แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันอาทิตย์ที่ ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การประพฤติการปฏิบัติธรรม หรือว่าการปฏิบัติหน้าที่การงาน หรือว่าความคิด คำพูด กิริยามารยาท ให้เราทุกคนพากันเข้าใจว่า เราต้องพัฒนาใจพร้อมทั้งพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ใจนั้นคือนามธรรม กายนั้นคือรูปธรรม ๒ อย่างนี้ต้องพัฒนาไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าทางสายกลาง ทุกท่านทุกคนต้องเห็นความสำคัญในการประพฤติในการปฏิบัติ เริ่มต้นจากความคิด คำพูด การกระทำ ทุกคนจะได้เอาพุทธะทางจิตใจ พุทธะทางวัตถุ เพื่อสติเพื่อสัมปชัญญะของเราทุกคนจะได้สมบูรณ์ ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะสิ่งเหล่านี้คือความถูกต้องแล้วปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้ยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง ยกเลิกความเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ส่วนที่เป็นนามธรรมจะได้เป็นการทำที่สุดแห่งความทุกข์ ส่วนที่เป็นรูปธรรมจะได้เป็นการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ ที่เป็นทางสายกลาง ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก จะเอาความรู้สึกที่มันเป็นเรา เป็นสุข เป็นทุกข์ หนาว ร้อน ความสบาย ความไม่สบาย ในส่วนทางร่างกายหรือว่าในส่วนทางวัตถุ มาเป็นเราเป็นของเรานั้นไม่ได้ เพราะกายก็เป็นส่วนของกาย ใจก็เป็นส่วนของใจ กายเขาก็ทำหน้าที่ของกาย ขันธ์ทั้ง ๕ เขาก็ทำหน้าที่ของขันธ์ทั้ง ๕ อายตนะ ๖ เขาก็ทำหน้าที่ของอายตนะ ๖
ทุกท่านทุกคนต้องมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ใจของเราทุกคน ต้องมีพุทธะ ต้องมีปัญญา เพื่อเราจะได้รู้จักพระไตรลักษณ์ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หากเป็นธาตุ เป็นขันธ์ เป็นอายตนะ ที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีปัญญาอย่างนี้ ทุกท่านทุกคนนั้นให้พากันถือเอาพระรัตนตรัย เป็นการดำเนินชีวิต พระรัตนตรัยก็ได้แก่ พุทธะ ที่ยกเลิกตัวตน มีความเข้าใจว่า ธาตุ ขันธ์ อายตนะ นั้นไม่ใช่เรา นั้นคือเหตุคือปัจจัย ทุกๆ คนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่เป็นธรรมะ ที่เป็นสังฆะ ที่เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรม ปัจจุบันเป็นการประพฤติ เป็นการปฏิบัติของเรา ใจของเราทุกคน ทุกคนต้องพากันรู้จัก เราอย่าปล่อยให้ใจของเราคิด ปล่อยให้ใจของเรานึกปล่อยให้ใจของเราปรุงแต่งตามอวิชชาตามความหลง
ทุกๆ คนต้องเห็นความสำคัญในความคิด เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ไม่สามารถที่จะทำอะไรตามเวลาได้ เพราะตัวตนนี้มันคือสีลัพพตปรามาส ซึ่งเป็นการลูบคลำในศีล ในข้อวัตรในข้อปฏิบัติ เมื่อทุกคนปล่อยให้ตัวเองคิด ปล่อยให้ตัวเองปรุงแต่ง มันก็ล้มเหลวตั้งแต่ต้นทางแล้ว ปล่อยให้ตัวเองอยู่ในความประมาท ระบบความคิดเป็นสิ่งที่สำคัญ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าหยุดนึก หยุดคิด หยุดตรึกในกาม ในพยาบาท เพราะเรื่องความคิดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อเรามีความคิดเห็นผิด เขาใจผิด เราไม่เห็นความสำคัญ ในความคิด ในความตรึกนี้ไม่ได้ ความนึกคิดความตรึกในกามในพยาบาท นี้เป็นสิ่งที่สำคัญ เราทุกคนเห็นตัวอย่าง ที่ไม่เห็นความสำคัญในความคิด ดูผลกรรมหลายเดือนหลายปี ถึงเป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้า โรคกรดไหลย้อน โรคนอนไม่หลับ พากันเป็นโรคจิตโรคประสาท เพราะการตรึกในกาม ในพยาบาท เพราะหมกมุ่นในการกาม ในพยาบาท เราไม่เห็นความสำคัญในเรื่องจิตเรื่องใจ ในเรื่องความถูกต้อง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ เพราะความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด ตัวตนมันทำให้ทุกคนมีความอยาก พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้ยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง ยกเลิกตัวตน เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ความขี้เกียจขี้คร้านก็ต้องมีกับเราทุกๆ คน ตัวตนมันทำให้เราทุกข์ยากทำให้เราลำบาก ทำให้เราจนทั้งจิตใจทั้งคุณธรรม มันทำให้เราคิดว่า สิ่งที่อำนวยความสะดวกสบายนี่เป็นทางสายกลาง สิ่งเหล่านี้มันมาจากมิจฉาทิฏฐิ ความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง แล้วพากันปฏิบัติไม่ถูกต้อง นี้เป็นผลกรรมแห่งอวิชชา แห่งความหลงของเราทุกๆ คน
เราทุกคนต้องพากันเข้าใจ เราจะเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะนี้ครองเรา ด้วยอวิชชาด้วยความหลงนี้ไม่ได้ ทุกคนต้องสละคืนเสียซึ่งตัวซึ่งตน พระพุทธเจ้าปฏิบัติเป็นตัวอย่างแบบอย่างจนได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันตขีณาสพ ผู้ที่ฟังพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ จนได้ถึงพระรัตนตรัย เป็นพุทธะ ธรรมะ สังฆะ เราต้องเอาตัวอย่างแบบอย่างของท่าน ทุกท่านทุกคนไม่ต้องไปแก้ที่ใคร เพราะปัญหาต่างๆ มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น มันอยู่ที่เรา เราเกิดมาจะมาทำตามสัญชาตญาณ ทำตามความหลงมันไม่ได้ ทุกๆ คนต้องพากันมาหยุดตัวเอง มายกเลิกความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เอาความหลงเป็นที่ตั้ง มันก็วิ่งไม่รู้จักจบ มันก็มีแต่ทุกข์เกิดขึ้น ทุกข์ที่ตั้งอยู่ และทุกข์ที่ดับไป เพราะความหลงมีแต่ทุกข์ ทุกท่านทุกคนต้องพากันจัดการตัวเองในปัจจุบัน ปัจจุบันเราต้องยกเลิกตัวตน เราทำตามสัญชาตญาณไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัญชาตญาณของการกิน การนอน การพักผ่อน มีภรรยาสามี แก่ เจ็บ ตาย พลัดพราก มันมีความหลงเป็นอาหาร มีความทุกข์เผาจิตเผาใจทั้งวันทั้งคืน เราต้องพัฒนาใจของเรา แล้วพัฒนาวัตถุที่อำนวยความสะดวกความสบายแก่ร่างกายของเรา พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราว่าให้พากันมารู้อริยสัจ ๔ อย่างนี้ เราทุกคนจะได้ว่างจากตัวตน ว่างจากธาตุ ว่างจากขันธ์ ว่างจากอายตนะ นี้เป็นปัญญา สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ยกทุกอย่าง เรื่องเหตุเรื่องปัจจัย สู่พระไตรลักษณ์ ต้องวางจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ไม่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่
การอธิบายพระนิพพานมันเป็นเรื่องยาก พระนิพพานนั้นได้ยกเลิกสมมติ มันเป็นการหยุดอวิชชา หยุดความหลง เป็นการใช้สมมติ เพื่อดำเนินทางไปสู่มรรคผลนิพพาน เพื่อให้สะดวกในการทำธุรกิจหน้าที่การงานอย่างมีความสุข คำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอนพวกเรา จึงไม่ใช่คำสอนแบบนักปรัชญา มันเป็นความรู้ความเข้าใจ แล้วยกเลิกตัวตน แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ปัจจุบันเราจะมองข้ามไม่ได้ ความรู้สึกนึกคิด เราต้องปรับตัวเข้าหาเวลา เข้าหาธรรมะ ความที่เป็นตัวเป็นตนของเรา ทำให้เราทุกคนเป็นคนขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่าใดที่เป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้าน ธรรมเหล่านั้นคือนิติบุคคลคือตัวคือตน ให้พวกเราเข้าใจนะ เราขี้เกียจขี้คร้าน ใจของเรามันก็สกปรก วาจากิริยามารยาทก็สกปรก ที่อยู่ที่นอนห้องน้ำห้องสุขาถ้วยโถโอชามมันก็สกปรก ตัวตนมันกลับมาทำลายพวกเราที่เอาความรู้สึกนึกคิด มันกลับมาทำร้ายพวกเรา เราอย่าไปคิดว่า เพราะใจมันก็เป็นเรื่องของเรา คนอื่นเขาไม่รู้กับเรา เราจะปล่อยให้ตัวเองคิดอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง ความรู้สึกความสุขความทุกข์อย่างนี้ ความขี้เกียจขี้คร้าน มีความเอร็ดอร่อย ความแซ่บ ความลำ ความนัว เราต้องรู้จัก เราจะได้ยกเลิกนิติบุคคลยกเลิกตัวตน เราจะปล่อยให้สิ่งเหล่านี้มันครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะเราไม่ได้ ให้ทุกคนพากันรู้อริยสัจ ๔ เรามีตัวตน มันก็ต้องมีความทุกข์อย่างนี้ เรามีตัวมีตน เราก็ว่าการปฏิบัติธรรมมันไม่มีมรรคผลนิพพาน ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวยกเลิกตนมันก็ยาก
ความทุกข์เป็นสิ่งที่มีอยู่จะให้ไม่มีได้ยังไง รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณเป็นสิ่งที่มีอยู่ จะให้ไม่มีได้ยังไง เพราะมันมีเหตุมีปัจจัย เพราะอายุขัยยังมีอยู่ ทุกข์เป็นสิ่งที่ต้องรู้จัก ต้องกำหนดรู้ ความรู้นี้เรียกว่าพุทธะ รู้แล้วก็หยุด เราไม่ได้เพิ่ม เราไม่ได้ตัดออก พระพุทธเจ้าถึงว่าทุกข์เป็นสิ่งที่กำหนดรู้ ความมืดมันก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ เมื่อความสว่างเกิดขึ้น ความมืดมันก็ไม่ได้มี เราไม่ได้เพิ่มไม่ได้ตัดออก มันเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ที่ยกเลิกตัวตนความเพลิน ความเอร็ดอร่อย มันทำให้ทุกๆ คนหลงในสิ่งเสพติด พระพุทธเจ้าถึงให้เรามีสติมีสัมปชัญญะให้เต็มที่ ให้ทุกคนเอาปัจจุบันให้ได้ ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับตัวเข้าหาเวลา อย่าตรึกในกามในพยาบาท ยกสิ่งเหล่านี้ขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ นี้คือข้อสอบข้อตอบ ที่ปัญจวัคคีย์ได้แจ่มแจ้งแก่ใจว่า จักษุเกิดขึ้นแล้วแก่เรา ญาณปัญญาเกิดขึ้นแล้วแก่เรา วิชชา แสงสว่างเกิดขึ้นแล้วแก่เรา
เราต้องบังคับตัวเอง คอนโทรลตัวเอง เหมือนไก่มันฟักไข่ ๓ อาทิตย์มันถึงออกลูกมาเป็นลูกไก่ เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติตามอริยมรรค มรรคที่รวมกันเป็นศีลสมาธิปัญญา เรียกว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ เช่น เรานั่งสมาธิอย่างนี้ ให้รู้จักความสงบของสมาธิ สมาธิเป็นการมายกเลิกตัวตน เช่นว่าเราจะนั่งครึ่งชั่วโมงหรือ ๓๐ นาที ยกเลิกตัวตนสักครึ่งชั่วโมง เมื่อออกจากสมาธิถ้าเราไม่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราไม่รู้เรื่องพระไตรลักษณ์ เรายังมีตัวตน มันก็คือหินทับหญ้า ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทิ้งอดีต ทิ้งอนาคต เข้าสู่ปัจจุบัน ศีลถึงเป็นการยกเลิกตัวตน ให้พวกเราเข้าใจความหมายของศีลของสมาธิ ถ้าไม่เข้าใจความหมายของศีลของสมาธิ เรารักษาศีล ทำสมาธิ ก็เพื่อตัวเพื่อตน อย่างนั้นมันไม่ได้ เราต้องรู้เรื่องของศีล ต้องรู้เรื่องของสมาธิ ต้องรู้เรื่องของปัญญา เราจะปล่อยให้ใจของเรามีตัวตนไม่ได้ ต้องจัดการตัวเองคอนโทรลตัวเองเข้าหาธรรมะ เข้าหาพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ด้วยใจด้วยเจตนา เพื่อให้เข้าถึงพระนิพพาน ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อตัวเพื่อตน นั้นไม่ได้ การรักษาศีลด้วยความตั้งใจอย่างนี้ มันมีความสุขมาก เพราะไม่มีตัวตนครอบงำ การทำอย่างนี้แหละมันเป็นฐานของสมาธิ การรักษาศีลมันเป็นฐานของสมาธิโดยอัตโนมัติ ชีวิตของเรามันจะยกเลิกนิวรณ์ทั้ง ๕
นิวรณ์ คือ เครื่องกั้นศักยภาพของจิตไม่ให้บำเพ็ญกุศลขั้นสูง คือ ฌาน วิปัสสนา มรรค และผล บุคคลที่ถูกนิวรณ์ครอบงำย่อมไม่รู้ประโยชน์ตนและผู้อื่น ไม่อาจบรรลุสมาธิและปัญญา นิวรณ์มี ๕ ประการ คือ
๑. กามฉันทะ คือ ความยินดีพอใจในกาม คือ สิ่งที่น่าชอบใจอัน ได้แก่ รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย และสิ่งที่สัมผัสอ่อนนุ่ม จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำ จะมีสภาพถูกปรุงแต่งไปตามอารมณ์นั้นๆ เหมือนน้ำที่ผสมด้วยสีต่างๆ
๒. พยาบาท คือ ความไม่พอใจ หงุดหงิด ขุ่นเคือง คิดประทุษร้าย ปองร้าย จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำจะมีสภาพกระวนกระวาย เหมือนน้ำต้มที่กำลังเดือดพล่าน
๓. ถีนมิทธะ คือ ความง่วงซึมเซา จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำจะมีสภาพไม่แจ่มใส เหมือนน้ำที่มีจอกแหนปกคลุม
๔. อุทธัจจกุกกุจจะ คือ ความฟุ้งซ่านเดือดร้อนใจ จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำมีสภาพไม่สงบนิ่ง เหมือนน้ำที่ถูกลมพัดเป็นระลอกคลื่น
๕. วิจิกิจฉา คือ ความลังเลสงสัยในพระพุทธเจ้าผู้ทรงรู้แจ้งธรรมทั้งปวง สงสัยในพระธรรมคือมรรคผลนิพพาน สงสัยในพระอริยสงฆ์ผู้บรรลุธรรม สงสัยในรูปนามด้วยเหตุจากอวิชชา สงสัยในแนวทางการปฏิบัติ หรือสงสัยในคำแนะนำของครูบาอาจารย์เป็นตัน จิตที่ถูกนิวรณ์นี้ครอบงำมีสภาพตัดสินใจไม่ได้ เหมือนน้ำที่ถูกวางไว้ในที่มืดผสมด้วยโคลนตม
ในสังคารวสูตร พระพุทธองค์ตรัสว่าบุรุษผู้มีจักษุไม่อาจเห็นเงาใบหน้าได้ในน้ำที่ผสมด้วยสีต่างๆ ในน้ำที่ถูกต้มจนเดือดพล่าน ในน้ำที่มีจอกแหนปกคลุม ในน้ำที่ถูกลมพัดเป็นระลอกคลื่น และในน้ำที่ผสมด้วยโคลนตมอยู่ในที่มืด ฉันใด บุคคลย่อมไม่รู้ประโยชน์ตน ประโยชน์คนอื่นประโยชนทั้งสองฝ่าย และไม่เกิดปัญญาหยั่งเห็นสภาวธรรมอย่างแท้จริง ด้วยอำนาจของนิวรณ์ ฉันนั้น
ใจของเราจะอยู่ในความสงบ อยู่ในขณิกสมาธิ อยู่ในอุปจารสมาธิ คือรู้เรื่องอริยสัจ ๔ รู้เรื่องอนิจจัง รู้เรื่องทุกขัง รู้เรื่องอนัตตา จิตใจของเราจะอยู่ในฐานอย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจอย่างนี้ เราอย่าไปรักษาศีลเพื่อตัวตนอย่างนี้ อย่าทำสมาธิเพื่อตัวตนอย่างนี้ ทำธุรกิจหน้าที่การงานเพื่อตัวเพื่อตนอย่างนี้ ให้เข้าใจเหมือนท่านอาจารย์ชา แห่งวัดหนองป่าพง ที่ฝรั่งถามท่านอาจารย์ชาว่า เป็นพระโพธิสัตว์กับเป็นพระอรหันต์อันไหนดีกว่ากัน หลวงพ่อชาบอกว่า เป็นอะไรมันก็เป็นความทุกข์ทั้งหมด หลวงพ่อชาบอกว่าอย่าเป็นอะไรเลย มันเป็นความทุกข์ การรักษาศีลเพื่อตัวเพื่อตน การทำสมาธิเพื่อตัว เพื่อตน การทำอะไรทุกอย่างเพื่อตัวเพื่อตน มันยังเป็นการลงทุน มันยังเป็นโลกธรรม พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะได้ใช้ร่างกายที่ประเสริฐที่เกิดมาบำเพ็ญบารมี ใช้ธาตุ ใช้ขันธ์ บำเพ็ญบารมี เพื่อมรรคเพื่อผลเพื่อนิพพาน เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งทุกอย่างมันก็เป็นของยาก เพราะมันมีแต่ทุกข์ เพิ่มทุกข์ เขาเรียกว่ามันเป็นการสร้างครอบครัว ความเห็นไม่ถูกต้อง ความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง เขาเรียกว่าครอบครัว ครอบครัวนี้แปลว่าฆราวาส คาแปลว่ามันไปไม่ได้ อวิชชาความหลงมันครอบไว้ไปไม่ได้ พระอรหันต์ขีณาสพ ท่านถึงยกเลิกตัวตน ยกเลิกความหลง ที่ความหลง โลกจะครอบงำเรา คือยกเลิกครอบครัว ปัจจุบันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ จะปล่อยให้ตัวเองนึกตัวเองคิดไม่ได้ การประพฤติการปฏิบัติ ก็เน้นที่ปัจจุบัน เน้นศีล พรหมจรรย์ของเราถึงจะสมบูรณ์ เน้นสมาธิ เน้นปัญญา พรหมจรรย์ของเราถึงจะสมบูรณ์ เราจะปล่อยให้ความไม่ถูกต้องของเรามันผ่านไปด้วยความคิดเห็นไม่ถูกต้อง ไม่ได้
เรามองดูไปทางภายนอก ต้นไม้ ใบไม้มันเล็กนิดเดียว เซ็นเดียว เมื่อได้น้ำ หลายปี ๑๐ ปี ๒๐ ปี ต้นไม้มันก็ใหญ่สูง ๓๐ เมตร ๔๐ เมตร ๕๐ เมตร ใบไม้ทั้งหลายก็กลายเป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ไป เปรียบเหมือนกับความหลง มันก่อภพ ก่อชาติเป็นต้นไม้ใหญ่สูงตระหง่าน เต็มป่าดงพงไพร ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ก็เหมือนกับใบไม้ที่เป็นปุ๋ยให้กับต้นไม้ เราทุกคนอย่าพากันมองข้ามความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ต้องคอนโทรล ต้องควบคุมตัวตนให้สมบูรณ์ ปัจจุบันให้มีความสุขในการเจริญสมาธิ เจริญปัญญา ท่านถึงบอกพวกเราว่า ทำตามใจตัวเองตามความรู้สึกไม่ได้ มันเสียหายอย่าไปว่า โอ้...ทำอย่างนี้มันก็มีความทุกข์สิ มันทุกข์แน่ ถ้าเรามีตัวตน เพราะมีตัวตนมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ มันตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า มันจะดับทุกข์ได้ยังไง มันเป็นไปไม่ได้ มันมีแต่เพิ่มทุกข์
ทุกคนต้องควบคุมตัวเอง คอนโทรลตัวเอง เอาพระไตรลักษณ์มาซัก มาฟอก เขายังมีแฟบ มีสบู่ มีเคมีมาซักให้ผ้าสะอาด ใจเราให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พระไตรลักษณ์นี่แหละที่จะมาซักฟอก ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ อย่าปล่อยให้ตัวเองผ่านไปโดยไม่ได้ก็ไม่ได้ปฏิบัติ เพื่อทุกคนจะได้หยุดไสยศาสตร์ หยุดอวิชชาความหลงให้กับตัวเอง ทุกคนถึงต้องเข้าใจเรื่องการประพฤติการปฏิบัติ อย่างหลวงพ่อกัณหาพาทำนี้น่ะ หลวงพ่อกัณหาก็ทำตามพระพุทธเจ้า ไม่ได้ทำตามตัวเอง เช่นหลวงพ่อพาพระไปเดินธุดงค์ เวลาเย็นกางกลด ทำอะไรๆ ต่างๆ เมื่อถึงเวลาเดินทาง พระลืมของอยู่ในป่า ถึงเป็นระยะทาง ๒๐-๓๐ กิโลเมตร ก็ให้เดินมาหา เพื่อให้ได้รู้จักเรื่องจิต เรื่องใจเรื่องสัมปชัญญะ ไม่ปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านสติปัญญาไม่มี ฉะนั้น เราจะไปปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านสติปัญญาไม่มี ปล่อยให้ห้องน้ำห้องสุขาสกปรกได้ยังไง ปล่อยให้ตัวเองเข้าศาลาช้าได้ยังไง การฝึกใจการปฏิบัติใจต้องไปพร้อมๆ กัน เพื่อยกเลิกนิติบุคคล ยกเลิกตัวตน ทุกท่านทุกคนต้องยกเลิกตัวตนถึงมีความสุขได้ ถ้าไม่ยกเลิกตัวตนจะมีความสุขได้ยังไง ถ้าเอาตัวเอาตน มันก็จะมีความอร่อย ความแซ่บ ความลำ ความนัว ความหร่อย
ทุกคนก็ต้องพากันเห็นภัยในวัฏสงสาร ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก มันเป็นความทุกข์ มันเป็นเรื่องที่ไม่รู้จักจบสิ้น มันเล่นงานเรา ทุกคนต้องเห็นภัยในวัฏสงสาร ต้องรู้จักอริยสัจ ๔ อย่างนี้ เราจะปล่อยให้ตัวเองมีแต่อวิชชา มีแต่ความหลงไปเรื่อย ไม่รู้จักจบไม่ได้ ทุกๆ คนต้องรู้จักอริยสัจ ๔ ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ อย่างนี้ ปล่อยให้มันทำงานไปเรื่อย เราทุกคนให้พากันรู้นะ เราสร้างความฉิบหายวายวอดให้กับตัวเอง เรายังไม่รู้เรื่อง ยังมีหน้ามายิ้มแย้มแจ่มใสให้กับตัวเอง มันเป็นความเสียหาย มันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เรามาหลงขยะ หลงอวิชชา มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้ามาตรัสบอกตรัสสอน เพราะเรายังไม่เข้าใจ เราไม่ใช่คนฉลาดนะ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไฟเสมอด้วยราคะไม่มี โทษเสมอด้วยโทสะไม่มี ทุกข์เช่นด้วยขันธ์ไม่มี สุขยิ่งกว่าความสงบไม่มี ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง สังขาร (ความปรุงแต่ง) เป็นทุกข์อย่างยิ่ง, บัณฑิตทราบเนื้อความนี้ตามความเป็นจริงแล้ว ย่อมทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน เพราะนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง, ลาภทั้งหลายมีความไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง ทรัพย์มีความสันโดษเป็นอย่างยิ่ง ญาติทั้งหลายมีความคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง” (สุขวรรค, ธรรมบท)
บาทพระคาถาว่า ชิฆจฺฉา ปรมา โรคา ความว่า เพราะโรคอย่างอื่นรักษาคราวเดียวก็หาย หรือว่าอันบุคคลย่อมบำบัดได้ ด้วยความสามารถแห่งองค์นั้นๆ (คือเป็นครั้งคราว), ส่วนความหิวต้องรักษากันสิ้นกาลเป็นนิตย์ทีเดียว เหตุนั้น ความหิวนี้จึงจัดเป็นเยี่ยมกว่าโรคที่เหลือ.
บทว่า อาโรคฺยปรมา ความว่า มีความเป็นผู้ไม่มีโรคเป็นอย่างยิ่ง, จริงอยู่ ลาภทั้งหลาย แม้มีอยู่แก่คนมีโรค ไม่จัดเป็นลาภแท้ เพราะฉะนั้น ลาภทั้งปวงจึงมาถึงแก่คนไม่มีโรคเท่านั้น
บาทพระคาถาว่า สนฺตุฏฺฐิปรมํ ธนํ ความว่า ภาวะคืออันยินดีด้วยวัตถุที่ตนได้แล้ว ซึ่งเป็นของมีอยู่แห่งตน ของคฤหัสถ์หรือบรรพชิตนั่นแล ชื่อว่าสันโดษ, สันโดษนั้นเป็นทรัพย์อันยิ่งกว่าทรัพย์ที่เหลือ.
บาทพระคาถาว่า วิสฺสาสปรมา ญาตี ความว่า มารดาก็ตาม บิดาก็ตามจงยกไว้, ไม่มีความคุ้นเคยกับคนใด คนนั้นไม่ใช่ญาติแท้, แต่มีความคุ้นเคยกับคนใด คนนั่นแม้ไม่เนื่องกัน ก็ชื่อว่าเป็นญาติอย่างยิ่ง คืออย่างสูง เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า "วิสฺสาสปรมาญาตี."
ในขณะที่พวกชาวสวรรค์บันเทิงด้วยวัตถุและกิจกรรมทางกามสุข พวกชั้นพรหมอิ่มอยู่กับความสุขทางจิตถึงขั้นฌานสุข และพระอรหันต์ลุนิพพานสุข พ้นไปแล้วจากเยื่อใยในอามิสสุข บุคคลโสดาบันเข้าถึงความสุขใน ๓ ภูมินั้น ทั้งกามสุข ทั้งอธิจิตตสุข (สุขด้วยคุณธรรมเช่น พรหมวิหารธรรม และฌาน) และโลกุตรสุข
ความสุขเหล่านี้ให้เราพากันเข้าใจนะ ถ้าเรายังไม่ถึงพระนิพพานที่สมบูรณ์ สวรรค์เราก็ได้อยู่แล้ว มันไม่ได้หนีไปไหนหรอก เพราะว่าหนทางมันเป็นไปอย่างนั้น เมื่อเรามีความสุขในการเรียนหนังสือมีความสุขในการทำงาน มีความสุขในการขยันรับผิดชอบ ประหยัดซื่อสัตย์กตัญญูกตเวทีอย่างนี้ สุคติโลกสวรรค์เหล่านั้นก็ได้อยู่แล้ว เราไม่ต้องไปสนใจ สนใจแต่หน้าที่ของเรา ที่ต้องรับผิดชอบในการประพฤติปฏิบัติธรรม ในการเสียสละ
เราต้องมีความสุขในการเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า พ่อแม่นี่สำคัญ เพราะทุกคนมันไปจากพ่อจากแม่ ถ้าพ่อแม่ดี เหมือนกับเราได้เข้าโรงเรียนดี ได้ความรู้ดี ได้ความประพฤติดี เราทุกคนเกิดมาก็ต้องมา มารู้จักอบายมุข เราจะได้ปิดประตูอบายภูมิ เพราะปัญหาของโลกของประเทศ มีปัญหาเรื่องไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ไม่มีความสุขในการเรียนหนังสือ ในการทำงาน ความขยันความรับผิดชอบ ไม่มีความสุขในการอดทน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ปัญหาได้ ที่พ่อแม่พาเราทำผิดพลาด พ่อแม่ก็คงได้มาจากปู่ย่าตายายผิดพลาด ต้องเพิ่มการประพฤติการปฏิบัติ เพิ่มอานาปานสติเข้าไป มันคงจะได้ เราต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพราะมันเป็นระบบอัตโนมัติ อันไหนไม่ดี เราไม่คิด ไม่พูดไม่ทำ มันจะเข้าสู่อริยมรรคมีองค์ ๘ มันจะได้เข้าถึงพระศาสนา เราอย่าเอาอัตตาธิปไตย อย่าไปเอาประชาธิปไตยแบบไม่ถูกต้อง
พื้นฐานของอวิชชาของความหลง เค้าเรียกว่าพื้นฐานของความไม่รู้หรือว่าพื้นฐานของคนทำไม่ถูกต้อง เราต้องแหวกว่ายออกจากวัฏฏะสงสาร เพราะว่ามันติด รู้แล้วก็ตั้งใจสมาทานแล้วก็ประพฤติปฏิบัติ มีข้อวัตร มีข้อปฏิบัติ แล้วปฏิบัติให้ติดต่อสม่ำเสมอ เราอย่าเพียงแค่ฟังพระพุทธเจ้าบอกสอนเฉยๆ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราก็จะเก่งก็จะฉลาดก็จะไปเอง ถ้าเราขี้เกียจขี้คร้าน ก็ไปไม่ได้
คนไม่ทำงานนั้นไม่มี คนเราต้องมีความสุขกับการทำงาน คนเราจะมีประโยชน์อะไรเล่า? ถ้าไม่ทำงาน ไม่มีความสุขกับการทำงาน ที่เราทำงานกันทุกคน ตั้งแต่เกิดมาจนถึงวันตาย เราต้องพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง คนเราจะมีความสุขได้เพราะทำงาน เราจะเป็นคนขี้เกียจขี้คร้านไม่ได้ เพราะความขี้เกียจขี้คร้านนั้นเป็นเครื่องหมายของความเห็นแก่ตัว เป็นเครื่องหมายของความทุกข์
พระพุทธเจ้า ถึงเป็นผู้ที่ทรงเกียจคร้านไม่เป็น พระอรหันต์ ถึงเป็นผู้ที่เกียจคร้านไม่เป็น จึงต้องมีความสุขในการทำงาน เมื่อเรามีความสุขในการทำงาน ความจนจะมาจากไหน การคิดก็คือการทำงานอย่างหนึ่ง คิดดีๆวางแผนดีๆ เราคิดดีคิดถูกต้องมันไม่เป็นกิเลสนะ มันไม่ได้เป็นความปรุงแต่งนะ เพราะว่าเราไม่มีความหลง ไม่มีอวิชชา คนเราต้องคิดเก่ง วางแผนเก่ง ไปตามหลักเหตุผลหลักวิทยาศาสตร์ ตามกฎแห่งกรรม กฎของธรรมชาติ ความคิดความปรุงแต่งที่ประกอบด้วยปัญญา มันไม่ได้ไปสร้างปัญหา ให้กับตนเองและผู้อื่น แต่เป็นการช่วยตนและผู้อื่น เป็นสัมมาทิฏฐิ
ต้องแยกใจออกจากขันธ์ ๕ แล้วก็ต้องรู้จักอริยสัจ ๔ รู้จักยังไม่พอนะ ยังต้องฝึกต้องปฏิบัติ เพราะอวิชชามันทำลายระบบสมองสติปัญญาของเราเยอะ มันทำให้สมองเราเสียหมด ถ้าเรามีความสุขมีความพอใจอย่างนี้ มันก็ไม่ได้ฝืน ก็ไม่ได้ทน ถ้าเราทำไปด้วยบังคับ มันก็หน้านิ่วคิ้วขมวด
เพราะความอดทนเป็นสิ่งที่ดีมาก ความขยันเป็นสิ่งที่ดีมาก การปฏิบัติ มันปฏิบัติอย่างนี้แหละ มันไม่ใช่ว่าไปเดินจงกรมนั่งสมาธิหรอก อริยมรรคต้องมีกับเราตลอด เดินจงกรมนั่งสมาธิก็ส่วนหนึ่ง สำหรับพระไม่มีงานก่อสร้าง ไม่มีงานทำไร่ไถ่นา ต้องเดินจงกรมถึงแข็งแรง เสนาสนะที่เค้าสร้างให้เราก็ปัดกวาดเช็ดถู มันต้องมีข้อวัตรข้อปฏิบัติอย่างนี้เพื่อฝึก ฝึกให้มีความสุข ละความเห็นแก่ตัว มันจะได้เคยชิน ให้มาทางภาคปฏิบัติอย่างนี้
เราใช้ชีวิตประจำวัน เราก็ต้องกราบพระไหว้พระนั่งสมาธิเช้าเย็น ประชาชนก็กราบพระไหว้พระนั่งสมาธิ แต่การปฏิบัติธรรมก็ต้องปฏิบัติทุกที่มันต้องมีอยู่ตลอด วัตถุสมัยใหม่ก็ต้องรู้จักสำหรับประชาชน พวก โทรทัศน์ อินเตอร์เน็ต social media พวกนี้เราต้องใช้ให้เกิดปัญญา เราอย่าเป็นคนไม่มีปัญญา อย่าไปหลงในรูป ในเสียงอะไรต่างๆ สำหรับพระละก็ถ้ามีโทรศัพท์มือถือ มีอินเตอร์เน็ต ความวิเวกก็ไม่มี เราต้องฝึกใจนะ ถ้าเราตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง เราจะเป็นคนขาลง กายของเรามันก็จะไม่วิเวก ใจเราไปอยู่กับสิ่งภายนอก ไม่ได้ฝึกอานาปานสติ ต้องทำให้ได้ปฏิบัติให้ได้
เราต้องรู้จักศีล ว่ามีความหมายมีประโยชน์เพื่อจะตัดกรรม สิ่งที่เป็นกรรมหยาบๆ กิเลสหยาบๆ ละได้ด้วยศีล ก็ถือว่าโลกสมัยใหม่ ถือว่าดี เราจะได้พัฒนาใจของเราสู่อริยมรรค มันเป็นระบบ ถ้าเราไม่คิดอย่างนี้ ไม่ทำอย่างนี้ มันก็จะหยุด มันเป็นระบบของมัน ถ้าเอาตามพระพุทธเจ้าเรื่องมันก็จะหมดไปเรื่อยๆ ปัญญาเรามันก็ต้องมี เพราะปัจจุบันมันเป็นสิ่งที่ให้ใจของเราทำวิปัสสนา แต่มันเปลี่ยนความคิดมา คิดเรื่องที่คิดแล้วมีความสุข ไม่มีโทษไม่มีภัย มันเป็นความคิดที่รู้จักทุกข์ รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ เพราะคิดอย่างนี้ ถ้าเราคิดบ่อยๆ มันก็จะดี เรื่องความเจ็บ ความแก่ความตาย เรื่องอสุภกรรมฐาน เรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันก็จะทำให้ดีขึ้น
เราทุกคนต้องมาตัดเวรภัย ตัดภพตัดชาติให้กับตนเอง คนอื่นตัดให้เราไม่ได้ บาปเก่าอกุศลเก่า ต้องเผาด้วยการน้อมลงสู่พระไตรลักษณ์ ให้เห็นตามความเป็นจริง เสียสละ ลบอดีตออกให้เป็นศูนย์ อนาคตเราก็รู้จักรู้แจ้งด้วยการพิจารณาสู่ไตรลักษณ์อย่างนี้
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee