แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๐ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรมตอนที่ ๑๙ ละความกังวลในอดีตและอนาคต ไม่ยึดมั่นในขันธ์ในปัจจุบัน จักเป็นผู้ไปไหนได้อย่างสงบรำงับ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกคนพากันเข้าใจการดำรงชีพ ดำรงธาตุ ดำรงขันธ์ ดำรงอายตนะ เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องและปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะทุกอย่างนั้นมันคือเหตุคือปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันก็มีให้ทุกคนพากันรู้ว่านั้นคือเหตุคือปัจจัยมันไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน นั่นคือเหตุคือปัจจัยที่พระพุทธเจ้าทุกๆองค์ได้บำเพ็ญพุทธบารมีทั้งภาคความรู้ทั้งภาคประพฤติภาคปฏิบัติ แต่ละท่านหลายอสงไขยที่ได้ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธะเจ้าได้ตรัสรู้และได้มาบอกมาสอน หลักการแนวทางในการประพฤติปฏิบัติ มีความรู้ในเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ในปัจจุบันและในอนาคต พระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่มีอยู่ที่เป็นพุทธะเป็นนามธรรมที่เป็นสัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าถึงไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนว่างจากตัวจากตนเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่เป็นนามธรรม ให้พวกเราทุกคนพากันเข้าใจเราจะได้พัฒนาทั้งสองอย่างพัฒนาใจคือนามธรรมพัฒนาวัตถุคือร่างกายของเราและวัตถุภายนอกที่เป็นรูปธรรมไปพร้อมๆ กัน ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าทางสายกลาง ทั้งทางใจไม่ยิ่งหย่อนทั้งทางวัตถุไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
ทุกคนพากันทำได้ปฏิบัติได้ทั้งหมดไม่มีใครยกเว้น นอกจากบุคคลคนนั้นนอกจากระบบสมองเสียระบบสมองถูกทำลาย ความดับทุกข์หรือความไม่มีทุกข์จึงอยู่กับเราทุกๆ คน มนุษย์อยู่ในโลกนี้ก็ดับทุกข์ได้ทุกๆ คนถ้ามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ให้พวกเราพากันเข้าใจเราจะได้พากันพัฒนาปฏิบัติสองอย่างนี้แหละเราทุกคนต้องพากันมายกเลิกความรู้สึกนึกคิด ธาตุขันธ์อายตนะที่มันมีความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคล เป็นบุคคล ธาตุก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ขันธ์ก็เป็นสิ่งมีอยู่ อายตนะก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ไม่มี พระพุทธเจ้าสอนเราให้เราว่างจากตัวเรา ว่างจากคนอื่นเพราะพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ พระพุทธเจ้าก็เป็นลูกหลานของศาสนาพราหมณ์มาก่อน ศาสนาพราหมณ์ว่างจากสิ่งที่ไม่มีหรือว่างอันเป็นผลจากการทำสมาธิ การทำสมาธิของศาสนาพราหมณ์พระพุทธเจ้าบอกว่าเปรียบเสมือนหินทับหญ้าไว้ เมื่อออกจากสมาธิแล้วมันก็มีปัญหาพระพุทธศาสนาจึงมาต่อยอดจากศาสนาพราหมณ์ จะว่าไปแล้วศาสนาพุทธก็เป็นลูกหลานศาสนาพราหมณ์ เพื่อให้ความยุติธรรมแก่ศาสนาพราหมณ์ เพียงแต่ต่อยอดศาสนาพราหมณ์เป็นพุทธะ
พระพุทธองค์เสด็จตรัสว่า "แม้ว่าประดับประดาอย่างดี หากประพฤติธรรมสม่ำเสมอ สงบ ฝึกฝนตนเป็นผู้เที่ยงตรงอริยมรรค มีความประพฤติประเสริฐ ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย คนเช่นนี้จะเรียกว่าเป็น “พราหมณ์” เป็น “สมณะ” หรือ “ภิกษุ” ก็ย่อมได้"
เขาว่าชีวิตเมื่อถึงจุดเปลี่ยนเพราะ “เงื่อนไข” พร้อมแล้ว ย่อมเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ มหาโจรองคุลิมาลเปลี่ยนใจในทันทีทันใดหันเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ไม่ช้าก็บรรลุพระอรหัต และหลายต่อหลายคนเป็นเช่นว่านี้ สันตติมหาอำมาตย์ ก็เป็นหนึ่งในจำนวนนี้ ท่านผู้นี้เป็นถึงมหาอำมาตย์คนสำคัญของแคว้นโกศล หลังจากที่ปราบปัจจันตชนบทที่ก่อความไม่สงบขึ้นลงได้ราบคาบในครั้งหนึ่ง ได้รับการไว้วางพระทัยจากพระเจ้าปเสนทิโกศลมาก มากถึงขนาดปูนบำเหน็จความดีความชอบที่ไม่เคยมีใครได้มาก่อน คือ ได้รับพระราชทานราชสมบัติ ๗ วัน พูดให้ชัดก็คือ ทรงแต่งตั้งให้สันตติมหาอำมาตย์ครองราชย์บัลลังก์ ปกครองประเทศแทนพระองค์ ๗ วัน พระราชทานสตรีที่ฉลาดในการขับร้องฟ้อนรำประโคมดนตรี สวยเลิศประเสริฐศรีหนึ่งนาง แม่นางรำคนสวยก็เสิร์ฟท่านมหาอำมาตย์ ซึ่งบัดนี้เป็นพระราชาชั่วคราวด้วยสุราอาหารอย่างดี บำรุงบำเรอให้อิ่มหมีพีมันเมาแล้วเมาอีก
ถึงวันที่ ๗ เป็นวันสิ้นกำหนดความเป็นราชาชั่วคราว เขาประดับประดาด้วยเครื่องอลังการทุกอย่าง ขึ้นข้างทรงตัวประเสริฐไปยังท่าน้ำเพื่อสรงสนาน พอดีพระบรมศาสดาเสด็จเข้าไปโปรดสัตว์ (บิณฑบาต) ยังพระนคร ผ่านไปทางนั้น สันตติมหาอำมาตย์เห็นพระพุทธองค์ จึงค้อมศีรษะถวายบังคมพระพุทธองค์ด้วยจิตนอบน้อม
พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวล พระอานนท์กราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นสาเหตุให้พระพุทธองค์ทรงทำการแย้มสรวลให้ปรากฏ” “อานนท์ เธอเห็นสันตติมหาอำมาตย์นั่นไหม” “เห็น พระเจ้าข้า”
“สันตติมหาอำมาตย์ วันนี้มึนเมาสุราแทบครองสติไม่อยู่ วันนี้เขาจะมาสำนักเรา ได้ฟังโศลกธรรม ๔ บทจากเรา จะได้บรรลุอรหัตผลและปรินิพพาน”
นัยว่า พระกระแสรับสั่งกับพระอานนท์นี้ มีผู้ได้ยินและเล่าต่อๆ กันไป ประชาชนที่ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาต่างก็ชื่นชมโสมนัสกับผลสำเร็จอันเกิดแก่สันตติมหาอำมาตย์ แต่บางจำพวกที่เป็นมิจฉาทิฐิได้ทราบเรื่องนี้แล้วก็ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริง “มันจะเป็นไปได้อย่างไร ก็มหาอำมาตย์เมาหยำเปออกอย่างนี้ จะได้บรรลุพระอรหัตผลในวันนี้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด”
เมื่อไม่เชื่อก็คอยจับผิด ตามดูสันตติมหาอำมาตย์ทุกฝีก้าว ว่าจะไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าจนบรรลุพระอรหัตจริงหรือไม่
ข้างฝ่ายสันตติมหาอำมาตย์ เมื่อสรงสนานเสร็จแล้วก็เข้าไปพักอยู่ ณ พระราชอุทยาน เพื่อดื่มน้ำจัณฑ์ต่อ พลางเรียกนางนักฟ้อนมาร่ายรำขับร้องให้ฟังไปด้วย เรียกว่ากินทั้งทางปาก ทั้งทางตา และทางหู ว่าอย่างนั้นเถอะ
เนื่องจากนางได้ทำงานรับใช้สันตติมหาอำมาตย์ตลอดทั้ง ๗ วันไม่ได้พักผ่อนเลย จึงรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ถึงขนาดล้มทั้งยืนในขณะที่ร่ายรำอยู่ หมดสติแน่นิ่งไป
สันตติมหาอำมาตย์สั่งให้คนไปดู เมื่อได้รับรายงานว่า “นางสิ้นใจแล้ว เจ้านาย” เท่านั้น ก็เกิดความเศร้าโศกเป็นกำลัง เสียใจที่ตนเองเป็นสาเหตุทำให้นางถึงแก่ชีวิต ความเมามายที่มีมาตลอดสัปดาห์ได้หายเป็นปลิดทิ้ง เขารำลึกถึงพระบรมศาสดาทันที “มีแต่สมเด็จพระผู้มีพระภาคเท่านั้นที่จะบรรเทาความโศกเศร้าของเราได้” เขาคิดเช่นนั้น จึงรีบไปเฝ้าพระพุทธองค์ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทันที
พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยญาณว่า บัดนี้อินทรีย์ของสันตติมหาอำมาตย์แก่กล้าพอที่จะฟังธรรมเข้าใจแล้ว จึงตรัสโศลกธรรมความว่า "ยํ ปุพฺเพ, ตํ วิโสเสหิ, ปจฺฉา เต มาหุ กิญฺจนํ, มชฺเฌ เจ โน คเหสฺสสิ, อุปสนฺโต จริสฺสสีติ. กิเลสเครื่องกังวลใด ที่เคยมีในกาลก่อน (อดีต) เธอจึงละกิเลสเครื่องกังวลนั้นเสีย กิเลสเครื่องกังวลอย่าได้มีแก่เธอในภายหลัง (อนาคต) ถ้าเธอไม่ยึดมั่นในขันธ์ในท่ามกลาง (ปัจจุบัน) จักเป็นผู้เที่ยวไปไหนได้อย่างสงบรำงับ"
ความหมายของโศลกธรรมสั้นๆ นี้ ก็คือ จงอย่ายึดมั่นถือมั่นในขันธ์ ๕ (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพราะขันธ์ ๕ เป็น “ภาระ” (ของหนัก) ใครยึดมั่นถือมั่นก็เรียกว่า “คนแบกของหนัก” ปลง (วาง) ของหนักเสียได้ ก็จะเป็น “เบา”
สันตติมหาอำมาตย์พิจารณาตามกระแสพระธรรมเทศนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตทันทีที่ตรัสจบ เมื่อล่วงรู้อายุขัยของตนจักมีในวันนั้น จึงกราบทูลขอพระพุทธานุญาตปรินิพพาน พระพุทธองค์ทรงประทานอนุญาต พร้อมตรัสสั่งให้สันตติมหาอำมาตย์คลายความสงสัยของเหล่ามิจฉาทิฐิ บุคคลที่ไม่เชื่อในเรื่องนี้ (ไม่เชื่อว่าสันตติมหาอำมาตย์ผู้ขี้เมาจักบรรลุพระอรหัตผลพร้อมปฏิสัมภิทา) สันตติมหาอำมาตย์จึงถวายบังคมพระศาสดา แล้วเหาะขึ้นสู่อากาศสูงประมาณต้นตาลลงมากราบถวายบังคมอีกครั้ง ขึ้นไปนั่งในอากาศ แล้วประกาศบุพกรรม (กรรมเก่า) ของตนให้พระพุทธองค์และฝูงชนได้ทราบ จากนั้นก็เข้าเตโชธาตุปรินิพพาน เปลวไฟลุกโพลงขึ้นเผาร่างของเขากลางอากาศนั้นแล คงเหลือแต่ธาตุเป็นสีขาวดุจดอกมะลิโปรยลงยังพื้นดิน
กรรมเก่า หมายถึง กรรมดีที่สันตติมหาอำมาตย์เล่าให้ประชาชนฟัง อันมีพระพุทธองค์ประทับเป็นประธานนั้น ก็คือในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า วิปัสสี ได้เที่ยวชักชวนให้ประชาชนทำทาน สมาทานอุโบสถศีล เป็นต้น มิได้ขาด จนพระราชาแห่งแคว้นทรงทราบ เห็นเขาเดินป่าวประกาศจึงพระราชทานรถม้าและช้างให้เป็นพาหนะสำหรับเที่ยวป่าวประกาศชักชวนผู้คนให้ทำบุญกุศล
หลังจากสันตติมหาอำมาตย์ปรินิพพานแล้ว ภิกษุทั้งหลายต่างก็ “ตั้งวง” สนทนาธรรมกัน ณ อุปัฏฐานศาลา (หอฉันอันเป็นศาลาธรรมด้วย) ในเย็นวันหนึ่งว่า สันตติมหาอำมาตย์แต่งกายอย่างเลิศหรู นั่งบนคอช้างที่ประดับประดาอย่างงดงาม บรรลุธรรมทั้งๆ ที่อยู่ในเครื่องแต่งกายอันโอฬาร เราจะเรียกเขาว่าเป็น “สมณะ” หรือ “พราหมณ์” ได้ไหมหนอ
พระพุทธองค์เสด็จมา ทรงทราบเรื่องเข้าจึงตรัสว่า จะเรียกบุตรของเราว่าสมณะ (ผู้สงบ) หรือพราหมณ์ (ผู้ลอยบาปได้) ก็สมควรทั้งนั้น แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า "อลงฺกโต เจปิ สมํ จเรยฺย สนฺโต ทนฺโต นิยโต พฺรหฺมจารี สพฺเพสุ ภูเตสุ นิธาย ทณฺฑํ โส พฺราหฺมโณ โส สมโณ ส ภิกฺขุ. แม้ว่าประดับประดาอย่างดี หากประพฤติธรรมสม่ำเสมอ สงบ ฝึกฝนตนเป็นผู้เที่ยงตรงอริยมรรค มีความประพฤติประเสริฐ ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย คนเช่นนี้จะเรียกว่าเป็น “พราหมณ์” เป็น “สมณะ” หรือ “ภิกษุ” ก็ย่อมได้"
พระพุทธองค์ตรัสว่า จะแต่งกายอย่างไรก็ได้ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่จิตใจ จิตใจปฏิบัติธรรมจริงหรือไม่ ถ้าฝึกฝนตนอย่างจริงจัง ดำเนินตามอริยมรรคในที่สุด ก็เข้าถึงจุดสูงสุดแห่งชีวิต คือ บรรลุพระอรหัตผลแน่นอน
ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจเราจะเอาตัวตน เอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะ ดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะในการดำเนินชีวิตไม่ได้ ต้องเอาพุทธะเราต้องรู้เรื่องอริยสัจสี่เราเอาธาตุเอาขันธ์เอาอายตนะดำรงชีพแสดงถึงเราไม่รู้อริยสัจสี่มันจะเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ พระพุทธเจ้สถึงสอนพระโมฆราช เราต้องมองให้รู้จักผัสสะนั้น สักแต่ว่า สักแต่ว่าเราต้องว่างจากนิติบุคคลตัวตน ให้เอาผัสสะเป็นข้อสอบ แล้วตอบด้วยพุทธะ ที่มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้อง
ความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องจะทำให้เรายกเลิกเวียนว่ายตายเกิดแล้วจะเป็นของที่ทันโลกทันสมัย เป็นไฮเทคโนโลยีไปคู่กับการดำเนินชีวิตของเราทุกคน ให้ทุกคนพากันเข้าใจ เข้าใจแล้วจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา เราทุกคนก็จะพากันเป็นพระได้ทุกๆคน ประชาชนคนที่ไม่ได้บวช ก็เป็นพระได้ ตั้งแต่โสดาบันจนถึงอนาคามี ประชาชนคนไม่ได้บวชมีภาระเยอะ ต้องดูแลตัวเองดูแลญาติพี่น้องวงศ์ตระกูล ดูแลคนเฒ่าคนแก่คนชราต้องเสียภาษีอากร เพื่อบริหารประเทศให้การบำรุงพระศาสนาพวกที่บรรพชอุปสมบท บวชเพื่อให้ธรรมะระดับสูงก้าวไปทุกๆคนก็พากันแก้ที่ตัวเองปฏิบัติตัวเองพระพุทธเจ้าบอกเราว่า พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้บอกผู้สอนปฏิบัติให้ใครไม่ได้ ทุกๆคนพากันมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะอันนี้มันได้ทำถูกต้องทั้งทางจิตใจทั้งทางวัตถุต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ การนอนของเราสำหรับคฤหัสถ์ต้องนอน 6 ชั่วโมงเต็มๆ สมองถึงสั่งให้ร่างกายทำงานจะได้เอาไปทำธุระกิจหน้าที่การงาน ต้องเข้าใจอย่างนี้อย่าพากันคอรัปชั่นเวลานอนมันไม่ดีไม่ถูกต้องเราพัฒนาจิตใจพัฒนาเทคโนโลยีก็สะดวกสบายเพราะมันมาจากเหตุจากปัจจัยที่เราได้สร้างขึ้นมา พัฒนาใจของเราคือเหตุปัจจัย เราจะพากันหลง ถ้าหลงมันก็ไปไม่ได้ติดก็คือหลง หลงนั้นคือการติด ติดก็คือไปไม่ได้ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้รู้อริยสัจสี่ ให้รู้เรื่องอนิจจังทุกขังอนัตตาว่าทุกอย่างนั้น คือเหตุคือปัจจัยเราจะมาหลงไม่ได้ต้องภาวนาว่าทุกอย่างต้องเสียสละ ทุกอย่างคือเหตุทุกอย่างคือปัจจัย ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ต้องมีสัมมาทิฏฐิมีทั้งปัญญา เราทุกคนจะก้าวไปด้วยศีลสมาธิปัญญาที่เป็นธรรม เป็นปัจจุบันธรรมอย่างงี้ การพัฒนาใจพัฒนาเทคโนโลยีที่มีการปฏิบัติในทางที่ดี
พวกที่พากันมาบรรพชาอุปสมบทก็พากันรู้จักพากันมาสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การโกนหัวห่มผ้าเหลืองห่มผ้าจีวรมันไม่ใช่พระ มันเป็นบุคคลที่มาอาศัยพระศาสนาเพื่อทำมาหาอยู่หาฉันเพื่อดำรงชีพเพราะโลกนี้ยอมรับว่าผู้ที่สละโลก โลกน่ะคือตัวตน โลกนั้นคือโลกธรรม ให้มาเสียสละโลกธรรม เมื่อสละแล้วเรียกผู้บรรพชาอุปสมบทว่าพระคือพวกที่ไม่มีตัวตนแล้ว มีแต่พระธรรมพระวินัยถึงต้องให้การสนับสนุน อาหารที่อยู่อาศัย ยารักษาโลกเพราะท่านได้พัฒนาใจเพื่อเป็นความมั่นคง ที่ทุกคนได้เกิดมมาเป็นมนุษย์พวกที่พากันมาบรรพชานี้น่ะ พากันมารู้ อย่าเป็นคนมาอาศัยวัดดำรงธาตุดำรงขันธ์ต้องพากันเป็นพระ ต้องยกเลิกความเป็นตัวตน จะได้เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติตรงปฏิบัติชอบเพื่อมรรคผลนิพพานเป็นผู้ที่สมควรเคารพกราบไหว้ถ้าอย่างนั้นมันไม่ใช่ มันเป็นเปรตประจำวัดคอยรับประเคน นั่นไม่ใช่ธรรมวินัยเป็นตำแหน่งเดียวกับมหาโจร ผู้ที่มาบวชถึงพากันเข้าใจต้องยกเลิกนิสัยของตนเอง ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าคือความถูกต้อง คือผู้ที่ยกเลิกทาสยกเลิกชั้นวรรณะ ยกเลิกขันธ์อายตนะ หยุดประกอบความหลงมีความสุขในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ ถ้าเราไม่มีตัวไม่มีตน มันมีความสุขตัวตนมันเป็นภาระหนักมันมีความทุกข์ พระนี้ก็เป็นได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งวัดบ้านวัดป่า พวกที่มาบวชไม่ว่าจะเป็นมหายาน หินยาน ก็เป็นพระได้ทุกคนก็ดับทุกข์ได้ทุกหนทุกแห่ง อย่างนี้มันก็วิเวกมีตัวตนมันก็ไม่วิเวก ถ้าไม่มีตัวตน จะอยู่ที่บ้านที่ไหนในโลกมันก็วิเวกมันมีตัวมีตน ตัวตนมันมีฟอร์มเยอะ ว่าตนเองเป็นคนเมตตา เมื่อคนอื่นไม่เคารพเชื่อฟังก็ท้อใจ คนมีเมตตาคือคนที่งามในเบื้องต้นงามทั้งกายทั้งกิริยามารยาทพวกที่มาบรรพชาทั้งหลาย พากันเข้าใจ ประเทศไทยมีวัดมีสำนักสงฆ์สี่หมื่นกว่าแห่งถ้าไม่เข้าใจ ก็จะเป็นที่ซ่องสุมของโจร ตัวตนนี่แหละคือโจร เราทุกคนไม่ต้องไปหาโจรที่ไหนมีตัวตนก็คือโจร โจรห้าร้อยโจรพันเอ็ดก็อยู่ที่มีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าผู้ที่มาบวช ต้องเอาธรรม เอาวินัย มายกเลิกนิสัยของตัวเอง ให้มาถือนิสัยของพระพุทธเจ้าถึงต้องพากันประพฤติปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องอันไหนไม่ดีไม่คิดไม่พูดไม่ทำ ต้องปฏิบัติติดต่อต่อเนื่องห้าปีถึงจะยกเลิกนิสัยตัวเอง ถือนิสัยของตัวเองไม่ได้ ต้องถือนิสัยของพระพุทธเจ้า นี่คือยกเลิกทาสยกเลิกขันธ์ยกเลิกอายตนะ ให้เป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ ถ้าไปเกี่ยวข้องกัน มันไม่จบ มีตัวตนมันไม่จบ เกี่ยวกันอยู่นั่นแหละ คนที่มีปัญหาก็ไม่ได้นอน ผลคือมันสงสัยไปเรื่อยเป็นนิวรณ์ทั้งห้า ถ้าจบแล้วก็ไม่สงสัยไม่ฟุ้งซ่าน เพราะว่ามันยกเลิกตัวตน แล้วก็มีความสุข ไม่ต้องไปถามว่ามันมีผิดมีถูก มันก็ระดับเดียวกันกับพระธรรมะกถึกทะเลาะกับพระวินัยธร ถ้ายกเลิกตัวตนก็ไม่มีผิดไม่มีถูก พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วยี่สิบปียังไม่ได้บัญญัติพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ เพราะเรายกเลิกตัวตน มันก็ไม่มีอะไร เพื่อความมั่นคงของศาสนา จึงได้บัญญัติพระธรรมพระวินัยเพื่อเป็นหลักวิชาการ ให้เข้าใจจะเอาแต่ศีลอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเอาแต่สมาธิอย่างเดียวก็ไม่ได้ จะเอาแต่ปัญญาอย่างเดียวก็ไม่ได้ ต้องเอาสามอย่างไปพร้อมๆกัน
ทุกคนน่ะถ้าเรามีความสุขในการปฏิบัติธรรม มีความสุขในการทำงานมันก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เรามีความทุกข์ ถ้าทำไม่ถูกต้องมันก็แสดงออกมา เป็นโรคต่างๆ โรคซึมเศร้า โรคฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัยไปหมด ความมีตัวมีตนคือผลกรรมที่ทำให้เราเป็นโรคทางกายโรคทางใจ ให้เราพากันรู้จัก เราจะได้พากันยกเลิก โลกธรรมออกจากใจของเรา ประชาธิปไตยนี้ สังคมส่วนมากที่พร้อมเพรียงกันนั้นมีความเห็นเหมือนกัน พร้อมกับบัญญัติกฎหมายที่มันยังมีตัวตน ความเห็นนั้นมันยังไม่ใช่ธรรมะ ประเพณีนิยมที่ยังมีตัวตน เป็นความเห็นที่มันยังไม่ใช่ธรรมะ สังคมนิยม เผด็จการ ที่มันยังมีตัวตน ความเห็นนั้นมันยังไม่ใช่ธรรมะ เอาปืนเอาอาวุธนั้นไปใช้นั่นก็ไม่ใช่ธรรมาธิปไตย สองอย่างนี้มันอันเดียวกัน มันก็ยังเป็นเผด็จการที่ยังเป็นตัวเป็นตนอยู่ เราทุกคนต้องพากันเข้าใจเราจะแสวงหาความดับทุกข์ที่มันเป็นไปไม่ได้ นั้นจะเป็นไปแค่เพียงวัตถุ การเรียนการศึกษามันถึงเป็นสัมมาทิฏฐิเพื่อจะได้มีพุทธะทางวัตถุ พุทธะทางจิตใจ บ้านเราครอบครัวเราประเทศไทยของเรามันถึงจะได้มีข้าราชการที่ถูกต้อง มีนักการเมืองที่ถูกต้อง ถ้าเรามีตัวตนอยู่ข้าราชการมันก็ไม่ถูกต้อง นักการเมืองมันก็ไม่ถูกต้อง เพราะมันประกอบด้วยนิติบุคคลตัวตน
ให้ทุกท่านทุกคนเข้าใจว่าเราทุกคนคือธรรมะ คือสภาวะธรรม ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวตนต้องพากันเข้าใจอย่างนี้ ต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ การดำเนินชีวิตของเรานี้แหละเราก็จะเป็นผู้มีเมตตาตัวเอง มีตัวตนด้วยอวิชาความหลงนี้ ยังไม่ใช่เมตตาตัวเอง แล้วจะมีเมตตากับผู้อื่นกับประเทศนี้ได้ยังไง มันยังเป็นอวิชาเป็นความหลงอยู่ มันไม่ใช่ความสุข ไม่ใช่ความดับทุกข์ มันเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ให้เข้าใจ เราต้องเข้าใจนะ เพราะความถูกต้องมันคือความถูกต้อง เราคิดเองเราก็รู้เอง อันไหนไม่ดีเราก็ไม่ทำ เรามีตัวตนนั่นแหละคือไม่ถูกต้อง อยากจะคิดอะไรก็คิดไปเรื่อย ความคิดมันก่อภพก่อชาติ ถือว่ามีผัวมีเมีย มันก็ไม่ผิด เพราะเป็นความคิดที่ก่อภพก่อชาติ เป็นดีเอ็นเอที่มันฝังทางจิตใจ เรามีตัวตนอย่างนี้ ไม่ได้พระพุทธเจ้าบอกว่า เรามีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด มีตัวตน พุทธะก็เกิดไม่ได้ ให้เรามีสัมมาทิฏฐิ ให้มีการปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ ปฏิบัติตนตามมรรค เป็นอริยะมรรคเหมือนไก่ฟักไข่สามอาทิตย์ ถึงจะฟักออกมาเป็นตัว ให้ทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ เรามีตัวตนมาก ตัวตนจัด ทำการเบียดเบียนสัตว์ฆ่าสัตว์ก็ดี โกงกินก็ดี คอรัปชั่นก็ดี หลงติดในกามก็ดี ดื่มน้ำดองของเมาก็ดี มันเป็นความหยาบที่แสดงตัวตนออกมา พวกที่จะแก้ไขต้องมายกเลิกด้วยศีล ด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยกฎหมายบ้านเมืองเพื่อให้รู้ เพื่อให้เป็นประชาธิปไตย ประพฤติปฏิบัติในสังคมให้รู้จักธรรมะ จะได้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ
ในชีวิตของเราความเห็นแก่ตัวของเรามันก็จะไม่เอาธรรมเป็นหลัก มันไม่เอาศีลเป็นหลัก ไม่เอาความถูกต้องเป็นหลัก อย่างนี้มันไม่ได้ ความไม่ถูกก็คือความไม่ถูกมันไม่ได้พวกที่มาบรรพชาให้พากันเข้าใจ เราจะเป็นคนมาอาศัยวัด มาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ อย่างนี้มันไม่ถูกต้องเมื่อพระได้รับสิทธิพิเศษยังมา ใจด้านหน้าด้าน หน้ามึน มาเอาเปรียบสังคม แล้วไปหลอกลวงชาวบ้านเค้า หาอยู่หาฉันบริโภคกาม บริโภคอวิชาความหลงมันเสียหายมาก ทุกคนยอมรับไม่ได้ นอกจากผู้ที่มาบวช ผู้ที่ยอมรับได้คือผู้ที่มาบวชเป็นโจรเหมือนกันถึงยอมรับได้ มันยอมรับได้เพราะว่ามันแก๊งเดียวกันมันเซ็ตเดียวกัน ถ้าคนในโลกยอมรับได้ก็เพราะโจรก็คือโจร โจรก็คือตัวคือตนเราไม่ต้องไปแก้ที่ใครหรอก แก้ตัวเองนี่แหละอย่าไปหนักอกหนักใจ แก้ที่เรานี่แหละ โลกคือความหนักอกหนักใจคือตัวตนนี่แหละ องคุลีมาลรู้ว่าไม่ถูกต้องก็ยังปรับใจ พวกที่รู้ว่าตนเองไม่ถูกต้อง ยังหลับตาหน้าด้านหน้าทนมันเหมือนหมีกินผึ้ง หมีมันไปหาน้ำผึ้งกับเพื่อน เมื่อเวลาที่หมีไปเอาน้ำผึ้ง ผึ้งนี้มันต่อยเจ็บนัก แต่ว่าหมีนี้ก็ชอบน้ำผึ้งเหมือนกัน ทีนี้เมื่อถึงรังผึ้ง ผึ้งมันก็ต่อยหมี หมีไม่กลัวเพราะขนมันยาว แต่ว่าหมีมันระวังอยู่เรื่องเดียวลูกตานี้มันไม่ให้ต่อย เพราะฉะนั้นมันหลับตาเลย หลับตาแล้วก็เอามือล้วงเข้าไปในรังผึ้งคว้าน้ำหวานมากินสบายไม่ต้องดู คว้ามากินเรื่อยไปหลับตากิน หมีหลับตาอย่างนี้ เค้าเรียกว่า หลับตากินผึ้ง ผู้ที่มีความเห็นแก่ตัวจัด เอาตัวตนเป็นสรณะก็เหมือนหมีกินผึ้ง
เรามาเอาตัวตนเป็นที่ตั้งทำให้เสียหายกับส่วนรวม ตัวตนนี้น่ะเราไม่ฉลาดมีความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด ปฏิบัติผิด ให้ลูกหลานเรารับดีเอ็นเอไม่ถูกต้อง มันก็เสียหาย จะแก้ก็แก้ที่ตัวเรานี้แหละ อันไหนไม่ดีอย่าไปคิด อย่าไปพูด ปรับตัวเองเข้าหาการประพฤติการปฏิบัติพัฒนาเทคโนโลยีพร้อมกับจิตใจของเรา ให้พากันเข้าอกเข้าใจอย่างนี้ เมื่อเข้าใจแล้วพากันประพฤติปฏิบัติเอง อย่าให้ตัวเองมีความทุกข์ พวกแพทย์พวกหมอพวกพยาบาลก็ต้องอาศัยวิทยาศาสตร์มาแก้ไขในส่วนของร่างกาย กินยาจนถึงวันตาย มันก็ยังไม่หาย 100 เปอร์เซ็นต์ เรามีตัวตนก็เป็นโรคซึมเศร้าลังเลสงสัย นั่นคือนิวรณ์ทั้ง 5 คืออวิชาความหลง คือโลกธรรมครอบงำธรรมะ สิ่งนี้มันมีประจำโลกไว้ให้เราได้ประพฤติได้ปฏิบัติ ถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติ ภพภูมิมนุษย์ที่ประเสริฐที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มาขยายพันธุ์ดีเอ็นเอแห่งความหลงมันจะมีประโยชน์อะไร
ให้เราเข้าใจชีวิตที่ประเสริฐแล้วจะได้พาลูกพาหลานประพฤติปฏิบัติ อย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งเราเป็นพระได้ทุกคน ผู้ออกบวชถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็เป็นเปรตประจำวัด ความรู้จึงคู่กับการปฏิบัติ ในทางโลกนับตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ฝ่ายธรรมะคือนักธรรมตรีจนถึงเปรียญธรรม 9 ประโยคเพื่อจะได้รู้ 2 อย่างไปพร้อมๆ กัน เพื่อให้เป็นความมั่นคงของชาติศาสตร์กษัตริย์ เอาธรรมะครอบงำเพื่อบริหารประเทศ ถึงได้มีการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราช แต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะ เจ้าคณะใหญ่ ไปจนถึงเจ้าอาวาส ปัจจุบันนี้ก็ยังให้ข้าราชการมาบวช 120 วัน มาบวชได้ 4 เดือน นั้นไม่ใช่ ให้โกนหัวห่มผ้าเหลืองกันเล่นๆ ให้มาปฏิบัติติดต่อต่อเนื่อง ให้เข้าใจโครงสร้างของประเทศไทยเรา ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งบ้านเราเมืองเราเห็นเป็นอย่างงี้แหละ ตัวเองวุ่นวาย ตัวเองขัดข้อง มันเป็นไปไม่ได้ อย่างนี้มันไม่ขลังไม่ศักดิ์ไม่สิทธิ์ เพราะตัวตนมันไม่ขลังไม่ศักดิ์ไม่สิทธิ์ จึงพากันไปสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์ สร้างวิหาร ความขลังความศักดิ์สิทธิ์คือความไม่มีตัวตน อย่าให้ผู้ทำธุรกิจทางพุทธศาสนามามอมเมาพสกนิกรของประเทศเอาไสยศาสตร์มาหลอกลวง พระพุทธเจ้าท่านมาบอกเรื่องอริยสัจ 4 ให้เดินตามอริยมรรคมีองค์แปด ท่านไม่ได้มีนโยบายให้หมู่มวลมนุษย์มาบวช มาหาอยู่หาฉัน มันเอาเปรียบคฤหัสถ์เขา เราพัฒนาวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ มันก็รู้เราจะไปไหนมาไหนหรือพูดไม่กี่นาทีก็ดังไปทั่วโลกแล้ว ให้ผู้มีตัวตนพากันรู้ รู้ว่าตัวเองเป็นโจร มันต้องรู้แน่ๆ เพราะโซเชียลมันเร็ว
อยู่ในวงการเรียนการศึกษาก็ต้องมีสัมมาทิฏฐิจะศึกษาทางจิตใจทางวัตถุ ในทั้งฝ่ายคฤหัสถ์ทั้งฝ่ายบรรพชิตมันต้องคู่กับการประพฤติปฏิบัติ ปฏิบัติอย่างนี้เรามันต้องมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ในหมู่มวลมนุษย์ของโลกด้วยการรู้เหตุรู้ปัจจัย เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ มันก็จะแก้ปัญหาตัวเองได้เมื่อแก้ตัวเองไม่ได้ มันจะแก้ปัญหาคนอื่นได้ยังไง เมื่อสอนตัวเองไม่ได้ จะไปบอกสอนคนอื่นได้ยังไง พระพุทธเจ้าเน้นที่ปัจจุบัน ปัจจุบันมันต้องเอาพุทธะ ครองธาตุครองขันธ์ครองอายตนะ ต้องเน้นลงที่ปัจจุบันให้เต็มที่ ไม่ต้องถือตัวตน ตัวตนคือฟอร์ม มีฟอร์มคือน่าเกลียด หลวงตามหาบัวบอกว่า เอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้มันขวงหูขวางตา
ตัวตนนั่นคือไสยศาสตร์อยู่ที่ไหนมันก็ทะเลาะกัน ตัวตนมันคือความยุ่งคือความวุ่นวาย เราต้องพากันรู้จักอย่าไปเข้าใจอื่นให้เข้าใจอย่างนี้ ไม่ต้องไปหาพระที่อินเดียที่ไหนหรอก มันแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะทำไม่ถูกต้อง เราจะเอาผิดเอาถูกมันคือตัวตนนี้แหละ มันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่เราต้องยกเลิกตัวตน ยกเลิกขันธ์ ยกเลิกอายตนะ พระพุทธเจ้าท่านทรงบรรทมวันละ 4 ชม. เวลาที่เหลือท่านเสียสละทำพุทธกิจโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลาย เรามีตัวตนมันก็ขี้เกียจขี้คร้าน ขี้เกียจสวดมนต์ ขี้เกียจทำข้อวัตรข้อปฏิบัติ แม้หายใจมันก็ยังขี้เกียจ เอาความวุ่นวาย เอาความปรุงแต่ง พระพุทธเจ้าบอกว่าความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จะมาหลงได้ยังไง ให้มาไฟต์กับตัวเองประพฤติปฏิบัติตัวเองอย่างนี้แหละ พ่อแม่ครูบาอาจารย์พระกัมมัฏฐาน ให้ฝึกเรื่องจิตเรื่องใจถ้าเรามีตัวตนมากมันฟังแล้วก็เฉยๆ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันก็ทำลายความมั่นคงของชาติศาสตร์กษัตริย์ ตัวตนนั้นคือการทำลายโลก
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee