แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันเสาร์ที่ ๑๖ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรมตอนที่ ๒๕ เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ควรคำนึงถึงชาติศาสนา ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา ในหมู่ประชาชาวไทย
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การแก้ปัญหานี้ ทุกๆคนต้องพากันแก้ที่ตนเอง เพราะปัญหาต่างๆนั้นไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่ารู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกรู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ หมายถึงมาแก้ที่เรานี่แหละ เพราะเรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เมื่อเรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด ทุกอย่างมันก็ผิดไปเลย เหมือนติดกระดุมเม็ดแรกผิดต่อไปมันก็ผิด ความเห็นไม่ถูกต้องความเข้าใจไม่ถูกต้องมันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ไม่ว่าเราจะทำอะไรท่านก็ให้เรารู้จักปัญหารู้จักอริยสัจ ๔ เพราะทุกอย่างมันคือเหตุเกิดปัจจัย เราก็มาแก้ที่ใจของเรา แล้วก็พัฒนาวัตถุพัฒนาเทคโนโลยีไปพร้อมๆกัน มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันอย่างนี้ เพราะธรรมะนี่คือเหตุคือปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี เมื่อเราไม่เข้าใจเราก็จะไปแก้ไขภายนอกแก้แต่คนอื่นไปโทษแต่คนอื่น เพราะเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไม่ถูก เมื่อมันไม่ถูกมันก็ไม่ได้ เราก็พากันท้อใจเพราะว่ามันไม่ถูกต้อง เหมือนกับประเทศไทยเราหรือทุกๆ ประเทศ เราเอาตัวตนปกครองประเทศมันไปได้เมื่อไหร่ เพราะตัวตนมันคือไปไม่ได้ ตัวตนคือปัญหาคือสร้างปัญหา
ท่านถึงบอกให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้มันก็เสียหาย การบริหารประเทศเราก็มาจากภาษีอากรของประชาชนทุกๆ คนที่มีลมหายใจอยู่ในประเทศไทย เราเป็นข้าราชการนักการเมือง ดูแล้วก็กันเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไม่ถูกต้อง เลยไม่ได้พัฒนาประเทศ เพราะงานทุกอย่างสำเร็จไปในตัวโกงกินคอรัปชั่นไม่ต่ำกว่า 60% ทุกอย่างมันโกงกินคอรัปชั่น มันก็ไปไม่ได้ เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนยกเลิกตัวยกเลิกตน มันจะได้เข้าสู่ธรรมนูญชีวิตยกเลิกตัวยกเลิกตน แล้วทุกคนก็จะได้มีความสุข ประชาชนคนส่วนใหญ่ก็ไม่มีความไว้วางใจกับข้าราชการนักการเมือง เพราะว่าเหตุนี้แหละ เพราะว่าไม่ถูกต้อง ประเทศเราเลยไม่เข้มแข็ง ไม่มีความมั่นคงของชาติศาสน์กษัตริย์
สิ่งที่จะช่วยให้ประเทศเราเข้มแข็งคือความสมัครสมานสามัคคี คือเอาธรรเป็นหลักเอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต ทุกคนก็มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องพากันมาเสียสละ เอาธรรมเป็นหลักเราทำเป็นใหญ่เป็นธรรมาธิปไตย กฎหมายบ้านเมืองก็ช่วยให้ยกเลิกความเห็นแก่ตัวในระดับหนึ่ง แต่ว่ายังไม่สูงสุดเหมือนธรรมะ ธรรมะคือยกเลิกตัวตน ถึงจะหยุดสีดำสีเทาสีสกปรกได้
ความสมัครสมานสามัคคีนี้ทำให้ครอบครัวเราอยู่ได้ ทำให้ประเทศเราอยู่ได้ ทำให้ทุกอย่างสงบเย็นเป็นสันติสุข อย่างเรื่องในธรรมบท ในอดีตที่พระราชากับประชาชนแข่งกันทำบุญก็สู้ประชาชนไม่ได้เพราะความสมัครสมานสามัคคี เราไม่ได้เอาแพ้เอาชนะหรอกแต่เราเอาความสมัครสมานสามัคคี ครอบครัวเราต้องสมัครสมานสามัคคีจะได้เข้าถึงความเมตตาที่บริสุทธิ์ ความกรุณาที่บริสุทธิ์ เราน่ะต้องเกิดมาเพื่อมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนเกิดมาเพื่อมาสร้างความดีเพื่อมาเสียสละ มาเป็นผู้ที่มาเอาธรรมะเป็นหลัก เราให้ทางวัตถุยังไม่พอ ต้องเข้าสู่กายวาจาใจของเราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา ปัญหาต่างๆ มันไม่ได้อยู่ที่คนอื่น มันอยู่ที่ตัวเรานี่เอง
เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องมาเสียสละ ที่เรามีสัมมาทิฏฐิมีมรรคมีผลมีพระนิพพาน ความสงบความร่มเย็นมันจะเกิดขึ้นแก่เรา จะได้เข้าถึงสัจธรรมเข้าถึงอริยสัจ ๔ ที่ว่างจากตัวว่างจากตน ส่วนรวมก็ช่วยเราได้ระดับหนึ่ง แต่ตัวเราก็ต้องเป็นผู้ที่ช่วยเหลือตนเองและช่วยเหลือคนอื่น ทุกที่ทุกหนทุกแห่งจะมีความเข้มแข็งถ้าสมัครสมานสามัคคีกัน
ทุกท่านทุกคนน่ะจึงต้องเข้าใจ โดยการเอาหลักธรรมเป็นหลักแห่งการประพฤติปฏิบัติ โดยเฉพาะ สาราณียธรรม แปลว่า ธรรมอันเป็นไปเพื่อความระลึกถึงกันและกัน หมายถึง ธรรมอันเป็นไปเพื่อเสริมสร้างความรู้สึกที่ดีให้เกิดขึ้นต่อกันจนก่อเกิดเป็นความสามัคคีมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ดังนั้นสาราณียธรรม ก็คือ วิธีสร้างความสามัคคีนั่นเอง การที่หมู่คณะหรือสังคมใดเกิดความแตกแยก มีปัญหาวุ่นวาย ก็เป็นเพราะว่าคนในหมู่คณะหรือสังคมเหล่านั้นละเลยหลักธรรมเรื่องความสามัคคี จึงทำให้เกิดสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาคือขาดความรัก ขาดความเมตตา อิจฉาริษยา นินทาว่าร้ายกัน เบียดเบียนและรังแกกัน เห็นแก่ตัวถืออภิสิทธิ์ อ้างอำนาจบาตรใหญ่ และมีความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ต่างคนต่างก็ถือความคิดของตนเป็นใหญ่อยู่ตลอดเวลา
ถ้าหากทุกคนในสังคมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน เคารพในกฎกติกาเดียวกัน รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือกัน ให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และรู้จักการให้อภัยกันอยู่ตลอดเวลาสังคมของเราก็จะมีความอบอุ่นและน่าอยู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขสิ่งดังกล่าวมานี้สามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยการเสริมสร้างความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในสังคม เรื่องของความสามัคคีนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสถึงหลักธรรมที่เป็นแนวทางในการเสริมสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในหมู่คณะในสังคม ไว้ ๖ ประการ เรียกว่า สาราณียธรรม ๖ คือ
๑. เมตตากายกรรม (ตั้งเมตตากายกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) หมายถึงกระทำสิ่งใดก็ทำด้วยความปรารถนาดีต่อผู้อื่น สนับสนุนช่วยเหลือกันทางด้านกำลังกาย ด้วยการช่วยเหลือกิจธุระต่าง ๆ ของหมู่คณะด้วยความเต็มใจ แสดงอาการกิริยาสุภาพต่อกัน มีหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสต่อกัน เคารพนับถือกัน รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ยกตนข่มท่าน มีสัมมาคารวะ ไม่ไปเบียดเบียนหรือใช้กำลังข่มเหงผู้อื่น ไม่ใช้กำลังในการแก้ไขปัญหา ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๒. เมตตาวจีกรรม (ตั้งเมตตาวจีกรรมในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) หมายถึง การพูดแต่สิ่งที่ดีงาม พูดกันด้วยความรักความปรารถนาดี รู้จักการพูดให้กำลังใจซึ่งกันและกันในยามที่เพื่อนร่วมสังคมประสบกับความทุกข์ ความผิดหวัง หรือปัญหาต่าง ๆ ควรพูดแนะนำแต่สิ่งที่ดี แจ้งสิ่งที่เป็นประโยชน์สั่งสอน แนะนำตักเตือนด้วยความหวังดี พูดอย่างใดก็ทำอย่างนั้น ไม่โกหกมดเท็จ กล่าววาจาสุภาพ ใช้วาจาที่แสดงความเคารพนับถือต่อกัน เจรจากันด้วยเหตุผล ด้วย ติปัญญา ไม่ใช้โทสะเป็นตัวนำ พูดอย่างมีจิตสำนึกในผลประโยชน์สุขร่วมกันพูดจาสร้างสรรค์ หากไม่มีความสามารถที่จะพูดแนะนำอะไรใครได้ ก็ไม่ควรพูดซ้ำเติม หรือนำไปนินทาว่าร้าย หรือกล่าวร้ายเสียดสีประชดประชันกัน ไม่ว่าจะเป็นต่อหน้าหรือลับหลัง
แต่ทว่ามีคนอยู่ประเภทหนึ่งที่ท่านพระสารีบุตรจะไม่ขออยู่ร่วมด้วยอย่างเด็ดขาด นั่นคือ คนที่ชอบพูดยุแยงตะแคงรั่วให้มิตรแตกแยก ดังเช่น คนกินเดนผู้หนึ่ง เขาเลี้ยงชีพด้วยการขอผู้อื่นกิน เมื่อได้เห็นพระสารีบุตรกับพระโมคคัลลานะเดินทางมาปลีกวิเวกจำพรรษาอยู่ในป่าแถบหมู่บ้านชายแดนที่ตนอยู่ ก็เข้าไปขออาศัยอยู่ด้วย ทำการอุปัฏฐากเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พระเถระทั้งสอง เพื่อแลกข้าวก้นบาตรกิน เมื่ออยู่ไปหลายวัน เขาเห็นพระเถระทั้งสองมีความสามัคคีกลมเกลียวกันดี ก็รู้สึกริษยาคิดอยากจะทำลายให้แตกกัน เขาจึงเข้าไปหาพระสารีบุตร แล้วกล่าวใส่ร้ายพระโมคคัลลานะว่า “ท่านขอรับ พระโมคคัลลานะดูหมิ่นท่านลับหลัง บอกว่าชาติกำเนิด โคตร ตระกูล ที่อยู่การศึกษา การรู้แจ้งธรรมและฤทธิ์ ยังต่ำต้อยกว่าของตนมากนัก” พระสารีบุตรทราบดีว่าไม่เป็นความจริง ฟังแล้วก็ยิ้ม บอกให้เขากลับออกไป วันต่อมา เขาก็เข้าไปหาพระโมคคัลลานะแล้วกล่าวใส่ร้ายพระสารีบุตรโดยทำนองเดียวกันนั้นอีก พระโมคคัลลานะทราบแก่ใจว่าไม่เป็นความจริง ฟังแล้วก็ยิ้ม บอกให้เขากลับออกไป หลังจากนั้น พระโมคคัลลานะได้เข้าไปหาพระสารีบุตรเพื่อหารือเรื่องคนกินเดนเข้ามาพูดจายุแยงตะแคงรั่ว เมื่อทราบว่าเขามีเจตนาทำลายมิตรให้แตกแยกแน่ชัดแล้ว พระสารีบุตรจึงดีดนิ้วมือ อันเป็นการแสดงออกเพื่อขับไล่คนกินเดนให้ออกไปพ้นสำนัก
เรื่องนี้เป็นข้อเตือนใจว่า หากคิดจะทำ ความดีใดให้ตลอดรอดฝั่ง อย่ารับคนปากเสียมีปมด้อย ชอบพูดจายุยงให้หมู่คณะแตกแยกเข้ามาร่วมงานด้วยเป็นอันขาด เพราะแม้แต่พระสารีบุตรซึ่งมีปกติเป็นผู้มีเมตตากรุณาแม้แก่คนดื้อด้านหรือคนยากจนเข็ญใจ ก็ยังไม่ต้องการอยู่ร่วมกับคนชั่วผู้ชอบยุยงให้มิตรแตกแยกแม้แต่วันเดียว
๓. เมตตามโนกรรม (ตั้งเมตตามโนกรรม ในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) หมายถึง การคิดดี มองกันในแง่ดี มีความหวังดี ปรารถนาดี มีความรักความเมตตาต่อกัน คิดทำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กัน คิดพิจารณาวินิจฉัย คิดวางแผนต่าง ๆ โดยมุ่งทำให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกัน ไม่คิดทำร้ายซึ่งกันและกัน ไม่คิดอิจฉาริษยา ไม่คิดอคติ ไม่คิดพยาบาทไม่คิดผูกโกรธแค้นเคืองกัน รู้จักให้โอกาสและให้อภัยต่อกันอยู่เสมอ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๔. สาธารณโภคี (ไม่หวงสิ่งของ ได้ของสิ่งใดมาโดยชอบธรรมก็แบ่งปันกัน) หมายถึง ได้สิ่งใดมาก็รู้จักแบ่งกันกินแบ่งกันใช้ แม้เป็นของเล็กน้อยก็ยินดีแจกจ่ายให้กับทุกคนได้มีส่วนร่วมใช้สอยบริโภคทั่วกัน รู้จักแบ่งปันผลประโยชน์ต่อกันด้วยความชอบธรรม ช่วยเหลือเกื้อกูลกันตามอัตภาพ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกันอยู่เสมอตามโอกาสอันควร รู้จักเฉลี่ยแจกจ่ายสงเคราะห์ เช่น บริจาคอาหาร เครื่องอุปโภคบริโภคเครื่องไม้เครื่องมือ ตลอดจนวิทยาการความรู้ต่าง ๆ ให้แก่ เพื่อนมนุษย์ รู้จักใช้ทรัพยากรธรรมชาติร่วมกันโดยไม่ทำลายระบบนิเวศน์สิ่งแวดล้อมที่จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อมวลมนุษย์ มุ่งช่วยเหลือและบำเพ็ญประโยชน์ต่อสาธารณะ ไม่ตระหนี่ ไม่ขี้เหนียว ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนฝ่ายเดียว ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร แม้จะมีช่องทางให้ทำได้ก็ตาม
๕. สีลสามัญญตา (มีศีลบริสุทธิ์เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) หมายถึง มีความประพฤติสุจริตดีงาม รักษาระเบียบวินัยของส่วนรวม ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับของสังคมที่ตนเองอยู่ร่วม รู้จักเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ไม่ก้าวก่ายหน้าที่กัน ไม่บ้าอำนาจ หรือถือตนว่าตัวเองยิ่งใหญ่กว่าผู้อื่น ไม่ถืออภิสิทธิ์ใดๆทั้งปวง ไม่ทำตนให้เป็นที่น่ารังเกียจ หรือเสื่อมเสียแก่หมู่คณะ ไม่ฝ่าฝืนมติหรือหลักการของหมู่คณะอันจะก่อให้เกิดความหวาดระแวง ไม่ไว้เนื้อเชื่อใจกัน ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ก่อความเดือดร้อนแก่สังคม ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
๖. ทิฏฐิสามัญญตา (มีทิฏฐิดีงามเสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง) หมายถึง มีความเห็นชอบร่วมกัน ในข้อที่เป็นหลักการสำคัญที่จะนำไปสู่ความหลุดพ้นสิ้นทุกข์ หรือขจัดปัญหา ยึดถืออุดมคติ หลักแห่งความดีงาม หรือจุดหมายสูงสุดอันเดียวกันไม่ยึดถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ฝ่ายเดียว เมื่ออยู่ร่วมกันในสังคม ต้องรู้จักฟังความคิดเห็นของผู้อื่นบ้าง ของสังคมโดยรวมบ้าง เมื่อความคิดเห็นของตัวเองแตกต่างจากคนหมู่มาก ก็ต้องหันมาพิจารณาดูตัวเอง ปรับมุมมอง ทัศนคติของตัวให้เข้ากับคนหมู่มาก เรียกว่ารู้จักแสวงหาจุดร่วมและสงวนไว้ซึ่งจุดต่าง ไม่สร้างข้อขัดแย้งโดยไม่มีเหตุผล ต้องมีความเข้าใจในเรื่องสิทธิ หน้าที่ และเสรีภาพของแต่ละบุคคล ทั้งต่อหน้าและลับหลัง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนเรื่องสาราณียธรรม ๖ ประการนี้ให้กับพระภิกษุสงฆ์ก่อนและคฤหัสถ์ตามมา ว่าให้อยู่ร่วมกันด้วยหลักของสาราณียธรรม ๖ ประการนี้ แล้วจะทำให้แต่ละบุคคลที่เป็นสมาชิกของสังคมนั้นๆ มีความระลึกถึงกัน มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเกื้อกูลเมตตาต่อกันพร้อมที่จะให้ความร่วมมือต่อกัน มีความรักสามัคคีต่อกัน เพราะตั้งแต่ทางกายก็ปฏิบัติต่อกันด้วยความเมตตาช่วยเหลือการงานต่อกัน ทางวาจาก็พูดด้วยปิยวาจาถนอมน้ำใจไมตรีต่อกัน ในจิตใจก็มีแต่ความจริงใจคิดปรารถนาดีต่อกัน ในการอยู่ร่วมกันนั้นเมื่อมีของอะไร หรือได้รับสิ่งใดมา ก็นำมาแบ่งปันต่อกัน ในการอยู่ร่วมกันของสังคมเราก็รักษาระเบียบวินัย มีศีลเสมอกันไม่เบียดเบียนก่อความเดือดร้อนแก่กัน และปฏิบัติตามกฎกติกาของส่วนรวม ในเรื่องทิฏฐิความเชื่อก็ยึดถือและเข้าใจหลักการสำคัญของหมู่คณะร่วมกัน ตลอดจนยึดถือและเข้าใจร่วมกันในความจริงที่เป็นธรรมชาติของโลกและชีวิตที่จะรองรับความเป็นมนุษย์ของเราไว้ด้วยกันเพียงเท่านี้หมู่คณะหรือสังคมก็จะอยู่เย็นเป็นสุขและสามารถพัฒนาให้ก้าวหน้าไปบนรากฐานแห่งความสัมพันธ์อันดีงามอย่างมั่นคง
ที่ใดก็ตาม ที่มีความสมัครสมานสามัคคี มีความพร้อมเพรียงกันทุกคน ที่แห่งนั้นย่อมมีความสุข และการประพฤติปฏิบัติธรรมของบุคคล ในสถานที่ที่มีความสามัคคีกัน ย่อมได้รับผลแห่งการปฏิบัติที่ก้าวหน้า เพราะทุกคนต่างมีความสุขในการอยู่ร่วมกัน ความสุขเป็นรากฐานของความสำเร็จทั้งมวล
ความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เป็นคุณธรรมที่สำคัญในการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะใหญ่อย่างมีความสุข เป็นปราการด่านสำคัญที่สุด ในการที่จะทำให้สังคมประเทศชาติ มีความมั่นคงและปลอดภัย ไม่ถูกข้าศึกรุกราน หรือถูกแทรกแซงให้บ้านเมืองระสํ่าระสาย ความสามัคคีเป็นยิ่งกว่าป้อมปราการของบ้านเมือง ที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า เพราะเป็นประดุจป้อมปราการ หรือกำแพงเมืองที่มีชีวิตจิตใจ ที่ทุกคนต่างมีความเข้มแข็ง พร้อมที่จะเสียสละรักษาประเทศชาติ แม้ข้าศึกจะมีพลังอำนาจ มีความสามารถมากมายเพียงไร แต่ก็ไม่สามารถทลายกำแพงแห่งความสามัคคีของหมู่คณะไปได้ ความสามัคคีของหมู่คณะจึงนำสุขมาให้ นักปราชญ์บัณฑิตทั้งหลาย จึงยินดีในสามัคคีธรรม และสนับสนุนให้หมู่คณะรู้รักสมัครสมาน หากขาดความสามัคคี นั่นเปรียบเสมือนลางร้ายว่า ความเสื่อมสลายกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
สถานการณ์บ้านเมืองของเราในวันนี้ ที่ต้องประสบกับความวุ่นวายไม่สงบ ความยุ่งยากลำบาก แตกความสามัคคี แบ่งฝักแบ่งฝ่าย มีการทำผิดกฎหมายเพิ่มมากขึ้น อำนาจรัฐอ่อนแอเพราะมีการแทรกแซงอำนาจทางการเมืองอยู่เป็นประจำ บ้านเมืองใดที่อยู่ในสภาพนี้ ย่อมก้าวไปสู่ความเสื่อมอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องสงสัย อาจถึงกับล่มจมเอาได้หากคนในบ้านเมืองนั้นยังเพิกเฉย อยู่แบบตัวใครตัวมัน ฉกฉวยเอาผลประโยชน์ใส่ตน เมื่อผลประโยชน์ขัดกันกับคนอื่นก็ใช้กำลังแย่งชิงกัน ถ้าหากมีศัตรูจากภายนอกเข้ามาเบียดเบียนเพิ่มอีก ก็มีโอกาสพ่ายแพ้ได้อย่างง่ายดาย
บ้านเมืองเราเคยมีความเจริญมั่นคงเป็นที่นับถือและเกรงอกเกรงใจจากเพื่อนบ้านมาก่อน ไม่น่าเชื่อว่าเราใช้เวลาทะเลาะเบาะแว้งแย่งชิงประโยชน์กันไม่ถึง ๑๐ ปี บัดนี้กลายเป็นว่าเพื่อนบ้านที่เคยเดินตามหลังบ้าง เดินนำหน้าบ้าง กำลังจะแซงเราไปแล้ว
สาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองเราเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะปัจจัยภายในของเราเอง นั่นคือ เราต่างไม่ยึดถือธรรมแห่งความสามัคคี ไม่ปฏิบัติตามหลักการทำงานเป็นทีมอย่างมีประสิทธิภาพดังที่พระพุทธองค์ได้ตรัสอนไว้ นั่นคือ อปริหานิยธรรม ๗ ซึ่งเป็น "ธรรมอันไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียวสำหรับหมู่ชนหรือผู้บริหารบ้านเมือง"
จึงขอให้พวกเราได้อ่านทบทวนกันอีกครั้งหนึ่ง แล้วลองพิจารณาดูเถิดว่า ณ วันนี้บ้านเมืองของเราสังคมไทยของเรา ขาดข้อใดไปบ้าง สำหับอปริหานิยธรรมของฆราวาส ๑. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
๒. พร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียงกันเลิกประชุม พร้อมเพรียงกันทำกิจที่พึงทำ (และพร้อมเพรียงกันลุกขึ้นป้องกันหมู่คณะเมื่อมีภัย)
๓. ไม่บัญญัติสิ่งที่มิได้บัญญัติไว้ (อันขัดต่อหลักการเดิม) ไม่ล้มล้างสิ่งที่บัญญัติไว้ (ตามหลักการเดิม) ถือปฏิบัติมั่นตามธรรม (หลักการ) ตามที่วางไว้เดิม
๔. สักการะเคารพนับถือบูชาท่านผู้ใหญ่ทั้งหลาย มองเห็นความสำคัญแห่งถ้อยคำของท่านว่าเป็นสิ่งอันพึงรับฟัง
๕. บรรดากุลสตรีกุมารีทั้งหลาย ให้อยู่ดีโดยมิถูกข่มเหง หรือฉุดคร่าขืนใจ
๖. เคารพสักการบูชาเจดีย์ (ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ต่าง ๆ) ของคนในชุมชน (ประจำชาติ) ทั้งหลาย ทั้งภายในและภายนอก ไม่ปล่อยให้พลีกรรมอันชอบธรรมที่เคยให้เคยทำแก่เจดีย์เหล่านั้นเสื่อมทรามไป
๗. จัดให้ความอารักขา คุ้มครอง ป้องกัน อันชอบธรรม แก่พระอรหันต์ทั้งหลาย (ในที่นี้กินความกว้าง หมายถึงบรรพชิตผู้ดำรงธรรม เป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป) ตั้งใจว่าขอพระอรหันต์ทั้งหลายที่ยังมิได้มา พึงมาสู่แว่นแคว้น ที่มาแล้วพึงอยู่ในแว่นแคว้นโดยผาสุก
จากหลักอปริหานิยธรรม ทั้ง ๗ ประการ ที่กล่าวมาข้างต้น เราจะเห็นได้ชัดว่า อปริหานิยธรรมข้อที่ ๑ และข้อ ๒ ก็ไม่เป็นไปตามนั้น ดูแต่สภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นตัวแทนอำนาจของประชาชน บรรดาผู้แทนทั้งหลายเข้าประชุมก็ไม่พร้อมเพรียง ไม่สม่ำเสมอ เวลาประชุมก็ทะเลาะเบาะแว้งกันส่งผลมาสู่ประชาชนที่ถือข้างผู้แทนตนก็ทะเลาะเบาะแว้งกันไปด้วย
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๓ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน การบัญญัติและแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญก็ไร้หลักการ มีแต่จะทำตามความต้องการเพื่อสนองประโยชน์ของฝ่ายตน การบังคับใช้กฎหมายก็ไม่เป็นธรรม เรียกกันว่า ๒ มาตรฐานซึ่งเป็นเช่นนี้มาเนิ่นนานแล้วสะสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ยุ่งเหยิงจนเกินจะเยียวยา
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๔ ก็เสื่อมเช่นกัน ผู้เป็นใหญ่ ผู้ใหญ่ของบ้านเมืองทุกระดับ ถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ย่ำยี อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน โดยที่ท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถจะตอบโต้ได้ ดูเหมือนว่าคุณธรรมเรื่องการอ่อนน้อมถ่อมตน เคารพผู้ใหญ่ ให้เกียรติผู้อาวุโสได้ถูกคนบางกลุ่มละทิ้งไปแล้ว
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๕ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน มีการกดขี่ทางเพศ ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับความคิดเห็นของฝ่ายหญิงเท่าที่ควร บางอาชีพ บางตำแหน่ง ก็ผูกขาดไว้สำหรับเพียงเพศชายเท่านั้น ปัญหาโสเภณี หญิงสาวหรือเด็กรุ่นสาวถูกบังคับให้ขายบริการทางเพศตามสถานที่อโคจรต่างๆ หรือไม่มีการเปิดโอกาสในเส้นทางการประกอบอาชีพให้กับหญิงเหล่านั้นเท่าที่ควร จนต้องไปขายบริการทางเพศด้วยความสมัครใจก็ตาม
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๖ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน มีพระสถูป พระเจดีย์ ปูชนียสถานและปูชนียวัตถุ ตลอดถึงอนุสาวรีย์ และรูปเคารพต่างๆ ที่เป็นศูนย์รวมใจของหมู่ชน เร้าให้ทำดีนั้นถูกทอดทิ้งละเลยการดูแลเอาใจใส่ และถูกบั่นทอนผลประโยชน์ที่เคยอุปถัมภ์บำรุงพระเจดีย์ หรือปูชนียสถานเหล่านั้นให้ลดน้อยถอยลงจนไม่พอต่อการบูรณะปฏิสังขรณ์ และต่างละเลยพิธีเคารพบูชาอันพึงทำต่ออนุสรณ์สถานเหล่านั้นตามประเพณีที่ดีงาม
อปริหานิยธรรมข้อที่ ๗ ก็เสื่อมด้วยเช่นกัน พระภิกษุสามเณรที่ดี ดำรงธรรมเป็นหลักใจของประชาชนทั่วไป และเป็นผู้สืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้คงอยู่ตลอดไปนั้น ต้องถูกข่มเหงรังแกฆ่าฟันอย่างไม่เป็นธรรมในทางภาคใต้ของประเทศเรา มีสื่อหลายสื่อที่ถูกชักใยอยู่เบื้องหลังให้ทำการแพร่ข่าวอันเสื่อมเสียของพระภิกษุสงฆ์ เพื่อมุ่งโจมตีให้เกิดความด่างพร้อยต่อสถาบันสงฆ์อยู่เป็นระยะๆ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนหลงเชื่อ หมดความเลื่อมใสหมดศรัทธาในการทำความดี
เพียงเท่านี้ก็เป็นปัจจัยเพียงพอที่จะทำให้บ้านเมืองของเราอยู่ใน ภาพแทบย่ำแย่ดังที่เห็นในปัจจุบัน หากไม่ช่วยกันแก้ไขก็คงยากที่จะรักษาความเป็นปึกแผ่นไว้ได้
เพราะความแตกแยกนี้ เป็นความร้าวฉาน เป็นการแตกความสมัครสมานสามัคคี เรียกว่าสังฆเภท ดูแล้วประเทศไทยเราทุกวันนี้มีความเสียหายเยอะ เพราะมีความแตกแยกสมัครสมานสามัคคี เอาวัตถุเอาตัวตนมาเป็นที่ตั้ง ถึงได้เกิดการโกงกินคอรัปชั่น นี่เสียหายมากนะ ส่วนใหญ่ก็พากันไปจัดการแต่คนอื่น ศาสนาพุทธก็ไปคิดว่าความเสื่อมของศาสนาพุทธจะเกิดขึ้นได้ เพราะศาสนาอื่นๆ ที่จะมาทำให้เสื่อม อันนี้คือความคิดเห็นผิดความเข้าใจผิด อันที่จริงไม่มีศาสนาไหนจะมาทำให้เราเสื่อมได้นอกจากตัวของเราเอง มีแต่ศาสนิกชนของศาสนานั้นนั่นเองที่ทำให้เสื่อม เพราะคนรุ่นใหม่สมัยใหม่ที่เขาเรียนวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุมีผล เขายอมรับไม่ได้ ถ้าเราไม่ได้เป็นธรรม เป็นความยุติธรรม เราไม่ได้พากันมาเสียสละ ศาสนาทุกศาสนาน่ะ ศาสนิกชนจะไปย่อหย่อนอ่อนแอตามอัธยาศัยไม่ได้ ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ
ความสมัครสมานสามัคคีของเราที่จะเกิดได้ ก็เนื่องมาจากเสียสละ เพื่อเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นการดำเนินชีวิต เพราะเรื่องความสมัครสมานสามัคคีเป็นสิ่งที่สำคัญ ทุกคนน่ะไม่มีสิทธิ์ที่จะตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ต้องเอาธรรมะเป็นหลักเอาธรรมะเป็นใหญ่ เป็นผู้เสียสละเป็นผู้ให้ อย่างพ่อแม่อย่างครูบาอาจารย์ข้าราชการทหารตำรวจต้องพร้อมเพรียงกันทุกๆ คน เพื่อแก้ไขตัวเอง ถ้าเราไม่เสียสละมันก็ไว้ใจกันไม่ได้ เมื่อคนอื่นเขาไม่ไว้วางใจเรา จึงต้องเข้าใจและปฏิบัติให้ชัดเจน เพราะเราเกิดมาก็เพื่อมาเสียสละ เพื่อมาทำประโยชน์ตน ประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อม
จึงขอฝากให้พวกเราทุกคนช่วยกันพิจารณา ทั้งในฐานะผู้นำหรือประชาชนของประเทศฐานะผู้นำหรือพนักงานขององค์กร ทุกชน ทุกชั้น ทุกระดับ ช่วยกันใช้ปัญญาพิจารณาและหาหนทางแก้ไขปัญหาให้แก่องค์กรประเทศชาติและพระศาสนาของเราได้โดยสวัสดิภาพตลอดไป
พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เพลงปลุกใจให้รักชาติและให้สามัคคี เพื่อช่วยให้เกิดความสนิทสนมกลมเกลียวกัน เนื้อหาก็จับใจควรแก่การจดจำ คือ
เรานี้เกิดมาแล้วชาติหนึ่ง ควรคำนึงถึงชาติศาสนา ไม่ควรให้เสียทีที่เกิดมา ในหมู่ประชาชาวไทย
แม้ใครตั้งจิตรักตัว จะมัวนอนนิ่งอยู่ไฉน ควรจะร้อนอกร้อน ใจ เพื่อให้พรั่งพร้อมทั่วตน
ชาติใดไร้รักสมัครสมาน จะทำการสิ่งใดก็ไร้ผล แม้ชาติย่อยยับอับจน บุคคลจะสุขอยู่ได้อย่างไร
อย่าเห็นแก่ตัวมัวพะวง ลุ่มหลงริษยาไม่ควรที่
อย่าต่างคนต่างแข่งกันแย่งดี อย่าให้ช่องไพรีที่มุ่งร้าย
แม้เราริษยากันและกัน ไม่ช้าพลันจะพากันฉิบหาย
ระวังการยุยงส่งร้าย นั่นแหละเครื่องทำลายสามัคคี
คณะใดศัตรูผู้ฉลาด หมายมาดทำลายให้เร็วรี่
ก็ยุแยกให้แตกสามัคคี เช่นกษัตริย์ลิจฉวีวงศ์โบราณ
พราหมณ์ผู้เดียวรับใช้ไปยุแหย่ สาระแนยุญาติให้แตกฉาน
จนเวลาศัตรูจู่ไปราญ มัวเกี่ยงกันเสียการเสียนคร
ฉะนั้นไซร้ขอไทยจงร่วมรัก จงร่วมสมัครสโมสร
เอาไว้เผื่อเมื่อมีไพรีรอน จะได้สู้ดัสกรด้วยเต็มแรง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee