจและความทุกข์ทางวัตถุ ความเห็นที่ไม่ถูกต้องความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนั้นคือความทุกข์ คือการเอาตัวตนดำเนินชีวิต การยกเลิกตัวตนนั้นเป็นความสุข ศีลเป็นอุปกรณ์ที่ยกเลิกตัวตน ทุกคนต้องพากันรู้ความหมายในการรักษาศีลในการปฏิบัติศีล ศีลนั้นคือความดับทุกข์เป็นอุปกรณ์ของความดับทุกข์ เป็นยานนำเราไปสู่ความดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนต้องรู้ความหมายของศีล ทุกคนต้องรู้การรักษาศีลนั้นเป็นไปเพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน ศีล เป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน สำหรับผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคล ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ การรักษาศีลถึงเป็นความสุข เพราะความสุขนั้นอยู่ที่การยกเลิกตัวยกเลิกตน พระพุทธเจ้าให้เรารู้ความหมายอย่างนี้ การรักษาศีลเป็นความงดงามในเบื้องต้น เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน สมองของเราก็จะยกเลิกความสับสน ความสุขในเบื้องต้นของหมู่มวลมนุษย์คือต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างติดต่อต่อเนื่อง มีความสม่ำเสมอ สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิก็เกิดขึ้นแก่เราทุกคน ที่เป็นสมาธิแบบธรรมชาติไปในตัวเป็นขณิกสมาธิเป็นอุปจารสมาธิ หรือจะเข้าสมาธิที่ลึกก็จะถึงอัปปนาสมาธิ เข้าถึงนิโรธสมาบัติ นี้คือการยกเลิกตัวยกเลิกตน
ศีลสมาธิถึงเป็นตัวยกเลิกความทุกข์ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ความจริงรู้สัจธรรมรู้กระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด รู้ปฏิจจสมุปบาท เช่นพระอรหันต์ทุกรูปก็รู้อริยสัจ ๔ กันทุกรูป เพราะมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ท่านยกเลิกตัวยกเลิกตนได้ 100% สำหรับผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคล สติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องพากันบำเพ็ญบารมีให้ติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นเหมือนแม่น้ำที่จะไหลลงสู่มหาสมุทร ในชีวิตประจำวันของเราต้องดำเนินชีวิตด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ชีวิตของเราต้องดำเนินไปด้วยศีลสมาธิปัญญา มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม การที่เรามีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เรียกว่าอริยมรรค เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน ตัวตนไม่มีน่ะ เพราะตัวตนนี้คือความทุกข์ เราทุกคนก็ย่อมมีความสุขในการทำงานในการรักษาศีล ศีลถึงเป็นการเสียสละตัวตนได้ 100% การทำงานมีความสุขถึงเป็นการละตัวตนได้ 100% ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานในการรักษาศีล ก็คือเรามีตัวตน ทุกคนก็ย่อมฟุ้งซ่านไม่มีความสุขในการทำงาน แสดงถึงว่าเรามีตัวตน การที่เรายกเลิกตัวตนมีความสุขในการทำงานในการรักษาศีลในการประพฤติปฏิบัติธรรม เรียกว่าเป็นผู้รู้อริยสัจ ๔
เมื่อเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็จะรู้อริยสัจ ๔ ถ้าไม่ยกเลิกตัวตน เราก็จะไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่นำไปถึงความดับทุกข์ เพราะตัวตนนี้เองเป็นตัวทำร้ายตัวเอง คือไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่นำไปถึงความดับทุกข์ เมื่อมนุษย์มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีความสุขในการทำงานยกเลิกตัวตน ก็ย่อมได้รับความสะดวกสบายทางวัตถุทางเทคโนโลยี นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกคนจะพากันติดในความสุขในความสะดวกสบาย เมื่อเราติด สติสัมปชัญญะของเราก็จะหายจะจางคลาย เราก็จะไม่มีสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเจริญภาวนาวิปัสสนาให้ติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนจะได้มีสติสัมปชัญญะ ยกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงไม่แน่นอนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พากันเข้มแข็งพากันเสียสละต้องผ่านด่านนี้ให้ได้เอาอาวุธคือพระไตรลักษณ์อนิจจังทุกขังอนัตตา อนิจจังคือความไม่แน่ ไม่เที่ยง ทุกขังคือทุกคนต้องมีความทุกข์แน่นอน อนัตตาคือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกๆ คนต้องพากันรู้อริยสัจ ๔ เราต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง มีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์
ความสุขความทุกข์คืออาการของตัวตน ถ้าเราเอาความสุข ความทุกข์มันก็มีอยู่ในตัว ต้องอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง นี้เป็นไฟท์ในการเดินทางของเรา เมื่อมนุษย์เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็มีความสุขทางจิตใจทางวัตถุ เราจะได้ไม่หลง ต้องยกทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ส่วนใหญ่ทุกคนมีตัวตน จะเอาแต่ความสุขความสงบ อย่างศาสนาทุกศาสนาพากันมาหลงในสวรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุในความสะดวกสบาย เรามาพัฒนาจิตใจของเราอยู่กับการทำงาน ใจของเราก็มีความสุข เลยพากันจบลงแค่ความสงบ ไม่ได้ต่อยอดสู่พระไตรลักษณ์ พากันเอาความสุขแต่ทางวัตถุ พากันไปได้แต่ระดับศีลกับสมาธิ แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยปัญญา เพราะไม่ได้ภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกท่านทุกคนต้องก้าวผ่านไปให้ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงสอนผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาให้พากันพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ พากันพิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ มีความสุขในการภาวนาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกคนนั้นไม่ค่อยพิจารณาภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ เราเอาแต่ความสุขความสงบ สิ่งเหล่านี้ทำความเสียหายให้แก่พวกเราทุกๆ คน ตัวตนนี้แหละมันทำให้เราไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่ยอมเจริญสติสัมปชัญญะไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์
ให้ทุกคนพากันเข้าใจในความเป็นพระศาสนา ศาสนาคือความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ผู้ที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องนั่นแหละ คือพระศาสนา ก็เปรียบเสมือนอาหารนี่แหละ ผู้ที่บริโภคอาหารจะเป็นเชื้อชาติใด ศาสนาใด จะเป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาสญาติโยม เมื่อเราไปทานอาหาร มันก็ดับทุกข์ได้อิ่มท้องได้ เพราะความทุกข์มันก็เป็นของสากล ความดับทุกข์ก็เป็นของสากล ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ความเป็นพระออริยเจ้านั้นถึงเป็นไปได้ในทุกชาติศาสนาทั้งนักบวชฆราวาสญาติโยม ด้วยเหตุปัจจัยนี้พระพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย
เราจะได้เข้าใจสมมุติและเข้าใจในวิมุติความหลุดพ้น แต่ละคนได้รับการแต่งตั้งมีชื่อต่างๆ กัน และแต่งตั้งชื่อวัตถุต่างๆ นั้น ความหมายก็เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อเอาสมมุติมาใช้การใช้งานให้มันสะดวกสบาย เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และต้องมีสัมมาทิฏฐิพัฒนาใจของตัวเองพัฒนาวัตถุ ปฏิบัติตามสมมติให้ถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะได้เดินทางสายกลาง เอาสมมุติมาใช้เป็นยานสู่มรรคผลพระนิพพานคือความดับทุกข์ทางใจทางวัตถุไปพร้อมๆกันเรียกว่าทางสายกลาง การแต่งตั้งเพื่อให้เราได้มาเสียสละ ปฏิบัติตามธรรมะให้ถูกต้อง นี้คือธรรมะ เวลานั้นมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง หมู่มวลมนุษย์ก็ให้พากันนอนหลับให้สนิทสัก ๖ ชั่วโมงเต็มๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ให้พากันนอนหลับสนิท ๖ ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่มันก็ ๑๘ ชั่วโมง ก็ต้องมีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม นั่นแหละคือทางสายกลาง หมู่มวลมนุษย์จะได้เข้าถึงความดับทุกข์ทั้งทางกายทางใจและทางวัตถุ เมื่อเรายกเลิกตัวตนนี้แหละ คือการไม่แบกอวิชชาความหลง เราจะได้มีอริยทรัพย์มีความสุขทางจิตใจ มีทรัพย์ภายนอกที่อำนวยความสะดวกสบาย มีบ้านอย่างดี มีรถอย่างดี อำนวยความสะดวกสบายและรู้อริยสัจ ๔ ไปด้วยกัน มันเป็นพุทธะทางจิตใจ มันเป็นความสุขความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน เป็น air condition ของหมู่มวลมนุษย์ เราเอาตัวตนมันแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เอาตัวตนมันแก้ปัญหาไม่ได้
ทุกๆ คนต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ทุกคนต้องมาแก้ไขที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขที่คนอื่น ตัวตนนั่นแหละคือความหลงคือนายทุนคือสีดำสีเทา ตัวตนนั่นแหละมันทำให้เราเป็นข้าราชการไม่ได้ เป็นนักการเมืองไม่ได้ เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ เป็นครูบาอาจารย์ไม่ได้ ตัวตนนั่นแหละคือมิจฉาทิฏฐิ ตัวตนนั่นแหละคืออบายมุขอบายภูมิ ทุกคนต้องพากันรู้จักความจริงทั้งทางจิตใจและวัตถุ ให้ทุกคนแก้ไขตัวเองปฏิบัติตัวเองมีความสุข เราทุกคนต้องตั้งเป้าหมายไว้ในหนทางอันประเสริฐคืออริยมรรค คือความงามในเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา รู้อริยสัจ ๔ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่างมากก็ได้แค่ความสุขที่จิตใจของเรามีความหลงต่างหาก อย่างนี้มันเป็นการขุดหลุมพรางไปในตัวรอฝังตัวเองอยู่แล้ว เพราะมันไม่รู้อริยสัจ ๔ มันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านจะไปโปรดใครบ้าง ก็เลยนึกถึงท่านอาจารย์ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ผู้เคยเป็นครูของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ในสมัยที่พระพุทธองค์กำลังแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากได้รับการอาราธนาจากท้าวสหัมบดีพรหม พระองค์ทรงดำริที่จะโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้รับรสอมตธรรมเห็นแจ้งในพระนิพพานตามพระองค์ ทรงดำริว่า “ตถาคตจักไปแสดงพระสัทธรรมโปรดผู้ใดก่อน ใครหนอจะมีปัญญาหยั่งรู้โลกุตตรธรรม อันแสนจะสุขุมลุ่มลึกได้โดยฉับพลัน”
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า “ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรผู้เคยเป็นครู เป็นบัณฑิตชาติ ทั้งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม เป็นนักปราชญ์มีธุลีคือกิเลสเบาบาง ควรที่จะไปแสดงธรรมโปรดดาบสนั้นก่อน” แต่เมื่อพระองค์ทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุ ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอาจารย์ได้ละโลกไปได้ ๗ วันแล้ว บัดนี้ไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษอยู่ที่อากิญจัญญายตนภูมิ คือ อรูปพรหมโลกชั้นที่ ๓ ซึ่งมีอายุยืนนานถึง ๖๐,๐๐๐ มหากัป กำลังเสวยฌานสุขอยู่ในที่นั่นเสียแล้ว” ครั้นทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุญาณอย่างแจ้งประจักษ์ชัดเช่นนี้ จึงทรงมีพุทธดำริต่อไปอีกว่า “น่าเสียดายท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสัก ๗ วัน ได้สดับพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย” จากนั้น พระองค์ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุต่อไปว่า มีใครหนอที่สามารถตรัสรู้มรรคผลได้โดยฉับพลัน ทรงดำริถึงท่านอุทกดาบสรามบุตรว่า “ครูของตถาคตอีกผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าอุทกดาบสรามบุตร ก็เป็นนักปราชญ์ชาติมหาเมธาวี มีอวิชชาเบาบาง ควรที่ตถาคตจะไปแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดดาบสนั้นก่อน” ขณะนั้นเอง เทวดาองค์หนึ่งมากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้วิสุทธิ์ บัดนี้ดาบสผู้เคยเป็นครูของพระองค์ ดับขันธ์ไปเสียแล้ว เมื่อเวลาพลบค่ำนี้เอง” พระองค์สดับดังนั้น จึงทรงส่องพระญาณไป ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอุทกดาบสรามบุตรนั้น ได้ละโลกในเวลาพลบค่ำตามคำบอกของเทวดา และบัดนี้ได้ขึ้นไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษที่เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ มีอายุยืนถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ในนั้น และเข้าใจว่านี่คือที่สุดของการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว”
ครั้นทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ และเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ทรงมีพุทธดำริว่า “ฉิบหายใหญ่แล้ว น่าเสียดายจริงหนอ ท่านอุทกดาบสรามบุตรผู้เป็นครูของตถาคตนี้ ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสักหน่อย ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย มีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอน”
บุรพาจารย์ทั้งสองท่านนี้ นับว่าเป็นบุคคลผู้พลาดโอกาสอย่างใหญ่หลวง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว แต่ท่านก็มาละสังขารไปเสียก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หมดกิเลส เพราะเหตุที่อรูปฌานไม่เป็นนิยยานิกธรรม คือไม่เป็นธรรมสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารได้ จึงยังเป็นชนภายนอกพระพุทธศาสนา และเสื่อมสูญจากอุดมประโยชน์คือมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงรำพึงดังที่กล่าวมานั่นแหละ
ถ้าเราเอาแต่สมาธิมันก็คือความเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านเล่าว่าท่านเคยติดสมาธิคิดว่าความสงบคือพระนิพพานหลงสมาธิเป็น ๑๐ ปี หลวงปู่มั่นบอกก็ไม่เชื่อ เมื่อหลงก็ไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ตัวตนนั่นแหละคือความเสื่อม เมื่อพลังแห่งสมาธิมันอ่อนมันตก พอเจอรูปเสียงกินรสสัมผัสต่างๆ มันก็ยิ่งกว่าถูกฟ้าผ่าเสียอีก ตัวตนนั้นมันเป็นได้แต่สมมติคือการแต่งตั้ง เนื้อแท้จริงๆ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นธรรมเป็นสภาวะธรรม พระพุทธเจ้าให้เรามายกเลิกตัวตน ถึงเป็นความรู้ในสภาวะธรรม ความเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง มันเป็นแค่สภาวะธรรม เมื่อเรามีศีลสมาธิปัญญา จะทำให้เรารู้กฎพระไตรลักษณ์ ให้ทุกคนมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องนี้แหละ มีความสุขในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีตัวตนนี้ มันไม่ได้มีความสุขหรอก มีแต่ความหลง เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้บอกสอนตัวเองได้ ให้ใจเข้มแข็ง มีสติสัมปชัญญะ ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ต้องควบคุมด้วยศีลสมาธิปัญญา สำหรับบุคคลที่ยังเป็นเสขะบุคคล ต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญา เพื่อหยุดความฟุ้งซ่านของเราทุกคน
เมื่อเรามีความเห็นไม่ถูกต้องมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเราถึงได้เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิต ไม่ได้ตั้งเป้าหมายพระนิพพานไว้เป็นจุดยืน การยกเลิกตัวตนอย่างแน่วแน่ เอาศีลสมาธิปัญญา เอาความเป็นพุทธะ เป็นเครื่องยกเลิกตัวตน เราทุกคนจะได้ไม่หลงผัสสะไม่หลงอารมณ์ ผัสสะที่มันเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ นั่นคือข้อสอบของเรา และคำตอบของเราด้วยให้ใจของเราเป็นพุทธะ คือเอาความเป็นพุทธะมาซักฟอกทำความสะอาด สิ่งภายนอกที่มันสกปรกก็ซักฟอกด้วยผงซักฟอกด้วยวัตถุต่างๆ ได้ จิตใจของเราก็ต้องซักฟอกด้วยพระไตรลักษณ์ เพื่อจะเป็นข้อสอบข้อปฏิบัติของทุกๆ คน จึงต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ อย่างเวลาจะเป็นเวลาของดวงอาทิตย์หรือนาฬิกา เราก็ต้องปรับตัวเข้าหาเวลาให้ถูกต้อง ใจของเราทุกๆ คนต้องชะล้างให้สะอาดด้วยพระไตรลักษณ์ ต้องชะล้างด้วยศีลสมาธิปัญญา ต้องมีสติสัมปชัญญะทุกคนต้องพากันมาจัดการตนเอง เมื่อเราจัดการตนเองไม่ได้ ก็จะไปจัดการคนอื่นไม่ได้ อย่างเขามีฮีตเตอร์ก็เพื่อจัดการความเย็น เขามีแอร์ก็เพื่อกำจัดความร้อน ใจของเราก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง มายกเลิกตัวตน เราถึงจะจัดการจิตใจของเราได้
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๗
วันนี้เป็นวันที่โลกสมมติว่า เป็น “วันมหาสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ของไทย” วันขึ้นปีใหม่ในทางพระพุทธศาสนาของเราไม่ค่อยกล่าวไว้เท่าไรนัก เพราะพระพุทธองค์ทรงถือว่า การที่ เรามีโอกาสลืมตามาดูโลกในทุกๆ เช้าวันใหม่นั้น นับเป็นโอกาสอันสุดวิเศษแล้ว ที่เราสามารถมีชีวิต รอดมาอีก ๑ วัน ฉะนั้นทุกวันจึงเป็นช่วงเวลาอันแสนประเสริฐ ที่จะเริ่มสั่งสมบุญ ปรารภความเพียร กันต่อไป แม้จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ เรายังคงสร้างบารมีกันต่อไป และทำให้ยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา พระบรม ศาสดาทรงเน้นให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่ง ใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งธรรม ปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับ มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย”
"สงกรานต์" มาจากคำในภาษาสันสกฤต (สํกฺรานฺติ) แปลตรงตัวว่า "การเปลี่ยนผ่านของดวงดาว" หรือ "การเปลี่ยนแปลง" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงสงกรานต์หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่นๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ
แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็น เดือนแรกของปี สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจากหากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง
ปัจจุบันปฏิทินไทยกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" (ภาษาเขมร แปลว่า "อยู่ ") และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก"
คำว่า สงกรานต์ คำนี้เป็นภาษาสันสกฤต ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่า ก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้ โดยเฉพาะคำว่า สงกรานต์ แปลว่า การก้าวหน้า เราก็จะต้องรู้เรื่องการก้าวหน้าของเวลาเป็นส่วนสำคัญ จึงจะเรียกได้ว่ารู้เรื่องสงกรานต์ คำว่าความก้าวหน้านี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าอะไรๆมันล่วงไปข้างหน้า แต่ว่ามันมีความสำคัญที่มันเกี่ยวกันกับมนุษย์อย่างไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาพินิจพิจารณากันให้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับข้อนี้มีทางที่จะมองเห็นได้เป็น ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้
ความจริงของธรรมชาติเป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ความจริงมันมีเฉพาะกลางวัน และกลางคืนเท่านั้น และกลางวันและกลางคืนมันก็เกิดเพราะพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แล้วตกไปในตอนเย็น เราเรียกว่าเป็นกลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ลับโลกไปแล้ว จนพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาใหม่ เราเรียกว่ากลางคืน มันเป็นไปอย่างนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้นสิ่งที่มีจริงก็คือวันและคืน ส่วนปีเดือนมนุษย์เรากำหนดกันขึ้นมาเอง เพื่อให้หมายรู้เรื่องวันเดือนปี ในการเป็นอยู่ของมนุษย์เราเท่านั้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า การสมมุติวันเดือนปีขึ้นมา มิใช่เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องมีสาระอย่างยิ่ง เป็นแต่ว่าบางคนในสมัยนี้นำเรื่องปีเก่าปีใหม่ ไปทำลายตนเองหนักเข้าไปอีก
แบบไหนที่เรียกว่า นำเทศกาลปีเก่าปีใหม่มาทำลายตนเอง? คือ โดยธรรมดาแล้ว ชีวิตคน อายุสัตว์มันจะกัดกินตัวมันเอง ให้หมดลงเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปหนึ่งปี ก็เท่ากับว่าอายุหมดไปแล้วหนึ่งปี นั่นคือเขาใกล้ความตายไปอีกแล้วหนึ่งปี เราจวนจะตายแล้ว แต่เพราะไม่มีใครรู้วันตายของตน แต่ละคนจึงประมาท สนุกไปเรื่อยทั้งๆ ที่ชีวิตกำลังเข้าหาความตายอยู่ทุกขณะจิต
ภาพของปุถุชนเรานั้น ปรากฏในสายตาของพระอริยะว่า เหมือนคนถูกไฟลุกโชนอยู่บนหัวแล้ว แต่ยังหาได้หาสำนึกไม่ยังสนุกอยู่ตลอด ด้วยประการฉะนี้ เราจึงมองเห็นภาพของนักดื่มทั้งหลาย ทำกิริยาดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงเทศกาลปีเก่าปีใหม่ พวกเขาชวนกันมาฉลองปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เหมือนพร้อมกับตะโกนกันด้วยความดีใจว่า พวกเรามากินเหล้าฉลองชัยที่พวกเราใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปีแล้วเถิด !
ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้ ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน ถ้าคนก้าวหน้า เวลาก็ถูกกิน ใครฟังเข้าใจ คนนั้นเป็นผู้มีปัญญา ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน นี้ก็พอจะเห็นได้ไม่ยากนัก ว่าวันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน
แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน
สรุปความสั้นๆ ก็ว่า ถ้าคนไม่รู้ธรรมะ เวลาก็กินคน ถ้าคนรู้ธรรมะ คนก็กินเวลา การที่เวลากินคนนั้นไม่เป็นของสนุกเลย หมายความว่ามีความทุกข์ร้อนนานาประการเกี่ยวกับการที่เวลามันล่วงไปๆ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากก็ร้อนใจอยู่ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเวลา คือยังทำอะไรไม่เสร็จ ยังทำอะไรไม่ได้ตามที่ตัวต้องการ ยังหิวยังกระหายอยู่เสมอ อย่างนี้เรียกว่าคนลำบากเดือดร้อนเพราะถูกเวลากิน เพราะว่าเขาไม่เป็นผู้รู้ธรรม ไม่รู้จักปล่อยวางสิ่งทั้งปวง อย่าให้มารบกวนจิตใจ
ถ้าเราพิจารณาดูอีกทางหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่รู้ธรรมะนั้นย่อมเดินถอยหลัง เพราะถูกเวลากิน ไม่มีการก้าวหน้า คนโง่ คนพาล คนเขลาชนิดนี้ย่อมไม่มีสงกรานต์กับใครเลย เพราะว่าเขาไม่ก้าวหน้า แต่กลับถอยหลังไปเสียอีก ถ้าบุคคลผู้ใดรู้ธรรม บุคคลนั้นก้าวหน้าเรื่อยไป บุคคลนี้มีสงกรานต์ คือมีการก้าวหน้า แต่ถ้าพูดว่าสงกรานต์ สงกรานต์แล้วก็เป็นกันทุกคน พูดเป็นกันทุกคน ถ้ายิ่งเล่นสงกรานต์ เช่น สาดน้ำ เป็นต้นกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำเป็นกันทุกคน แต่คิดๆดูเถิดว่า มันเป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด การเล่นสงกรานต์เพียงเท่านั้นมันจะเป็นสงกรานต์ คือเป็นความก้าวหน้าไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่มัวแต่เหลวไหลอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีการก้าวหน้า ถ้าเป็นสงกรานต์จริงๆ มันต้องเป็นการก้าวหน้า คือมีจิตใจที่ก้าวหน้า
เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงพูดว่า คนที่ไม่รู้ธรรมะย่อมถอยหลัง ไม่มีการก้าวหน้า ไม่มีสงกรานต์ คนที่มีความรู้ธรรมะเท่านั้น ที่มีการก้าวไปข้างหน้าและมีสงกรานต์ คนมีธรรมะนั้นไม่ถูกเวลากิน แต่เป็นผู้กินเวลา คนไม่มีธรรมะนั้นถูกเวลากิน เรื่องของ เรื่องนี้จึงมีความสำคัญอยู่ตรงที่ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ถ้าก้าวหน้าก็มีสงกรานต์ ถ้าไม่ก้าวหน้าก็ไม่มีสงกรานต์ แม้จะโห่ร้อง ตะโกนก้องกันอย่างไร จะทำพิธีรีตองกันอย่างไร มันก็ไม่มีสงกรานต์ที่ถูกต้องไปไม่ได้ ถ้าจะเรียกว่าเล่นสงกรานต์ ก็เป็นการเล่นของคนโง่ที่ไม่รู้จักว่าสงกรานต์คืออะไรอยู่นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" พระพุทธภาษิตนี้ก็เนื่องด้วยสงกรานต์ คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นี้ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นคนทั้งหลายจงรีบถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ไม่ประมาทก็คือจัดทำสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ให้เป็นไปในทางก้าวหน้า ให้ก้าวไปๆ เสียจากความทุกข์ ให้ออกไปจากความทุกข์ให้ได้ นั้นก็เป็นความก้าวหน้า นี้ถ้าเราจะเรียกกันว่า สงกรานต์คือความก้าวล่วงไปปีหนึ่งนั้น มันก้าวล่วงไปอย่างไร
ถ้าถือเอาตามพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ มันก็ต้องก้าวล่วงไปด้วยความดับทุกข์ คือดับทุกข์ได้มากขึ้น เวลาล่วงไปปีหนึ่งๆ ก็ดับทุกข์ได้มากขึ้น ใกล้ความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ยิ่งขึ้นไปทุกที เดี๋ยวนี้ใครกำลังเป็นอย่างไรก็ขอให้พิจารณาดูตัวเอง สอบสวนตัวเองดูให้ดีด้วยกันจงทุกคนเถิด
ให้พวกเราทั้งหลายมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ทุกๆ คนต้องรู้เป้าหมายของชีวิต ความเห็นถูกต้อง ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง การประพฤติปฏิบัติของเราให้ถูกต้อง คำว่านิพพานเป็นความดับทุกข์ทางจิตใจดับทุกข์ทางวัตถุ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ชีวิตของเราก็จะดำเนินสู่ทางสายกลาง เป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราทุกคนต้องพากันยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะตัวตนนั้นคือความทุกข์ทางใจและความทุกข์ทางวัตถุ ความเห็นที่ไม่ถูกต้องความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนั้นคือความทุกข์ คือการเอาตัวตนดำเนินชีวิต การยกเลิกตัวตนนั้นเป็นความสุข ศีลเป็นอุปกรณ์ที่ยกเลิกตัวตน ทุกคนต้องพากันรู้ความหมายในการรักษาศีลในการปฏิบัติศีล ศีลนั้นคือความดับทุกข์เป็นอุปกรณ์ของความดับทุกข์ เป็นยานนำเราไปสู่ความดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนต้องรู้ความหมายของศีล ทุกคนต้องรู้การรักษาศีลนั้นเป็นไปเพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน ศีล เป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน สำหรับผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคล ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ การรักษาศีลถึงเป็นความสุข เพราะความสุขนั้นอยู่ที่การยกเลิกตัวยกเลิกตน พระพุทธเจ้าให้เรารู้ความหมายอย่างนี้ การรักษาศีลเป็นความงดงามในเบื้องต้น เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน สมองของเราก็จะยกเลิกความสับสน ความสุขในเบื้องต้นของหมู่มวลมนุษย์คือต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างติดต่อต่อเนื่อง มีความสม่ำเสมอ สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิก็เกิดขึ้นแก่เราทุกคน ที่เป็นสมาธิแบบธรรมชาติไปในตัวเป็นขณิกสมาธิเป็นอุปจารสมาธิ หรือจะเข้าสมาธิที่ลึกก็จะถึงอัปปนาสมาธิ เข้าถึงนิโรธสมาบัติ นี้คือการยกเลิกตัวยกเลิกตน
ศีลสมาธิถึงเป็นตัวยกเลิกความทุกข์ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ความจริงรู้สัจธรรมรู้กระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด รู้ปฏิจจสมุปบาท เช่นพระอรหันต์ทุกรูปก็รู้อริยสัจ ๔ กันทุกรูป เพราะมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ท่านยกเลิกตัวยกเลิกตนได้ 100% สำหรับผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคล สติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องพากันบำเพ็ญบารมีให้ติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นเหมือนแม่น้ำที่จะไหลลงสู่มหาสมุทร ในชีวิตประจำวันของเราต้องดำเนินชีวิตด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ชีวิตของเราต้องดำเนินไปด้วยศีลสมาธิปัญญา มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม การที่เรามีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เรียกว่าอริยมรรค เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน ตัวตนไม่มีน่ะ เพราะตัวตนนี้คือความทุกข์ เราทุกคนก็ย่อมมีความสุขในการทำงานในการรักษาศีล ศีลถึงเป็นการเสียสละตัวตนได้ 100% การทำงานมีความสุขถึงเป็นการละตัวตนได้ 100% ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานในการรักษาศีล ก็คือเรามีตัวตน ทุกคนก็ย่อมฟุ้งซ่านไม่มีความสุขในการทำงาน แสดงถึงว่าเรามีตัวตน การที่เรายกเลิกตัวตนมีความสุขในการทำงานในการรักษาศีลในการประพฤติปฏิบัติธรรม เรียกว่าเป็นผู้รู้อริยสัจ ๔
เมื่อเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็จะรู้อริยสัจ ๔ ถ้าไม่ยกเลิกตัวตน เราก็จะไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่นำไปถึงความดับทุกข์ เพราะตัวตนนี้เองเป็นตัวทำร้ายตัวเอง คือไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่นำไปถึงความดับทุกข์ เมื่อมนุษย์มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีความสุขในการทำงานยกเลิกตัวตน ก็ย่อมได้รับความสะดวกสบายทางวัตถุทางเทคโนโลยี นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกคนจะพากันติดในความสุขในความสะดวกสบาย เมื่อเราติด สติสัมปชัญญะของเราก็จะหายจะจางคลาย เราก็จะไม่มีสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเจริญภาวนาวิปัสสนาให้ติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนจะได้มีสติสัมปชัญญะ ยกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงไม่แน่นอนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พากันเข้มแข็งพากันเสียสละต้องผ่านด่านนี้ให้ได้เอาอาวุธคือพระไตรลักษณ์อนิจจังทุกขังอนัตตา อนิจจังคือความไม่แน่ ไม่เที่ยง ทุกขังคือทุกคนต้องมีความทุกข์แน่นอน อนัตตาคือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกๆ คนต้องพากันรู้อริยสัจ ๔ เราต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง มีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์
ความสุขความทุกข์คืออาการของตัวตน ถ้าเราเอาความสุข ความทุกข์มันก็มีอยู่ในตัว ต้องอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง นี้เป็นไฟท์ในการเดินทางของเรา เมื่อมนุษย์เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็มีความสุขทางจิตใจทางวัตถุ เราจะได้ไม่หลง ต้องยกทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ส่วนใหญ่ทุกคนมีตัวตน จะเอาแต่ความสุขความสงบ อย่างศาสนาทุกศาสนาพากันมาหลงในสวรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุในความสะดวกสบาย เรามาพัฒนาจิตใจของเราอยู่กับการทำงาน ใจของเราก็มีความสุข เลยพากันจบลงแค่ความสงบ ไม่ได้ต่อยอดสู่พระไตรลักษณ์ พากันเอาความสุขแต่ทางวัตถุ พากันไปได้แต่ระดับศีลกับสมาธิ แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยปัญญา เพราะไม่ได้ภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกท่านทุกคนต้องก้าวผ่านไปให้ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงสอนผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาให้พากันพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ พากันพิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ มีความสุขในการภาวนาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกคนนั้นไม่ค่อยพิจารณาภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ เราเอาแต่ความสุขความสงบ สิ่งเหล่านี้ทำความเสียหายให้แก่พวกเราทุกๆ คน ตัวตนนี้แหละมันทำให้เราไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่ยอมเจริญสติสัมปชัญญะไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์
ให้ทุกคนพากันเข้าใจในความเป็นพระศาสนา ศาสนาคือความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ผู้ที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องนั่นแหละ คือพระศาสนา ก็เปรียบเสมือนอาหารนี่แหละ ผู้ที่บริโภคอาหารจะเป็นเชื้อชาติใด ศาสนาใด จะเป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาสญาติโยม เมื่อเราไปทานอาหาร มันก็ดับทุกข์ได้อิ่มท้องได้ เพราะความทุกข์มันก็เป็นของสากล ความดับทุกข์ก็เป็นของสากล ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ความเป็นพระออริยเจ้านั้นถึงเป็นไปได้ในทุกชาติศาสนาทั้งนักบวชฆราวาสญาติโยม ด้วยเหตุปัจจัยนี้พระพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย
เราจะได้เข้าใจสมมุติและเข้าใจในวิมุติความหลุดพ้น แต่ละคนได้รับการแต่งตั้งมีชื่อต่างๆ กัน และแต่งตั้งชื่อวัตถุต่างๆ นั้น ความหมายก็เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อเอาสมมุติมาใช้การใช้งานให้มันสะดวกสบาย เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และต้องมีสัมมาทิฏฐิพัฒนาใจของตัวเองพัฒนาวัตถุ ปฏิบัติตามสมมติให้ถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะได้เดินทางสายกลาง เอาสมมุติมาใช้เป็นยานสู่มรรคผลพระนิพพานคือความดับทุกข์ทางใจทางวัตถุไปพร้อมๆกันเรียกว่าทางสายกลาง การแต่งตั้งเพื่อให้เราได้มาเสียสละ ปฏิบัติตามธรรมะให้ถูกต้อง นี้คือธรรมะ เวลานั้นมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง หมู่มวลมนุษย์ก็ให้พากันนอนหลับให้สนิทสัก ๖ ชั่วโมงเต็มๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ให้พากันนอนหลับสนิท ๖ ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่มันก็ ๑๘ ชั่วโมง ก็ต้องมีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม นั่นแหละคือทางสายกลาง หมู่มวลมนุษย์จะได้เข้าถึงความดับทุกข์ทั้งทางกายทางใจและทางวัตถุ เมื่อเรายกเลิกตัวตนนี้แหละ คือการไม่แบกอวิชชาความหลง เราจะได้มีอริยทรัพย์มีความสุขทางจิตใจ มีทรัพย์ภายนอกที่อำนวยความสะดวกสบาย มีบ้านอย่างดี มีรถอย่างดี อำนวยความสะดวกสบายและรู้อริยสัจ ๔ ไปด้วยกัน มันเป็นพุทธะทางจิตใจ มันเป็นความสุขความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน เป็น air condition ของหมู่มวลมนุษย์ เราเอาตัวตนมันแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เอาตัวตนมันแก้ปัญหาไม่ได้
ทุกๆ คนต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ทุกคนต้องมาแก้ไขที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขที่คนอื่น ตัวตนนั่นแหละคือความหลงคือนายทุนคือสีดำสีเทา ตัวตนนั่นแหละมันทำให้เราเป็นข้าราชการไม่ได้ เป็นนักการเมืองไม่ได้ เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ เป็นครูบาอาจารย์ไม่ได้ ตัวตนนั่นแหละคือมิจฉาทิฏฐิ ตัวตนนั่นแหละคืออบายมุขอบายภูมิ ทุกคนต้องพากันรู้จักความจริงทั้งทางจิตใจและวัตถุ ให้ทุกคนแก้ไขตัวเองปฏิบัติตัวเองมีความสุข เราทุกคนต้องตั้งเป้าหมายไว้ในหนทางอันประเสริฐคืออริยมรรค คือความงามในเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา รู้อริยสัจ ๔ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่างมากก็ได้แค่ความสุขที่จิตใจของเรามีความหลงต่างหาก อย่างนี้มันเป็นการขุดหลุมพรางไปในตัวรอฝังตัวเองอยู่แล้ว เพราะมันไม่รู้อริยสัจ ๔ มันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านจะไปโปรดใครบ้าง ก็เลยนึกถึงท่านอาจารย์ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ผู้เคยเป็นครูของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ในสมัยที่พระพุทธองค์กำลังแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากได้รับการอาราธนาจากท้าวสหัมบดีพรหม พระองค์ทรงดำริที่จะโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้รับรสอมตธรรมเห็นแจ้งในพระนิพพานตามพระองค์ ทรงดำริว่า “ตถาคตจักไปแสดงพระสัทธรรมโปรดผู้ใดก่อน ใครหนอจะมีปัญญาหยั่งรู้โลกุตตรธรรม อันแสนจะสุขุมลุ่มลึกได้โดยฉับพลัน”
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า “ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรผู้เคยเป็นครู เป็นบัณฑิตชาติ ทั้งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม เป็นนักปราชญ์มีธุลีคือกิเลสเบาบาง ควรที่จะไปแสดงธรรมโปรดดาบสนั้นก่อน” แต่เมื่อพระองค์ทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุ ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอาจารย์ได้ละโลกไปได้ ๗ วันแล้ว บัดนี้ไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษอยู่ที่อากิญจัญญายตนภูมิ คือ อรูปพรหมโลกชั้นที่ ๓ ซึ่งมีอายุยืนนานถึง ๖๐,๐๐๐ มหากัป กำลังเสวยฌานสุขอยู่ในที่นั่นเสียแล้ว” ครั้นทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุญาณอย่างแจ้งประจักษ์ชัดเช่นนี้ จึงทรงมีพุทธดำริต่อไปอีกว่า “น่าเสียดายท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสัก ๗ วัน ได้สดับพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย” จากนั้น พระองค์ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุต่อไปว่า มีใครหนอที่สามารถตรัสรู้มรรคผลได้โดยฉับพลัน ทรงดำริถึงท่านอุทกดาบสรามบุตรว่า “ครูของตถาคตอีกผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าอุทกดาบสรามบุตร ก็เป็นนักปราชญ์ชาติมหาเมธาวี มีอวิชชาเบาบาง ควรที่ตถาคตจะไปแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดดาบสนั้นก่อน” ขณะนั้นเอง เทวดาองค์หนึ่งมากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้วิสุทธิ์ บัดนี้ดาบสผู้เคยเป็นครูของพระองค์ ดับขันธ์ไปเสียแล้ว เมื่อเวลาพลบค่ำนี้เอง” พระองค์สดับดังนั้น จึงทรงส่องพระญาณไป ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอุทกดาบสรามบุตรนั้น ได้ละโลกในเวลาพลบค่ำตามคำบอกของเทวดา และบัดนี้ได้ขึ้นไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษที่เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ มีอายุยืนถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ในนั้น และเข้าใจว่านี่คือที่สุดของการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว”
ครั้นทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ และเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ทรงมีพุทธดำริว่า “ฉิบหายใหญ่แล้ว น่าเสียดายจริงหนอ ท่านอุทกดาบสรามบุตรผู้เป็นครูของตถาคตนี้ ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสักหน่อย ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย มีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอน”
บุรพาจารย์ทั้งสองท่านนี้ นับว่าเป็นบุคคลผู้พลาดโอกาสอย่างใหญ่หลวง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว แต่ท่านก็มาละสังขารไปเสียก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หมดกิเลส เพราะเหตุที่อรูปฌานไม่เป็นนิยยานิกธรรม คือไม่เป็นธรรมสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารได้ จึงยังเป็นชนภายนอกพระพุทธศาสนา และเสื่อมสูญจากอุดมประโยชน์คือมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงรำพึงดังที่กล่าวมานั่นแหละ
ถ้าเราเอาแต่สมาธิมันก็คือความเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านเล่าว่าท่านเคยติดสมาธิคิดว่าความสงบคือพระนิพพานหลงสมาธิเป็น ๑๐ ปี หลวงปู่มั่นบอกก็ไม่เชื่อ เมื่อหลงก็ไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ตัวตนนั่นแหละคือความเสื่อม เมื่อพลังแห่งสมาธิมันอ่อนมันตก พอเจอรูปเสียงกินรสสัมผัสต่างๆ มันก็ยิ่งกว่าถูกฟ้าผ่าเสียอีก ตัวตนนั้นมันเป็นได้แต่สมมติคือการแต่งตั้ง เนื้อแท้จริงๆ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นธรรมเป็นสภาวะธรรม พระพุทธเจ้าให้เรามายกเลิกตัวตน ถึงเป็นความรู้ในสภาวะธรรม ความเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง มันเป็นแค่สภาวะธรรม เมื่อเรามีศีลสมาธิปัญญา จะทำให้เรารู้กฎพระไตรลักษณ์ ให้ทุกคนมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องนี้แหละ มีความสุขในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีตัวตนนี้ มันไม่ได้มีความสุขหรอก มีแต่ความหลง เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้บอกสอนตัวเองได้ ให้ใจเข้มแข็ง มีสติสัมปชัญญะ ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ต้องควบคุมด้วยศีลสมาธิปัญญา สำหรับบุคคลที่ยังเป็นเสขะบุคคล ต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญา เพื่อหยุดความฟุ้งซ่านของเราทุกคน
เมื่อเรามีความเห็นไม่ถูกต้องมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเราถึงได้เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิต ไม่ได้ตั้งเป้าหมายพระนิพพานไว้เป็นจุดยืน การยกเลิกตัวตนอย่างแน่วแน่ เอาศีลสมาธิปัญญา เอาความเป็นพุทธะ เป็นเครื่องยกเลิกตัวตน เราทุกคนจะได้ไม่หลงผัสสะไม่หลงอารมณ์ ผัสสะที่มันเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ นั่นคือข้อสอบของเรา และคำตอบของเราด้วยให้ใจของเราเป็นพุทธะ คือเอาความเป็นพุทธะมาซักฟอกทำความสะอาด สิ่งภายนอกที่มันสกปรกก็ซักฟอกด้วยผงซักฟอกด้วยวัตถุต่างๆ ได้ จิตใจของเราก็ต้องซักฟอกด้วยพระไตรลักษณ์ เพื่อจะเป็นข้อสอบข้อปฏิบัติของทุกๆ คน จึงต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ อย่างเวลาจะเป็นเวลาของดวงอาทิตย์หรือนาฬิกา เราก็ต้องปรับตัวเข้าหาเวลาให้ถูกต้อง ใจของเราทุกๆ คนต้องชะล้างให้สะอาดด้วยพระไตรลักษณ์ ต้องชะล้างด้วยศีลสมาธิปัญญา ต้องมีสติสัมปชัญญะทุกคนต้องพากันมาจัดการตนเอง เมื่อเราจัดการตนเองไม่ได้ ก็จะไปจัดการคนอื่นไม่ได้ อย่างเขามีฮีตเตอร์ก็เพื่อจัดการความเย็น เขามีแอร์ก็เพื่อกำจัดความร้อน ใจของเราก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง มายกเลิกตัวตน เราถึงจะจัดการจิตใจของเราได้
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๖๗
วันนี้เป็นวันที่โลกสมมติว่า เป็น “วันมหาสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ของไทย” วันขึ้นปีใหม่ในทางพระพุทธศาสนาของเราไม่ค่อยกล่าวไว้เท่าไรนัก เพราะพระพุทธองค์ทรงถือว่า การที่ เรามีโอกาสลืมตามาดูโลกในทุกๆ เช้าวันใหม่นั้น นับเป็นโอกาสอันสุดวิเศษแล้ว ที่เราสามารถมีชีวิต รอดมาอีก ๑ วัน ฉะนั้นทุกวันจึงเป็นช่วงเวลาอันแสนประเสริฐ ที่จะเริ่มสั่งสมบุญ ปรารภความเพียร กันต่อไป แม้จะย่างเข้าสู่ปีใหม่ เรายังคงสร้างบารมีกันต่อไป และทำให้ยิ่งกว่าปีที่ผ่านมา พระบรม ศาสดาทรงเน้นให้เรามีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน เหมือนดังพุทธพจน์ที่ว่า “บุคคลไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว ไม่ควรมุ่งหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่ง ใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็เป็นอันละไปแล้ว สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง ก็เป็นอันยังไม่ถึง บุคคลใดเห็นแจ้งธรรม ปัจจุบัน ไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลนในธรรมนั้นๆ บุคคลนั้นพึงเจริญธรรมนั้นเนืองๆ ให้ปรุโปร่งเถิด พึงทำความเพียรเสียในวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่ง เพราะว่าความผัดเพี้ยนกับ มัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย”
"สงกรานต์" มาจากคำในภาษาสันสกฤต (สํกฺรานฺติ) แปลตรงตัวว่า "การเปลี่ยนผ่านของดวงดาว" หรือ "การเปลี่ยนแปลง" ในที่นี้หมายถึงเป็นวันที่พระอาทิตย์ ผ่านหรือเคลื่อนย้าย จากราศีมีน เข้าสู่ ราศีเมษ ในเดือนเมษายน ถือเป็นช่วงสงกรานต์หากพระอาทิตย์เคลื่อนย้าย ในช่วงเดือนอื่นๆ ถือเป็นการเคลื่อนย้ายธรรมดา ตามปกตินั้น พระอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่งเป็นประจำทุกเดือน หรือจะเรียกว่าเป็นการย้ายจากกลุ่มดาวหนึ่งไปสู่อีกกลุ่มดาวหนึ่ง ตามหลักโหราศาสตร์หรือภาษาโหร เรียกว่า"ยกขึ้นสู่" ตัวอย่างเช่น พระอาทิตย์ขึ้นสู่ราศีเมษ ก็คือการที่พระอาทิตย์ย้ายจากกลุ่มดาวราศีมีนไปสู่กลุ่มดาวราศีเมษ ซึ่งเป็นราศีถัดไปนั่นเอง ด้วยเหตุนี้ เมื่อสงกรานต์ แปลว่า ผ่าน หรือ เคลื่อนย้ายเข้าไป วันสงกรานต์จึงต้องมีอยู่ประจำทุกเดือน เพราะดวงอาทิตย์จะย้ายจากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่งซึ่งอยู่ถัดไปเดือนละ 1 ครั้ง เสมอ
แต่ในวันและเวลาที่พระอาทิตย์ยกขึ้นสู่ (ตามภาษาโหร) หรือเคลื่อนย้ายจากราศีมีนเข้าไปสู่ราศีเมษ ในเดือน เมษายน (ซึ่งตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5) เราถือเป็นกรณีพิเศษ เรียกว่าวันมหาสงกรานต์ด้วยถือกันว่าเป็นวันและแวลาที่ตั้งต้นสู่ปีใหม่ เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชใหม่ ตามการคำนวณของโหรผู้รู้ทางโหราศาสตร์ เพราะในสมัยโบราณเรานับถือเดือนเมษายนเป็น เดือนแรกของปี สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ในปี พ.ศ.2432 ได้กำหนดให้ใช้ วันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งตรงกับวันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ และได้ใช้เรื่อยมา สาเหตุก็เพราะสอดคล้องกับธรรมเนียมโบราณ เนื่องจากหากนับทางจันทรคติ จะตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 5 ซึ่งก็คือวันสงกรานต์ หรือวันที่ดวงอาทิตย์ย้ายจากราศีมีนไปสู่ราศีเมษนั่นเอง
ปัจจุบันปฏิทินไทยกำหนดให้เทศกาลสงกรานต์ตรงกับวันที่ 13-15 เมษายนของทุกปี และเป็นวันหยุดราชการ ประกาศสงกรานต์อย่างเป็นทางการจะคำนวณตามหลักเกณฑ์ในคัมภีร์สุริยยาตร์ ซึ่งแต่โบราณมา กำหนดให้วันแรกของเทศกาลเป็นวันที่พระอาทิตย์ย้ายออกจากราศีมีนเข้าสู่ราศีเมษ เรียกว่า "วันมหาสงกรานต์" วันถัดมาเรียกว่า "วันเนา" (ภาษาเขมร แปลว่า "อยู่ ") และวันสุดท้าย เป็นวันเปลี่ยนจุลศักราชและเริ่มใช้กาลโยคประจำปีใหม่ เรียกว่า "วันเถลิงศก"
คำว่า สงกรานต์ คำนี้เป็นภาษาสันสกฤต ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เป็น สังกันตะ แปลว่า ก้าวล่วงไป แปลว่าก้าวไปพร้อม คือการก้าวหน้า คำว่าสงกรานต์แปลว่าก้าวหน้า ก็หมายความว่าก้าวไปข้างหน้า เวลาก้าวไปข้างหน้าตามที่กำหนดไว้ว่าปีหนึ่ง ดังนี้ โดยเฉพาะคำว่า สงกรานต์ แปลว่า การก้าวหน้า เราก็จะต้องรู้เรื่องการก้าวหน้าของเวลาเป็นส่วนสำคัญ จึงจะเรียกได้ว่ารู้เรื่องสงกรานต์ คำว่าความก้าวหน้านี้ก็พอจะเข้าใจกันได้ ว่าอะไรๆมันล่วงไปข้างหน้า แต่ว่ามันมีความสำคัญที่มันเกี่ยวกันกับมนุษย์อย่างไร นั่นแหละเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาพินิจพิจารณากันให้เป็นอย่างดี เกี่ยวกับข้อนี้มีทางที่จะมองเห็นได้เป็น ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือ ความก้าวหน้าของเวลา อย่างที่สองก็คือ ความก้าวหน้าของบุคคล ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้
ความจริงของธรรมชาติเป็นเช่นนั้น กล่าวคือ ความจริงมันมีเฉพาะกลางวัน และกลางคืนเท่านั้น และกลางวันและกลางคืนมันก็เกิดเพราะพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นในตอนเช้า แล้วตกไปในตอนเย็น เราเรียกว่าเป็นกลางวัน เมื่อพระอาทิตย์ลับโลกไปแล้ว จนพระอาทิตย์ทอแสงขึ้นมาใหม่ เราเรียกว่ากลางคืน มันเป็นไปอย่างนี้ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเลย ดังนั้นสิ่งที่มีจริงก็คือวันและคืน ส่วนปีเดือนมนุษย์เรากำหนดกันขึ้นมาเอง เพื่อให้หมายรู้เรื่องวันเดือนปี ในการเป็นอยู่ของมนุษย์เราเท่านั้น แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า การสมมุติวันเดือนปีขึ้นมา มิใช่เป็นเรื่องไร้สาระ เป็นเรื่องมีสาระอย่างยิ่ง เป็นแต่ว่าบางคนในสมัยนี้นำเรื่องปีเก่าปีใหม่ ไปทำลายตนเองหนักเข้าไปอีก
แบบไหนที่เรียกว่า นำเทศกาลปีเก่าปีใหม่มาทำลายตนเอง? คือ โดยธรรมดาแล้ว ชีวิตคน อายุสัตว์มันจะกัดกินตัวมันเอง ให้หมดลงเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปหนึ่งปี ก็เท่ากับว่าอายุหมดไปแล้วหนึ่งปี นั่นคือเขาใกล้ความตายไปอีกแล้วหนึ่งปี เราจวนจะตายแล้ว แต่เพราะไม่มีใครรู้วันตายของตน แต่ละคนจึงประมาท สนุกไปเรื่อยทั้งๆ ที่ชีวิตกำลังเข้าหาความตายอยู่ทุกขณะจิต
ภาพของปุถุชนเรานั้น ปรากฏในสายตาของพระอริยะว่า เหมือนคนถูกไฟลุกโชนอยู่บนหัวแล้ว แต่ยังหาได้หาสำนึกไม่ยังสนุกอยู่ตลอด ด้วยประการฉะนี้ เราจึงมองเห็นภาพของนักดื่มทั้งหลาย ทำกิริยาดีใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อถึงเทศกาลปีเก่าปีใหม่ พวกเขาชวนกันมาฉลองปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เหมือนพร้อมกับตะโกนกันด้วยความดีใจว่า พวกเรามากินเหล้าฉลองชัยที่พวกเราใกล้ความตายเข้าไปอีกหนึ่งปีแล้วเถิด !
ถ้ามันเป็นความก้าวหน้าของเวลา เวลาก็กินสัตว์ กินชีวิต แต่ถ้าว่าเป็นความก้าวหน้าของบุคคล บุคคลก็เป็นผู้กินเวลา กลับกันอยู่ดังนี้ ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน ถ้าคนก้าวหน้า เวลาก็ถูกกิน ใครฟังเข้าใจ คนนั้นเป็นผู้มีปัญญา ถ้าเวลาก้าวหน้า คนก็ถูกกิน นี้ก็พอจะเห็นได้ไม่ยากนัก ว่าวันคืนมันล่วงไปๆ คนมันก็แก่ชราลงๆๆ และใกล้ความตายเข้าไปทุกที จนถึงความตายในที่สุด นี้เรียกว่าเวลามันก้าวหน้า คนก็ถูกกิน
แต่ทีนี้ถ้าคนเกิดก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง คือคนได้รู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นหัวใจของพระศาสนาโดยแท้จริง คือเรื่องความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนเราเขาที่จะยึดมั่นแล้ว เวลาก็ทำอะไรบุคคลนั้นไม่ได้ เพราะบุคคลนั้นพ้นจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อย่างนี้เรียกว่า บุคคลนั้นกินเวลา เวลาเป็นฝ่ายที่ถูกกิน
สรุปความสั้นๆ ก็ว่า ถ้าคนไม่รู้ธรรมะ เวลาก็กินคน ถ้าคนรู้ธรรมะ คนก็กินเวลา การที่เวลากินคนนั้นไม่เป็นของสนุกเลย หมายความว่ามีความทุกข์ร้อนนานาประการเกี่ยวกับการที่เวลามันล่วงไปๆ เดี๋ยวนี้คนเป็นอันมากก็ร้อนใจอยู่ด้วยเรื่องเกี่ยวกับเวลา คือยังทำอะไรไม่เสร็จ ยังทำอะไรไม่ได้ตามที่ตัวต้องการ ยังหิวยังกระหายอยู่เสมอ อย่างนี้เรียกว่าคนลำบากเดือดร้อนเพราะถูกเวลากิน เพราะว่าเขาไม่เป็นผู้รู้ธรรม ไม่รู้จักปล่อยวางสิ่งทั้งปวง อย่าให้มารบกวนจิตใจ
ถ้าเราพิจารณาดูอีกทางหนึ่ง ก็จะเห็นได้ว่าคนที่ไม่รู้ธรรมะนั้นย่อมเดินถอยหลัง เพราะถูกเวลากิน ไม่มีการก้าวหน้า คนโง่ คนพาล คนเขลาชนิดนี้ย่อมไม่มีสงกรานต์กับใครเลย เพราะว่าเขาไม่ก้าวหน้า แต่กลับถอยหลังไปเสียอีก ถ้าบุคคลผู้ใดรู้ธรรม บุคคลนั้นก้าวหน้าเรื่อยไป บุคคลนี้มีสงกรานต์ คือมีการก้าวหน้า แต่ถ้าพูดว่าสงกรานต์ สงกรานต์แล้วก็เป็นกันทุกคน พูดเป็นกันทุกคน ถ้ายิ่งเล่นสงกรานต์ เช่น สาดน้ำ เป็นต้นกันด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำเป็นกันทุกคน แต่คิดๆดูเถิดว่า มันเป็นการกระทำของคนโง่หรือคนฉลาด การเล่นสงกรานต์เพียงเท่านั้นมันจะเป็นสงกรานต์ คือเป็นความก้าวหน้าไปไม่ได้ มันเป็นเรื่องของคนโง่ที่มัวแต่เหลวไหลอยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่มีการก้าวหน้า ถ้าเป็นสงกรานต์จริงๆ มันต้องเป็นการก้าวหน้า คือมีจิตใจที่ก้าวหน้า
เพราะเหตุเช่นนี้แหละจึงพูดว่า คนที่ไม่รู้ธรรมะย่อมถอยหลัง ไม่มีการก้าวหน้า ไม่มีสงกรานต์ คนที่มีความรู้ธรรมะเท่านั้น ที่มีการก้าวไปข้างหน้าและมีสงกรานต์ คนมีธรรมะนั้นไม่ถูกเวลากิน แต่เป็นผู้กินเวลา คนไม่มีธรรมะนั้นถูกเวลากิน เรื่องของ เรื่องนี้จึงมีความสำคัญอยู่ตรงที่ก้าวหน้าหรือไม่ก้าวหน้า ถ้าก้าวหน้าก็มีสงกรานต์ ถ้าไม่ก้าวหน้าก็ไม่มีสงกรานต์ แม้จะโห่ร้อง ตะโกนก้องกันอย่างไร จะทำพิธีรีตองกันอย่างไร มันก็ไม่มีสงกรานต์ที่ถูกต้องไปไม่ได้ ถ้าจะเรียกว่าเล่นสงกรานต์ ก็เป็นการเล่นของคนโง่ที่ไม่รู้จักว่าสงกรานต์คืออะไรอยู่นั่นเอง พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราเตือนเธอทั้งหลายว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงมีความสิ้นไปเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด" พระพุทธภาษิตนี้ก็เนื่องด้วยสงกรานต์ คือพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นี้ เอาแน่นอนอะไรไม่ได้ ฉะนั้นคนทั้งหลายจงรีบถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ไม่ประมาทก็คือจัดทำสิ่งต่างๆให้ถูกต้อง ให้เป็นไปในทางก้าวหน้า ให้ก้าวไปๆ เสียจากความทุกข์ ให้ออกไปจากความทุกข์ให้ได้ นั้นก็เป็นความก้าวหน้า นี้ถ้าเราจะเรียกกันว่า สงกรานต์คือความก้าวล่วงไปปีหนึ่งนั้น มันก้าวล่วงไปอย่างไร
ถ้าถือเอาตามพระพุทธภาษิตที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสไว้ มันก็ต้องก้าวล่วงไปด้วยความดับทุกข์ คือดับทุกข์ได้มากขึ้น เวลาล่วงไปปีหนึ่งๆ ก็ดับทุกข์ได้มากขึ้น ใกล้ความสิ้นสุดแห่งความทุกข์ยิ่งขึ้นไปทุกที เดี๋ยวนี้ใครกำลังเป็นอย่างไรก็ขอให้พิจารณาดูตัวเอง สอบสวนตัวเองดูให้ดีด้วยกันจงทุกคนเถิด
ให้พวกเราทั้งหลายมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติถูกต้อง ทุกๆ คนต้องรู้เป้าหมายของชีวิต ความเห็นถูกต้อง ความตั้งมั่นที่ถูกต้อง การประพฤติปฏิบัติของเราให้ถูกต้อง คำว่านิพพานเป็นความดับทุกข์ทางจิตใจดับทุกข์ทางวัตถุ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ชีวิตของเราก็จะดำเนินสู่ทางสายกลาง เป็นการพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราทุกคนต้องพากันยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะตัวตนนั้นคือความทุกข์ทางใจและความทุกข์ทางวัตถุ ความเห็นที่ไม่ถูกต้องความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องนั้นคือความทุกข์ คือการเอาตัวตนดำเนินชีวิต การยกเลิกตัวตนนั้นเป็นความสุข ศีลเป็นอุปกรณ์ที่ยกเลิกตัวตน ทุกคนต้องพากันรู้ความหมายในการรักษาศีลในการปฏิบัติศีล ศีลนั้นคือความดับทุกข์เป็นอุปกรณ์ของความดับทุกข์ เป็นยานนำเราไปสู่ความดับทุกข์ ทุกท่านทุกคนต้องรู้ความหมายของศีล ทุกคนต้องรู้การรักษาศีลนั้นเป็นไปเพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน ศีล เป็นทางดำเนินไปสู่มรรคผลนิพพาน สำหรับผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคล ที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ การรักษาศีลถึงเป็นความสุข เพราะความสุขนั้นอยู่ที่การยกเลิกตัวยกเลิกตน พระพุทธเจ้าให้เรารู้ความหมายอย่างนี้ การรักษาศีลเป็นความงดงามในเบื้องต้น เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน สมองของเราก็จะยกเลิกความสับสน ความสุขในเบื้องต้นของหมู่มวลมนุษย์คือต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องอย่างติดต่อต่อเนื่อง มีความสม่ำเสมอ สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิก็เกิดขึ้นแก่เราทุกคน ที่เป็นสมาธิแบบธรรมชาติไปในตัวเป็นขณิกสมาธิเป็นอุปจารสมาธิ หรือจะเข้าสมาธิที่ลึกก็จะถึงอัปปนาสมาธิ เข้าถึงนิโรธสมาบัติ นี้คือการยกเลิกตัวยกเลิกตน
ศีลสมาธิถึงเป็นตัวยกเลิกความทุกข์ ปัญญาสัมมาทิฏฐิ รู้ความจริงรู้สัจธรรมรู้กระบวนการแห่งการเวียนว่ายตายเกิด รู้ปฏิจจสมุปบาท เช่นพระอรหันต์ทุกรูปก็รู้อริยสัจ ๔ กันทุกรูป เพราะมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ ท่านยกเลิกตัวยกเลิกตนได้ 100% สำหรับผู้ที่ยังเป็นเสขะบุคคล สติสัมปชัญญะยังไม่สมบูรณ์ ก็ต้องพากันบำเพ็ญบารมีให้ติดต่อต่อเนื่อง ให้เป็นเหมือนแม่น้ำที่จะไหลลงสู่มหาสมุทร ในชีวิตประจำวันของเราต้องดำเนินชีวิตด้วยอริยมรรคมีองค์ ๘ ชีวิตของเราต้องดำเนินไปด้วยศีลสมาธิปัญญา มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม การที่เรามีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรมอย่างนี้ เรียกว่าอริยมรรค เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน ตัวตนไม่มีน่ะ เพราะตัวตนนี้คือความทุกข์ เราทุกคนก็ย่อมมีความสุขในการทำงานในการรักษาศีล ศีลถึงเป็นการเสียสละตัวตนได้ 100% การทำงานมีความสุขถึงเป็นการละตัวตนได้ 100% ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานในการรักษาศีล ก็คือเรามีตัวตน ทุกคนก็ย่อมฟุ้งซ่านไม่มีความสุขในการทำงาน แสดงถึงว่าเรามีตัวตน การที่เรายกเลิกตัวตนมีความสุขในการทำงานในการรักษาศีลในการประพฤติปฏิบัติธรรม เรียกว่าเป็นผู้รู้อริยสัจ ๔
เมื่อเรายกเลิกตัวตน ทุกคนก็จะรู้อริยสัจ ๔ ถ้าไม่ยกเลิกตัวตน เราก็จะไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่นำไปถึงความดับทุกข์ เพราะตัวตนนี้เองเป็นตัวทำร้ายตัวเอง คือไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติที่นำไปถึงความดับทุกข์ เมื่อมนุษย์มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีความสุขในการทำงานยกเลิกตัวตน ก็ย่อมได้รับความสะดวกสบายทางวัตถุทางเทคโนโลยี นี่แหละเป็นสิ่งสำคัญ เพราะทุกคนจะพากันติดในความสุขในความสะดวกสบาย เมื่อเราติด สติสัมปชัญญะของเราก็จะหายจะจางคลาย เราก็จะไม่มีสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงให้เราเจริญภาวนาวิปัสสนาให้ติดต่อต่อเนื่อง เราทุกคนจะได้มีสติสัมปชัญญะ ยกทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างมันไม่เที่ยงไม่แน่นอนไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกคนต้องมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พากันเข้มแข็งพากันเสียสละต้องผ่านด่านนี้ให้ได้เอาอาวุธคือพระไตรลักษณ์อนิจจังทุกขังอนัตตา อนิจจังคือความไม่แน่ ไม่เที่ยง ทุกขังคือทุกคนต้องมีความทุกข์แน่นอน อนัตตาคือสิ่งที่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ทุกๆ คนต้องพากันรู้อริยสัจ ๔ เราต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้อง มีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง เจริญสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์
ความสุขความทุกข์คืออาการของตัวตน ถ้าเราเอาความสุข ความทุกข์มันก็มีอยู่ในตัว ต้องอาศัยปัญญาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง นี้เป็นไฟท์ในการเดินทางของเรา เมื่อมนุษย์เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ก็มีความสุขทางจิตใจทางวัตถุ เราจะได้ไม่หลง ต้องยกทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ส่วนใหญ่ทุกคนมีตัวตน จะเอาแต่ความสุขความสงบ อย่างศาสนาทุกศาสนาพากันมาหลงในสวรรค์ในทางวิทยาศาสตร์ทางวัตถุในความสะดวกสบาย เรามาพัฒนาจิตใจของเราอยู่กับการทำงาน ใจของเราก็มีความสุข เลยพากันจบลงแค่ความสงบ ไม่ได้ต่อยอดสู่พระไตรลักษณ์ พากันเอาความสุขแต่ทางวัตถุ พากันไปได้แต่ระดับศีลกับสมาธิ แต่ไม่สมบูรณ์ด้วยปัญญา เพราะไม่ได้ภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกท่านทุกคนต้องก้าวผ่านไปให้ได้ด้วยสติสัมปชัญญะ พระพุทธเจ้าถึงสอนผู้ที่มาบวชในพระพุทธศาสนาให้พากันพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ พากันพิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ มีความสุขในการภาวนาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ทุกคนนั้นไม่ค่อยพิจารณาภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ เราเอาแต่ความสุขความสงบ สิ่งเหล่านี้ทำความเสียหายให้แก่พวกเราทุกๆ คน ตัวตนนี้แหละมันทำให้เราไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่ยอมเจริญสติสัมปชัญญะไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์
ให้ทุกคนพากันเข้าใจในความเป็นพระศาสนา ศาสนาคือความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ผู้ที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องนั่นแหละ คือพระศาสนา ก็เปรียบเสมือนอาหารนี่แหละ ผู้ที่บริโภคอาหารจะเป็นเชื้อชาติใด ศาสนาใด จะเป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาสญาติโยม เมื่อเราไปทานอาหาร มันก็ดับทุกข์ได้อิ่มท้องได้ เพราะความทุกข์มันก็เป็นของสากล ความดับทุกข์ก็เป็นของสากล ให้ทุกคนเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ ความเป็นพระออริยเจ้านั้นถึงเป็นไปได้ในทุกชาติศาสนาทั้งนักบวชฆราวาสญาติโยม ด้วยเหตุปัจจัยนี้พระพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ผู้เห็นภัยในวัฏสงสารเหล่านี้ พึงอยู่โดยชอบ โลกจะไม่พึงว่างจากพระอรหันต์ทั้งหลาย
เราจะได้เข้าใจสมมุติและเข้าใจในวิมุติความหลุดพ้น แต่ละคนได้รับการแต่งตั้งมีชื่อต่างๆ กัน และแต่งตั้งชื่อวัตถุต่างๆ นั้น ความหมายก็เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อเอาสมมุติมาใช้การใช้งานให้มันสะดวกสบาย เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย และต้องมีสัมมาทิฏฐิพัฒนาใจของตัวเองพัฒนาวัตถุ ปฏิบัติตามสมมติให้ถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะได้เดินทางสายกลาง เอาสมมุติมาใช้เป็นยานสู่มรรคผลพระนิพพานคือความดับทุกข์ทางใจทางวัตถุไปพร้อมๆกันเรียกว่าทางสายกลาง การแต่งตั้งเพื่อให้เราได้มาเสียสละ ปฏิบัติตามธรรมะให้ถูกต้อง นี้คือธรรมะ เวลานั้นมีอยู่ ๒๔ ชั่วโมง หมู่มวลมนุษย์ก็ให้พากันนอนหลับให้สนิทสัก ๖ ชั่วโมงเต็มๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ให้พากันนอนหลับสนิท ๖ ชั่วโมง เวลาเราตื่นอยู่มันก็ ๑๘ ชั่วโมง ก็ต้องมีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม นั่นแหละคือทางสายกลาง หมู่มวลมนุษย์จะได้เข้าถึงความดับทุกข์ทั้งทางกายทางใจและทางวัตถุ เมื่อเรายกเลิกตัวตนนี้แหละ คือการไม่แบกอวิชชาความหลง เราจะได้มีอริยทรัพย์มีความสุขทางจิตใจ มีทรัพย์ภายนอกที่อำนวยความสะดวกสบาย มีบ้านอย่างดี มีรถอย่างดี อำนวยความสะดวกสบายและรู้อริยสัจ ๔ ไปด้วยกัน มันเป็นพุทธะทางจิตใจ มันเป็นความสุขความสงบเย็นเป็นพระนิพพาน เป็น air condition ของหมู่มวลมนุษย์ เราเอาตัวตนมันแก้ไขปัญหาได้อย่างไร เอาตัวตนมันแก้ปัญหาไม่ได้
ทุกๆ คนต้องมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง ทุกคนต้องมาแก้ไขที่ตัวเอง ไม่ใช่ไปแก้ไขที่คนอื่น ตัวตนนั่นแหละคือความหลงคือนายทุนคือสีดำสีเทา ตัวตนนั่นแหละมันทำให้เราเป็นข้าราชการไม่ได้ เป็นนักการเมืองไม่ได้ เป็นพ่อเป็นแม่ไม่ได้ เป็นครูบาอาจารย์ไม่ได้ ตัวตนนั่นแหละคือมิจฉาทิฏฐิ ตัวตนนั่นแหละคืออบายมุขอบายภูมิ ทุกคนต้องพากันรู้จักความจริงทั้งทางจิตใจและวัตถุ ให้ทุกคนแก้ไขตัวเองปฏิบัติตัวเองมีความสุข เราทุกคนต้องตั้งเป้าหมายไว้ในหนทางอันประเสริฐคืออริยมรรค คือความงามในเบื้องต้นคือศีล งามในท่ามกลางคือสมาธิ งามในที่สุดคือปัญญา รู้อริยสัจ ๔ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่างมากก็ได้แค่ความสุขที่จิตใจของเรามีความหลงต่างหาก อย่างนี้มันเป็นการขุดหลุมพรางไปในตัวรอฝังตัวเองอยู่แล้ว เพราะมันไม่รู้อริยสัจ ๔ มันเป็นการขุดหลุมฝังตัวเอง เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ท่านจะไปโปรดใครบ้าง ก็เลยนึกถึงท่านอาจารย์ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร และอุทกดาบสรามบุตร ผู้เคยเป็นครูของพระผู้มีพระภาคเจ้าของเรา ในสมัยที่พระพุทธองค์กำลังแสวงหาโมกขธรรม เมื่อพระบรมโพธิสัตว์ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว หลังจากได้รับการอาราธนาจากท้าวสหัมบดีพรหม พระองค์ทรงดำริที่จะโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้รับรสอมตธรรมเห็นแจ้งในพระนิพพานตามพระองค์ ทรงดำริว่า “ตถาคตจักไปแสดงพระสัทธรรมโปรดผู้ใดก่อน ใครหนอจะมีปัญญาหยั่งรู้โลกุตตรธรรม อันแสนจะสุขุมลุ่มลึกได้โดยฉับพลัน”
พระพุทธองค์ทรงพิจารณาเห็นว่า “ท่านอาฬารดาบสกาลามโคตรผู้เคยเป็นครู เป็นบัณฑิตชาติ ทั้งมีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเฉียบแหลม เป็นนักปราชญ์มีธุลีคือกิเลสเบาบาง ควรที่จะไปแสดงธรรมโปรดดาบสนั้นก่อน” แต่เมื่อพระองค์ทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุ ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอาจารย์ได้ละโลกไปได้ ๗ วันแล้ว บัดนี้ไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษอยู่ที่อากิญจัญญายตนภูมิ คือ อรูปพรหมโลกชั้นที่ ๓ ซึ่งมีอายุยืนนานถึง ๖๐,๐๐๐ มหากัป กำลังเสวยฌานสุขอยู่ในที่นั่นเสียแล้ว” ครั้นทรงสอดส่องด้วยธรรมจักษุญาณอย่างแจ้งประจักษ์ชัดเช่นนี้ จึงทรงมีพุทธดำริต่อไปอีกว่า “น่าเสียดายท่านอาฬารดาบสกาลามโคตร ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสัก ๗ วัน ได้สดับพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย” จากนั้น พระองค์ทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุต่อไปว่า มีใครหนอที่สามารถตรัสรู้มรรคผลได้โดยฉับพลัน ทรงดำริถึงท่านอุทกดาบสรามบุตรว่า “ครูของตถาคตอีกผู้หนึ่งซึ่งมีนามว่าอุทกดาบสรามบุตร ก็เป็นนักปราชญ์ชาติมหาเมธาวี มีอวิชชาเบาบาง ควรที่ตถาคตจะไปแสดงพระสัทธรรมเทศนาโปรดดาบสนั้นก่อน” ขณะนั้นเอง เทวดาองค์หนึ่งมากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้วิสุทธิ์ บัดนี้ดาบสผู้เคยเป็นครูของพระองค์ ดับขันธ์ไปเสียแล้ว เมื่อเวลาพลบค่ำนี้เอง” พระองค์สดับดังนั้น จึงทรงส่องพระญาณไป ก็ทรงเห็นแจ้งประจักษ์ว่า “ท่านอุทกดาบสรามบุตรนั้น ได้ละโลกในเวลาพลบค่ำตามคำบอกของเทวดา และบัดนี้ได้ขึ้นไปอุบัติเป็นอรูปพรหมผู้วิเศษที่เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ คืออรูปพรหมชั้นที่ ๔ มีอายุยืนถึง ๘๔,๐๐๐ มหากัป กำลังสถิตเสวยสุขอยู่ในนั้น และเข้าใจว่านี่คือที่สุดของการเวียนว่ายตายเกิดแล้ว”
ครั้นทรงตรวจดูด้วยพุทธจักษุ และเห็นเช่นนั้นแล้ว ก็ทรงมีพุทธดำริว่า “ฉิบหายใหญ่แล้ว น่าเสียดายจริงหนอ ท่านอุทกดาบสรามบุตรผู้เป็นครูของตถาคตนี้ ถ้ามีชีวิตคอยท่าตถาคตอยู่อีกสักหน่อย ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนา ก็จะพลันบรรลุธรรมาภิสมัย มีพระนิพพานเป็นที่ไปอย่างแน่นอน”
บุรพาจารย์ทั้งสองท่านนี้ นับว่าเป็นบุคคลผู้พลาดโอกาสอย่างใหญ่หลวง แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลกแล้ว แต่ท่านก็มาละสังขารไปเสียก่อน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หมดกิเลส เพราะเหตุที่อรูปฌานไม่เป็นนิยยานิกธรรม คือไม่เป็นธรรมสามารถนำสัตว์ออกจากทุกข์ในวัฏสงสารได้ จึงยังเป็นชนภายนอกพระพุทธศาสนา และเสื่อมสูญจากอุดมประโยชน์คือมรรคผลนิพพาน เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทรงรำพึงดังที่กล่าวมานั่นแหละ
ถ้าเราเอาแต่สมาธิมันก็คือความเสียหาย เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เหมือนที่หลวงตามหาบัวท่านเล่าว่าท่านเคยติดสมาธิคิดว่าความสงบคือพระนิพพานหลงสมาธิเป็น ๑๐ ปี หลวงปู่มั่นบอกก็ไม่เชื่อ เมื่อหลงก็ไม่ยอมพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ตัวตนนั่นแหละคือความเสื่อม เมื่อพลังแห่งสมาธิมันอ่อนมันตก พอเจอรูปเสียงกินรสสัมผัสต่างๆ มันก็ยิ่งกว่าถูกฟ้าผ่าเสียอีก ตัวตนนั้นมันเป็นได้แต่สมมติคือการแต่งตั้ง เนื้อแท้จริงๆ ไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน มันเป็นธรรมเป็นสภาวะธรรม พระพุทธเจ้าให้เรามายกเลิกตัวตน ถึงเป็นความรู้ในสภาวะธรรม ความเย็นร้อนอ่อนแข็งหย่อนตึง มันเป็นแค่สภาวะธรรม เมื่อเรามีศีลสมาธิปัญญา จะทำให้เรารู้กฎพระไตรลักษณ์ ให้ทุกคนมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องนี้แหละ มีความสุขในการรักษาศีลปฏิบัติธรรม ถ้าเรามีตัวตนนี้ มันไม่ได้มีความสุขหรอก มีแต่ความหลง เราต้องมีปัญญาสัมมาทิฏฐิ จะได้บอกสอนตัวเองได้ ให้ใจเข้มแข็ง มีสติสัมปชัญญะ ความดับทุกข์ของหมู่มวลมนุษย์ต้องควบคุมด้วยศีลสมาธิปัญญา สำหรับบุคคลที่ยังเป็นเสขะบุคคล ต้องอาศัยศีลสมาธิปัญญา เพื่อหยุดความฟุ้งซ่านของเราทุกคน
เมื่อเรามีความเห็นไม่ถูกต้องมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง การดำเนินชีวิตของเราถึงได้เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิต ไม่ได้ตั้งเป้าหมายพระนิพพานไว้เป็นจุดยืน การยกเลิกตัวตนอย่างแน่วแน่ เอาศีลสมาธิปัญญา เอาความเป็นพุทธะ เป็นเครื่องยกเลิกตัวตน เราทุกคนจะได้ไม่หลงผัสสะไม่หลงอารมณ์ ผัสสะที่มันเกิดขึ้นทางตาหูจมูกลิ้นกายใจ นั่นคือข้อสอบของเรา และคำตอบของเราด้วยให้ใจของเราเป็นพุทธะ คือเอาความเป็นพุทธะมาซักฟอกทำความสะอาด สิ่งภายนอกที่มันสกปรกก็ซักฟอกด้วยผงซักฟอกด้วยวัตถุต่างๆ ได้ จิตใจของเราก็ต้องซักฟอกด้วยพระไตรลักษณ์ เพื่อจะเป็นข้อสอบข้อปฏิบัติของทุกๆ คน จึงต้องมีสติสัมปชัญญะให้สมบูรณ์ อย่างเวลาจะเป็นเวลาของดวงอาทิตย์หรือนาฬิกา เราก็ต้องปรับตัวเข้าหาเวลาให้ถูกต้อง ใจของเราทุกๆ คนต้องชะล้างให้สะอาดด้วยพระไตรลักษณ์ ต้องชะล้างด้วยศีลสมาธิปัญญา ต้องมีสติสัมปชัญญะทุกคนต้องพากันมาจัดการตนเอง เมื่อเราจัดการตนเองไม่ได้ ก็จะไปจัดการคนอื่นไม่ได้ อย่างเขามีฮีตเตอร์ก็เพื่อจัดการความเย็น เขามีแอร์ก็เพื่อกำจัดความร้อน ใจของเราก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องมีการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้อง มายกเลิกตัวตน เราถึงจะจัดการจิตใจของเราได้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee