แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
คุณของพระธรรม
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๒ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรมตอนที่ ๓๘ ยิ่งกว่าเอกราชทั่วแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง คือพระโสดาปัตติผล
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ทุกคนผู้ที่เกิดมาเป็นมนุษย์คือผู้ประเสริฐ ประชากรของโลกในปัจจุบันแปดพันกว่าล้านคน ต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติให้มันถูกต้อง ต้องพากันรู้ว่านี่เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่ได้เกิดขึ้นแก่เราทุกคน ทุกคนต้องมารู้ความจริง ต้องมารู้อริยสัจ ๔ จะได้พัฒนาใจ เข้าสู่ความสงบ จะได้พัฒนาวัตถุ เพื่ออำนวยความสะดวกความสบายทางส่วนร่างกาย การพัฒนาของเราทุกคน ต้องพัฒนา ๒ อย่างไปพร้อมๆ กันอย่างนี้ ปัจจุบันเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องพากันมีความสุข การประพฤติการปฏิบัติอย่างนี้ ความถูกต้องก็คือความถูกต้องนั่นแหละ เราถึงปรับตัวเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะไปพร้อมๆ กัน อย่างนี้ เพราะอันนี้คือสิ่งที่ประเสริฐได้เกิดขึ้นแก่หมู่มวลมนุษย์ ที่พุทธะตัวผู้รู้ที่เราต้องพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน การเรียนการศึกษาของพวกเราเริ่มต้นจากอนุบาลจนถึงปริญญาเอก ทางธรรมะตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึง ป.ธ.๙ อย่างนี้เป็นต้น อันนั้นมันก็เป็นเพียงภายนอก เราต้องเอาความรู้คู่ประพฤติคู่ปฏิบัติ
เวลานี้เป็นของมีค่ามาก เราอย่าปล่อยให้ตัวเองคิด ตัวเองพูด ตัวเองทำ ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง มันเสียโอกาส พลาดโอกาส เพราะความดับทุกข์ที่แท้จริงนั้นอยู่ที่เรายกเลิกตัวตน ยกเลิกอวิชชาความหลง ความดับทุกข์มันจะมีแก่หมู่มวลมนุษย์ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ได้เกี่ยวกับพวกที่เป็นนักบวช ไม่ได้เกี่ยวกับผู้ไม่ได้บวช ไม่ได้เกี่ยวกับที่ใครจะเกิดอยู่ที่ไหน ทำอะไร ไม่เกี่ยวกับเชื้อชาติศาสนา หากเป็นสากล เป็นความดับทุกข์อย่างนี้น่ะ เหมือนอาหารนั่นแหละ ทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พากันทาน มันก็ดับทุกข์หมด ต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ เราทำให้ถูกต้อง ความถูกต้อง เราจะไม่ได้เพิ่ม เราจะไม่ได้ตัด มันจะเป็นเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี มันจะเป็นธรรม เป็นปัจจุบัน มันจะเป็นความสุขเป็นความดับทุกข์ที่แท้จริง
ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ ที่ว่าทำไม่ได้ก็เพราะว่าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เอาความไม่ถูกต้องเป็นที่ตั้ง มันไม่ได้ พอมันไม่ถูกต้อง ให้เราเข้าใจเรื่องความดับทุกข์อย่างนี้ เราต้องยกเลิกสิ่งที่มันไม่จบ เมื่อเราไม่เข้าใจแล้วก็ไม่มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เหมือนเด็กน้อยที่มาฟังธรรม ไม่เข้าใจอย่างนี้นี่แหละ ไม่เข้าใจเรื่องศีล ก็ไม่มีความสุขในการรักษาศีล ไม่มีความสุขในการทำสมาธิ มันก็ต้องง่วงเหงาหาวนอน เพราะคนไม่มีความสุข มันต้องง่วงเหงาหาวนอน เรามันไม่รู้ไม่เข้าใจเรื่องศีล มันเลยง่วงเหงาหาวนอน ไม่เข้าใจเรื่องงานคือความสุข มันเลยง่วงเหงาหาวนอน เราต้องเข้าใจ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เรามีความสุขในการทำงานน่ะ เวลาก็ผ่านไปเร็ว เรามีความสุขในการรักษาศีล ทำสมาธิ เวลาก็ผ่านไปเร็ว เราต้องเข้าใจ เพราะหลวงพ่อมองเห็นเด็กคนนึง คนรุ่นใหม่ สมัยใหม่ ไม่รู้จักเรื่องอริยสัจ ๔ ที่อยู่ต่อหน้าหลวงพ่อ เป็นผู้เรียนผู้ศึกษาสูง แต่ว่าก็ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ทั้งที่สมาธิมันเป็นสิ่งที่มีความสุขที่สุดในโลก มันยกเลิกตัวตนอย่างนี้ แทนที่มันจะมีปีติสขเอกัคคตา จิตใจเป็นหนึ่ง สว่างไสว ให้นิวรณ์มันครอบงำไม่ได้อย่างนี้ เขาไม่รู้จักอริยสัจ ๔ เขาไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ เขาก็ว่าการรักษาศีลมันเป็นการที่ไม่ให้เขาได้พัฒนาวัตถุ เขาไม่รู้จัก การทำงานนั้นแหละ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง นั่นแหละคือพระนิพพาน เห็นมั้ย พระพุทธเจ้าท่านรู้จักอริยสัจ ๔ ท่านเสียสละ ยกเลิกตัวตน ท่านก็นอนเพียง ๔ ชม. นอกจากนั้นก็มีความสุขในการทำงาน เพราะงานคือความสุข
การตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเองนั้น มันไม่ใช่ความดับทุกข์ มันเป็นความร้อน ให้เข้าใจอย่างนี้ พวกพระเจ้าพระสงฆ์ในประเทศของเรา หรือว่าภิกษุสามเณรหรือว่านักบวช จะต้องพากันเข้าใจ หรือผู้ที่ไม่ได้บวช ก็พากันเข้าใจ ถ้าเราไม่เข้าใจ จิตใจของเรามันเต็มไปด้วยความหลง เราจะรู้จักว่าเปรตที่แท้จริง อยู่ที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ นี่แหละ มีความเห็นไม่ถูกต้อง มีความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เพราะแต่ก่อนเราไม่รู้จัก ถ้ารู้จักน่ะ มันก็เหมือนลูกชายอนาถบิณฑิกเศรษฐีที่ทีแรกอยากจะเอาแต่เงิน เอาแต่วัตถุ จนพ่อจ้างไปฟังธรรม
ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีลูกชายคนหนึ่ง ชื่อ กาละ แปลว่า กาลเวลา แต่นายกาละก็เหลือเกิน คล้ายลูกเศรษฐีบางคน คือ พ่อศรัทธาในพระพุทธศาสนาแต่ลูกไม่ศรัทธาเลย พ่อไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ลูกไม่อยากเข้าเฝ้า เพราะเดี๋ยวท่านก็จะพูดว่าสังขารไม่เที่ยง อย่างนี้เป็นปฏิกูล มีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา ไม่อยากฟังหรอก ยังหนุ่มอยู่ นายกาละเหมือนวัยรุ่นสมัยนี้ แถมเป็นลูกเศรษฐีด้วย ไม่อยากพบพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาจะฟังธรรม ไม่ปรารถนาแม้กระทั่งจะไปอุปัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ เวลาท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีนิมนต์พระมา ๒, ๐๐๐ รูป อาสนะปูไว้ ๒, ๐๐๐ ที่ ลูกกาละมาถวายภัตตาหารพระ ก็ไม่เอาอย่างเดียว
แม้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีผู้เป็นบิดาจะบอกว่า ลูกทำอย่างนั้นไม่เหมาะ การบังเกิดขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กระทั่งพระสงฆ์ที่มาไม่ใช่ง่ายเลย การเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่ใช่ของง่าย การได้ฟังธรรมไม่ใช่ง่าย แต่ลูกไม่เชื่อฟังเลย ท่านเศรษฐีกลัวว่า ถ้าลูกเราเป็นอย่างนี้ เอาแต่สนุกเฮฮา โดยคิดว่าตัวเป็นลูกเศรษฐี เดี๋ยวคงได้ตกนรกแน่ คิดอยู่เสมอ ท่านไม่อยากให้ลูกท่านตกนรก เพราะฉะนั้น จะให้ลูกของเราไปตกนรกไม่ได้เด็ดขาด ทำอย่างไรจะหาแรงจูงใจให้ลูกได้เข้าวัด ถ้าเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะได้ฟังธรรม
ท่านเศรษฐีนึกได้ว่า ปกติมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่มีใครที่ปฏิเสธทรัพย์ ต้องการอยากได้ทรัพย์สมบัติทั้งนั้น เราคงจะต้องใช้ทรัพย์ทำลายความเห็นผิดของลูก คิดอย่างนั้นแล้วจึงเรียก กาละ ลูก เอาอย่างนี้ เดี๋ยวพ่อจะจ้างลูกสัก ๑๐๐ กหาปณะ ให้ลูกไปวัด รักษาอุโบสถศีล ไปแค่นี้แล้วก็กลับมา
กาละถามว่า พ่อจะให้เงินผมจริงหรือ จริงลูก ท่านเศรษฐียืนยันถึง ๓ ครั้ง ว่าเอาไปเลย ๑๐๐ กหาปณะ ถ้าลูกไปวัด ตั้งใจสมาทานอุโบสถศีล นายกาละไปวัดเพราะไม่ได้หวังบุญ แต่หวังเงิน ๑๐๐ กหาปณะ คิดในใจว่า เดี๋ยวเราจะไปเข้าเฝ้าได้ ๑๐๐ กหาปณะ ดีใจเดินอย่างเบิกบานไปวัดเชตวัน เดินไปวัด แล้วไปหาที่รื่นรมย์ หามุมสบายนอน ไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้คิดเรื่องบุญ เรื่องศีล พระบอกให้สมาทานอุโบสถศีลก็เอารับๆ ไปอย่างนั้นเอง ที่จริงต้องการเงินมากกว่าไปแอบนอน ณ มุมใดมุมหนึ่งในวัดพระเชตวัน ถืออุโบสถ พอถึงเช้าก็กลับบ้าน
พอเห็นลูกกลับมาก็บอกว่าให้บริวารไปรับ ไปจัดเตรียมอาหาร มีข้าวต้ม หรือมีอะไรก็เอามาเลี้ยงลูกชาย กลับจากถืออุโบสถศีลแล้ว บริวารก็นำอาหารมาให้นายกาละ นายกาละยกมือ ที่ตกลงกันไม่ใช่ตรงนี้ ถ้ายังไม่ได้ ๑๐๐ กหาปณะก็ยังไม่รับประทานอาหาร ได้รับเงินเสร็จแล้วจึงยอมรับประทานอาหาร
วันรุ่งขึ้นเศรษฐีคิดใหม่ ลูกกาละ วันนี้เอาไป ๑,๐๐๐ กหาปณะ ขอไปนั่งฟังธรรมอยู่ข้างหน้าพระบรมศาสดา แล้วเรียนมาสักข้อหนึ่ง จำให้ได้แล้วกลับมาเล่าให้พ่อฟัง นายกาละรีบไปวัดพระเชตวัน ต้องการแค่เงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ไปถึงก็นั่งหน้าเลยด้วยใจเบิกบาน แล้วก็ตั้งใจว่าจะจำธรรมะเพียงข้อเดียวพอ ถ้าจำได้แล้วก็กลับเลย
นายกาละฟังธรรมด้วยความตั้งใจว่า เราจะต้องจดจำหัวข้อธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนี้ให้ได้ พระพุทธเจ้าทรงทำให้นายกาละจำไม่ได้อีก เพื่อจะให้นายกาละเปลี่ยนความคิดว่า มาฟังธรรมะเพื่อจะเอาเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ ก็ทำให้นายกาละตั้งใจฟังธรรมเพิ่มเข้าไปอีก เราต้องจำให้ได้ ธรรมดาสมัยนั้น ใครฟังธรรมด้วยความตั้งใจแล้ว ย่อมได้ชื่อว่า เป็นผู้ฟังธรรมด้วยความเคารพ
การเป็นผู้ฟังธรรมด้วยความเคารพธรรมะ คือ ความรู้แจ้งที่เกิดจากการเห็นแจ้งของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติ หรือสิ่งที่เราจะได้เรียนรู้ว่า มีอะไรบ้างเกี่ยวกับความเป็นจริงของชีวิตแล้วจะปฏิบัติอย่างไร เพื่อจะให้บรรลุวัตถุประสงค์ตรงนั้น ถ้าไม่ตั้งใจฟังชื่อว่า ไม่ได้ทำความเคารพในธรรม ผู้ที่ตั้งใจฟังธรรมด้วยความเคารพ ย่อมส่งผลให้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เป็นต้น
พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมลุ่มลึกไปตามลำดับ แล้วสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แสดงธรรมสูงขึ้นไปจากท้องทะเลไล่ไปถึงชายหาด ถึงพื้นราบ ถึงเชิงเขา ถึงยอดดอย เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ฟังเพลิน เพราะว่าอยู่ในหัวข้อเดียวกันไม่จบสักที ฟังเรื่อยๆ สบายอกสบายใจ เลยได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน ตอนนี้นายกาละเป็นโสดาบันแล้ว
พอวันรุ่งขึ้น นายกาละได้กลับมาที่บ้านของตนพร้อมด้วยพระบรมศาสดา และเหล่าพระสาวก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีเห็นบุตรชายของตนก็รู้สึกชอบใจในอาการของบุตรมาก และคิดว่าวันนี้ลูกของเรามีหน้าตาผ่องใสเป็นพิเศษ ส่วนนายกาละกลับมีความคิดว่า ขออย่าให้บิดาของเรามอบเงินให้เราต่อหน้าพระบรมศาสดาเลย เพราะว่าเราอายจังเลย ที่รับจ้างฟังธรรม และขอให้ท่านปกปิดเรื่องที่เราไปฟังธรรม และรักษาอุโบสถเพราะต้องการเงินด้วยเถิด
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบอยู่แล้วว่า นายกาละไปฟังธรรมเพราะถูกบิดาจ้างไป ส่วนท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีได้สั่งบริวารจัดเตรียมข้าวต้มเพื่อเหล่าพระภิกษุสงฆ์ แล้วท่านก็ได้ถวายภัตตาหารแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยเหล่าพระสาวก จากนั้นท่านเศรษฐีจึงสั่งบริวารจัดเตรียมอาหารให้แก่บุตรของตน นายกาละรับประทานอาหารอย่างสงบเสงี่ยมซึ่งแตกต่างจากวันก่อน ต้องรับเงินก่อนถึงจะรับประทานอาหาร เมื่อพระพุทธองค์และเหล่าพระสาวกฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจึงสั่งให้บริวารนำเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะ มาวางไว้ต่อหน้านายกาละ แล้วกล่าวว่า “ลูกกาละ นี่คือ ๑,๐๐๐ กหาปณะตามที่พ่อได้สัญญาเอาไว้”
นายกาละเห็นบิดาให้ทรัพย์ต่อหน้าพระพุทธเจ้าก็อาย จึงกล่าวว่า “ผมไม่ต้องการเงินหรอก” “รับไปเถอะลูก ก็เราตกลงกันไว้อย่างนั้น”
“โปรดได้วางไว้ตรงนั้นก่อน แล้วโปรดอย่าพูดต่อด้วย พ่อสุดที่รัก”
แต่ท่านเศรษฐีกลับกราบทูลพระพุทธองค์ว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันนี้ข้าพระองค์รู้สึกภูมิใจในตัวลูกชายมาก เพราะเขามีท่าทางดูดีเป็นพิเศษกว่าทุกวัน” พระบรมศาสดาทราบอยู่แล้ว แต่ก็ทรงถามเพื่อจะปรารภเหตุให้ได้แสดงธรรม “อะไรหรือท่านเศรษฐี เรื่องอะไรหรือ” เลยเน้นเข้าไปอีก
ในวันก่อนข้าพระองค์ได้บอกบุตรชายว่า “ถ้าเจ้าสมาทานอุโบสถศีลแล้วไปวัด จะให้เงิน ๑๐๐ กหาปณะ พอวันรุ่งขึ้นเขากลับมายังไม่ได้รับเงินก็ไม่ยอมรับประทานอาหาร แต่มาวันนี้ข้าพระองค์ให้เงินแก่บุตร แต่เขากลับไม่ต้องการ”
“ใช่แล้วท่านเศรษฐี บัดนี้บุตรชายของท่านได้บรรลุโสดาปัตติผล ซึ่งประเสริฐกว่าสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิ ประเสริฐกว่าสมบัติใดๆ ในเทวโลก ตลอดจนถึงพรหมโลก” เสร็จแล้วพระองค์ก็ตรัสคาถาสอนธรรมสั้นๆ บทหนึ่งว่า “ปฐพฺยา เอกรชฺเชน สคฺคสฺส คมเนน วา สพฺพโลกาธิปจฺเจน โสตาปตฺติผลํ วรํ - ยิ่งกว่าเอกราชทั่วแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย ยิ่งกว่าอธิปไตยในโลกทั้งปวง คือพระโสดาปัตติผล”
เรียกว่าในภพทั้ง ๓ สมบัติใดๆ ทั้งหมดไม่ประเสริฐเท่าการบรรลุธรรม เพราะบุคคลที่บรรลุโสดาปัตติผลย่อมเป็นผู้ที่ปิดประตูอบายภูมิได้ แล้วจะเกิดอีกไม่เกิน ๗ ชาติ เป็นผู้มีคติแน่นอน คือ หลุดพ้นจากวัฎฎะ ส่วนความเป็นพระเจ้าจักรพรรดิได้ปกครองทวีปทั้ง ๔ ที่อยู่รอบเขาพระสุเมรุนั่น เมื่อสวรรคตแล้วย่อมไปสู่สุคติ เสวยทิพยสมบัติ แวดล้อมด้วยเหล่านางอัปสร พร้อมบำรุงบำเรอด้วยเบญจกามคุณ แต่ก็ยังวนๆ เวียนๆ อยู่ในวัฏสงสาร ถ้าหากพระเจ้าจักรพรรดิไม่ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการแล้ว ย่อมไม่พ้นจากนรก คือ ถ้าทำชั่วก็ยังต้องไปอบาย ย่อมไปเกิดในภูมิแห่งสัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย อบาย ทุคติ วินิบาต พระเจ้าจักรพรรดิถ้าทำชั่วแล้วก็ต้องไปเกิดในอบายภูมิ ๔
ส่วนพระอริยสาวก แม้จะนุ่งห่มผ้าบังสุกุลจีวร ยังชีพด้วยการบิณฑบาตด้วยลำแข้งของตน นุ่งห่มผ้าที่เขาทิ้งแล้ว เอามาซัก เอามาเย็บ เอามาย้อม เอามาอธิษฐานจิต แล้วก็ยังชีพอยู่ด้วยการบิณฑบาตด้วยลำแข้งของตน แต่ท่านประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ คือ
๑. มีความเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า โดยระลึกถึงพระพุทธคุณ
๒. มีความเลื่อมใสในพระธรรม โดยระลึกถึงพระธรรมคุณ
๓. มีความเลื่อมใสในพระสงฆ์ โดยระลึกถึงพระสังฆคุณ
๔. มีศีลที่ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย
อริยสาวกนั้นจึงเป็นผู้รอดพ้นจากนรก ไม่ไปเกิดในสัตว์เดรัจฉานหรือภูมิแห่งเปรต ไม่ไปเกิดในภูมิแห่งอสุรกาย ทุคติ วินิบาต
ดังนั้น บุตรชายของท่านผู้เป็นอริยสาวก ประกอบด้วยธรรม ๔ ประการ จึงประเสริฐกว่าราชสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิด้วยประการทั้งปวง คือ พระองค์กำลังจะตรัสบอกกับท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีว่า ที่บุตรชายไม่รับเงิน ๑, ๐๐๐ กหาปณะ เพราะว่าบัดนี้เธอได้เป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบันแล้ว
ในการจบพระธรรมเทศนา ชนเป็นอันมากได้บรรลุพระอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผล เป็นต้น ก็เป็นอันว่า ท่านเศรษฐีอนาถบิณฑิกะสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของลูกชายได้สำเร็จ หมดเงินไปเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่ก็คุ้ม เพราะหลังจากนั้น นายกาละ ลูกชายโทนของท่านก็เป็นอุบาสกคนสำคัญอีกคนหนึ่ง ผู้เป็นพ่อเองก็ “ตายตาหลับ” ว่าอย่างนั้นเถิด มีลูกไม่ดีนี่ อย่าว่าแต่จะตายตาไม่หลับเลย ขณะยังไม่ตายนี่แหละ กลุ้มอกกลุ้มใจดุจไฟลน เรื่องของโลกก็อย่างนี้แหละ ไม่มีบุตรชายก็กลุ้ม เพราะค่านิยมถือว่าบุตรชายเป็นผู้สืบสกุล ถึงกับพูดว่า “แต่งงานแล้วไม่มีบุตรสืบสกุล จะตกนรกขุมปุตตะ” พอมีบุตรชายมา บุตรชายไม่เอาไหน เกเรเกตุง ก็ “ตกนรก” อีกเช่นกันเพราะเหตุนี้แหละ เมื่อเทวดาองค์หนึ่งมากล่าวภาษิตถวายพระพุทธองค์ว่า “คนมีบุตรย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร” พระองค์ตรัสว่า ไม่ถูกดอก นั่นมันมองโลกแบบโลกียชน ในสายตาของพระอริยเจ้าแล้วท่านเห็นตรงกันข้าม ท่านเห็นว่า “คนมีบุตรย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร” ต่างหาก
ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทเมื่อไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ บวชมาก็จะมาเอาพระศาสนาหาเลี้ยงชีพนั้นน่ะ อันนี้มันเสียหาย มันเป็นตัวเป็นตน มันเป็นกาฝากของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ มันเป็นกาฝากของประเทศชาติ เป็นกาฝากของสังคม ชีวิตที่มีแต่จะเป็นผู้เอาน่ะ จิตใจมันก็อยู่ระดับเปรตประจำครอบครัว หรือว่าประจำบ้าน ทั้งส่วนราชการและการเมือง จึงต้องรู้จัก ถ้าไม่ถูกต้องเนี่ยมันคือความไม่ถูกต้อง เราต้องรู้จักคุณค่าความประเสริฐที่พวกเราได้เกิดมา เราต้องปรับเข้าหาเวลา ท่านหลวงตามหาบัว ท่านถึงว่า เอ๊อะนี้เวลาเท่าไรแล้ว เวลาท่านแข็งแรงอยู่ ท่านก็เทศน์ชั่วโมงหนึ่งอย่างนี้ เวลาท่านจะไปโน้นไปนี่ ท่านก็ดูนาฬิกา เวลาเดินทางไกล เช่นไปรับพระป่าช่วยชาติอย่างนี้ เวลาลงรถเขาก็ดูนาฬิกาว่าเท่าไร เพราะว่าเห็นคุณค่าในความถูกต้อง ท่านก็เอานาฬิกาเอาเวลาที่ต้องเสียสละอย่างนี้นะ
คนเรามันต้องมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ ที่จะทำประโยชน์ตน หรือประโยชน์ของท่านด้วยความไม่ประมาทเถิด คนเรามีตัวมีตนมันก็เป็นทุกข์ กว่าจะผ่านได้แต่ละวันมันมีความทุกข์ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง นั่งสมาธิมันก็เป็นทุกข์ ยังไม่ได้นั่งก็ทุกข์ก่อนแล้ว พระจะนั่งเนสัชชิกอย่างนี้ก็เป็นทุกข์ เพาะมีตัวมีตนมันก็ต้องทุกข์สิ ทำอะไรก็เป็นทุกข์ เพราะว่ามีตัวมีตนก็เป็นทุกข์ เพราะยังไม่รู้สัจธรรมไม่รู้ความจริงว่า ทุกอย่างนั้นเรากำลังหลงอยู่ ปล่อยให้ตัวเองคิดอย่างนี้ พูดอย่างนี้ ทำอย่างนี้ เราต้องพากันเข้าใจ หลวงพ่อถึงบอกว่า เอ้ย... ให้พวกเรามาประพฤติมาปฏิบัติ พวกเราต้องพากันเข้าใจนะ เรานี่มาเป็นกาฝากสังคมไม่ได้ ตัวตนนี่คือกาฝากของสังคม จะคอยมารับประเคนน่ะ คอยรับประเคนคอยเอาของจากประชาชน คอยพึ่งบารมีของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ ไม่ได้มายกเลิกตัวตน มันคือไม่ถูกต้อง เราต้องมาเสียสละ ยกเลิกตัวตน ต้องเข้าใจ ทุกคนต้องมีวัตร วัตรคือข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ก็มีสุข อันไหนไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำ แล้วก็ทำการทำงานให้มีความสุขอย่างนี้ มาบวชอยู่ที่วัดทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะว่า นึกว่าการปล่อยวางคือไม่ทำอะไรน่ะ น้ำประปาเสียก็แก้ไม่ได้ ไฟฟ้าเสียก็แก้ไม่ได้ อะไรอย่างนี้ จะคอยรับแต่ประเคนอย่างเดียวนี้ ไม่ได้ๆ
ทุกคนต้องมีความสุขในการเสียสละตัวตน มันถึงจะเป็นพระ เป็นพระก็ต้องยกเลิกตัวตน ถ้าไม่ยกเลิกตัวตน นั่นแหละคือเรากำลังเป็นโจร เป็นเปรต ผี เป็นยักษ์ เป็นมาร เป็นอสุรกาย ทุกคนไปมองเห็นแต่รูปฝาผนังโบสถ์สวยๆ ที่เขาเขียนไว้ว่า เปรตเป็นอย่างนั้น ยักษ์เป็นอย่างนี้ อย่างนี้เราไม่รู้ความจริงเลย
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องเปรต คำว่า “เปรต” ภาษาบาลีเขียน เปต แปลตามตัวว่า “ผู้ล่วงลับไปแล้ว” คือผู้ที่ตายแล้ว ใช้เป็นคำกลางๆ หมายถึงคนที่ตายไปแล้ว ไม่ว่าตายดี ตายไม่ดี ไม่ว่าคนดี คนชั่ว เมื่อตายแล้วเรียกว่า “เปรต” เหมือนกันหมด การทำบุญให้ญาติมิตรเราก็เรียกว่า ทำบุญอุทิศให้เปรต ซึ่งหมายถึงทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย มิได้มีความหมายในทำนองเหยียดว่าญาติของเราเป็นเปรต (ในความหมายที่เราเข้าใจส่วนมาก) แต่อย่างใด ทางปักษ์ใต้มีพิธีทำบุญ “ชิงเปรต” ก็มีความหมายในนัยที่ว่านี้ แต่ “เปรต” มันมีอีกความหมายหนึ่งคือคนที่ทำบาปทำกรรมตายไปแล้วไปเกิดใน “ปิตติวิสัย” (ภพภูมิแห่งเปรต) เป็นทุคติภูมิทำนองเดียวกับพวกสัตว์นรก
ถามว่า คนทำบาปกรรมอะไรจึงมาเกิดเป็นเปรต พระคัมภีร์กล่าวไว้หลายประเภท คนที่ยักยอกเอาของสงฆ์ตายไปก็เกิดเป็นเปรต ส่วนมากก็เป็นพระภิกษุสมภารเจ้าวัดนั่นแหละ ดูแลเงินทองของวัด แรกๆ ก็คงไม่คิดอะไร พอนานเข้าก็โลภอยากได้ แพ้ต่อมโนธรรมของตนก็ยักยอกเอามาเป็นของตนเสีย ตายไปไม่แคล้วเป็นเปรต ไม่อย่างนั้นเราจะมีคำพูดว่า “เปรตวัดสุทัศน์” หรือ
มีเรื่องจริงเขาเล่าให้ฟังนานแล้ว มรรคนายกวัดแห่งหนึ่ง เอาเงินวัดไปเข้าแบงก์กินดอกเบี้ย เงินยังอยู่แต่ดอกเบี้ยได้เท่าไรแกเอามาเป็นของตัวหมด อยู่มาวันหนึ่งแกป่วยหนักด้วยโรคประหลาด คือขี้ไหลตลอด กินอะไรลงไปก็ไหลออกหมด จนกระทั่งตาย ก่อนตายแกเพ้อคล้ายสั่งลูกหลานว่า “ใช้ดอกเบี้ยๆ” แล้วก็สิ้นลม มรรคนายกนี้ตายไปเกิดเป็นเปรต
ลูกหลานก็ไม่ทราบว่าแกสั่งลาอะไร ดอกเบี้ยอะไร พอสมภารท่านทราบ ท่านก็ไม่ว่าอะไร สั่งให้ลูกหลานทำสังฆทาน สั่งให้ใส่ปัจจัย (เงิน) เท่าจำนวนที่ท่านคิดว่าเป็นดอกเบี้ยธนาคารที่แกเอาไป โดยที่ลูกหลานไม่ทราบ
เปรตอีกตัวหนึ่ง อ่านแล้วอดขำมิได้ คือมีลูกอัณฑะโตเท่าตุ่มน้ำ ลำบากลำบนมาก ไปไหนก็แบกอัณฑะไปด้วย เวลานั่งก็นั่งบนอัณฑะของตัวเอง เมื่อมีผู้ทูลถาม พระพุทธองค์ตรัสว่า ชาติก่อนเปรตตัวนี้เป็นผู้พิพากษา พิจารณาอรรถคดีไม่ยุติธรรม ตายไปจึงเกิดเป็นเปรตดังกล่าว
เปรตพวกนี้มีอยู่ ๒ ชนิด คือ
(๑) ปรทัตตูปชีวีเปรต ที่ต้องอาศัยผลบุญที่มีคนอุทิศให้ ไม่มีปัญญาหากินเอง ถึงจะพยายามหาอาหารกินก็คงไม่ได้ เพราะผลกรรมบันดาลให้เขาต้องอดอยากปากหมอง ทุกข์ทรมาน พวกนี้ถึงอยากกินก็ไม่ได้กิน เพราะฉะนั้นท่านจึงมีสัญลักษณ์ให้รู้ว่า มีปากเท่ารู้เข็ม มีพุงโตเหมือนภูเขา คืออยากมาก อยากกินให้พุงป่องเลย แต่กินไม่ได้เพราะปากมันเล็กว่าอย่างนั้นเถอะ
(๒) เวมานิกเปรต (เปรตมีวิมาน) เปรตพวกนี้แปลก ท่านว่ากลางวันพวกเขาจะได้รับทุกข์ทรมานมาก เช่นเดียวกับสัตว์นรกนั่นแหละ แต่พอตกกลางคืนมาก็มีวิมานสวยหรูอยู่ เสวยสุขดังชาวสวรรค์ พอเช้าขึ้นมาความสุขเหล่านั้นก็วับหาย ต้องมาทุกข์ทรมานต่อไป
ทำให้นึกถึงบุคคลในสังคมสมัยนี้ มีชีวิตอยู่ดุจ “เวมานิกเปรต” ไม่ผิดเพี้ยน กลางวันก็ทำงานหน้าดำคร่ำเครียด ตกกลางคืนก็เที่ยวดื่มเที่ยวกินตามโรงแรมหรูๆ ร้านอาหารหรูๆ แพงๆ บางแห่งก็มีดนตรีขับกล่อมให้สบายหู มีสาวเสิร์ฟสวยๆ คอยเสิร์ฟอาหารให้ ยังกับอยู่ในวิมานไม่มีผิด ตำรายังกล่าวว่า เปรตพวกนี้เหาะได้ด้วย สมัยนี้ก็มีรถไง พาเหาะพาซิ่งจากที่นั่นที่นี่ตามต้องการ หรือไม่ก็ขึ้นเรือเหาะไปถึงต่างประเทศก็ได้ เหาะไปปรึกษาการบ้านการเมืองกันต่างแดนก็มี ดูแล้วมันก็เปรตประเภทมีวิมานเราดีๆ นี่เอง
ถ้าเราไม่รู้ความจริงเลย ไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้จักเลยว่า พระนั้นคืออะไร พระน่ะเขาเอาตั้งแต่พระโสดาบัน จนถึงพระอรหันต์ พวกเรามาแต่งตั้ง ทำยังไงมันก็เป็นพระไม่ได้ ถ้ามาเอาตัวเอาตน มันก็ได้แต่เป็นพวกคนหัวห่มผ้าเหลือง แล้วสถานะทางด้านจิตใจ เราก็ไปเป็นเปรตประจำวัดเฉยๆ เราต้องเข้าใจ อย่าไปหลงตัวหลงตนเหมือนกับ เขาแสดงหนังก็คือแสดงหนัง แสดงละครก็คือแสดงละคร ให้เข้าใจอย่างนี้นะ เพราะว่าถ้าเขาสมมติให้เราเป็นพระ เราก็ต้องเป็นพระสิ ยกเลิกตัวตน พากันมาเสียสละ
พวกมาอยู่วัด มาอาศัยวัด ก็ให้เข้าใจนะ มาอาศัยวัดเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ไม่ใช่มาอาศัยวัดเพื่อหลงธาตุลงขันธ์ เพราะอาศัยบารมีของพระพุทธเจ้า ของครูบาอาจารย์ อย่างนี้ไม่ได้ ต้องเอาสถานที่สัปปายะ ธรรมะสัปปายะ อาหารสัปปายะ แล้วก็มายกเลิกตัวตนอย่างนี้ ถ้าไม่งั้นมันฟุ้งซ่าน พากันแต่เล่นโทรศัพท์ แต่ไลน์โทรศัพท์ พากันไปเยี่ยมลูก เยี่ยมหลาน พากันไปหาแต่หมอ อะไรอย่างนี้นะ มันไม่รู้จักว่าหมอที่แท้จริงก็อยู่ที่เรานี่แหละ อันไหนไม่ดีเราก็อย่าเอาลงในปากของเรา อันไหนไม่ดีก็อย่าไปพูด ไปคิด ไปทำเลย ต้องยกเลิกตัวตน เพราะไปแก้ปัญหาปลายเหตุโดยไม่ได้แก้ไขตนเอง มันเป็นพระไม่ได้ เพราะชีวิตของเราในชีวิตประจำวันเป็นของมีค่า เราจะปล่อยเวลามันผ่านไปยังไงได้ ต้องรู้จักว่าสิ่งที่ประเสริฐได้เกิดขึ้นแก่เรา ร่างกายที่เราเป็นมนุษย์ จึง ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจไม่ได้ มันเสียหาย เราก็ต้องเห็นความสำคัญ อย่ามาอาศัยพระศาสนาหาอยู่ฉัน เราทุกคนจะต้องตั้งอกตั้งใจอย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee