แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันพฤหัสบดีที่ ๔ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรมตอนที่ ๔๐ เมื่อเราทั้งหลายพากันยกเลิกตัวตน ปัญหาของทุกคน มันจะจบลงไปด้วยดี
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ขณะนี้เวลานี้ ประชากรของโลกประมาณ ๘ พันล้านคน ที่อยู่ในทุกมุมของโลก ที่ได้กระจายอยู่ทุกคนทุกแห่ง เราทุกคนต้องพากันมีความเห็นให้ถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อเราจะได้ดับทุกข์ในเรื่องจิตเรื่องใจ จะได้ดับทุกข์ทางร่างกาย พัฒนาใจ พัฒนากายพัฒนาวัตถุ เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย ให้เป็นทางสายกลางไปพร้อมๆกัน วันหนึ่งคือหนึ่งนั้นมี ๒๔ ชั่วโมง การนอน การพักผ่อน ต้องให้นอนหลับสนิทสัก ๖ ชั่วโมงเต็มๆ ที่นอนหลับลึกๆ สำหรับผู้ที่นอนยากก็ต้องมากกว่านั้น เวลาของเราตื่นอยู่เป็นเวลาประมาณ ๑๖ ชั่วโมง เราต้องเอาเวลา ๑๖ ชั่วโมงนี้ มาดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ พากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง
ทุกคนต้องพากันยกเลิกตัว ยกเลิกตน คนเราทุกคนนั้นได้มีความรู้สึกหนาวร้อนสุขทุกข์ เพราะร่างกายมนุษย์ ร่างกายของสัตว์ทั้งหลาย ต้องมีหนาว มีร้อน มีสุข มีทุกข์ สิ่งเหล่านี้มันเป็นธรรมะ มันเป็นสภาวะของร่างกาย ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ มันเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างอื่น เราต้องมีปัญญา เราต้องมีพุทธะ รู้เรื่องของทางร่างกาย ใจของเราจะได้มีสติมีสัมปชัญญะ เราจะได้รู้เรื่องธรรมะรู้เรื่องสภาวะธรรม จะให้ใจรู้ว่า อันนี้มันคือธรรมะ อันนี้มันคือสภาวะธรรม ร่างกายของเราทุกคน มันจะเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อเรามีอายุขัย สุขภาพร่างกายของเรา มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ มันไม่เป็นอย่างอื่น ใจของเรามันต้องมีปัญญา ว่าความสุข ความทุกข์นั้น เป็นปรากฏการณ์ของทางส่วนของร่างกาย พระศาสนาทุกศาสนา ที่เกิดขึ้นมาในโลก ให้พวกเรามีสัมมาทิฏฐิ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่พวกเราทั้งหลายจะได้พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
เวลาเราตื่นอยู่ ต้องดำเนินชีวิตด้วยสัมมาทิฏฐิ พากันยกเลิกตัวยกเลิกตน พากันมามีความสุขในการทำงาน เพราะเราทุกคนต้องพากันมีความสุขในการทำงานให้ได้ มีความสุขในการเสียสละให้ได้ ด้วยความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง เพื่อเราจะได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เนื่องด้วยความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เราทุกคนถึงไม่มีความสุขในการทำงาน ไม่มีความสุขในการเสียสละ ละตัวละตน ความคิดเห็นผิดมันเป็นความทุกข์ ความทุกข์ของมนุษย์มันจะมีได้จากความคิดเห็นผิด เข้าใจผิด ตราบใดมนุษย์เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด สีดำสีเทา ความมืดบอดดับสนิท ก็ย่อมมีแก่เราทุกๆ คน เมื่อเรายกเลิกตัวตน แสงสว่างก็ย่อมเกิดขึ้น เราทุกคนก็พากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ การที่เราที่พากันมาเรียนหนังสือ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ก็เพื่อให้ทุกคนมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พัฒนาทั้งใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อที่จะได้เป็นทางสายกลางแห่งการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐนะ เพื่อเราจะได้ยกเลิกตัวยกเลิกตน เพราะมีความสุขในการปฏิบัติธรรมในการทำงาน ตั้งแต่ก่อนเรายังมีความคิดเห็นไม่ถูกต้องมีความเข้าใจไม่ถูกต้อง เราเรียนหนังสือเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เราทำงานเพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น เราทำอะไรทุกอย่างก็เพื่อจะเอาเพื่อจะมีเพื่อจะเป็น อันนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ถ้าเรามีความคิดเห็นอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มันก็เป็นไปเพื่อความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด ให้ทุกท่านทุกคนพากันคิดเห็นใหม่ เข้าใจใหม่ เราต้องมีความเห็นให้ถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ถึงจะแก้ปัญหาทางใจของพวกเราได้ ถึงจะแก้ปัญหาทางกายของเราได้ เพราะทุกอย่างนี้ไม่ได้เอามาเพิ่ม ไม่ได้เอามาตัดออก มันเป็นความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นความดับทุกข์ทั้งกายทั้งใจไปพร้อมๆ กัน ในชีวิตประจำวันของเราทุกๆ คน
ทุกคนนั้นดับทุกข์ได้แก้ปัญหาได้ ทั้งกายทั้งใจ ทุกๆ ชาติ ทุกๆ ศาสนา แก้ปัญหาอย่างนี้ได้ ความดับทุกข์ก็เปรียบเหมือนอาหารนี่แหละ ถ้าใครมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง บริโภคอาหารที่ถูกต้อง บุคคลนั้นก็จะหายเหนื่อย ไม่มีความทุกข์ทางร่างกาย อาหารใจของเราก็เหมือนกัน เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เรายกเลิกตัวตนแล้วมีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ตัวตนของเรามันพาเรามีความทุกข์เพราะเราได้เอาร่างกายเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะ มันก็ย่อมมีความทุกข์ เพราะร่างกายมีความทุกข์และก็มีความสุข มีความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันก็ทุกข์ 100% อยู่แล้ว เราทุกๆ คนต้องพากันเข้าใจ เพื่อทุกท่านทุกคนจะได้ยกเลิกความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด ทุกคนจะได้ว่างจากตัวจากตน ว่างจากธาตุขันธ์อายตนะ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างว่า อันนี้ธรรมะ ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นปรากฏการณ์ตามเหตุตามปัจจัย ทุกอย่างได้ปรากฎขึ้นตามเหตุตามปัจจัย สิ่งเหล่านี้ก็ล้วนแต่เป็นพระไตรลักษณ์ ไม่แน่ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นธรรมะ มันเป็นสภาวะธรรม ของเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุเกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ เรื่องข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ในชีวิตประจำวันของเรา
ทุกๆ คนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะได้ว่างจากตัวตน ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ศาสนาทุกศาสนาให้เราเข้าใจ ให้เข้าถึงความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากตัวว่างจากตน ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ให้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันจะได้มีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐอย่างนี้ เรามีตัวมีตน เราถึงได้มีความขัดแย้ง มีความแตกแยก ขาดความสมัครสมานสามัคคี พระพุทธเจ้าถึงตรัสสอน เราต้องพากันรู้จักเอาสมมติมาใช้ให้ถูกต้อง การที่เราได้เอาวัสดุต่างๆ ที่เรามาใช้เรียกชื่อต่างๆ มันก็คือสมมติ รวมทั้งร่างกายของเราด้วย มันก็เป็นวัสดุต่างๆ เหมือนกัน เราจะได้ใช้สมมติให้ถูกต้อง เพื่อความสะดวกสบาย เหมือนบทหนังบทละคร สิ่งเหล่านี้มันคือสมมติ มันจริงอยู่โดยสมมติ สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน สิ่งเหล่านี้มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสมมติหาใช่นิติบุคคล หาใช่ตัวตนไม่ อันนี้คือสมมติ เราจะได้พากันรู้จักสมมติ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ เราจะได้เอาตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้ง พากันมาเสียสละ เพื่อละตัวละตน พากันมามีความสุขในการทำงาน พากันมามีความสุขในการเสียสละ
พระพุทธเจ้าท่านทำเป็นตัวอย่างแบบอย่าง วันหนึ่งคืนหนึ่ง ท่านทรงบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง ท่านเสียสละ ท่านมีความสุขในการทำงานวันละ ๒๐ ชั่วโมง ความสุขของมนุษย์มันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มันอยู่ที่เรามีความเสียสละ มีความสุขในการทำงาน งานถึงเป็นความสุข การปฏิบัติธรรมถึงเป็นความสุข เราเอาตัวตนเมื่อไรมันก็มีทุกข์เมื่อนั้น เหมือนพวกฝรั่งถามพระอาจารย์ชา สุภัทโท ว่า เป็นพระโพธิสัตว์กับเป็นพระอรหันต์ อันไหนดีกว่ากัน ท่านอาจารย์ชาตอบว่า เป็นอะไรมันทุกข์ทั้งนั้น พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละคือผู้ที่เสียสละ พระอรหันต์คือผู้ที่เสียสละ พระพุทธเจ้าอยู่กับเราทุกคน พระอรหันต์อยู่กับเราทุกคน ไม่ได้อยู่ที่ใคร อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการยกเลิกตัวยกเลิกตน แล้วก็มีความสุข ดับทุกข์ได้ ทุกๆ ชาติทุกๆ ศาสนา เหมือนทานอาหารนี่แหละ นักบวชทานอาหารก็มีความสุข ผู้ที่ไม่ได้บวชทานอาหารก็มีความสุข ไม่มีสงวนลิขสิทธิ์ ความดับทุกข์ถือเป็นสากลที่เป็นความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันต้องมีกับเราทุกๆ คน อย่าให้ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องมันอยู่ในหนังสือ เพราะความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันต้องมีอยู่ที่เราทุกๆ คน เรารู้จักเรื่องสมมติ สมมตินั้นคือตัวคือตน เพื่อให้เราแสดงบทละคร ที่แท้จริงเราไม่ได้เป็นอะไร มันเป็นแต่อวิชชาความหลง เราทุกคนจะได้ว่างจากนิติบุคคลจากตัวตน
โลกนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวายความขัดข้อง เหมือนพระยสะกุลบุตร ท่านเดินไปบ่นไปว่า ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ พระพุทธเจ้าถึงตอบว่า ที่นี่ไม่ขัดข้อง ที่นี่ไม่วุ่นวาย ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อเราทุกคนจะได้ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด ที่ประกอบทุกข์ให้กับตัวเอง
ในพรรษาแรกหลังการตรัสรู้และประกาศธรรม พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน มีกุลบุตรผู้หนึ่งชื่อ ยสะ เป็นบุตรเศรษฐีเมืองพาราณสี เขาพรั่งพร้อมไปด้วยเบญจกามคุณมีปราสาทอยู่ ๓ หลัง และแวดล้อมไปด้วยนางบำเรอล้วนแต่สวยงาม ทำนองเดียวกับพระผู้มีพระภาคสมัยเมื่อทรงเป็นเจ้าชายสิทธิธัตถะ
คืนหนึ่งไฟยังสว่างอยู่ ยสะหนุ่ม นอนหลับไปตื่นหนึ่งเห็นอาการวิปการต่างๆ ของนางบำเรอที่นอนอยู่ บางนางนอนน้ำลายไหล บางนางนอนกรน บางนางวางมือและเท้าอย่างน่าเกลียด ยสกุลบุตรได้เห็นอาการเช่นนั้น เนื่องด้วยคลุกคลีอยู่กับสตรีเพศเป็นเวลานานปี จึงเกิดความเบื่อหน่ายเหมือนเห็นซากศพในป่าช้าผีดิบ “อา! กามารมณ์ที่เราเคยพะวง หลงใหล เนื่อแท้น่าเบื่อหน่ายเช่นนี้เองหรือ?” เขาอุทานออกมา “ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง เป็นเรื่องที่แล้วๆเล่าๆ ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารแห่งชีวิตเลย เกิดมาแล้วตายไปเปล่า” ยสะอุทานเช่นนี้แล้ว จึงสวมรองเท้าเดินลงจากปราสาท ปากก็พึมพำเรื่อยไปว่า “ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” เขาเดินเรื่อยไป โดยไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน…
จนกระทั่งปัจจุสสมัย ฟ้าสางแล้ว จึงเดินเข้าสู่ป่าอิสิปตน อากาศกำลังสดชื่น เขารู้สึกปลอดโปร่งแจ่มใส เพราะปลีกห่างจากอารมณ์ที่เป็นที่ตั้งแห่งความมัวเมาและลุ่มหลง เขารู้สึกว่าธรรมชาติในความสุขสงบเย็นกว่าความสุขทางกามารมณ์มาก...
แลเวลาเดียวกันนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ซึ่งเป็นที่พึ่งของโลก กำลังจงกรมอยู่ ได้ยินเสียงว่า “ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ” จึงหยุดจงกรม ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ แล้วตรัสออกไปว่า“ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง มาเถิดมานั่งที่นี่”
ยสกุลบุตรได้ยินดังนั้น มีความปลื้มใจ เพราะกำลังได้พบสิ่งที่ตนกำลังแสวงหา คือที่อันปราศจากความขัดข้องวุ่นวาย จึงถอดรองเท้า (เป็นการแสดงคารวะ) เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ซึ่งเวลานั้นเขาไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นใคร แต่ดูลักษณะอาการน่าเลื่อมใส พระพักตร์เอิบอิ่ม ฉายแสงแห่งเมตตากรุณาส่อคุณธรรมภายในอันสูงส่ง...
เมื่อเขานั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสถามถึงสาเหตุเขาเดินบ่นมาว่า ที่นี่ขัดข้องหนอ ที่นี่วุ่นวายหนอ เขาได้กราบทูลพระพุทธองค์ตามความเป็นจริงทุกประการ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า “ดีแล้ว ยสะ เป็นลาภของเธอแล้ว ที่มีความรู้สึกอย่างนี้ มีน้อยคนนักที่จะเบื่อหน่ายในกาม มันไม่มีประโยชน์อันยั่งยืนถาวรอะไรเลย มีแต่ความวุ่นวายเป็นผล”
แลแล้วพระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถาพรรณาถึงการเสียสละ, การเว้นจากเบียดเบียน, ความสุขอันเจือด้วยกาม, โทษของกาม และอานิสงส์ของการปลีกตนออกจากกาม... ทรงย้ำหนักใน ๒ ประการสุดท้าย คือโทษของกาม และการปลีกตนออกจากกาม โดยนัยว่า “ดูก่อน ยสะ! กามทั้งหลายมีรสอร่อยน้อย น่าพอใจน้อย แต่มีโทษมาก มีทุกข์เป็นผลมาก โลกที่เดือดร้อน วุ่นวาย ประชาชนที่กระเสือกกระสนกันอยู่อย่างน่าอนาถใจนั้น ก็เพราะดิ้นรนหากามบำรุงบำเรอร่างกายและจิตใจอันไม่รู้จักอิ่ม เพราะกามนี่เองคนจึงต้องเกิด เมื่อเกิดแล้วก็มีแก่ เจ็บ และตายไปในที่สุด ระหว่างที่มีชีวิตอยู่นั้น ก็เต็มไปด้วยความทรมานนานาประการ เพราะการแสวงหาอาหารบ้าง ที่อยู่อาศัยบ้าง เพราะโรคภัยไข้เจ็บ เพราะทะเลาะวิวาทกันบ้าง เพราะถูกกิเลสรุมเผาบ้าง ร่างกายนี้จึงเป็นก้อนทุกข์ก้อนหนึ่ง ที่เดินไปเดินมากันขวักไขว่ ร่างกายอันเป็นที่ตั้งแห่งกาม ก่อให้เกิดกาม เร้ากามให้กำเริบนี้ มองให้ลึกซึ้งแล้วก็เหมือนถุงหนังอันบรรจุเต็มด้วยอุจจาระและอสุจิปฏิกูลนานาชนิด สุดจะพรรณาได้ มีทวารทั้ง ๙ อันเป็นที่หลั่งไหลออกแห่งสิ่งโสโครก มีกลิ่นเหม็นตามขุมขนเล่า เมื่อเหงื่อออกมาผสมด้วยฝุ่นธุลีเล็กๆที่จับอยู่ตามผิวกาย ทำให้เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นสาบ รวมความว่าทั่วกายมนุษย์เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูล ดังนั้นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สะอาด เมื่อมาถูกต้องกายนี้เข้าจึงต้องซัก ต้องฟอก เหมือนนำผ้าไปหุ้มห่อคลุมอุจจาระซึ่งซึมอยู่ตลอด...
ดูก่อนยสะ! การเบื่อหน่ายไม่หลงรักในกาย และการปลีกตนออกห่างจากกามนั้น ทำให้ประสบความปลอดโปร่งเยือกเย็น มีภาระน้อย มีความกังวลน้อย เรื่องกามและเรื่องเกียรตินั้นเป็นสิ่งทำลายมนุษย์มากกว่าส่งเสริมให้มนุษย์หลุดพ้นจากวงเวียนแห่งความทุกข์ มันเป็นเหยื่อล่อให้คนเกี่ยวข้องพัวพันแล้วสับโขกให้เจ็บช้ำในภายหลัง เหมือนเหยื่อที่ติดอยู่กับเบ็ด ยสะเอย! ไม่เคยมีพรานเบ็ดคนใดในโลกนี้ที่ใช้เหยื่อซึ่งติดอยู่กับเบ็ดนั้นแก่ปลาด้วยความปราณีฉันใด ไม่มีกามและเกียรติใดที่จะให้ความสงบร่มเย็นแก่มนุษย์ได้อย่างปลอดภัย มันเป็นเพียงโลกามิส-เหยื่อล่อของโลกเท่านั้น”
เมื่อพระผู้มีพระภาคจ้าทรงฟอกจิตยสกุลบุตรให้ห่างกลจากความยินดีในกาม ควรรับธรรมเทศนชั้นสูงให้ได้ดวงตาเห็นธรรม เหมือนผ้าที่ปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมได้แล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาอันเป็นหัวใจสำคัญคือ อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ธรรมชาติแห่งความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์คือตัณหา ความดิ้นรนมีประการต่างๆ ความดับทุกข์ และทางให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อจบสามุกกังสิกาธรรมเทศนา (อริยสัจ) ยสกุลบุตรก็ได้ดวงตาเห็นธรม มีแสงสว่างพลุ่งโพล่งขึ้นในดวงใจ ประดุจบุคคลไขประทีปให้สว่างโร่ขึ้นในที่มืด ฉะนั้น ต่อมาได้ฟังพระธรมเทศนาทำนองเดียวกันพระศาสดาทรงแสดงแกบิดาของตนซ้ำอีก จึงได้สำเร็จอรหัตตผล
ทุกคนจะได้ยกเลิกตัวยกเลิกตน ยกเลิกความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด ที่ประกอบทุกข์ให้กับตัวเอง เราทุกข์กาย เราทุกข์ใจ ก็ไม่มีใครมาทุกข์ให้เรา เมื่อเราเอาความรู้สึก เอาหนาว เอาร้อน เอาสุข เอาทุกข์ เอาร่างกาย เอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตนะ มาเป็นเรา มันมีทุกข์อย่างนี้แหละ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันเป็นอย่างอื่นไม่ได้ พระพุทธเจ้าให้เรารู้อริยสัจ ๔ ให้รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความทุกข์ ทุกท่านทุกคนต้องพากันมาเห็นที่ปัจจุบัน เพราะอดีตก็ปฏิบัติไม่ได้ อนาคตก็ปฏิบัติไม่ได้ ปัจจุบันที่ต้องยกเลิกตัว ยกเลิกตน มีความสุขในการยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำงานในปัจจุบัน หมู่มวลมนุษย์ถึงจะแก้ปัญหาได้ ดับปัญหาได้ เราเป็นพ่อ เราเป็นแม่ เราเป็นครูบาอาจารย์ ต้องเข้าใจ พากันแก้ไขตัวเอง จะได้ไม่ต้องพาลูกพาหลานมีความทุกข์ใจ ให้ตัวเองมีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับตัวเข้าหาเวลา เขามีนาฬิกาเพื่อปรับตัวเองเข้าหาเวลา เราต้องปรับเข้าหาธรรมะว่า อันนี้ไม่ใช่นิติบุคคล อันนี้เราต้องยกเลิกธาตุ ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ มายกเลิกความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด เขาเรียกว่ามายกเลิกทาส
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ทำงานเป็นเวลา ๒๐ กว่าปี ยังไม่ทรงบัญญัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ ท่านเพียงแสดงหลักการประพฤติหลักการปฏิบัติ บอกวิธียกเลิกธาตุยกเลิกขันธ์ยกเลิกอายตนะ ที่เราทุกคนเอาสมมตินี้ว่าเป็นตัวเป็นตน เมื่อเรายกเลิกตัวตนอย่างนี้แหละ สมมติทั้งหลายทั้งปวง มันก็ครอบงำจิตใจของเราไม่ได้ เมื่อสมมติครอบงำจิตใจของเราได้ มันก็ทะเลาะกัน เหมือนพระธรรมกถึกทะเลาะกับพระวินัยธรนั่นแหละ เพราะเอาสมมติไปเพื่อตัวเพื่อตน มันก็ทะเลาะกัน มนุษย์ผู้มีปัญญาได้ปฏิบัติ ได้บัญญัติสมมติ เพื่อเอามาใช้งาน เพื่ออำนวยความสะดวกสบาย ในการดำรงธาตุดำรงขันธ์ มันเป็นความหมายอย่างนั้นนะ ไม่ใช่เอาสมมติมาเพื่อตัวเพื่อตน เพราะทุกอย่างนั้นไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันคือสมมติ เราทั้งหลายจึงต้องพากันรู้จักอริยสัจ ๔ เราจะหลงสมมติไปทำไม เพราะทุกอย่างนั้นคืออนิจจัง ไม่แน่ไม่เที่ยง ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น มันก็เพียงสมมติเพื่อใช้งาน เพราะทุกอย่างนั้นเป็นอนัตตา หาใช่นิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนไม่ หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายต้องรู้ต้องมีปัญญา เราจะได้ขจัดความทุกข์ทางจิตใจของตัวเอง เพราะร่างกายสังขารของเราที่อายุขัย ตั้งแต่การดำรงชีพ มันมีด้วยอาหาร ด้วยความรู้สึกทางวัตถุ เราดูซิ ดูบ้านเมือง มันไปได้ไหมที่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไปได้ไหม มันไปไม่ได้ๆ เพราะเอาตัวตนมันไปไม่ได้ ถ้าเอาตัวตนมันไปไม่ได้ ข้าราชการ นักการเมืองทุกกระทรวง ถ้าเอาตัวตนมันไปไม่ได้ มันเป็นความสุขไม่จริง มันเป็นความหลง เพราะมนุษย์เราต้องก้าวไปไกลกว่านั้น อันนั้นมันเพื่อสมมติ เขาแต่งตั้งให้เป็นอะไร ก็ต้องเอาสมมติพากันมาเสียสละ
เวลาทำงาน ๑๖ ชั่วโมง ต้องมามีความสุขในการทำงานในการปฏิบัติธรรม ตัวตนมันเป็นความทุกข์ไม่อยากทำงาน ไม่อยากเสียสละ มันจะเป็นเพียงแต่ผู้เอา ไม่ได้แก้ไขตัวเอง มันแก้ไขคนอื่น การดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ทุกคนต้องมาแก้ไขตัวเอง มาปฏิบัติตัวเอง ทุกๆ คนนั้นปฏิบัติให้กันไม่ได้ ทุกๆ คนที่เกิดมา ต้องพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง พากันมาเสียสละ หน้าที่ของใคร หน้าที่ของมัน มีความสุขในการปฏิบัติธรรม เราจะบริโภคกับอวิชชา บริโภคความหลงไปเรื่อยมันไม่ได้ วัตถุที่มนุษย์ปฏิบัติขึ้นมาสร้างขึ้นมา ดีแล้ว ถูกแล้ว มนุษย์ได้บริโภคความสุข มนุษย์เราต้องมีสติมีปัญญา ว่าอันนี้เราจะไปหลงไปเพลิดเพลินไม่ได้ เพราะทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทุกคนต้องพากันเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละมันไม่ได้ เพราะความรู้สึกมันไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราทุกคนต้องเสียสละ กระบวนการในการดำเนินชีวิต ถึงมีศีล มีสมาธิ มีปัญญาไปพร้อมๆ กัน มันจะยิ่งหย่อนกว่ากันไม่ได้ เรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องวัตถุ ต้องไปพร้อมๆ กัน เรื่องศีลเรื่องสมาธิเรื่องปัญญา ก็ต้องไปพร้อมๆ กัน เราเอาตัวเอาตน มันก็มีแต่ความมืด บ้านเมืองมีแต่ความมืด มันก็มีแต่เรื่อง มีแต่ปัญหา การปกครองประเทศก็ไปไม่ได้ เพราะการปกครองประเทศ มันมิจฉาทิฏฐิเอาตัวตนเป็นหลัก ประชาธิปไตยมันก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ สังคมนิยมมันก็จะเป็นมิจฉาชีพอยู่ ประเพณีนิยมมันก็ยังเป็นมิจฉาทิฐอยู่ พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าต้องยกเลิกตัวยกเลิกตน ต้องเอาธรรมเป็นหลัก เพื่อเอาสมมติมาใช้ให้มันถูกต้อง ถ้าเราจะพากันให้สมมติอย่างนี้ถูกต้อง เอากฎหมายเพื่อตัวเพื่อตน มันไม่ถูกต้อง สมมติก็เพื่อจะให้เข้าหาธรรม กฎหมายบ้านเมืองก็เพื่อให้เข้าหาธรรม ให้เป็นประชาธิปไตย ให้สังคมนิยม ให้ประเพณีนิยม อะไรก็แล้วแต่ ต้องมีสัมมาทิฏฐิ หมู่มวลมนุษย์ถึงจะแก้ปัญหาได้ดับทุกข์ได้ ใจก็ดี เศรษฐกิจก็ได้ ยกเลิกอบายมุข อบายภูมิ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็พากันดำเนินชีวิตไปสู่อบายมุข ไปสู่อบายภูมิ มันจะแก้ปัญหาได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ มันดับทุกข์ไม่ได้
ให้หมู่มวลมนุษย์ทั้งหลายพากันเข้าใจปัญหา เมื่อเราไม่เข้าใจปัญหา มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เราก็พากันมากัดกัน จิกกัน ตีกัน มีความแตกแยก แตกความสมัครสมานสามัคคี ก็เพราะอะไร? ก็เพราะเราแตกแยก แตกความสมัครสมานสามัคคีกัน เรามีตัวมีตนซะเมื่อไหร่ เห็นใครเกิดมาก็มีความเกิดความเจ็บความแก่ความตายความพลัดพรากทุกคน มันมีตัวมีตนที่ไหน จะพากันมาทะเลาะวิวาททำไม เราจะเอาดีเอาชั่ว เอาตัวเอาตนที่ไหน เพราะความเห็นผิด เข้าใจผิด ปฏิบัติผิด มันไม่จบ มันเป็นเรื่องก่อเวรก่อภัยก่อความพินาศ ไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น ที่มันฉายแสงออกมาจากตัวจากตน ตัวตนมันเล่นพรรคเล่นพวก เล่นหมู่เล่นคณะ มันเป็นระบบหมู่เฮา มันเป็นระบบพรรคพวก เรื่องที่เอาสมมติมาเป็นตัว เป็นตน อันนั้นมันผิดแล้ว เรียกว่าไม่รู้อริยสัจ ๔ ในแต่ละคน มันมีตัวตน มันดับทุกข์ได้ยังไง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง จะมีความสุขได้ยังไง เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ประเทศชาติบ้านเมืองจะมีความสุขได้ยังไง เพราะตัวตนนั้นคือความทุกข์ ตัวตนน่ะมันมีเหตุผลเยอะ ตัวตนตนน่ะคือความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้อง ตัวตนน่ะคืออคติทั้ง ๔ นะ ตัวตนนั้นคือ นิวรณ์ นิวรณ์มันทำให้เราไม่สงบ ทำให้เราฟุ้งซ่าน ทำให้เราง่วงเหงาหาวนอน ทำให้เราสงสัย ทำให้เราอาฆาตพยาบาท นี้คือผลงานของตัวตน มันพาให้เราเป็นสีลัพพตปรามาส ลูบคลำในศีลในข้อวัตร ในข้อปฏิบัติ ไม่ปรับตัวเข้าหาเวลา
กฎหมายบ้านเมืองแต่ละประเทศต้องกลับเข้าหาความถูกต้อง อย่าได้เอากฎหมายมาเพื่อตัวเพื่อตน ต้องออกกฎหมายมาเพื่อธรรมะประชาธิปไตย เพื่อตัวตนเป็นที่ตั้ง เพื่อมาตรฐานของส่วนรวม ประชาธิปไตยอย่างนี้ มันก็เอามาเป็นเผด็จการที่เป็นสมมติ มันก็อันเดียวกันกับเผด็จการ เมื่อออกกฎหมายมาแล้วมันก็เป็นเผด็จการ กฎหมายก็ออกมาเพื่อทะเลาะกัน แย่งกันเฉยๆ เราจะได้เอาสมมติมาใช้งาน เพื่อเราทุกคนจะได้ไม่ทะเลาะวิวาทกัน เดี๋ยวก็เอาคนนั้นไปขังคุก เดี๋ยวก็เอาคนนั้นไปปล่อย มันก็อยู่อย่างนี้แหละ เพราะเราไม่รู้จักอัตถะไม่รู้จักพยัญชนะแห่งความเป็นจริง ไม่รู้จุดมุ่งหมายของกฎหมายบ้านเมือง ก็เพื่อพากันมายกเลิกตัวตน ไม่ใช่เอามาเป็นเผด็จการ เอาญาติเอาพี่เอาน้อง พากันมาติดคุกติดตาราง มันเป็นเรื่องไม่จบ ท่านถึงบอกว่าอย่าไปเอาเรื่องเอาราวกันเลย เพราะเขาแต่งตั้งให้มาเป็นมนุษย์ ต้องพากันมามีปัญญา มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พากันมายกเลิกตัวตน เมื่อเรายกเลิกตัวตน ปัญหาเราทั้งหลายมันจะจบลงไปด้วยดีน่ะ เราเอาตัวอย่างแบบอย่างพระพุทธเจ้า ท่านพาเรามายกเลิกตัวตน ยกเลิกชั้นวรรณะ ก็หมายความว่า มายกเลิกตัวตน ปัญหามันก็จบไป ทุกคนไม่ต้องไปแก้คนอื่นหรอก มาแก้ที่ตัวเอง ข้าราชการมาแก้ที่ตัวเอง นักการเมืองมาแก้ที่ตัวเอง นักบวชก็มาแก้ที่ตัวเอง่นะ เมื่อแก้ที่ตัวเองได้ สีดำสีเทาถึงจะเกิดไม่ได้ เราดูตัวอย่างแบบอย่างของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพาเรามายกเลิกตัวยกเลิกตน พระพุทธเจ้าท่านก็เป็นลูกหลานของพราหมณ์มาก่อน เอาสมาธิเป็นความดับทุกข์ แต่ไม่ใช่ มันเป็นเพียงหินทับหญ้า ไม่รู้จักตัวไม่รู้จักตน ไม่รู้จักอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านปกครองประเทศไทยด้วยทศพิธราชธรรม เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต ท่านไม่ได้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ ท่านต่อสู้กับความยากจน ในจิตใจในเรื่องวัตถุ ท่านให้พวกที่ยังไม่เข้าใจชีวิตที่ประเสริฐ ไม่ให้เอาเรื่องเอาราวกัน ใครเป็นคอมมิวนิสต์ก็ให้ยกเลิก ให้รักกัน นักเรียน นักศึกษา ออกมาเดินขบวน ทหารปราบปราม นักเรียน นักศึกษา ประชาชน ล้มตายมากกว่า 1,000 คน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาภูมิพลอดุลยเดช ท่านก็ให้พลเอกสุจินดา คราประยูร กับพลตรีจำลอง ศรีเมือง ทั้งสองคนมานั่งเข้าเฝ้าฯ ต่อหน้าพระพักตร์ ในค่ำวันที่ 20 พฤษภาคม 2535 ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำรัสสำคัญว่า "ขอให้สองท่าน หันหน้าเข้าหากัน ไม่ใช่เผชิญหน้ากันเพียงแต่ว่าจะต้องเอาชนะ แล้วใครจะชนะ ไม่มีทาง มีแต่แพ้ คือต่างคนต่างแพ้ แล้วที่แพ้ที่สุดคือประเทศชาติ ประชาชน แล้วจะมีประโยชน์อะไร ที่จะทะนงตัวว่าชนะ เวลาอยู่บนกองสิ่งปรักหักพัง..." ทำให้เหตุการณ์ความขัดแย้งของเหตุการณ์พฤษภาทมิฬได้ยุติลง
ต้องพากันยกเลิกตัวตนมันก็เป็นอย่างนี้แหละ การยกเลิกตัวนั้นถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เมื่อเรายกเลิกตัวตนความขี้เกียจขี้คร้านก็หายไป ความเป็นเปรตอย่างนี้มันก็หายไป ความเป็นยักษ์เป็นมารเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็หายไป อยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันมีกับเราทุกๆ คน ทุกๆ คนไม่ต้องไปหาพระนิพพานที่ไหน ไปหาความดับทุกข์ที่ไหน ความดับทุกข์อยู่ที่เรายกเลิกตัวตน ถึงแม้เราจะพัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาสิ่งต่างๆ ให้ดีที่สุด ให้สวยที่สุดในโลก ถ้าเรามีตัวมีตน ชีวิตของเราก็ไม่มีความสุข ไม่มีความดับทุกข์ ถ้าเรายกเลิกตัวตน ทุกท่านทุกสถานที่ ก็มีความสงบร่มเย็น การพัฒนาของเราทุกคนพระพุทธเจ้าให้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุให้เป็นทางสายกลางอย่างนี้ ทุกคนอย่าได้มีตัวมีตนเลย ให้ว่างจากสิ่งที่ไม่มี มันไม่ได้ มันแก้ปัญหาไม่ได้ ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะเราทุกคนต้องเข้าหาความสุขความดับทุกข์อย่างนี้ การปฏิบัติของเราต้องให้ติดต่อต่อเนื่อง สิ่งที่แล้วก็แล้วไป สิ่งที่เป็นอนาคตก็ยังมาไม่ถึง มันก็ไม่สำคัญ มันต้องอยู่กับปัจจุบัน เราต้องตั้งเป้าหมายไว้ เอาธรรมเป็นหลัก เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข เอาตัวเอาตน มันก็ต้องมีความทุกข์
ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ได้อย่างไม่มีเงื่อนไข ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอยู่ในปัจจุบัน พระนิพพานไม่อยู่ไกลหรอก อยู่ในความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จะได้เข้าถึงความเป็นมนุษย์สมบัติเทวดาสมบัติพรหมสมบัติ เป็นพระอริยเจ้า ในปัจจุบัน เราทุกคนเข้าใจว่า การปฏิบัติมันยาก มันยากแน่ เพราะเรามีตัวตน เพราะตัวตนคือความทุกข์ ทุกคนรู้ไหมว่าตัวตนมันเผาเรา ตัวตนนี่แหละมันคือตกนรกทั้งเป็น มันเป็นกรรมวิธีที่มันเผาเรา ไม่ใช่กรรมวิธีแห่งความสุข ประชากรของโลกเมื่อมีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เอาตัวตนครองธาตุครองขันธ์ มันเป็นกี่ยุคกี่สมัยที่หมู่มวลมนุษย์มีความทุกข์กัน การปฏิบัติมันต้องเป็นทางสายกลาง พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปหาความดับทุกข์ที่ไหนหรอก ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ต้องไปหาพระที่ไหน พระอยู่ที่ตัวเอง เราจะได้เข้าถึงความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ จะได้หยุดเวียนว่ายตายเกิด มีความดับทุกข์อยู่ในปัจจุบัน เรามีตัวมีตน มันก็ไม่ขลังไม่ศักดิ์สิทธิ์ ที่พระพุทธเจ้า ท่านขลังท่านศักดิ์สิทธิ์ พระอรหันต์ท่านขลัง ท่านศักดิ์สิทธิ์ ก็เพราะท่านยกเลิกตัวตน เขาแต่งตั้งให้เราเป็นอะไร ก็ไม่ได้ เพราะมีตัวมีตน ก็เป็นได้แต่การแต่งตั้ง มันเป็นอนัตตาไม่ได้ เป็นได้เพียงสมมติ ให้ทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee