แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันเสาร์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๔๒ มองเห็นเทวทูตในชีวิตประจำวัน อันเป็นสัญญาณเตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิตไม่ให้ประมาท
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกท่านพากันเข้าใจ การมาตรัสรู้ขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้า คือการมายกเลิกตัวยกเลิกตน มายกเลิกทาส ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ มาปฏิบัติใจ มาปฏิบัติวัตถุไปพร้อมๆ กัน ให้เป็นทางสายกลาง ผู้ที่มาบวช ผู้ที่มาปฏิบัติธรรม ก็ต้องพากันเข้าใจ ผู้ที่ไม่ได้มาบวชอยู่ที่วัด ผู้ที่ไม่ได้มาปฏิบัติธรรมที่วัด ก็ต้องพากันเข้าใจ เราจะอยู่ที่วัดเราจะอยู่ที่บ้านอยู่ที่ทำงาน เราทุกคนก็ปฏิบัติได้พอๆ กัน เพราะการประพฤติการปฏิบัติ เรามีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เหมือนคนเรารู้เรื่องอาหาร รู้เรื่องการรับประทานอาหาร เมื่อเรารู้เรื่องอาหาร รู้เรื่องการรับประทานอาหาร เราอยู่ที่ไหนก็ทานอาหารได้เหมือนกัน ไม่เลือกกาล ไม่เลือกสถานที่ ความเป็นพุทธะของพระพุทธเจ้า ท่านมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมีการปฏิบัติถูกต้อง ด้วยการยกเลิกธาตุยกเลิกขันธ์ ยกเลิกตัวยกเลิกตน ท่านได้ปฏิบัติอย่างนี้นะ
การปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องอย่างนี้ ให้ทุกคนพากันเข้าใจ เราทุกคนได้เห็นพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เราทุกคนได้เห็นพระอรหันต์เป็นตัวอย่างแบบอย่าง พวกเราก็พากันปฏิบัติอย่างนั้น เราจะไปปฏิบัติอย่างอื่นไม่ได้ เมื่อก่อนเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดเราได้พากันประพฤติปฏิบัติผิด เราเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง จะทำอะไรคิดอะไรก็เพื่อตัวเพื่อตน การประพฤติการปฏิบัติเพื่อตัวเพื่อตนนั้น มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนต้องมายกเลิกทาส ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ ที่ทุกคนที่มีความรู้สึกว่า เป็นเราเป็นของเรา ใจเราทุกคนต้องมีปัญญา มีพุทธะ เพราะตัวตนนี้มันเป็นวัฏสงสาร มันเป็นกระบวนการของปฏิจจสมุปบาทในทางการเวียนว่ายตายเกิด ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ การเรียน การศึกษาของเราตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก เพื่อมีสัมมาทิฏฐิ เพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อสร้างเหตุสร้างปัจจัยให้ถูกต้อง เป็นไปเพื่อความไม่มีทุกข์ทางใจ ความไม่มีทุกทางกาย ในการใช้สอยอำนวยความสะดวกสบายทางวัตถุ พากันมารู้เรื่องจิตใจมารู้อริยสัจ ๔ มารู้ทุกข์ทางร่างกาย ร่างกายของเราทุกคนเป็นทุกข์ อยู่ได้ด้วยเหตุ ด้วยปัจจัย มีความเกิดขึ้นตั้งอยู่และก็ดับไป สิ่งเก่าผ่านไปสิ่งใหม่ก็มาสนับสนุน ความเกิดความแก่ความเจ็บความตาย เป็นปัจจุบันขณะ เป็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดกาล อยู่ตลอดเวลา ที่มันเป็นทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป เพราะร่างกายเขาก็เป็นของเขาอยู่อย่างนี้ เขาจะมีความทุกข์ของเขาอยู่ตลอดกาล ไม่ว่าเด็ก ไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนแก่ ไม่ว่าคนเฒ่า สมณะชีพราหมณ์ ร่างกายก็จะมีความทุกข์อยู่อย่างนี้
ใจของเราต้องมีปัญญา ใจของเราต้องรู้เรื่องทางร่างกาย ร่างกายของเรามันเป็นทุกข์อย่างนี้ มันมีแต่ทุกข์ มีแต่ตั้งอยู่ มีแต่ดับไป เราทุกคนต้องมีภาระมีหน้าที่ ที่จะต้องดูแลร่างกาย รับภาระในร่างกายของตัวเอง จิตใจของเราต้องรู้อริยสัจ ๔ ต้องรู้เรื่องของกาย เมื่อมันมีแต่ทุกข์เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์ดับไป พระพุทธเจ้าท่านพาพวกเราเห็นภัยในวัฏสงสาร ทุกข์เป็นสิ่งที่เราจะต้องรู้จัก เมื่อรู้จักแล้ว เราก็ไม่ต้องไปแก้ไขหรอก เพราะทุกข์ทางร่างกายเราแก้ไม่ได้ การทานอาหารการพักผ่อนการเปลี่ยนอิริยาบถ เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาไม่ได้ เป็นเพียงบรรเทาทุกข์เฉยๆ การที่เราทานอาหาร ที่เรามี ที่เราพักผ่อน มีบ้าน มีรถ มีสิ่งที่อำนวยความสะดวกสบาย มันแก้ความทุกข์ถาวรไม่ได้ มันเป็นการบรรเทาทุกข์เฉยๆ อาหารทุกอย่างที่เข้าไปในร่างกาย ถึงจะเป็นสิ่งที่บรรเทาทุกข์ จะเป็นอาหารหลัก เป็นอาหารเบา เป็นยารักษาโรค สิ่งเหล่านี้มันก็เป็นเพียงสิ่งบรรเทาทุกข์ ที่ทุกข์ทางกายมันแก้ไขไม่ได้ แก้ได้ก็เป็นแต่เพียงบรรเทาทุกข์
พระพุทธเจ้าถึงให้พวกเรามีสติมีสัมปชัญญะ ในการใช้สุขภาพร่างกาย ใช้ร่างกายที่เราบริโภคปัจจัย ๔ นี้ ด้วยมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี้ เป็นเพียงบรรเทาทุกข์ เราต้องปฏิบัติต่อธาตุ ต่อขันธ์ ต่ออายตนะ ของเราทุกคนจนสิ้นอายุขัย พระพุทธเจ้าถึงให้เราพิจารณาว่ามีความแก่ ความเจ็บ ความตาย มีความพลัดพราก เป็นธรรมดา อันนี้ไม่ใช่เรื่องพิเศษ ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง รู้อริยสัจ ๔ ของร่างกายอย่างนี้ เราทุกคนต้องพากันมีความสุขที่อยู่กับผัสสะ เอาผัสสะที่เป็นข้อสอบ เอาพุทธะเป็นข้อตอบ ทุกคนจะได้มีความสุขกับความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เพราะสิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องธรรมดาของสังขารร่างกาย พระพุทธเจ้าถึงให้เราทุกคนมายกเลิกตัวยกเลิกตน ด้วยความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติใจของเราให้ถูกต้อง
ทุกๆ คนต้องพากันดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เราทุกคนต้องพากันมานอนหลับสนิทให้สมองเราได้พักผ่อนสัก ๖ ชม.สำหรับสามัญชน สำหรับพระพุทธเจ้า ๔ ชม. เวลาเราตื่นอยู่นั้นเราก็ต้องมีความสุขในการรู้อริยสัจ ๔ รู้เรื่องทางกาย รู้เรื่องจิตเรื่องใจ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ สำหรับเราที่ยังเป็นเสขะบุคคลอยู่ คือบุคคลที่ยังไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะสมบูรณ์ เพราะความเคยชินของเรามันสั่งสมมานาน หลายภพหลายชาติ เป็นอเนกชาติ ต้องพากันมาเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ มาประพฤติมาปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ามาประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์หมายถึงยกเลิกตัวตน ตัวตนนั้นคือภพคือชาติ เป็นนักบวชก็ยกเลิกตัวตน เป็นฆราวาสก็ยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน ที่เรามีความทุกข์ให้เราเข้าใจอย่างนี้แหละ ดัชนีความสุขของเราก็จะเพิ่มขึ้น การสับสนทางสมองมันก็จะหยุดลง สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอเสขะบุคคลนั้น ละด้วยการประพฤติการปฏิบัติ อบรมบ่มอินทรีย์ ความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดของเรามันเตียนโล่ง เป็นซุปเปอร์ไฮเวย์ มันรวดเร็วว่องไวยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ให้ทุกท่านพากันเข้าใจ
เราทุกคนต้องมีความสุขที่สุดในการทำงาน งานคือความสุข งานคือเราได้ยกเลิกตัวตน คนเรามีตัวตนมันไม่อยากทำงาน แม้หายใจมันก็ไม่อยากหายใจ มันขี้เกียจ งานภายนอกก็ให้มีความสุขในการกระทำ งานในใจของเราทุกคน ก็พากันฝึกประพฤติปฏิบัติ ให้เราเอาผัสสะตาหูจมูกลิ้นกายใจ น้อมสู่พระไตรลักษณ์ เรามีตัวมีตน เราทุกคนก็ไม่อยากภาวนาพิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ การภาวนาถึงไม่ติดต่อต่อเนื่อง เพราะความมีตัวมีตน มันไม่อยากภาวนาพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ตัวตนมันไม่อยากพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ศาสนาทุกศาสนาที่ยังไม่เป็นพุทธะ ก็จะเอาแต่เพียงความสงบ ไม่อยากพิจารณาสภาวะธรรมสู่พระไตรลักษณ์ ตัวตนเป็นของอร่อยมาก เป็นของแซ่บมาก เป็นของลำมาก เป็นของนัวมาก เป็นของหรอยมาก ให้เราเข้าใจ
เราทุกคนต้องมีสติ มีความสงบ มีสัมปชัญญะ พากันยกเลิกตัวตน พากันมีความสุขในการปฏิบัติ มีความสุขในการทำงานพร้อมกัน สมัยโบราณ เขาอาศัยดวงอาทิตย์ อาศัยดวงจันทร์ เพื่อใช้เป็นนาฬิกาบอกเวลา สมัยปัจจุบันเขาได้พัฒนานาฬิกา เพื่อให้ทุกคนปรับเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา จะได้คอนโทรลตัวเอง จะได้มีสติมีสัมปชัญญะ จะได้มีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ทุกคนจะได้หยุดความทุกข์หยุดความฟุ้งซ่าน เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านมีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ท่านก็ทรงบรรทมวันหนึ่งก็เพียง ๔ ชั่วโมง ๒๐ ชั่วโมง ท่านมีความสุขในการยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำงาน ดูท่านจะมีความสุขมีความดับทุกข์ เพราะตั้งแต่ตรัสรู้จนเข้าสู่ดับขันธ์สู่ปรินิพพาน ท่านมีความสุขในการดับทุกข์อยู่ตลอดกาล ตลอดเวลา เพราะท่านรู้ความจริงในเรื่องของกาย รู้ความจริงในเรื่องของใจ ท่านเป็นพุทธะทางจิตใจ และท่านเป็นพุทธะทางวัตถุ บอกให้พัฒนาวัตถุและพัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน ทำอย่างนี้ถึงจะดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ เมื่อเราเอาตัว เอาตนเป็นที่ตั้ง มันก็มีแต่เรื่องผิดเรื่องถูกเรื่องดีเรื่องชั่วอย่างนี้แหละ เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เราก็จะพากันไปแก้สิ่งที่ไปแก้ไม่ได้ มันจะแก้ได้ยังไง ร่างกายเขาก็แก่ก็เจ็บก็ตายก็พลัดพรากอย่างนี้ เปลี่ยนไปทุกลมหายใจทุกอิริยาบถ มันก็เพียงทุกข์ตั้งอยู่ ทุกข์ดับไป แก้ไขไม่ได้
ทุกคนต้องมองเห็นเทวทูต เทวทูต ในที่นี้หมายถึงสื่อเเจ้งข่าวมฤตยู เป็นสัญญาณเตือนให้ระลึกถึงคติธรรมดาของชีวิตไม่ให้ประมาท ได้แก่ ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ปรากฎเสมือนเทวดาทรงเครื่องมาประทับยืนในอากาศเตือนว่า "วันโน้นท่านจะตาย" พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เทวทูต ๓ จำพวกนี้ ๓ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตทางกาย ประพฤติทุจริตทางวาจา ประพฤติทุจริตทางใจ เมื่อแตกกายตายไป ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เขาย่อมถูกนายนิรยบาลฉุดแขนไปแสดงต่อพระยายมว่า ขอเดชะ ชายผู้นี้เป็นคนไม่เกื้อกูลแก่มารดา ไม่เกื้อกูลแก่บิดา ไม่เกื้อกูลแก่สมณะ ไม่เกื้อกูลแก่พราหมณ์ ไม่อ่อนน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในสกุล ขอพระองค์จงลงอาชญาแก่ชายผู้นี้เถิด เขาย่อมถูกพระยายมสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๑ ว่า ดูกรพ่อ เจ้าไม่ได้พบเทวทูตที่หนึ่งซึ่งปรากฏในหมู่มนุษย์หรือ? เขาได้ตอบว่า ไม่พบ พระเจ้าข้า, พระยายมจึงได้ถามเขาต่อไปว่า ดูกรพ่อ สตรีหรือบุรุษมีอายุได้ ๘๐ ปี ๙๐ ปี หรือ ๑๐๐ ปีก็ดี อันเป็นคนชรา มีโครงคดเหมือนกลอน หลังโกง ถือไม้เท้า เดินงกๆ เงิ่นๆ ผ่านความเป็นหนุ่มสาวแล้ว ฟันหัก ผมหงอก ศีรษะล้าน หนังเหี่ยว ตัวตกกระ เจ้าไม่ได้พบในพวกมนุษย์บ้างหรือ? ชายนั้นได้ตอบว่า ได้พบ พระเจ้าข้า, พระยายมจึงถามต่อไปว่า ดูกรพ่อ เจ้าซึ่งเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ไม่ได้คิดเห็นเช่นนี้บ้างหรือว่า แม้เราก็จักต้องมีความแก่เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ผิฉะนั้น เราจักทำความดีทางกายวาจาใจ ชายนั้นตอบว่า ไม่อาจที่จะคิดเห็นได้เช่นนั้น เพราะมัวประมาทเสีย
พระยายมได้พูดกะเขาเช่นนี้ว่า ดูกรพ่อ เจ้าไม่ทำความดีทาง กาย วาจา ใจ เพราะมัวประมาทเสีย ดีละ เจ้าจักถูกทำจนสาสมกับที่ท่านประมาท ก็กรรมชั่วนี้นั้นมารดามิได้ทำให้ บิดามิได้ทำให้ พี่ชายน้องชายมิได้ทำให้ พี่สาวน้องสาวมิได้ทำให้ มิตรอำมาตย์มิได้ทำให้ ญาติสาโลหิตมิได้ทำให้ เทพยดามิได้ทำให้ สมณพราหมณ์มิได้ทำให้ ท่านทำของท่านเอง ท่านนั่นแหละจักเสวยวิบากของกรรมชั่วนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๑ กะผู้นั้นแล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๒ ต่อไปว่า ดูกรพ่อ เจ้าไม่ได้พบเทวทูตที่สองซึ่งปรากฏในหมู่มนุษย์บ้างหรือ? เขาได้ตอบว่า ไม่พบพระเจ้าข้า พระยายมจึงได้ถามต่อไปว่า ดูกรพ่อ สตรีหรือบุรุษที่ป่วย ได้ทุกข์เป็นไข้หนัก นอนจมอยู่ในมูตรคูถของตน อันคนอื่นต้องช่วยพยุงลุก ช่วยป้อนอาหาร ท่านไม่ได้พบในพวกมนุษย์บ้างดอกหรือ? ชายนั้นได้ตอบว่า ได้พบพระเจ้าข้า
พระยายมจึงถามต่อไปว่า ดูกรพ่อ เจ้านั้นซึ่งเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดเห็นเช่นนี้บ้างหรือว่า แม้ตัวเราก็จักต้องป่วยไข้เป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความป่วยไข้ไปได้ ผิฉะนั้น เราจักทำความดีทางกายวาจาใจ เขาตอบว่า ไม่อาจที่จะคิดเห็นได้เช่นนั้น เพราะมัวประมาทเสีย
พระยายมได้พูดกะเขาเช่นนี้ว่า ดูกรพ่อ เจ้าไม่ทำความดีทางกายวาจาใจ เพราะมัวประมาทเสีย ดีละ เจ้าจักถูกทำจนสาสมกับที่ท่านประมาท ... ท่านทำของท่านเอง ท่านนั่นแหละจักเสวยวิบากกรรมชั่วนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๒ กะบุคคลนั้นแล้ว จึงสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่สามต่อไปว่า ดูกรพ่อ เจ้าไม่ได้พบเทวทูตที่ ๓ ซึ่งปรากฏในพวกมนุษย์บ้างหรือ? เขาตอบว่า ไม่พบ พระเจ้าข้า, พระยายมจึงถามต่อไปว่า ดูกรพ่อ สตรีหรือบุรุษที่ตายได้วันหนึ่ง สองวัน หรือสามวันก็ดี ขึ้นพองเป็นสีเขียว ชุ่มด้วยน้ำเหลือง ท่านไม่ได้พบในพวกมนุษย์บ้างหรือ ชายนั้นได้ตอบว่า ได้พบ พระเจ้าข้า
พระยายมจึงถามต่อไปว่า ดูกรพ่อ เจ้านั้นซึ่งเป็นผู้รู้เดียงสา เป็นผู้ใหญ่ ไม่ได้คิดเห็นเช่นนี้บ้างหรือว่า แม้เราก็จะต้องมีความตายเป็นธรรมดา ไม่ล่วงพ้นความตายไปได้ ผิฉะนั้น เราจักทำความดีทางกาย วาจา ใจ เขาตอบว่า ไม่อาจที่จะคิดเห็นได้เช่นนั้น เพราะมัวประมาทเสีย พระยายมได้พูดกะเขาเช่นนี้ว่า ดูกรพ่อ เจ้าไม่ทำความดีทางกาย วาจา ใจ เพราะมัวประมาทเสีย ดีละ จ้าจักถูกทำจนสาสมกับที่ท่านประมาท อันบาปกรรมนี้นั้น มารดามิได้ทำให้ บิดามิได้ทำให้ พี่ชายน้องชายมิได้ทำให้ พี่สาวน้องสาวมิได้ทำให้ มิตรอำมาตย์มิได้ทำให้ ญาติสาโลหิตมิได้ทำให้เทพยดามิได้ทำให้ สมณพราหมณ์มิได้ทำให้ ท่านทำของท่านเอง ท่านนั่นแหละจักเสวยวิบากกรรมชั่วนั้นเอง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระยายมครั้นสอบสวนซักไซ้ไล่เลียงถึงเทวทูตที่ ๓ กะบุคคลนั้นดังนี้แล้ว ก็นิ่งเสีย ผู้นั้นถูกนายนิรยบาลทั้งหลายทำกรรมกรณ์ อันมีเครื่องผูก ๕ อย่าง คือ เอาตาปูเหล็กแดงตอกที่มือ ที่เท้าที่ท่ามกลางอก เขาได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อน แต่ก็ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น เขาถูกนายนิรยบาลทั้งหลายเอาผึ่งถาก เขาได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อน แต่ก็ยังไม่ตายตราบเท่าที่กรรมนั้นยังไม่สิ้น เขาถูกนายนิรยบาลจับเอาเท้าขึ้นเอาหัวลงแล้วเอามีดเฉือน เขาถูกนายนิรยบาลยกขึ้นใส่ในรถ แล้วพาแล่นไปมาบนภูมิภาคอันไฟติดแดงลุกโชน ... เขาถูกนายนิรยบาลไล่ต้อนให้ขึ้นบนภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ซึ่งไฟติดแดงลุกโชนบ้าง ไล่ต้อนให้ลงจากภูเขาถ่านเพลิงลูกใหญ่ ซึ่งไฟติดแดงลุกโชนบ้าง เขาถูกนายนิรยบาลทั้งหลายจับเอาเท้าขึ้นเอาหัวลง แล้วโยนลงในหม้อเหล็กแดงไฟติดลุกโชน เขาถูกไฟไหม้เดือดเป็นฟองน้ำอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้น เมื่อเขาถูกไฟไหม้เดือดเป็นฟองน้ำอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้น ลอยขึ้นข้างบนครั้งหนึ่งบ้าง จมลงภายใต้ครั้งหนึ่งบ้าง ไปตามขวางครั้งหนึ่งบ้าง เขาได้เสวยทุกขเวทนาอันกล้าแสบเผ็ดร้อนอยู่ในหม้อเหล็กแดงนั้น แต่ยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่สิ้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มหานรกนั้นมี ๔ มุม ๔ ประตู จัดแบ่งออกเป็นห้องๆ มีกำแพงเหล็กล้อมรอบ ครอบด้วยฝาเหล็กแดง มีพื้นแล้วด้วยเหล็ก ไฟลุกโชนประกอบด้วยเปลว แผ่ไปไกลร้อยโยชน์โดยรอบตั้งอยู่ทุกเมื่อ ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว พระยายมได้มีความคิดว่า ดูกรท่านผู้เจริญ ได้ทราบว่าผู้ใดกระทำบาปกรรมไว้ในโลก ผู้นั้นต้องถูกนายนิรยบาลทำกรรมกรณ์ต่างๆ เห็นปานนี้ โอหนอ เราพึงได้ความเป็นมนุษย์ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพึงเสด็จอุบัติขึ้นในโลก ขอให้เราได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ขอให้พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นพึงทรงแสดงธรรม และขอให้เราพึงรู้ทั่วถึงธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เรามิได้ฟังข้อความนั้นต่อสมณะหรือพราหมณ์อื่น แล้วจึงกล่าวอย่างนี้ แต่ว่าเราได้รู้มาเอง เห็นมาเอง ทราบมาเอง จึงได้กล่าวดังนั้น ฯ
มาณพเหล่าใดอันเทวทูตทั้งหลายตักเตือนแล้ว ยังมัวเมาประมาท มาณพเหล่านั้น เป็นคนเข้าถึงหมู่ที่เลวทรามย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน ส่วนสัตบุรุษผู้สงบระงับในโลกนี้ อันเทวทูตตักเตือนแล้ว ย่อมไม่มัวเมาประมาทในอริยธรรมในกาลไหนๆ เห็นภัยในความยึดมั่นถือมั่น อันเป็นแดนเกิดแห่งชาติและมรณะ ย่อมหลุดพ้นในธรรมเป็นที่สิ้นชาติและมรณะ เพราะไม่ถือมั่น สัตบุรุษเหล่านั้นเป็นผู้ถึงความเกษม มีความสุข ดับสนิทในปัจจุบัน ล่วงพ้นเวรและภัยทั้งปวง ข้ามพ้นทุกข์ทั้งสิ้น ฯ
เรายอมรับความจริงว่า เรามีความเกิดเป็นธรรมดา มีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา มีความพลัดพรากเป็นธรรมดา เราต้องมีความเห็นความเข้าใจมายกเลิกความคิดเห็นผิด ที่เอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณมาเป็นเราเป็นของเรา เพราะอันนี้ไม่เป็นเรา เรามองไปทางซ้ายทางขวา ล้วนแต่เห็นผู้คนอยู่ในชุมชน ล้วนเห็นแต่คนแก่คนเฒ่าคนหนุ่มคนสาวคนวัยกลางคนคนเฒ่าชรา นั่นน่ะถือว่าเป็นปรากฏการณ์ว่า ทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตั ไม่ใช่ตน เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันรู้ไม่ได้ เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง มันจะรู้ได้ยังไง ตัวตนคือไม่รู้ความจริง ไม่รู้อริยสัจ ๔ จะเอาแต่ความสงบ มีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด พากันเอาสมาธิเป็นนิพพานกัน คิดว่าจิตใจสงบก็เพียงพอแล้วจะเอาอะไรอีก แล้วไม่รู้เรื่องสัจธรรม ไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ ไม่รู้เรื่องความจริง มันเลยเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ได้ จะเอาแต่ความสงบ ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายก็ไม่อยากภาวนารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ พากันเอาแต่ความสงบ ความสงบก็เหมือนหินทับหญ้า ออกจากสมาธิเมื่อไหร่ รูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญก็ซัดเรายิ่งกว่าถูกฟ้าผ่าอีก
ทุกคนพากันเข้าใจ พากันมีความสุขในการทำงานให้ได้ มีความสุขในการปฏิบัติธรรมให้ได้ ตัวตนของเรามันทำให้เราฟุ้งซ่าน ตัวตนมันฉายแสงออกไปข้างนอก เราดูตัวอย่างแบบอย่างที่เห็นกันง่ายๆ ตั้งแต่เด็ก ๑ ขวบ ๒ ขวบ จนถึงอากงอาม่าพากันเล่นโทรศัพท์ ไลน์โทรศัพท์ พระเจ้าพระสงฆ์ก็ไม่ยกเว้น เพราะความฟุ้งซ่าน ความหลงมันครองใจของเราทุกคน ไม่ยกเว้นใคร ไม่ปราณีใคร ท่านถึงบอกว่า เอ้ย...ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายต้องยกเลิกสิ่งเหล่านี้ เราทำอะไรให้มีความสุข อย่าฟุ้งซ่าน มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรม ความหลงของพวกเรามันครองใจด้วยนิวรณ์ทั้ง ๕ ความชอบความชัง ความฟุ้งซ่าน ง่วงเหงาหาวนอน วิจิกิจฉาลังเลสงสัยต่างๆ ล้วนแต่เป็นอาการของตัวของตนที่มันฉายแสงออกมา เราทุกคนกลับมามองดูตัวเองนะว่า ตัวเองมันถูกครอบงำด้วยอวิชชาด้วยความหลงหรือเปล่า ทุกคนต้องพากันรู้เรื่องร่างกายของตัวเอง เรื่องใจของตัวเองในปัจจุบัน เพราะการประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคน มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องในปัจจุบัน ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราต้องมีความสุขในการทำงาน เพราะร่างกายสังขารของเรา อายุขัยของเรา ถ้าเราทำดีๆ ปฏิบัติดีๆ มันก็มากกว่า ๑๐๐ ปีในปัจจุบัน เราก็มีความสุข มีพุทธะทางจิตทางใจไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนให้เรามีความสุข มีความดับทุกข์อย่างนี้นะ เราจะหลงไปเรื่อย มันไม่รู้จักจบ ความหลงของเราทำให้เราเป็นคนเพลิดเพลิน เพลิดเพลินกับความฟุ้งซ่านก็อันเดียวกันนั่นแหละ
ทุกท่านทุกคนต้องพากันมีความสุขด้วยการยกเลิกตัวตน มามีความสุขในการมีสติมีสัมปชัญญะ พากันมารู้ตัวทั่วพร้อม รู้ตัวเองนี่แหละ ไม่ต้องไปรู้คนอื่น ตัวเองยังไม่รู้ ใครจะมารู้จักได้ยังไง มารู้กาย มารู้ใจ มีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการปฏิบัติธรรมให้ได้ เพราะความสุขความดับทุกข์ มันอยู่ไม่ใกล้ ไม่ไกล มันอยู่ที่กายที่ใจของเราในปัจจุบัน เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็มีแต่เรื่องขัดข้อง มีแต่เรื่องวุ่นวาย เหมือนที่หนุ่มยสะกุลบุตร ท่านบ่นในใจว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ พระพุทธเจ้าก็บอกหนุ่มยสะว่า ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่ไหนยกเลิกตัว ยกเลิกตน ที่นั่นมีแต่ความสงบ มีแต่ความวิเวก ถึงจะอยู่ในท่ามกลางชุมชนเป็นแสนเป็นล้านคน แม้ที่ตรงนั้นก็มีแต่ความสงบ ความวิเวก เมื่อเรายกเลิกตัวตน เราถึงจะสัมผัสกับพระนิพพานได้ สัมผัสกับพระพุทธเจ้าได้ สัมผัสกับพระอรหันต์ได้
ตัวตนนี้แหละเป็นสิ่งสำคัญประการแรก ยกเลิกสักกายะทิฏฐิที่มีตัวตน แล้วก็ตั้งมั่นในพุทธะ ธรรมะ สังฆะ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ทุกคนจะได้ว่างจากตัวจากตน มันจะได้รู้เรื่องอริยสัจ ๔ จะได้รู้เรื่องพระนิพพาน เราต้องยกเลิกตัวตน ทุกท่านถึงจะได้เข้าถึงพระนิพพาน ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันถึงจะมีการรู้คุณค่า มันถึงจะมีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ไม่เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิต การที่เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิต คือยกเลิกสิ่งที่ถูกต้อง มันแก้ปัญหาได้ยังไง เราได้ยกเลิกมรรค ยกเลิกอริยมรรค ยกเลิกผลคือพระนิพพาน
เราทุกคนอย่าพากันคิดว่า การปฏิบัติธรรมเพื่อจะไปพระนิพพานมันยากลำบาก ให้พากันเข้าใจว่าอันนี้คือความรู้สึกของตัวตน เราต้องรู้จักหน้ารู้จักตาของตัวของตน ที่พระพุทธเจ้าท่านอุทานในใจของท่านว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าแห่งตัวตน เจ้าจะมาตรึกในตัวในตน จะมาตั้งอยู่ในความยึดมั่นถือมั่นนี้ไม่ได้ ท่านได้ยกเลิกตัวยกเลิกตน หมู่มวลมนุษย์ของเรานี้ มันคิดได้อย่างเดียว วาระจิตมันคิดได้อย่างเดียว เมื่อเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งนั่นน่ะคืออัตตาตัวตน คือภพคือชาติ ในหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนก็สามารถดับทุกข์ของตัวเองได้ทุกหนทุกแห่ง ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นความดับทุกข์ของเราทุกคน ทุกชาติ ทุกศาสนา ด้วยมีความเข้าใจที่ถูกต้อง ไม่ได้วิ่งไปหาความดับทุกข์ที่ไหน ให้ทุกคนมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ
ความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องมันเล่นงานเรา ตั้งแต่เกิดจนถึงวันที่เขาประชุมเพลิงเรา พวกที่ยังมีชีวิตอยู่ก็มามีความทุกข์กับผู้ที่ละสังขารวายชนม์ สิ่งไหนที่จะทำให้เราเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าไม่ให้เราคิด ไม่ให้เรานึก อย่าไปตรึก อย่างน้ำที่มันไหลจากทางเหนือลงไปทางทิศใต้อย่างนี้แหละ เราอยากให้มันไหลไปทางเหนือก็ไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไป เราทุกคนก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง สิ่งที่ผ่านไปแล้วก็ไม่ต้องมานึกมาคิดมาตรึก เราทุกคนต้องลบอดีตให้เป็นเลขศูนย์ ใจของเราต้องมีสติอยู่กับเนื้อกับตัวในปัจจุบัน ถ้ามันคิดมากก็กลั้นลมหายใจ stop ลมหายใจของเราไว้ก่อน ใจจะขาดมันก็กลับมาให้เข้าใจอย่างนี้ เราต้องมีพุทธะที่จัดการกับเรา เพราะเรายังเป็นเสขะบุคคล บุคคลที่ยังประพฤติยังปฏิบัติ เราจะปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านหลายวัน หลายเดือนหลายปีไปไม่ได้ เราทุกคนก็ยังมีภาระ เราก็ต้องประพฤติปฏิบัติตัวเอง เราก็ต้องเบรคตัวเอง อันไหนไม่ดีไม่ถูกต้อง ก็ต้องเบรคตัวเอง จะปล่อยให้ตัวเองตรึกนึกคิดได้ยังไง มันก็เป็นธรรมดา เพราะเรายังไม่เป็นพระอรหันต์ เหมือนพระอานนท์ผู้ที่เป็นพุทธอุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตอนเสด็จดับขันธปรินิพพาน พระอานนท์ก็อาลัยอาวรณ์มีความทุกข์ เราต้องรู้จักว่า อันนี้คือสภาวะธรรม เราต้องมีอุเบกขาวางเฉย เอาพระไตรลักษณ์มาซักมาฟอก จิตใจของเราที่มันมีตัวมีตน เราต้องซักฟอกด้วยอนิจจังว่ามันไม่แน่ไม่เที่ยง ซักฟอกด้วยทุกขังว่าร่างกายของเราทุกอย่าง มีแต่ทุกข์ที่เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่ ทุกข์ที่ดับไป เราบรรเทาด้วยอาหารด้วยการพักผ่อน ด้วยเครื่องนุ่งห่มอุปโภคบริโภค แล้วก็ภาวนาต่อว่า ทุกอย่างมันเป็นอนัตตา ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มันเป็นอย่างนี้แหละ มันไม่เป็นอย่างอื่น
ทุกๆ คนต้องพากันประพฤติพากันปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หมู่มวลมนุษย์เราทั้งหลายพากันทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ของตัวเราเอง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมืดนะ เพราะตัวตนมันคือความมืด มึนตึบดับสนิทเลย ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่า ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ทุกอย่างมันคือเหตุมันคือปัจจัย เราจะได้หยุดมืด หยุดมึนตึบ มันเป็นความบอดสนิท มันแก้ปัญหาไม่ได้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง การปกครองธาตุขันธ์อายตนะมันเสียหาย ประเทศไทยของเราน่ะเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันถึงไปไม่ได้ ยิ่งสร้างปัญหาทวีคูณ การทำมาหากินก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ การเรียนการศึกษาก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ด้วย การเรียนการศึกษาจะเรียนจะศึกษาไปทำไม ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง การฉ้อโกง ทุจริตโกงกินคอร์รัปชั่น ตัวตนเป็นสีดำสีเทามีความสกปรกมีความเศร้าหมอง มันหาทางออกไม่ได้ เพราะเราความเห็นผิดเข้าใจผิดพากันปฏิบัติผิด เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า การพัฒนาใจก็ต้องเสมอกับทั้งเทคโนโลยีไปพร้อมๆ กัน ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา เพราะมันเป็นทางสายกลาง ใจถึงไม่ได้ยิ่งหย่อน วัตถุก็ไม่ได้ยิ่งหย่อน มันเป็นความดับทุกข์ เย็นสนิท เป็นพระนิพพานของหมู่มวลมนุษย์ทั้งหลาย
เราต้องมายกเลิกตัวยกเลิกตน สงครามคือความไม่สงบ ถึงจะสงบลงได้ เราจะได้รู้จักคำว่าชาติศาสน์กษัตริย์ เราจะได้รู้เรื่องศีลเรื่องสมาธิเรื่องปัญญาว่ามีอยู่ที่เราที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติได้ถูกต้อง ที่อยู่ในกายในใจของเราทุกๆ คน ทุกคนโง่ไปแล้ว ไม่เข้าใจแล้ว ก็ช่างหัวมัน ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เอาตัวตนอย่างนี้มันก็บกพร่องอยู่เป็นนิจ เพราะตัวตนนี้คือเปรต เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสูรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เพราะตัวตนแต่ก่อนเรายังไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอน เราต้องมารู้จักเปรต รู้จักยักษ์ รู้จักมาร รู้จักสัตว์เดรัจฉาน รู้จักสัตว์นรกที่มันอยู่ในใจของเรา อยู่ที่เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี่แหละ
เราทุกคนต้องมาตัดเวรภัย ตัดภพตัดชาติให้กับตนเอง คนอื่นตัดให้เราไม่ได้ บาปเก่าอกุศลเก่า ต้องเผาด้วยการน้อมลงสู่พระไตรลักษณ์ ให้เห็นตามความเป็นจริง เสียสละ ลบอดีตออกให้เป็นศูนย์ อนาคตเราก็รู้จักรู้แจ้งด้วยการพิจารณาสู่ไตรลักษณ์อย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee