แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๓๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรมตอนที่ ๓๕ ถ้าชีวิตมีแต่เพื่อจะมาเอามามีมาเป็น ก็ไม่เห็นต่างจากเปรตที่คอยรับส่วนบุญ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้เราทุกคนพากันเข้าใจพากันมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง รู้กระบวนการของเหตุของปัจจัย รู้เรื่องของปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทนั้นได้แก่เหตุได้แก่ปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมีได้ เราถึงได้มีการเรียนการศึกษาตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ฝ่ายทางธรรมถึงมีการเรียนตั้งแต่นักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม ๙ ประโยค เพื่อเราจะได้รู้เหตุหรือปัจจัยในทางจิตในทางใจ เพื่อเราทุกคนจะไม่ได้มีความทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกว่าทุกคนต้องรู้อริยสัจ ๔ คือ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ การที่เราทุกคนรู้เหตุรู้ปัจจัยนี้เรียกว่าสัมมาทิฏฐิ ความเห็นที่ถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติที่ถูกต้อง การประพฤติการปฏิบัติของเราทุกๆ คน เราต้องดำเนินไปสู่ทางสายกลาง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ใจก็ไม่ยิ่งหย่อน วัตถุก็ไม่ยิ่งหย่อน ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งทางจิตใจและทางวัตถุ จะได้มีแต่คุณไม่มีโทษ
วันหนึ่งคืนหนึ่งของเราทุกคนมี ๒๔ ชั่วโมง เวลานอนเวลาพักผ่อนก็ต้องนอนต้องพักผ่อนนอนหลับสนิท ๖ ชั่วโมง ผู้ที่นอนหลับยากกว่าจะนอนหลับได้เป็นชั่วโมงก็ต้องนอน ๗ ชั่วโมงถึง ๘ ชั่วโมง ทุกๆ คนต้องเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ อย่าพากันไปคอรัปชั่นเวลานอน เรานอนยังไม่ครบ ๖ ชั่วโมงเต็ม เวลาเราตื่นขึ้นมาปัสสาวะเราอย่าเพิ่งไปคิดอะไรใช้สมองอะไร ถ้าเราตื่นขึ้นมาใช้สมอง เราจะนอนไม่หลับ คนเก่งคนฉลาดต้องพากันเข้าใจ เราต้องพากันเบรคตัวเอง ไม่ต้องไปคิดอะไร ถ้าเราคิด การนอนของเราจะไม่หลับสนิทถึง ๖ ชั่วโมง ถ้าเรานอนตื่นขึ้นมาไปห้องน้ำห้องสุขาอย่างนี้หลายวันหลายเดือน อย่างนี้ร่างกายของเราก็จะทรุดโทรมเร็ว เราจะมีความเครียดกลายเป็นคนโรคจิตโรคประสาท ให้ทุกคนพากันรู้ความจริง ความจริงมันเป็นอย่างนี้ทุกท่านทุกคนต้องพากันนอนให้หลับสนิทให้ได้ ๖ ชั่วโมง สมองเราถึงจะได้พักผ่อนเต็มที่หลับลึกหลับสนิท สมองจะได้สั่งร่างกาย สมองเราจะได้ทำธุรกิจหน้าที่การงานได้ดีมีประสิทธิภาพได้อย่างเต็มที่
มนุษย์เราคือผู้ที่ประเสริฐต้องมีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ทุกคนมายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องของตัวเอง การที่เรามาเอารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณนี้ เป็นตัวเราเป็นของเรา นี้คือความไม่ถูกต้อง ถามว่าทำไมไม่ถูกต้อง ก็เพราะเรามีความรู้สึกหนาวร้อนสุขทุกข์ ตอบว่าเพราะสิ่งที่เป็นความรู้สึกหนาวร้อนสุขทุกข์ เนื่องมาจากเหตุเนื่องมาจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน นั่นคือเหตุคือปัจจัยเท่านั้นเองพระพุทธเจ้าถึงให้เรารู้กระบวนการของปฏิจจสมุปบาท เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี หาใช่นิติบุคคลตัวตนไม่ เหตุปัจจัยเท่านั้นที่มันส่งผลัดไป นั้นคือเหตุปัจจัยนั่นคืออนิจจัง คือการส่งผลัด มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อาหารใหม่มาอาหารเก่าไป หรือสิ่งที่ใหม่มาสิ่งที่เก่าไป
ทุกๆ คนมนุษย์เราผู้ที่ประเสริฐ เราต้องพากันมารู้สัจจะ รู้ความจริง มารู้เรื่องอริยสัจ ๔ เราจะได้ปฏิบัติทางจิตใจที่ถูกต้อง การปฏิบัติทางใจที่ถูกต้องด้วยความรู้ความเข้าใจนี้เรียกว่าพุทธะ พุทธะต้องไม่เอาสมมติ หากแต่เอาสมมติไปใช้งานให้ถูกต้อง สมมติทั้งหลายทั้งปวงที่หมู่มวลมนุษย์พากันสมมติขึ้นมา เพื่อที่จะเอามาใช้งาน เอามาทำประโยชน์ เพื่อให้หมู่มวลมนุษย์ได้ปฏิบัติในสมมติ เพื่อให้มันถูกต้อง ในโลกนี้แหละ ถึงมีสมมติหลายล้านอย่าง สมมตินั่นคือการแต่งตั้ง คือการบัญญัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันมารู้เรื่องสมมติ เพื่อจะเอาสมมติมาใช้งาน มาเสียสละ เพื่อให้หน้าที่ของสมมตินั้นเป็นบริสุทธิคุณ เพราะสมมติก็คือสมมติ มันไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ถ้าไม่มีสมมติ มันก็ไม่ได้ มันต้องมีสมมติ อย่างมนุษย์เรานี้ ปัจจุบันมีหลายพันล้านคน มันต้องมีชื่อ มีชื่อเดียวกันมันก็ไม่ได้ วัสดุต่างๆ ก็ต้องไปตั้งชื่อสมมติ เพื่อให้เป็นเรื่องเป็นราวเป็นบทละคร ทุกๆ คนต้องพากันรู้จักคำว่าสมมติ สมมตินั้นไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวตน มันเป็นเพียงแต่งตั้งเท่านั้น ถ้าเราไม่รู้อริยสัจ ๔ เราไม่รู้กระบวนการของปฏิจสมุบาท เราก็จะเอาสมมติมาเป็นเรา เรียกว่าเป็นมิจฉาทิฐิ มีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เป็นอวิชชาเป็นความหลง เป็นความยึดมั่นถือมั่น เราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง
ทุกคนต้องเกิดมาต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนต้องพากันมาเสียสละในปัจจุบัน ด้วยพุทธะทางจิตใจ เราพากันมารู้สมมติ ทุกคนพากันทำได้ปฏิบัติได้ แล้วก็มีความดับทุกข์ได้ทั้งทางจิตใจ และทางวัตถุเป็นทางสายกลาง ความถูกต้องคือความถูกต้อง ให้พวกเราพากันเข้าใจ เพราะความถูกต้องนั่นคือ ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน หากเป็นเหตุเป็นปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีเฉยๆ เราทุกคนต้องพากันมารู้อริยสัจ ๔ ผู้ที่ดำเนินสู่ทางสายกลาง ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง เขาเรียกว่าผู้ตกกระแสแห่งมรรคผลนิพพาน พัฒนาใจ พัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน สัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ ทุกคนจะมีความว่างจากความเป็นนิติบุคคล เป็นตัวเป็นตน ความรู้สึกที่เป็นพุทธะ จะได้ยกเลิกนิติบุคคล ยกเลิกตัวตน เพราะรู้อริยสัจ ๔ ยกเลิกกระบวนการแห่งอวิชชาแห่งความหลง
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เป็นการมายกเลิกทาส ยกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง ความรู้อย่างนี้จะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม รู้เรื่องกระบวนการปฏิจจสมุบาท ทางด้านจิต ทางด้านใจ ทางด้านวัตถุ การมาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ถือเป็นสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ถึงเป็นอริยมรรค หนทางอันประเสริฐ พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นความว่างจากนิติบุคคล ตัวตนเราเขา เป็นความว่างอยู่ทุกหนทุกแห่ง ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม ถึงจะมีตึกรามบ้านช่อง ผู้คนผู้ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องที่เป็นพุทธะนั้น จะยกเลิกตัว ยกเลิกตน ธรรมะของพระพุทธะเจ้า ถือเป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี ความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ที่เราดำเนินชีวิต เราเอาความว่างจากสิ่งที่ไม่มี เป็นการพัฒนา หรือว่าการปฏิบัติเพื่อตัวเพื่อตน มันเป็นการพัฒนาเอาแต่ตัว เอาแต่ตน เอาแต่ความยึดมั่นถือมั่น ที่มันเป็นความหลงครองใจครองชีวิต ที่มันเป็นโลกธรรมครอบงำใจ ที่เรียกว่าโลกธรรม เอาแต่วัตถุ เอาแต่ตัวตน จะให้ตัวตนได้ครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะเราน่ะ เราไม่เข้าใจเรื่องสมมติมันเลยยุ่งไปหมด เหมือนกับเขาแต่งตั้งนายคนนึงเป็นผู้ใหญ่บ้าน นายคนนั้นไม่รู้จักเรื่องสมมติ ได้ตกบ้านลงมาใต้ถุน เขาถามว่า เป็นยังไงบ้างเป็นยังไง ด้วยความหลงสมมติก็ตอบคำถามว่า เป็นผู้ใหญ่บ้าน แทนที่จะตอบว่า โอ้ย...เจ็บแย่เลยเจ็บหนักเลย ด้วยการที่ไม่รู้จักสมมติ เลยมักตอบว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่บ้าน ตำแหน่งที่ทุกคนได้รับการแต่งตั้ง ชื่อนาย ก. นาย ข. อันนั้นมันเป็นตำแหน่งที่แต่งตั้ง มันเป็นบท เป็นละคร เป็นบทภาพยนตร์ที่ดำเนินไปของทางร่างกาย ทุกคนต้องพากันรู้สมมติว่านี่คือบท คือละคร คือบทภาพยนตร์ ที่ได้รับการแต่งตั้ง มันจริงอยู่ด้วยการสมมติ ด้วยการแต่งตั้ง
อันโลกนี้เหมือนโรงละคร ปวงนิกรเราท่านเกิดมา
ต่างร่ายรำทำทีท่า ตามลีลาของบทละคร
บางครั้งก็เศร้า บางคราวก็โศก บางทีก็ทุกข์หัวอกสะท้อน
มีร้างมีรักมีจากมีจร พอจบละครชีวิตก็ลา
อันวรรคตอนละครชีวิต เป็นสิ่งน่าคิดพินิจหนักหนา
กว่าฉากจะปิดชีวิตจะลา ต้องทรมากันสุดประมาณ
ชีวิตเหมือนละครทุกตอนบท มีสลดโศกเศร้าเคล้าสุขสันต์
มีหัวเราะร้องไห้รักใคร่กัน ที่สุดนั้นหลุมฝังศพจบการแสดง
ดูละครโขนหนังแล้วยั้งจิต มองชีวิตการเล่นเช่นโขนหนัง
มีทั้งโศกมีทั้งสุขทุกข์ประดัง ไม่กี่ครั้งก็ลาลับกลับเข้าโลง.
ทุกๆ คนต้องเข้าใจว่าอันนี้คือเหตุคือปัจจัย ที่ได้รับการแต่งตั้ง เพื่อให้แสดงบทหนังบทละคร ทุกคนมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันคือเหตุคือปัจจัย เราทุกคนที่ผ่านมา ตั้งแต่เรามีความรู้สึกเป็นเด็กน้อย บางคนก็แก่ก็เฒ่าชรา ล้วนมีเหตุมีปัจจัยเปลี่ยนแปลง หาใช่นิติบุคคลตัวตนเราเขาไม่ ทุกอย่างล้วนแต่เป็นเหตุเป็นปัจจัย ทุกคนต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย ไม่มีอะไรจะได้ไม่มีอะไรจะเสีย ทุกอย่างคือเหตุคือปัจจัย ทุกคนต้องรู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้วิธีให้ถึงความดับทุกข์ เราจะได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน วันนึงคืนนึงมันก็ ๒๔ ชม. พักผ่อนสัก ๖ ชม. เวลาตื่นขึ้น เราต้องมีความสุขในการเสียสละ ถ้าหลงในตัวในตน เราก็ไม่เสียสละ ความเป็นตัวความเป็นตน ที่เป็นความรู้สึกสุข ทุกข์ หนาว ร้อน อ่อน แข็ง ทำให้ผู้ที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่เสียสละกัน เป็นคนเห็นแก่ตัวขี้เกียจขี้คร้าน แม้แต่หายใจมันก็ไม่อยากหายใจ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ เรียกกระบวนการนี้ว่าปฏิจจสมุปบาท ต้องรู้จักว่านี้คือธรรม คือสภาวะธรรม ร่างกายมันก็เป็นอย่างงี้ มันก็ต้องมีความสุข ความทุกข์ ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก เราถึงได้พัฒนาเรื่องเวลาขึ้นมา แต่งตั้งเวลาขึ้นมา ตามโลกที่หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ เพื่อให้มันเป็นนาฬิกาชีวิต หรือว่านาฬิกา เพื่อที่ทุกคนจะได้พากันปรับตัวเข้าหาเวลา เพื่อทุกคนจะได้รู้จักสภาวะธรรมะที่แท้จริง รู้จักสมมติว่าไม่ใช่นิติบุคคล นั่นคือเหตุ คือปัจจัย
ใจของเรานี้ถ้ารู้ ถ้าเรามีพุทธะ รู้เหตุรู้ปัจจัย รู้เรื่องปฏิจจสมุปบาท มันจะยกเลิกตัวตน มันจะไม่มีความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ใจของเรานั้นจะไม่มีสักกายะทิฏฐิ ไม่มีตัวไม่มีตน เพราะใจรู้เรื่องกระบวนการแห่งปฏิจจสมุปบาท เพราะรู้จักสมมติ เพราะใจที่มีพุทธะ มันจะยกเลิกตัวตน เพราะรู้เรื่องกระบวนการนี้ ไม่ใช่นิติบุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสมมติ ใจของเรามันจะรู้เรื่องบท จะรู้เรื่องของภาพยนตร์ มันจะเป็นผู้ที่กำกับบทละคร บทภาพยนตร์ ไม่ได้เป็นผู้ที่แสดงละคร แสดงภาพยนตร์ เพราะไม่ยกเลิกอวิชชาไม่ยกเลิกความหลง เรียกว่า ไม่ยกเลิกตัณหา ความทะยานอยาก ด้วยความไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ขบวนการที่เกิดมา เพื่อจะมาเอา มามี มาเป็น ผู้ที่มาเอา มามี มาเป็น มันถึงเป็นความทุกข์ เผาตัวเองทั้งวันทั้งคืน การมาเรียนมาศึกษา มาเป็นนักบวช ก็เพื่อจะเอาตำแหน่ง เพื่อที่จะเอาจะมีจะเป็น สำหรับนักบวช มันก็เป็นตำแหน่งผู้ที่มามีมาเป็น มีความอยาก มีความชอบ มีความไม่ชอบ คือตำแหน่งเปรต เปรตมันก็มีความหลงความอยาก ปากมันเล็กนิดเดียว แต่ก็มีความหลง มีความอยาก บวชก็เพื่อจะมาเอา มารับประเคน นี้คือไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ ไม่เข้าใจความหมายว่า บวชมาทำไม ไม่เข้าใจความหมายว่าเกิดมาทำไม
ความไม่รู้ความไม่เข้าใจเรื่องปฏิจจสมุปบาท ทุกคนถึงอยู่ในภพภูมิต่างๆ ตามอวิชชาตามความหลง ตามภพภูมิต่างๆ มันเป็นเรื่องไม่รู้กระบวนการปฏิจจสมุปบาท ถึงได้พากันได้รับผลกรรม จากการที่ไม่รู้กระบวนการกระแสของปฏิจจสมุปบาท ไม่เข้าใจเรื่องสมมติ ความไม่รู้ความเข้าใจ มันทำให้เราทุกคนมีสักกายะทิฏฐิ มีความยึดมั่นถือมั่น สมมตินั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่ต้องเอาสมมติขึ้นมาปฏิบัติงาน มาเสียสละ มาละตัวละตน ตื่นขึ้นก็ต้องพากันมาเสียสละ ปรับตัวเข้าหาธรรมะ ปรับตัวเข้าหาเวลา ทุกคนต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราตื่นนอนนี่แหละ เราต้องมีความสุข ในการดำรงชีพ ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ในการเสียสละ ถ้าเราไม่เสียสละ เราจะมีความดับทุกข์ได้ยังไง เพราะใจเรามีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ความทุกข์มันต้องมี พระพุทธเจ้าให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ เราทุกคนจะได้มีเมตตาที่บริสุทธิ์ กรุณาที่บริสุทธิ์ ปัญญาที่บริสุทธิ์ ในตัวของเราเอง ทุกท่านทุกคนจะได้รู้อริยสัจ ๔ จะได้รู้ว่า พระที่แท้จริงนั้น อยู่ที่มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันอยู่ที่ตัวเราเอง ไม่ได้อยู่ที่อื่น
ทุกคนไม่ได้ไปหาพระที่ไหน พระอยู่ที่เราทุกๆ คน แต่ก่อนเราไม่เข้าใจ เราไปหาพระที่อื่น มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าท่านมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ท่านก็เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ท่านมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นพระอรหันต์ นั่นเป็นเรื่องของท่าน ไม่ใช่ของเรา ผู้ที่ไม่มีตัวไม่มีตน ถึงมีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ที่มีความขลังความศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเรามีตัวมีตน มันจะขลัง มันจะศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง พวกเราไม่เข้าใจ ไปหาพระภายนอก ให้พวกเรามีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติอยู่ได้ทุกหนทุกแห่ง แม้อนาคต ถึงอีกหลายล้านปีก็ดับทุกข์ได้ เพราะรู้อริยสัจ ๔ มันต้องพัฒนาทางสายกลางไปอย่างนี้ เมื่อทุกคนยกเลิกความคิดเห็นผิดความเข้าใจผิดปฏิบัติผิด หัวใจเราก็เย็นเป็นแอร์คอนดิชั่น ความสุขความสงบความอบอุ่น มันก็มี เพราะเราเข้าถึงความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จะเป็นประชาธิปไตย มันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะประชาธิปไตยมันก็ยังมีตัวตน ระบบสังคมนิยมมันก็แก้ปัญหาไม่ได้เพราะมันยังมีตัวมีตน ระบบประเพณีนิยมมันก็แก้ปัญหาไม่ได้ เพราะมันยังมีตัวมีตน
ทุกๆ คนต้องจับหลักจับประเด็นให้ได้ รู้เรื่องอัตถะ รู้เรื่องโครงสร้างของชีวิต เหมือนรู้หนังสือพระไตรปิฎก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เราไปรู้ไว้ ไม่ใช่เพื่อตัวเพื่อตน รู้ไว้เพื่อเป็นพุทธะทางจิตใจ เป็นพุทธะทางรูปธรรม หรือว่าทางวัตถุ ให้เป็นพุทธะทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ธรรมะที่พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ถึงเป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ มันจะเป็นอริยมรรคเป็นข้อสอบ เป็นข้อตอบในปัจจุบันไปเรื่อยๆ สำหรับผู้ที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ขีณาสพ ก็มีข้อสอบ มีข้อตอบไปเรื่อยๆ ยกทุกสิ่งทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ไปเรื่อยๆ เป็นบาท เป็นฐาน ส่งผลัดไปเรื่อย ชีวิตของเราถึงจะได้เป็นสัมมาทิฏฐิทางจิตใจทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ในการประพฤติในการปฏิบัติไปพร้อมๆ กัน ถึงไม่ได้แยกวัตถุแยกจิตใจออกจากกัน เป็นทางสายกลาง พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าสมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่เป็นอริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง มีได้กับทุกคนที่เป็นพุทธะ ทุกชาติ ทุกศาสนา เหมือนอาหาร เมื่อทุกคนทานก็อิ่ม ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ให้อิ่มเพียงผู้เดียว ถ้าทานแล้วอิ่มเพียงผู้เดียวมันไม่ใช่พุทธะทางใจ
ความจริงมันคือเหตุคือปัจจัย ๒ อย่าง ทุกคนต้องรู้จักวิมุตติ รู้จักสมมติ เราทุกคนจะได้มีความสุขในชีวิตประจำวัน เราทุกคนจะเอาความชอบ ความไม่ชอบนี้มิได้ เพราะนั่นคือผัสสะ ความชอบ ความไม่ชอบ มันอยู่ในระดับ เสขะบุคคล บุคคลที่ต้องมีข้อสอบมีข้อตอบในปัจจุบัน เพื่อทุกคนจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ของตัวเอง ให้ทุกท่านทุกคนเอาอดีตที่ผ่านมาเป็นเพียงบทเรียน เรื่องผิดเรื่องถูกต้องพัฒนาตัวเอง ต้องคอนโทรลตัวเอง ต้องมีฉันทะ ต้องมีศรัทธาในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทุกคนที่มีตัวตนเป็นที่ตั้ง ก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย พระพุทธเจ้าให้เรารู้อริยสัจ ๔ อย่างนี้แหละ เราคอนโทรลตัวเองด้วยสัมมาทิฏฐิ ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จิตใจมันยังไม่ได้ ก็เอากายไว้ก่อน มีความสุขในการปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามสมมติไว้ก่อน เพราะการฝึกใจปฏิบัติใจ เบื้องตนเราก็ต้องมาฝึกกาย เช่น ปรับตัวเข้าหาเวลาอย่างนี้ เพราะเรามีตัวมีตน มันยังไม่ปรับตัวเข้าหาเวลา เราทุกคนมีความสุขในการปรับตัวเข้าหาเวลา เวลาเราทำอะไรก็มีความสุข ที่ไม่มีความสุข เพราะไม่อยากปรับตัวเองเข้าหาเวลา มันต้องอาศัยการฝึกใจจากกาย เช่นว่า เรานั่งสมาธิใจมั่นฟุ้งซ่านไปเรื่อย เราก็ต้องมาฝึกใจด้วยการนั่งตัวตรง ไม่ต้องนั่งตัวงอ ต้องอยู่กับกายกับใจ หายใจเข้าก็ให้มีความสุขที่สุดในโลก หายใจออกก็ให้มีความสุขที่สุดในโลก เราต้องเอาเรื่องกายไว้ก่อน เราต้องปฏิบัติต่อวัตถุให้ถูกต้อง ปรับตัวเข้าหาเวลา กายฝึกก็ต้องฝึกอย่างนี้ มันมีการฝึกกาย มีการฝึกวาจา ฝึกกิริยามารยาท ต้องมีความสุขในการปฏิบัติ
เราทุกคนต้องจับประเด็นให้ได้ มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติต่อสิ่งสมมตินี้ เราได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอะไร เราก็มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่า ทุกๆ คนนั้นมันมีความเห็นแก่ตัว ไม่อยากเสียสละ เสียสละมันมีความทุกข์ ทุกข์ใจ มันอยากทำตามอวิชชา ทำตามความหลง ทำตามอัธยาศัย มันไม่ได้ เราต้องรู้อริยสัจ ๔ เราอาศัยกายนี้แหละฝึกวาจา ฝึกกิริยามารยาท เพื่อยกเลิกความเป็นนิติบุคคล เป็นตัวเป็นตน เพื่อเรามาเสียสละ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ของเราทุกๆ คน ตำแหน่งทุกตำแหน่งที่ได้สมมติที่เราเกิดมา เป็นตำแหน่งที่ทุกคนให้พากันมาเสียสละอย่างนี้ เราจะมาเอามามีมาเป็นอย่างนี้ไม่ได้ ชีวิตของเราจะเป็นชีวิตที่หลง มาเอา มามี มาเป็นไม่ได้ เป็นชีวิตที่ไม่รู้อริยสัจ ๔ ตำแหน่งที่จะเอา จะมี จะเป็น เป็นตำแหน่งของเปรต ที่ปากนิดเดียว แต่พุงมันโต ที่เขียนภาพไว้ที่ฝาผนังเป็นปริศนาธรรม
เปตภูมิ ลักษณะและชีวิตของเปรตพอประมวลให้เห็นได้ ดังนี้ “ในเปตวิสัยนั้นไม่มีกสิกรรม การทำไร่ทำนา ไม่มีโครักขกรรม การเลี้ยงโค การค้าขายด้วยเงินก็ไม่มี ผู้ทำกาลกิริยาละไปแล้ว ย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปใน เปตวิสัยนั้น ด้วยทานที่ญาติให้แล้วจากมนุษยโลกนี้”
เปรตไม่มีภูมิของตนเอง แต่อยู่ร่วมโลกมนุษย์นี้ เพราะมีภิกษุเป็นอันมากพบ เห็น เช่น พระโมคคัลลานะ เป็นต้น “ฝูงเปรตพากันมายังเรือน (ที่ตนเคยอยู่) ของตน ยืนอยู่นอกชานเรือนบ้าง ทาง ๔ แพร่งบ้าง...ชุมนุมกันในที่ให้ทานนั้นแล้ว ย่อมอนุโมทนาโดยเคารพ”
เปรตมีความหิวกระหายอยู่เป็นนิตย์ มีรูปร่างหน้าตาต่างๆกัน เช่น ร่างกายมี สีเหมือนทองคำ แต่หน้าเหมือนสุกร, ผิวพรรณงดงาม ยืนกลางอากาศ มีกลิ่นปาก เหม็นมาก, ซูบผอมมีแต่ซี่โครง เปลือยกาย ร่างเต็มไปด้วยเส้นเอ็น เป็นต้น บางพวกมีหนวดและผมยาวหน้าดำ มีอวัยวะใหญ่น้อยหย่อนยาน ผอมหยาบ ดำ เสมือนต้นตาลถูกไฟป่าไหม้ยืนต้นอยู่, บางพวกมีเรือนร่างถูกเปลวไฟที่ตั้งขึ้น จากท้องแลบออกจากปาก เพราะความกระหายแผดเผาอยู่, บางพวกไม่ได้รสอื่น นอกจากรสแห่งความหิวกระหาย แม้ได้ข้าวน้ำก็กินไม่ได้เต็มที่ เพราะมีหลอดคอ เล็กขนาดเท่ารูเข็ม และมีท้องใหญ่ดังภูเขา, บางพวกมีเรือนร่างไม่น่าดู แปลกประหลาด น่าสะพรึงกลัว กินน้ำเลือดน้ำหนองเป็นต้น ของกันและกันแก้กระหาย
ในบรรดาเปรตทั้งหลายที่กล่าวมา จะแบ่งเป็น ๑๒ ประเภทก็ดี ๔ ประเภทก็ดี ๒๑ ประเภทก็ดี ทั้งหมดนี้ มีแต่ปรทัตตุปชีวิกเปรตจำพวกเดียวที่มีโอกาสรับส่วนบุญที่เหล่าญาติอุทิศให้ เปรตอื่นๆ นอกจากนี้ไม่สามารถได้รับ เนื่องจากเกิดอยู่ในที่ห่างไกลไม่สามารถทราบว่าญาติทำการกุศลอุทิศให้ตน จึงมิได้อนุโมทนาว่าสาธุ ส่วนปรทัตตูปชีวิกเปรต มักเกิดอยู่ในบริเวณบ้าน บางทียังปรากฏตนให้ญาติๆ ได้พบ พากันเรียกโดยทั่วไปว่า "ผี" เปรตจําพวก จึงสามารถทราบการทําการกุศลของเหล่าญาติและอนุโมทนาด้วย อย่างไรก็ดีแม้เกิดเป็นปรทัตตุปชีวิกเปรต แต่ถ้าไม่สามารถทราบได้ว่ามีผู้อุทิศส่วนกุศลให้ ไม่ได้อนุโมทนาว่าสาธุ ย่อมไม่ได้รับส่วนกุศลเช่นเดียวกัน
ส่วนบรรดาผู้ที่ไปเกิดในภพภูมิอื่นๆ ในนรกบ้าง ติรัจฉานบ้าง เทวดาบ้าง พรหมบ้างหมู่ญาติทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ ไม่สำเร็จประโยชน์แก่บุคคลเหล่านี้แต่ประการใด เพราะในภพภูมินั้นๆ มีสิ่งที่เขาได้รับเฉพาะอยู่แล้ว เช่น เมื่อญาติพี่น้องตายลง เกิดเป็นสุนัขอยู่ในบ้าน สุนัขนั้นก็สามารถกินได้แต่เพียงอาหารที่คนเลี้ยง หรือเกิดเป็นวัว ควาย คงกินได้เพียงหญ้า น้ำ บุญที่มีผู้อุทิศให้ย่อมไม่สำเร็จประโยชน์อันใด แม้เกิดเป็นเทวดาพรหม ย่อมมีอาหารกินในภพภูมิเหล่านั้นประจำอยู่ ไม่จำต้องได้รับการอุทิศส่วนกุศล
การทำบุญอุทิศส่วนกุศล แม้ญาติจะไม่ได้รับโดยตรง แต่บุญนั้นไม่สูญหายไปใด ย่อมเป็นของผู้บำเพ็ญ เป็นบุญติดตัวทั้งในชาตินี้ ชาติหน้า และชาติต่อๆ ไป เมื่อเวลาทําบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย ควรสมาทานศีล และเจริญภาวนาให้จิตใจสงบเสียก่อน ไม่ควรมีเรื่องที่เป็นอกุศลปะปน เช่น เลี้ยงสุรา เล่นการพนัน มีมหรสพ ทั้งนี้เพื่อให้ได้อานิสงส์ในการทำบุญนั้นโดยเต็มที่ และผู้ที่ตายไปถ้าได้อนุโมทนา จะได้รับผลบุญเต็มที่เช่นเดียวกัน การทำบุญที่เจือด้วยอกุศล มีการสนุกสนานเฮฮา ผู้กระทำได้รับอานิสงส์น้อย ยิ่งหากบังเอิญตายลงในขณะนั้น จิตใจเกาะเกี่ยวในส่วนที่เป็นบาปมากกว่าส่วนที่เป็นกุศล จะไปเกิดในอบายภูมิทันที
การอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วนั้น สามารถกระทำได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์กันในชาตินี้ หรือเคยมีความสัมพันธ์กันมาในอดีตชาติ
อนึ่งอายุของเปรต ไม่แน่นอน แล้วแต่กรรม สําหรับเปรตที่สามารถรับส่วนกุศลที่มีผู้อุทิศให้ได้ และมีกรรมไม่หนักมาก อาจพ้นจากอบายภูมิโดยทันที ในขณะอนุโมทนาสาธุการนั้นเอง
เราต้องถือว่าเราเป็นผู้ประเสริฐที่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เราต้องมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พากันมาเสียสละ อย่ามาเป็นผู้มาเอา มามี มาเป็น นั่นเป็นตำแหน่งของเปรต เปรตนั่นคือ ผู้ที่มาคอยรับส่วนบุญ ผู้ที่มารับส่วนบุญ ก็เปรียบเสมือนสุนัข เปรียบเหมือนหมา หมาที่มันเกิดเพื่อมารับอาหารจากมนุษย์ หมาที่อยู่ตามบ้านตามครอบครัว หรือหมาจรจัด หรือว่าหมาป่าสุนัขป่าอะไรต่างๆ นั่นคือ เกิดมาเพื่อรับสิ่งของจากบุคคลอื่น ชีวิตของเรา ถ้าเรามีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง เราก็จะเปรียบเหมือนสุนัขป่าสุนัขบ้านอย่างนี้แหละ ผู้ที่มาบวชในศาสนา ต้องพากันมีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พากันเสียสละ เราจะได้ยกเลิกตำแหน่งเปรตที่มีอยู่ในตัวเรา เราจะได้มายกเลิกอวิชชา มายกเลิกความหลง เข้าสู่ความเป็นมนุษย์ ผู้ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง พัฒนาตัวเองเข้าสู่ทางสายกลาง ยกเลิกความเป็นนิติบุคคล ความเป็นตัวตน อย่าพากันเป็นเปรตเลย มันมีความทุกข์ เราจะเป็นคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน ถึงจะเป็นนักบวช ก็ต้องมายกเลิกอวิชชา ยกเลิกความหลง ให้เราพากันรู้จักเปรต มันไม่อยู่ที่ไหน มันกำลังอยู่ที่เรา ที่ไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ นี้เปรตตัวจริง ไม่ได้อยู่เพียงที่ภาพฝาผนัง
ชีวิตนี้เราเกิดมาเพื่อเป็นนักสู้ ไม่เป็นคนท้อแท้ท้อถอย ถ้าไม่อย่างนั้นเราจะเป็นเปรต เป็นอสุรกาย คอยรับส่วนบุญส่วนกุศลจากคนอื่น จากพ่อแม่ 'คนดี' โลกนี้ย่อมต้องการ อยู่ที่วัดเขาก็ต้องการคนดี อยู่ที่ทำงาน เขาก็ต้องการคนดี 'คนดี' เป็นสิ่งที่ประเสริฐ เป็นสิ่งที่หอมหวนทวนลม ทุกท่านต้องตั้งใจ พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้ลูบๆ คลำๆ เหยาะๆ แหยะๆ ชีวิตของเรานี้ไม่มีใครมาประพฤติปฏิบัติให้เรา ทุกท่านทุกคนต้องประพฤติปฏิบัติเอง
เราทุกๆ คนจะไปทุกข์อยู่ทำไม ทุกข์แล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไร ต้องสู้ ต้องทน มีความสุข มีปิติ มีใจเป็นหนึ่งในการทำความดี ชีวิตของเราทุกคนจะได้เข้าถึงความดับทุกข์ ได้มาทั้งโภคทรัพย์ ได้ทั้งอริยทรัพย์ โดยไม่มีโทษ...มีเวร...มีภัย เราจะได้มาด้วยการสมาทานความดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee