แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอังคารที่ ๑๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรมตอนที่ ๒๑ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจก็อยากให้ภายนอกว่าง ใจของเราต่างหากที่ต้องว่างจากตัวจากตน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกคนพากันรู้พากันเข้าใจในการดำเนินชีวิต ดำรงชีวิตที่ประเสริฐ เพราะตัวของเราเองทุกท่านทุกคนว่าทุกอย่างนั้นเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัยเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้น คือเหตุคือปัจจัย ความรู้ความเข้าใจการประพฤติการปฏิบัติต้องไปพร้อมพร้อมพร้อมกัน อย่างนี้นะ ข้อสอบกับข้อ ตอบ ต้องดำเนินไปในปัจจุบัน ปัจจุบันถึงเป็นการประพฤติการปฏิบัติของเรา ความรู้ถึง เป็นคู่ประพฤติ คู่ ปฏิบัติ ปริยัติคือความรู้และปฏิบัติต้องไปพร้อมพร้อมกัน อย่างนี้นะ ความถูก ต้องก็คือความถูกต้อง ความผิดก็คือความผิด พระพุทธเจ้าให้เราเอาพุทธะครองใจ เอาพุทธะคือการประพฤติการปฏิบัติ เอาพุทธะเป็นการดำเนินชีวิตเป็นการประพฤติเป็นการปฏิบัติ อดีตที่ผ่านมา เราได้เอาความรู้สึกที่เป็น อวิชชา ที่เป็นความหลง ได้ปกครองธาตุ ครองขันธ์ ครองอายตนะ ที่เป็นเราเป็นของเรา พระพุทธเจ้าบอกพวกเราทั้งหลายว่าไม่ได้ ต้องเอาพุทธะครองธาตุ ครองขันธ์ ครองอายตนะ
พระพุทธเจ้าคือผู้ที่ยกเลิกธาตุ ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ ที่เป็นนิติบุคคลที่เป็นตัวเป็นตน มายกเลิกความหลงเรียกว่าพุทธะ ท่านได้ประพฤติได้ปฏิบัติ สร้างพุทธะบารมีเป็นเวลาช้านานหลายอสงไขย แล้วท่านก็ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านได้มาบอกมาสอนพวกเรา เพราะท่านประพฤติปฏิบัติให้เราไม่ได้ เราต้องพากันประพฤติปฏิบัติเอาเอง เราทุกคนที่เกิดมาเป็นมนุษย์ถือว่า ภพภูมินี้ถึงเป็นภพภูมิที่ประเสริฐสุดให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ มีโอกาสมีเวลาที่ทุกท่านจะได้เอาธาตุ เอาขันธ์ เอาอายตนะ ที่ประเสริฐ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ พากันประพฤติพากันปฏิบัติ พากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์สร้างบารมีให้ต่อเนื่องเปรียบเสมือนสายน้ำ ที่น้ำมันไหลที่ติดต่อต่อเนื่องลงไปสู่ทะเลไปสู่มหาสมุทร
การประพฤติการปฏิบัติเป็นการทำที่สุดแห่งการดับทุกข์เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงจะมี จึงจะเป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม ยกเลิกยกเลิกความเป็นนิติบุคคลตัวตนด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ มีความสุขในการรักษาศีล มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติธรรม ไม่ทำครึ่งหลับครึ่งตื่น มีทั้งสติมีทั้งปัญญาไปพร้อมพร้อมกัน พระพุทธเจ้าบอกเราให้ยกเลิกตัวยกเลิกตน ถึงจะเป็นคนมีศีลมีสมาธิมีปัญญา
การมาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จึงเป็นการยกเลิกทาส ยกเลิกการถือ ชั้นวรรณะ วันหนึ่งคืนหนึ่งทุกๆคน ต้องพากันนอนหลับเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนเพื่อให้สมองได้พักผ่อน สำหรับสามัญชนที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เราต้องพากันนอนวันละ ๖ ชั่วโมงนอนหลับสนิทนอนหลับลึก สำหรับคนที่นอนหลับยาก กว่าจะนอนหลับได้เป็นชั่วโมงๆ นอนสัก ๗ ชั่วโมงหรือ ๘ ชั่วโมง พวกคนแก่ที่เป็นโรคความดัน เป็นโรคไขมันเป็นโรคไตร่างกายไม่ดี จะปวดปัสสาวะบ่อย เมื่อตื่นขึ้นมาปัสสาวะเวลาไปนอนอีกนั้น จะพากันนอนไม่ค่อยหลับ เพราะความคิดต่างๆ การรับรู้ต่างๆ จะทำให้นอนไม่หลับ ถ้าการนอนเราไม่เพียงพอ ก็ยิ่งเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ร่างกายเสียหาย เสื่อมโทรมเร็ว ให้ทุกคนพากันเข้าใจหลักการนะ เวลาตื่นขึ้นมาห้ามคิดอะไร มีธุรกิจการงานก็อย่าพึ่งคิด เพียงแต่ปัสสาวะอย่างเดียว แล้วก็นอนต่อไม่ต้องคิดอะไร เราคิดก็ยิ่งจะป่วยทั้งกายทั้งใจ ตามหลักเหตุหลักผลตามหลักวิทยาศาสตร์ เวลานอนหลับไม่สนิท อย่าไปคิดอะไร อย่าไปปรุงแต่งอะไร ตื่นมาตีหนึ่งตีสองตีสาม เรามาคิดอย่างนี้ ไม่กี่เดือนเราจะพากันเป็นโรคประสาท พากันมีความวิตกกังวล อย่าพากันห่วงลูกห่วงหลาน ห่วงความร่ำรวยต่างๆ เราต้องวางหน้าที่การงาน วางหมดช่างหัวมัน เราจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงเพื่อจะได้เอาร่างกายนี้ ไปประพฤติไปปฏิบัติธรรม เรื่องการนอนเป็นเรื่องสำคัญนะ คนเราไม่ได้ทานอาหาร มีจิตใจสงบเหมือนพระอรหันต์ เข้านิโรธสมาบัติ มันก็จะไม่หิว ถ้าจิตใจไม่สงบอย่างนี้มันทำให้ร่างกาย ทรุดโทรม เราจะเห็นตัวอย่างแบบอย่าง ที่คนเค้าเป็นโรคมะเร็งกัน ตั้งแต่ก่อนร่างกายอ้วนท้วนสมบูรณ์ แข็งแรงแข็งแรงดีเมื่อไปหาหมอตรวจ โอ้...ไม่กี่อาทิตย์ผอมลงมองเห็นได้ว่า ร่างกายที่เป็นสภาพจากแข็งแรงเป็นสภาพของคนป่วยเลย สาเหตุก็เพราะจิตใจมันไม่สงบ จิตใจมันปรุงแต่ง จิตใจที่ปรุงแต่งมันเป็น ทุกข์อย่างนี้แหละ มันกดดันจนผอมเลย เมื่อร่างกายตื่นขึ้นชั่วโมงนอนเรายังไม่พอ ก็ยกเลิกความปรุงแต่งไว้ก่อน เมื่อเรายกเลิกตัวยกเลิกตน ทุกสิ่งทุกอย่าง การนอนหลับสนิทจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ คนป่วยพากันนอนไม่หลับ ร่างกายถึงซูบผอม คนนอนหลับลึกนอนหลับสนิทนั้นคือการปล่อยวาง การนอนหลับสนิท คือการยกเลิกตัวยกเลิกตน ในระดับสามัญชน การนอนหลับสนิทนี้สำคัญ ถ้านอนหลับไม่สนิท สมองก็จะไปสั่งกล้ามเนื้อก็ไม่ได้ แข้งขาอ่อนขาไม่มีกำลัง เมื่อไม่มีกำลังกำลัง ก็ทานอาหารไม่ได้ มันคืออันเดียวกัน
ผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์รับรองว่า การทำจิตให้สงบเป็นสมาธินับเป็นการจัดระเบียบคลื่นสมองที่มีประสิทธิภาพที่สุด และถือเป็นการผ่อนคลายเชิงลึก ด้วยเหตุนี้ สมองอันปราศจากข้อมูลขยะของพระอรหันต์จึงไม่ต้องการช่วงเวลาหลับลึกเพื่อฟื้นฟูสภาพสมองและจัดระเบียบเซลล์ประสาทมากเท่าคนทั่วไป จึงนอนเพีงแค่วันละ ๔ ชั่วโมงก็พอแล้ว พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงอานิสงส์ของการหลับอย่างมีสติไว้ ๕ ประการ ได้แก่ ๑. ทำให้หลับเป็นสุข ๒. ทำให้ตื่นเป็นสุข ๓. ทำให้ไม่ฝันร้าย ๔. ทำให้เทวดารักษา ๕. ทำให้มีสติไม่หลงใหลในกามซึ่งเกิดจากความฝัน
๗ ขั้นตอนสู่ การนอนอย่างพระอรหันต์
๑. หมั่นเจริญสติและฝึกสมาธิระหว่างวันเพื่อจัดระเบียบสมองและลดการปรุงแต่งอารมณ์
๒. หลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้สมองและร่างกายตื่นตัวก่อนนอน เช่น การดูหนังแอ๊คชั่น การออกกำลังกาย การดื่มเครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน การคิดเรื่องงาน ฯลฯ เพื่อให้ร่างกายพร้อมเข้าสู่การนอนอย่างสงบและมีสติ
๓. นอนอย่างปล่อยวาง ทำจิตให้ว่างก่อนเข้านอน ด้วยการสะสางงานและวางแผนสิ่งที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้นให้เรียบร้อย อาจวางกระดาษและดินสอไว้ข้างเตียงเพื่อจดสิ่งที่นึกขึ้นได้จะได้ไม่ต้องคิดวนไปเวียนมาเพราะความกังวล
๔ .นอนในที่เย็น เงียบ และมืด ปราศจากแสงเสียง และสิ่งรบกวนที่จะทำลายสมาธิในการนอน
๕. หลับไปด้วยจิตอันนิ่งสงบและเป็นกุศล แทนที่จะหลับไปอย่างเหนื่อยอ่อนเพราะคิดปรุงแต่งสารพัน
๖. จัดระเบียบการนอน มีกำหนดเวลานอนและตื่นที่ชัดเจนเพื่อสร้างวินัยให้ร่างกาย
๗. ลุกขึ้นอย่างกระฉับกระเฉงทันทีที่ตื่น อย่ามัวโอ้เอ้งัวเงียพ่ายแพ้ให้ความขี้เกียจ เพราะการตื่นขึ้นเองโดยไม่มีใครปลุกเป็นการส่งสัญญาณให้คุณรู้ว่าสมองได้พักผ่อนเพียงพอแล้ว การนอนนานกว่านั้นจึงถือเป็นความขี้เกียจ
การนอนอย่างมีสติเป็นองค์ประกอบประการสำคัญที่ในการประพฤติปฏิบัติต่อเนื่องในทุกอิริยาบถ เพื่อเป็น “ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” อยู่ตลอดเวลาอย่างแท้จริง
พระพุทธเจ้าไม่ให้เราคอรัปชั่นเวลานอน นอนให้พอนอนหลับสนิทสัก ๖ ชั่วโมง การนั่งสมาธิถึงเป็นสิ่งที่ดี การนั่งสมาธิเป็นการยกเลิกตัวยกเลิกตนเป็นการพักผ่อนสมองและพักผ่อนใจไปด้วย เพราะเราเอาตัวตนมากมันฟุ้งซ่าน มันไม่ได้พักผ่อนกาย พักผ่อนใจ สมาธิก็เป็นสิ่งที่ดีระดับหนึ่ง ให้พวกเราทั้งหลายพากันมาเข้าใจเรื่องศีล ศีลก็คือการที่พวกเรามายกเลิกตัวยกเลิกตน เมื่อเรารักษาศีลออกมาจากใจออกมาจากนิพพาน การรักษาศีลเพื่อยกเลิกตัวยกเลิกตน สมองของเราถึงจะไม่สับสน ศีลนี้ถึงมีสาระกับเราทุกๆ คน ศีลนั้นจึงเป็นความสุขเป็นความดับทุกข์ เรามีตัวมีตนเราก็คิดสารพัดอย่าง คิดในเรื่องกามบ้าง คิดในเรื่องพยาบาทบ้าง สารพัดคิด ความคิดมันก็เลยเป็นพิษเป็นภัย พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า อย่าไปตรึกในตัวในตนที่เรียกว่า กาม อย่าไปตรึกในตัวในตนที่เรียกว่า พยาบาท ใจของเรามันคิดได้อย่างเดียว เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เกิดเป็นความปรุงแต่ง ที่มันปรุงแต่งออกมาเป็นนิวรณ์ทั้ง ๕
การรักษาศีล สมาธิ ปัญญา เป็นการยกเลิกนิวรณ์ทั้งหลายทั้งปวง แต่ก่อนเราไม่เข้าใจของดี ไม่เข้าใจ ศีล คิดว่าศีลนี้ทำให้เรายุ่งยาก ทำให้เราลำบาก มาริดรอนสิทธิ ไม่ใช่นะ พวกเรายังไม่เข้าใจเรื่องอริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ ไม่รู้ความดับทุกข์ ไม่รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ถ้าเราเห็นการรักษาศีลปฏิบัติศีลว่าเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญ ถ้าใครมีสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง โอ้! จะรัก ศีลมาก จะไม่ให้ศีลด่าง ศีลพร้อย ศีลเศร้าหมอง พุทธะที่รู้อริยสัจ ๔ นี้จะเป็นคู่การปฏิบัติเลย มันจะเป็นคู่ อย่างตาเห็นรูปมันจะรู้ทันทีเลยว่า อันนี้คือรูป เรามีตามันก็มีรูปอย่างนี้แหละ ถ้า ตามันก็มีปัญหาพร้อมกับรูป เราก็ไม่หล งเพราะคนเรามีตามันก็มีรูป มีหูมันก็มีมีเสียง มันเป็นข้อสอบที่เราจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติ
พระพุทธเจ้าให้เราว่างจากสิ่งที่มีอยู่ว่างจากตัวจากตน ไม่ใช่หลงไปเรื่อย เราอยู่ที่ไหนก็ดับทุกข์ได้ทุกหนทุกแห่ง เพราะเราว่างจากตัวจากตน แต่ก่อนเราไม่เข้าใจเราอยากให้ภายนอกว่าง ใจของเราต่างหาก! ที่ต้องว่างจากตัวจากตน
พวกพระกรรมฐานยังไม่เข้าใจ บวชมาแล้วยังไม่เข้าใจเลย มันต้องพากันเข้าใจนะ เราจะให้มันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ เราพากันหาแต่ความสงบ ไปอยู่ที่ตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง มันสงบจริงอยู่ เพราะไม่ได้เห็นรูป ไม่ได้ยินเสียง พระพุทธเจ้าให้เราพากันประพฤติพากันปฏิบัติ จะเป็นพระวัดป่าก็ปฏิบัติได้ เป็นพระอยู่เมืองกรุงก็ปฏิบัติได้ ก็เหมือนกัน ถ้ามีลมหายใจก็ปฏิบัติได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกผู้ที่บวชมาว่าให้พิจารณาร่างกายสู่พระไตรลักษณ์ แยกร่างกายออกเป็นชิ้นเป็นส่วนเลย แยกเป็นชิ้นๆ ในอาการ ๓๒ อย่าง แยกออกเลย จะพิจารณาพิจารณาครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้งก็ให้ติดต่อต่อเนื่อง
เพราะเรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดเราเลยไม่อยากภาวนาแยกชิ้นแยกส่วนทางร่างกาย เพราะพิจารณาแล้ว มันพิจารณาไม่ไป มันพิจารณาไม่ออก เพราะมันไม่ชอบ มันพิจารณาไม่ออก ก็เหมือนกับเด็กน้อยมันไม่อยากเรียนหนังสือ เหมือนกับผู้ใหญ่ไม่อยากทำงาน มันมีความทุกข์
เรายินดีในรูปเสียงกลิ่นรส ลาภยศสรรเสริญ เราก็ไม่อยากภาวนาสู่พระไตรลักษณ์ อยู่ในใจก็ยิ่งอยากให้รูปมันสวยที่สุดในโลก อยากให้เสียงมันเพราะที่สุดในโลก อยากให้อาหารอร่อยที่สุดในโลก มันไม่อยากภาวนาร่างกาย รูป เวทนาสัญญาสังขารวิญญาณสู่พระไตรลักษณ์ จริงๆ ภาวนานิดเดียวมันก็สงบ คิดว่าสงบนิดหน่อยก็พอแล้ว มันไม่ต่อเนื่องเหมือนกับฝนที่ตกมานี่แหละ มันตกมาติดต่อต่อเนื่อง มันก็ไม่เป็นสายน้ำ ไม่เป็นแม่น้ำอย่างนี้ การภาวนาแยกชิ้นแยกส่วนของร่างกาย ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ พระส่วนใหญ่การพิจารณาร่างกายจะถูกจริต คำว่าถูกจริตไม่ใช่หมายถึงชอบใจ หมายถึงทำให้ถูกต้อง เกิดปัญญาสัมมาทิฏฐิ ส่วนใหญ่เราทุกคนก็ไม่อยากภาวนาวิปัสสนา นั่งสมาธิก็หลับ หายฟุ้งซ่านก็เอาแต่นอน วันหนึ่งคืนหนึ่งของผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบท พระพุทธเจ้าท่านให้พวกเราเจริญสติเจริญสัมปชัญญะ พิจารณาร่างกายสู่ไตรลักษณ์ พิจารณาเวทนาสัญญาสังขารทั้งหลายทั้งปวงความรู้ทั้งหลายทั้งปวงสู่พระไตรลักษณ์อย่างนี้ อย่าไปคิดว่าสงบเท่านี้ก็เพียงพอ คิดว่าสมาธิเป็นนิพพาน เลยไม่อยากภาวนาวิปัสสนา
ศีลกับสมาธิกับปัญญาต้องไปพร้อมพร้อมกัน เราเป็นประชาชนผู้ครองบ้านครองเรือน เราปฏิบัติเหมือนกัน ต้องเข้าใจเรื่องศาสนา เข้าใจเรื่องความเป็นพระ พระนี้พระพุทธเจ้านับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ประชาชนผู้อยู่ในบ้าน อยู่ในสังคมก็เป็นพระได้ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เพราะความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันเป็นเรื่องใจ เรื่องสัมมาทิฏฐิ ต้องเข้าใจ ความไม่เข้าใจมันเป็นความหลงมันเสียหายมาก
ทุกคนมีลมหายใจไม่ต้องไปหาที่ไหนหรอก ที่ใจของเรา มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ เมื่อครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ฆราวาสผู้ครองเรือนผู้ครองประเทศชาติได้บรรลุธรรมมากมายสุดลูกหูลูกตา มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราทุกคนต้องพากันมารู้ พากันเข้าใจ อันไหนไม่ดีก็อย่าไปคิด อันไหนไม่ดีก็อย่าไปพูด อันไหนไม่ดีก็อย่าไปทำ มันต้องเข้าใจ มีสัมมาทิฏฐิ ทุกๆ คนต้องจัดการตัวเอง ต้องคอนโทรลตัวเอง ต้องมีสติให้มันสมบูรณ์ ต้องมีสมาธิให้มันสมบูรณ์ ต้องมีปัญญาให้มันสมบูรณ์ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องตั้งอกตั้งใจ ตั้งเจตนา สิ่งแวดล้อมต่างๆ นี้ ถ้าเราไม่เข้าใจ มันทำให้เราเสียหาย ถ้าเราเข้าใจมันก็เป็นคุณ เราจะได้ประพฤติได้ปฏิบัติ
ปฏิบัติอะไร ปฏิบัติใจของเรานี่แหละ อันไหนไม่ดีก็ไม่คิดมัน บอกสอนตัวเองให้เกิดสติปัญญาว่า อันนี้คือข้อสอบ และตอบว่า ทุกอย่างมันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เราต้องว่างจากตัวจากตน ต้องว่างจากตัวนี้ไป เราเอาความรู้ผัสสะนั้นที่มากระทบกันนั้น เป็นตัวเป็นตนไม่ได้ เมื่อเรารู้อย่างนี้ เราก็ปฏิบัติของเรา อย่าไปคิดว่า โอ้... อย่างนี้ทำทั้งวัน มันก็เหนื่อยสิ สมองไม่แย่เหรอ ให้พวกเราเข้าใจ แขกมาเยี่ยมเรา เมื่อเราไม่ต้อนรับ มันไม่ได้ผลประโยชน์จากเราหลายครั้ง มันก็ไม่มาอีก เมื่อมันได้รับผลประโยชน์มันก็มาอีก เหมือนพระไปถามพระพุทธเจ้าว่า มีผู้มาหาเรา เราไม่ต้องการให้เขามา เราจะทำยังไง เค้ามาหาเรา เค้าต้องการของ ต้องการผลประโยชน์ เมื่อเราไม่ให้เค้า เดี๋ยวเค้าก็ไม่มา มันก็แค่นี้เอง
สิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้นพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ให้เหมือนไก่มันฟักไข่ ๓ อาทิตย์ มันถึงออกตัวมาเป็นลูกไก่ การประพฤติการปฏิบัติของเรามันก็อย่างนั้นเช่นกัน เพราะมันเป็นเหตุ ทุกอย่างมันมีอยู่ ความเกิดความแก่ความเจ็บความตายความพลัดพราก ลาภยศสรรเสริญ แต่เมื่อเราไม่เอา เรายกเลิก ทุกอย่างก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ แต่เราก็ได้ว่างจากตัวจากตน
นี่เรามีความคิด เห็นผิด เข้าใจผิด คิดว่าไม่มีเวลาไปประพฤติไปปฏิบัติธรรมเลย อย่างนั้นไม่ถูกต้องนะ การปฏิบัติธรรม อยู่ที่ไหนเราก็ต้องว่างจากตัวตน ศีลถึงเป็นสิ่งที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน ปัญญาถึงเป็นสิ่งที่ยกเลิกตัวยกเลิกตน คือพิจารณาสู่พระไตรลักษณ์ ปัญญาสัมมาทิฏฐิจะมีความสงบมากกว่าสมาธิอีก เพราะสมาธินั้นน่ะ มันเป็นเหมือนหินทับหญ้า ถ้าปัญญาน่ะมันเป็นเรื่องพระไตรลักษณ์
เดี๋ยวนี้โลกสมัยใหม่เป็นการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างนี้ดีแล้ว ถูกต้องแล้ว พวกเราพากันเข้าใจ จะได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราจะได้รู้จักว่า ความเห็นต้องเข้าใจถูกต้อง มันว่างจากสิ่งที่มีอยู่นี้ การบริโภคทุกอย่างมันจะได้มีแต่คุณ การเกิดมามันจะได้มีแต่คุณ มันจะได้ทันโลกทันสมัย พระพุทธเจ้าให้เราประพฤติปฏิบัติไปอย่างนี้ๆ
พวกที่พากันมาบวชเป็นพระพระภิกษุ ภิกษุณี สามเณร สามเณรี มันต้องเข้าใจความเป็นพระนะ ความเป็นพระคือมายกเลิกความเป็นตัวตน ด้วยศีล สมาธิปัญญา ทุกคนพากันเป็นพระได้ มันจะมีประโยชน์อะไร มาปลงผมนุ่งห่มผ้าเหลือง คิดว่าจะเป็นพระได้ มันเป็นพระไม่ได้ เราทุกคนให้พากันเข้าใจ เราทุกคนจะได้พากันเป็นพระ อย่าพากันหลงประเด็น อันนั้นมันเป็นพระแต่งตั้ง อันนั้นมันยังไม่ใช่พระธรรมพระวินัย ผู้ที่มาบวชก็มายกเลิก ยกเลิกตัวยกเลิกตน มีแต่พระธรรมมีแต่พระวินัย เค้าถึงเรียกว่าพระ เรามีแต่ความหลงอย่างนี้ มันจะเป็นพระได้ยังไง เราอย่าไปคิดว่า เป็นพระมันเป็นยากนะ มันก็ต้องเป็นยาก เราถึงต้องพากันมาบรรพชาอุปสมบท ถ้าไม่ยาก จะมาบรรพชาอุปสมบททำไม การมาบรรพชาอุปสมบทนี้ดี บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวก็ไม่ต้องซื้อ เค้าเอาของมาให้สนับสนุนทุกอย่าง ให้นักนักบวชทั้งหลายพากันเข้าใจอย่างนี้ อย่าพากันไม่เข้าใจ หลงงมงายคิดว่า โกนหัวห่มผ้าเหลือง คิดว่าจะเป็นพระ ไม่ใช่ ไม่ใช่! พระคือ รู้ว่า อันไหนไม่ดี ไม่คิดไม่พูดไม่ทำ พระคือผู้ที่แยกร่างกายออกเป็นชิ้นส่วน พิจารณาเข้าสู่พรไตรลักษณ์เพื่อไม่หลงในรูปของตน ในรูปของคนอื่น
ผู้ที่มาบวชมีความเห็นผิดเข้าใจผิดว่า เราบวชแล้ว บวชเป็นพระวัดบ้าน อยู่ในเมือง เป็นพระนักศึกษา ไม่มีโอกาสได้อยู่ในป่าในเขา ในที่วิเวก ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้ทุกคนพากันเข้าใจใหม่นะ พากันเข้าใจ อยู่ที่ไหนก็พากันปฏิบัติได้เหมือนๆ กัน เพราะใจของเราคือมันอยู่กับเรา อันไหนไม่ดีก็ไม่คิด อันไหนไม่ดีก็ไม่พูด อันไหนไม่ดีก็ไม่ทำ ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะเป็นพระวัดบ้านพระวัดป่า จะถือนิกายอะไรขอให้เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ปฏิบัติให้เรารู้เรื่องการปฏิบัติ จะมีตึกอาคารหลายสิบชั้น เป็นร้อยชั้น จะมีคนเป็นหมื่นเป็น แสนเป็นล้าน ก็ไม่เป็นไร เมื่อมีความเห็นต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันก็สงบหมด ที่ไม่สงบ เพราะเรามีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้อง ไม่รู้เรื่องอริยสัจ ๔ เลย จะให้มันว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันก็เป็นโรคประสาท พระพุทธเจ้าถึงบอกให้เรายกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ เราจะได้ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่
นักบวชทั้งหลายเป็นพระในกรุงในเมือง นักเรียนนักศึกษา นักปกครอง พากันเข้าใจ เอาตัวตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ไม่เข้าใจ มันไม่เข้าใจไม่ได้! เพราะตัวตนคือความสงสัย เพราะตัวตนคือความฟุ้งซ่าน เพราะมีตัวตนมันถึงสงสัยลังเลอยู่นั่นแหละ เมื่อเรามีตัวมีตน มันต้องมีทุกข์มีปัญหา ทำให้ไม่ภาวนาสู่วิปัสสนา เพราะทุกอย่างมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เมื่อไม่เข้าใจก็จะไปแก้ไขปัญหาแต่ ภายนอก โทษนักการเมือง โทษรัฐบาล เพราะเราไม่เข้าใจเรื่องการดับทุกข์ ให้พากันเข้าใจ เรามีตัวมีตนมันมีฟอร์มมาก ฟอร์มใหญ่ฟอร์มโต เดินไปก็ตกสูงตกต่ำ เพราะมันมีฟอร์ม มันไม่ใช่ผู้ทรงเกียรติ มันฟอร์มเกียรติ เป็นผู้ที่หลงยศหลงตำแหน่ง เป็นนักบวชให้พากันปฏิบัติต่อต่อเนื่องทุกๆ วัน ในการยกเลิกตัวยกเลิกตน เป็นการยกเลิกกาม ยกเลิกพยาบาท
พวกฆราวาสทั้งหลาย ผู้ครองบ้าน ผู้ครองเมือง ตั้งแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินพระราชามหากษัตริย์ จนถึงประชากรของโลก ท่านถึงให้พัฒนาใจ เดือนหนึ่ง มี ๘ วัน วัน ๗ ค่ำ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ เดือนหนึ่งก็ ๘ ครั้ง พากันรักษาศีล ๘ ไม่ทานอาหารหลังเที่ยง ไม่ดูหนังฟังเพลง ไม่เล่นโทรศัพท์ LINE โทรศัพท์ ไม่ฟังนิยายไม่ดูละคร สิ่งที่บันเทิงต่างๆ พวกนี้ทำให้เนิ่นช้า ตั้งอยู่ในความหลง ความประมาท เมื่อเวลาลาละสังขารจะกลับไปเป็นมนุษย์ นี้ไม่ได้ เพราะถูกอวิชชาถูกความหลงครอบงำ ท่านถึงให้พากันพัฒนาใจ ถือศีลอด อดข้าว อดอาหาร เมื่อมันมีความทุกข์กายแต่ใจของเราไม่ต้องทุกข์ ใจของเราแยกกายออกจากใจ เพราะคนเรามีผัสสะที่อำนวยความสะดวกสบาย ใจที่มันหลงในวัตถุก็ย่อมเกิดความทุกข์ เราจะได้พัฒนาสมาธิ พากันพิจารณาอนิจจัง พิจารณาทุกขัง อนัตตา เราจะได้ยกจิตยกใจขึ้นสู่ความสูงส่ง เพราะคนเรามันติด มองไปที่ไหนผู้คนตั้งแต่เด็ก ๒ ขวบ ๒ ขวบ จนถึงอากงอาม่า เล่นแต่โทรศัพท์ ความหลงมันก็เป็นตัวเป็นตนอย่างนั้นแหละ เราทุกคนก็พากันรู้จักตัวเองอย่างนี้แหละ ถึงได้พากันเวียนว่ายตายเกิด เทคโนโลยีที่พัฒนามีห้องแอร์ อยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติที่บ้านเราก็ได้ เพราะเราเน้นที่เรื่องจิตเรื่องใจ เน้นเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เรามีโอกาสมีเวลาเราค่อยไปวัด ให้ทานไปศึกษาธรรมะจากพระอริยสงฆ์จากพระอรหันต์
เราพากันคิดดู พวกที่มาบวชไม่ได้เอาพระอรหันต์มาบวช เอาสามัญชนมาบวช มีตัวมีตนพอๆ กับเรานั่นเอง คนเราดูกันยากกว่าจะรู้ว่าใครเป็นพระไม่เป็นพระ ใช้เวลาหลายเดือนหลายปี เพราะทุกคนปกปิดอวัยวะต่างๆ ของตนเอง ไม่ให้ใครเห็น จะเห็นได้ก็แค่ภรรยาสามีตน เราอยู่ด้วยกันหลายปีหลายเดือน ยกตัวอย่างพ่อแม่ปู่ย่าตายายลูกหลาน ก็รู้กันหมด พระเจ้าพระสงฆ์ที่มาอยู่วัด เราไม่ต้องไปอวดอุตริมนุสธรรม ไม่นานเดี๋ยวก็รู้กันเองอยู่แล้ว อย่าไปอวดอย่าไปเป็นโจร นี้มันขาดจากความเป็นพระ
ผู้ที่เป็นสามีก็แก้ที่สามี ภรรยาก็แก้ที่ภรรยา ลูกก็แก้ที่ลูก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ นาฬิกาก็ต้องเดินตามเวลา ดวงอาทิตย์ก็ต้องเดินตามเวลา ดวงจันทร์ก็ต้องเดินตามเวลา ทุกคนก็ต้องพากันแก้ที่ตัวเอง ไม่แก้ที่ตัวเองก็ไม่ได้ เพราะปัญหามันอยู่ที่ตัวเองไม่อยู่ที่คนอื่น คนเราต้องรู้จักทุกข์ รู้จักเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่งั้นมันก็ไปเรื่อย ไม่หยุด มันคิดไม่หยุด เหมือนเด็กอยากเป็นผู้ใหญ่เป็นหนุ่มเป็นสาว อยากมีลูก อยากเป็นภรรยา สามี เเล้วก็อยากร่ำอยากรวย แล้วก็ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตาย มันอยากไปเรื่อย มันมีที่จบไหม พระพุทธเจ้าให้รู้จักความคิดให้รู้จักอารมณ์ มันไม่หยุดนะ มันเป็นวัฏสงสารในการเวียนว่ายตายเกิด เพราะตามความหลงมันก็ไม่จบ เราถึงต้องพากันยกเลิกตัวยกเลิกตน มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ
เมื่อตั้งแต่ก่อนที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เมื่อก่อนเรายังไม่เข้าใจก็ได้ท่องเที่ยวในวัฏสงสาร เมื่อมีพระพุทธเจ้ามาบอกมาสอนเราก็ไม่ต้องไปค้นคว้าเอง ให้พวกเราเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ชีวิตของเราประเสริฐมากสุดยอดจริงๆ เราทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราจึงเป็นผู้มีเมตตาตนเอง เราถึงจะได้มีเมตตาคนอื่นได้ เหมือนองค์พระสารีบุตรมีสมบัติของวงศ์ตระกูลมาก พ่อแม่ก็ร่ำรวยมหาศาล แต่แม่นั้นก็ไม่เข้าใจ พระสารีบุตรซึ่งเป็นอัครสาวกฝ่ายขวาของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นธรรมดาที่ท่านจะต้องดับขันธ์ก่อนพระพุทธเจ้า ดังนั้นด้วยความกตัญญูกตเวทีของพระสารีบุตรท่านจึงต้องไปโปรดแม่ของท่าน เพราะการที่รู้อริยสัจ ๔ เป็นสิ่งที่สำคัญ โยมมารดาจะได้ยกจิตยกใจดำเนินสู่กระแสมรรคผลนิพพาน
ตอนแรกที่นางสารีพราหมณีทราบว่าพระลูกชายกลับมาบ้าน โดยนางไม่รู้ว่าพระสารีบุตรมีความต้องการจะตอบแทนคุณมารดาด้วยการเทศนาธรรม และนางไม่เชื่อว่าพระลูกชายเป็นพระอรหันต์ เมื่อพระสารีบุตรพร้อมด้วยพระจุนทะพระน้องชายพร้อมบริวารเข้าไปในสถานที่ที่โยมมารดาให้คนจัดให้ตามประสงค์แล้วตกดึกพระสารีบุตรก็ป่วยด้วยโรคปักขันทิกาพาท (ถ่ายจนเป็นเลือด) อย่างปัจจุบันทันด่วน ท่านได้รับทุกขเวทนาอย่างมากพระจุนทะและบริวารช่วยกันดูแลอย่างใกล้ชิดฝ่ายมารดาเห็นว่าท่านอาพาธหนักถึงเข้ามาดูอาการด้วยความห่วงใย ขณะนั้นเทวดาองค์สำคัญๆ ต่างมาเยี่ยมอาการป่วยของท่านตามลำดับคือ ท้าวมหาราชทั้งสี่ ได้แก่ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์ ท้าววิรุฬหก และท้าวเวสสุวัน ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ท้าวสักกเทวราช (พระอินทร์) ผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท้าวสุยามผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นยามา ท้าวสันดุสิตผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นดุสิต ท้าวสุนิมมิตผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นนิมมานรดีและท้าวปรนิมมิตวสวัตดี เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตดีรวมทั้งท้าวมหาพรหมแห่งพรหมโลกชั้นสุทธาวาส ก็ได้มาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วย เทวดาและท้าวมหาพรหมแต่ละองค์นั้นล้วนมัศมีกายเปล่งปลั่งงดงาม ต่างพามาเยี่ยมอาการป่วยของท่านด้วยความเป็นห่วงและเคารพยิ่ง นางสารีเห็นเหตุการณ์นั้นตลอด เมื่ออาการของพระเถระค่อยบรรเทาลง นางได้เข้าไปหาแล้วสนทนาด้วย โดยได้ถามถึงเทวดาองค์สำคัญๆ ที่มาเยี่ยมซึ่งนางไม่ทราบว่าเป็นใคร ท่านได้บอกให้โยมมารดาทราบตามลำดับจนกระทั่งถึงท้าวมหาพรหม
“อุปติสสะ” โยมมารดาเรียกชื่อเดิมของท่านด้วยความอัศจรรย์ใจ “นี่ลูกของแม่ใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมอีกหรือ” “ใช่...โยมแม่” ท่านตอบรับ ทันใดนั้นโยมแม่ก็เกิดปีติอย่างใหญ่หลวง สีหน้าอิ่มเอิบเมื่อได้ทราบว่าพระลูกชายยิ่งใหญ่กว่าท้าวมหาพรหมที่ตนเคารพ “อุปติสสะลูกชายเรายิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระศาสดาของลูกชายของเราเล่า ท่านจะยิ่งใหญ่แค่ไหน”นางนางสารีคิดไปถึงพระพุทธเจ้า
พระสารีบุตรสังเกตดูโยมมารดาตลอดเวลา เมื่อเห็นจิตจิตใจเริ่มอ่อนโยนเหมาะจะรับน้ำย้อม คือ คำสอนทางพระพุทธศาสนาได้ จึงเริ่มแสดงธรรมโปรดโดยพรรณนาถึงพระพุทธคุณนานาประการ อาทิ พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์ห่างไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบด้วยตนเอง โยมมารดาฟังแล้วเลื่อมใสยิ่งนักเมื่อจบฟังธรรมเทศนานางก็ได้บรรลุโสดาปัตติผล พระเถระได้ตอบแทนคุณโยมมารดาด้วยการตอบแทนที่ล้ำค่า คือให้พ้นความเห็นผิดที่มีมานานเสียได้ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญเช่นนั้น ส่วนโยมมารดารู้สึกเสียดายวันเวลาที่ผ่านมาและไม่ได้สัมผัสอมตธรรม จึงพูดกับพระสารีบุตรเป็นเชิงต่อว่า “ลูกรักทำไมจึงเพิ่งมาให้อมตธรรมนี้แก่แม่เล่า”
พระอริยเจ้าทั้งหลายตั้งแต่พระโสดาบันท่านรู้อริยสัจ ๔ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ความดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ทุกคนพากันแก้ที่ตนเอง ไม่คิดพากันแก้ที่คนอื่น มีหน้าที่บอกหน้าที่สอน เหมือนฝนพายุดีเพรสชั่นที่ตกให้ความชุ่มชื้นร่มเย็นแก่โลกโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ธรรมะจึงเป็นสิ่งที่มีความสุขมีความดับทุกข์ สงบเย็นเป็นพระนิพพาน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee