แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๑๓ พิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า มีสติทุกเมื่อ จะเป็นผู้ข้ามมัจจุราชเสียได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
คำเทศนา วันเสาร์ที่ ๒ มีนาคม ๒๕๖๗
ชีวิตของเราทุกคนต้องพัฒนา ๒ อย่าง พัฒนากายและก็พัฒนาใจไปพร้อมๆ กัน กายก็ได้แก่วัตถุ ใจก็ได้แก่ตัวผู้รู้ เราพัฒนาสองอย่างนี้แหละ เพราะใจของเราก็ต้องได้อาหาร กายของเราก็ต้องได้อาหารไปพร้อมๆ กัน เรียกว่าอาหารกายและก็อาหารใจ อาหารใจนั้นคือปัญญาสัมมาทิฏฐิ เพราะผัสสะที่เกิดขึ้นกับเรานั้นน่ะเป็นข้อสอบ ใจของเราก็คือข้อตอบ ให้เรารู้ด้วยปัญญาว่า ผัสสะทั้งหลายทั้งปวงนั้นมันเป็นข้อสอบข้อตอบของเรา เราต้องยกใจของเราเข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเป็นผัสสะที่เกิดขึ้น แล้วก็ตั้งอยู่ แล้วก็จากไป มันไม่มีอะไรหรอก มันเกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วก็ดับไป เราไม่ต้องไปติดอกติดใจอะไร ยกใจของเราเข้าสู่พระไตรลักษณ์อย่างนี้
ส่วนทางร่างกายของเราเราก็ต้องปฏิบัติต่อร่างกายให้ถูกต้อง เพราะร่างกายของเราธาตุขันธ์ อายตนะ ก็ต้องมีอาหารต้องมีบ้านที่อยู่อาศัยสิ่งอำนวยความสะดวกความสบาย เราก็ต้องให้อาหารกาย เพราะมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราก็ต้องให้อาหารกายที่ดีที่สุด อาหารกายจะมีได้ ก็ต้องมาจากการทำงาน ถ้าเราไม่ทำงานเราก็ไม่มีอาหารกาย เราดูพวกสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเค้าก็ไม่มีบ้าน ไม่มีที่อยู่ ไม่มีที่อาศัย เราเป็นมนุษย์เป็นผู้ที่ประเสริฐ เราต้องมีบ้านมีที่อยู่มีที่อาศัย และก็สะดวกสบายทั้งทางกายทั้งทั้งวัตถุ
เราทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน งานคือความสุข ความสุขคือการทำงาน เราจะรู้ในการทำงานนั้นส่วนใหญ่เราก็จำมาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่ของเราก็มีความรู้จำกัด เราเลยต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียน เพราะแหล่งความรู้ที่ได้รับการถ่ายทอดจากรุ่นพี่สู่รุ่นน้อง นั่นน่ะได้รับการสืบต่อมาที่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร มันจะอยู่ที่โรงเรียนน่ะ เราต้องมีความจำเป็นหรือว่ามีความเห็นถูกต้องเข้าถูกต้องและปฏิบัติถูกต้อง พากันเรียนหนังสือตั้งแต่อนุบาลถึงปริญญาเอก เพื่อเราจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นความรู้หรือว่าเป็นพุทธะแห่งความแห่งทางวัตถุวิชาแขนงต่างๆ ศาสตร์ต่างๆ สาขาต่างๆ น่ะ มันเป็นพุทธะทางวัตถุ ให้เราเข้าใจ พวกเด็กเล็กๆ ตัวมันน้อยอยู่ มันก็ไม่รู้หรอกต้องอาศัยพ่อแม่นั่นแหละ ที่ให้ความรู้ความเข้าใจ ด้านจิตด้านใจเราก็เอาพระพุทธศาสนาในการดำเนินชีวิต ไม่เอานิติบุคคลไม่เอาตัวเอาตน คือเอาธรรมนำชีวิต ถ้าเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง มันก็จะเป็นเพื่อประกอบทุกข์ เพราะว่าพระพุทธศาสนานั่นน่ะคือการรู้เรื่องอริยะสัจ ๔ คือรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
การดำรงชีพดำรงชีวิตดำรงธาตุดำรงขันธ์นั้นน่ะ ต้องไม่เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ต้องเอาธรรมะเป็นที่ตั้ง พระพุทธศาสนาเป็นธรรมะที่ยกเลิกเหตุยกเลิกปัจจัยที่เป็นไปเพื่อความประกอบทุกข์ เป็นปัญญาเป็นสัมมาทิฏฐิ ที่มีอยู่กับผัสสะที่มีอยู่กับเราในชีวิตประจำวันที่เป็นปัจจุบัน มันจะได้ทันโลกทันสมัย พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เป็นความว่างจากสิ่งที่มีอยู่ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เป็นความสงบเป็นความวิเวกทั้งปัจจุบันทั้งอนาคตที่จะเกิดขึ้น เรียกว่ารู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข้อปฏิบัติความดับทุกข์ เราต้องพัฒนาใจอย่างนี้ เราทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง และมีความสุขในการเรียนหนังสือ ถ้าเราไม่เรียนหนังสือเราจะรู้วิธีทำมาหากินได้ยังไง พวกเด็กๆ มันไม่รู้หรอก เราก็ต้องบอกลูกบอกหลานว่า ความสุขของเราที่จะมีได้น่ะ ต้องมีความสุขในการเรียนหนังสือก่อน เมื่อเราจบการเรียนหนังสือ เราก็ต้องไปมีความสุขในการทำงาน คนเราถ้าไม่มีความสุขเรียนหนังสือในการทำงาน พวกเราก็มีความทุกข์ความทุกข์ นี่เค้าเรียกว่าเป็นโรคซึมเศร้า พวกที่เป็นโรคซึมเศร้า พวกที่ใจมีความทุกข์ ใจของเราถ้าเราไม่รู้จัก มันก็จะเป็นโรคซึมเศร้า เดือดร้อนพวกหมอ นักวิทยาศาสตร์ค้นคว้าเค้าต้องให้ยาให้เคมีเดือดร้อนเขาอย่างนี้ เราเป็นตัวของเราเอง เราก็ต้องพากันปฏิบัติเอาเอง อย่าพากันเป็นโรคซึมเศร้า ถ้าเรามีความสุขในการเรียนหนังสือมีความสุขในการทำงานเราก็ไม่เป็นโรคซึมเศร้าน่ะ คนเราถ้ามันทุกข์ติดต่อกันหลายนาทีหลายชั่วโมงหลายวันหลายปีน่ะ มันแสดงออกทางร่างกายที่เราไปหาหมอน่ะ หมอเค้าเลยให้ยาโรคซึมเศร้า โรคซึมเศร้าน่ะมันแก้ไม่หายนะ เราทุกคนต้องพากันมาแก้ที่ตัวเองนี่แหละ มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติใจให้ถูกต้องน่ะ ต้องพากันมีความสุขในการทำงาน เอางานให้เป็นความสุขให้ได้ เอาการเรียนหนังสือให้มีความสุขให้ได้
เราทุกคนต้องพากันประพฤติการปฏิบัติ ทุกคนไม่ต้องไปอาศัยใครหรอกอาศัยเรานี่แหละ เพราเราต้องเสียสละ เสียสละที่มันเป็นนิติบุลคลเป็นตัวเป็นตน พากันเสียสละปรับตัวเข้าหาธรรมะเข้าหาเวลา พากันมีความสุขในการเสียสละในการทำงาน เราจะอาศัยพ่ออาศัยแม่ พ่อแม่เราก็ต้องแก่ก็ต้องเฒ่าก็ต้องตายเหมือนที่เรารู้เราเห็นนี่แหละ ก็เห็นคนเกิดคนแก่คนเจ็บคนตายคนจากไปอย่างนี้แหละ เราทุกคนต้องไม่ต้องอาศัยใครหรอก อาศัยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม เรียกว่ายกเลิกความเห็นผิดความเข้าใจผิดยกเลิกการปฏิบัติผิด มีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม ทุกๆ อย่างเป็นเรื่องของเรา ไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เราต้องมีความสุขในการประพฤติปฏิบัติน่ะ ให้พากันเข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า หมอจิตแพทย์หมอจิตเวท ก็ช่วยเหลือเราไม่ได้หรอก หมอใหญ่คือตัวเรานี่แหละ เราต้องมีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราจะได้เป็นหมอใหญ่หมอทั้งทางกายหมอทั้งทางใจอย่างนี้แหละ หมอที่แท้จริงอยู่ที่ตัวเรานี้แหละ ไม่ต้องไปหาหมอภายนอกหรอก เราต้องเข้าใจ อย่างพวกที่ทำกับข้าวในโรงครัวนี่แหละคือหมอ อย่างนี้หมอประจำวัด หมอประจำครอบครัว หมอภายในเราก็คือความคิดของเรานี้แหละ ต้องให้มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อันไหนไม่ดีก็อย่าไปคิดอย่าไปตรึกอย่าไปนึกมัน เราต้องยกเลิก ต้องรู้ผิดรู้ถูกอย่างนี้ ในปัจจุบันอย่าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อย่าเอาความฟุ้งซ่านเป็นที่ตั้ง เราต้องคอนโทรลตัวเองด้วยมีสติมีสัมปชัญญะ เราจะได้รู้ว่า โอ้... หมอที่แท้จริง หมอจิตแพทย์คือ เรารู้จักความคิดรู้จักอารมณ์นี้แหละ เราจะได้ไม่เป็นโรคซึมเศร้า ไม่โรคจิตโรคประสาทโรคอะไรต่างๆ น่ะ หมอทางกายก็คืออาหารอะไรอย่างนี้
เราทุกคนต้องมีความสุขในการทำงาน เรามีตัวมีตน ไม่อยากเรียนหนังสือไม่อยากทำงาน แม้อยากหายใจมันก็ไม่อยากหายใจหรอก เราๆ ต้องเข้าใจอย่างนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้น่ะ ท่านให้เราทุกคนน่ะพากันมาประพฤติมาปฏิบัติเอาเองอย่างมีความสุขอย่างนี้นะ เราอย่าไปทำตาละห้อยคอย เหมือนนกตัวน้อยคอยรับอาหารจากแม่ของมันจากพ่อของมัน เราอย่าทำตาละห้อยคอยรับทรัพย์สินคอยรับมรดกจากพ่อจากแม่น่ะ ทุกคนต้องเข้าใจ เพราะว่าพ่อแม่เราเค้าก็เจ็บเค้าก็แก่เค้าก็ตายไป เราต้องเข้าใจนะ เราอย่าทำหน้าละห้อยอย่างน่าสงสารน่ะ เราต้องพึ่งการที่เรามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราต้องมีความสุขในการเรียนในการศึกษา มีความสุขในการทำงาน ถ้าเรามีความสุขในการทำงาน เราก็แก้ปัญหาได้ วันหนึ่งคืนหนึ่งอย่างนี้เราก็กินอาหารไม่เกินสองสามกิโลหรอก แล้วก็ยังเหลือเป็นการให้ภาษีอากร เหลือที่บำรุงญาติบำรุงตระกูลเพื่อนฝูง บำรุงพระศาสนา ถ้าเรามีความสุขในการทำงานน่ะ ไม่มีปัญหา มีปัญหาตั้งแต่ความเห็นผิดเข้าใจผิดตัวตนเป็นที่ตั้ง เราถึงพากันขี้เกียจ ธรรมเหล่าใดเป็นไปความเพื่อตัวเพื่อตนเป็นไปเพื่อความขี้เกียจขี้คร้านแล้วน่ะ ไม่ใช่พระธรรมคำสั่งสอนแห่งความเป็นพุทธะ มันเป็นอวิชาเป็นความหลง ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าอกเข้าใจ มันไม่ใช่ของยากหรอก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเลยยากหมด มืดยิ่งกว่าคนตาบอดเสียอีกน่ะ แต่คนตาบอดคือมองไม่เห็น พอเอาตัวเป็นที่ตั้ง มันก็จะมองไม่เห็น อย่างนี้อันเดียวกัน เราก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ ปฏิบัติให้มันง่าย มันง่ายเพราะไม่ได้แก้ไขคนอื่น มันแก้ไขตัวเองได้อยู่ มันต้องแก้นะ ไม่แก้ไม่ได้นะ มันเป็นโรคความทุกข์ เป็นโรคซึมเศร้าอย่างนี้น่ะ
เราทุกคนก็มีโอกาสพิเศษ ก็พากันขวนขวายพากันตั้งมั่นเอาปัจจุบันให้ดี เราก็พากันนอนสัก ๖ ชม. สมองเราถึงสั่งร่างกายส่วนประสาทต่างๆ ได้ คนนอนหลับไม่ดีก็ ๗ ชม. ๘ ชม. เราต้องมีความสุขไปกับการทำงาน สิ่งที่ทำให้เราฟุ้งซ่านมันเยอะ มาในทางโทรศัพท์มือถือ มาในทางโทรทัศน์ มันมีเยอะ ทุกอย่างนั้นมันเป็นสุขภัณฑ์เพื่ออำนวยความสะดวกความสบาย ให้เราพากันเข้าใจ เราจะได้ใช้เทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้เรามาหลงเหมือนยาเสพติดนี้แหละ ยามันเป็นยา เราอย่าไปแก้แต่ทางยา เราไม่ได้แก้ทางจิตใจ มันก็เลยเป็นสิ่งที่เสพติด มันไม่อยากแก้ทางใจ พวกเหล้าพวกเบียร์พวกยาแก้ปวดไรต่างๆ อย่างยาหมอจิตเวท มันแก้ทางกาย มันแก้ไม่ได้หรอก มันต้องแก้ทั้งกายแก้ทั้งใจ เมื่อร่างกายของเราขาดสารเคมี เค้าก็แก้ทางกาย แต่เราต้องแก้ทางใจไปพร้อมๆ กัน เพื่อที่จะไม่ได้เป็นโรคซึมเศร้า เพื่อที่จะคลายความหวาดระแวง ต้องเข้าใจอย่างนี้
เราทุกคนต้องกลับมาหาสติกลับมาหาสัมปชัญญะ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะความสุขมันมีอยู่แล้ว ความดับทุกข์มีอยู่แล้วมรรคผลนิพพานมันมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่มีน่ะ เมื่อเรามีความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกอย่างมันก็คือเหตุคือปัจจัยที่ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัยน่ะ พระนิพพานเป็นสิ่งที่ว่างจากตัวจากตน เป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่อย่างนี้คนเราน่ะ คนเราน่ะปกติมันก็หัวดีอยู่แล้ว คนเราทุกคนก็หัวดีอยู่แล้ว ที่หัวคนส่วนใหญ่ก็ปกติเค้าเรียกหัวดีอยู่แล้ว แต่ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันเลยหัวเสียใช่มั้ย เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันเลยเป็นโรคจิตโรคประสาทโรคซึมเศร้า มันเลยหัวไม่ดี เราถึงยกเลิกอวิชชายกเลิกความหลงยกเลิกตัวตน ด้วยข้อวัตรปฏิบัติของเราเองนี้แหละ ไม่มีใครมาหายใจให้เรา ไม่มีใครอาบน้ำกินข้าวให้เรา ทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าบอกให้พวกเราพากันแก้ไขพากันปฏิบัติ เพื่อเข้าหาความดับทุกข์ เราต้องรู้จักว่าเราทุกคนสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เราอย่ามาทำตาละห้อยคอยรับบิณฑบาตคอยรับสังฆทานเหมือนพระคุณเจ้าทั้งหลาย มองดูแล้วก็มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าสู่ความดับทุกข์ มาบวชแล้วไม่สละคืนซึ่งตัวตน มาทำตาละห้อยคอยรับบิณฑบาตกับชาวบ้าน ทำตาละห้อยคอยรับสังฆทานกับชาวบ้าน ครูบาอาจารย์ดังๆ มีชื่อเสียงท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ พระพวกนี้ทำหน้าละห้อยตาละห้อย คอยรับเศษรับเดนจากที่ศรัทธาประชาชนเค้าเอามาถวายท่าน อันนั้นมันเป็นความดีของท่านที่ท่านเสียสละ ท่านเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ยกเลิกตัวตน ผู้ที่มาบวชในพุทธศาสนานี้แหละต้องพากันเข้าใจ คอยบริโภคทรัพยากรแห่งความเป็นพุทธะที่ประชาชนเค้าถวายน่ะให้เข้าใจ เพราะเราต้องยกเลิกความเป็นนิติบุคลเป็นตัวเป็นตน เราอย่าพากันเป็นเปรตประจำวัดน่ะ ผู้ที่ยังมีตัวมีตน เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง พูดอย่างถูกต้องตรงไปตรงมาก็เป็นเปรตประจำวัดนะ เราทุกคนต้องมาหาตัวเองมาดูตัวเองว่า เราเป็นพระเป็นผู้เสียสละความเป็นนิติบุคลเป็นตัวเป็นตนหรือยัง เราต้องยกเลิกความเป็นเปรต ที่มาบวชก็เหมือนกับคณะคอนเสิร์ต คอนเสิร์ตยังไง ก็ที่เราไปสวดมนต์บ้านหรือไปทำบุญงานอะไรพิธีต่างๆ เราไม่ได้เอามรรคผลนิพพาน ก็เท่ากับเรามาทำพิธีคอนเสิร์ตนะให้เข้าใจ ต้องเสียสละซึ่งตัวตน ให้เราไม่มีตัวตนเรา จะได้เข้าถึงพระธรรมพระวินัย ไม่มีอะไรแอบแฝง เราอย่าเป็นพวกนายทุน นายทุนอะไรนายทุนแบบไหน พวกพระทำไมเป็นนายทุน เพราะพวกนี้ลงทุนโกนหัวห่มผ้าเหลืองอย่างนี้น่ะคือพวกนายทุน ลงทุนทำขี้เก๊กขรึมๆ... แล้วก็ยังแถมทำพวกไสยศาสตร์พากันขายเครื่องรางของขลัง พากันเป็นหมอดูหมอเดา ประชาชนเค้าก็หลงอยู่แล้ว ก็ยังไปหลอกเค้าต่ออีก นี่คือพวกนายทุน ลงทุนโกนหัวห่มผ้าเหลือง
เราทุกคนต้องกลับมาหาธรรมะนะ มาเสียสละ ถ้าใครเป็นนายทุนก็ต้องยกเลิก นายทุนลงทุน ถ้าลงทุนไปก็เพื่อมรรคผลนิพพานนะ ไม่ใช่ไปหลงขยะอะไรอย่างนี้ ต้องยกเลิกความเป็นนายทุน นี่ไม่ได้ว่าให้พระนะ เพราะว่าพระที่แท้จริงเนี่ย ไม่มีเลยที่จะไปว่าให้ท่านได้ เพราะระลึกถึงคำว่าพระ ก็เป็นบุญเป็นกุศล พระก็คือพระธรรมพระวินัยคือมรรคผลพระนิพพาน จะว่าท่านได้ยังไง เพราะท่านไม่มีตัวไม่มีตนให้ว่า ให้เราเข้าใจ “โอ้ยพูดอย่างงี้แหละ ทำให้เค้าก็รู้หมดซี่ หากินยากดี้ ก็ธรรมดาละ เพราะความลับไม่มีในโลก” เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง อยู่ด้วยกันหลายวัน ก็รู้ว่าใครเป็นใคร ท่านถึงบอกว่า “เอ้ยจะรู้ว่าใครเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ต้องอยู่ด้วยกันหลายวัน จะได้รู้ว่าใครเป็นพระธรรมพระวินัยอย่างนี้” ทุกคนต้องมาแก้ที่ใจของตัวเอง แก้ที่ปฏิปทาของตัวเองน่ะ นักบวชก็ให้เป็นนักบวชที่ถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ได้เอาเปรียบสังคม แย่มากเลย พากันไปขับรถขับอะไรต่างๆ มันไม่ใช่พระหรอก พากันไปเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไปในตลาดจ่ายตลาด วัดอยู่ในกลางเมืองก็พากันมักง่ายออกไปซื้อของซื้ออะไรก็ไม่ใส่จีวร เอาผ้าอาบน้ำสรงน้ำเหวี่ยงหน้าเหวี่ยงหลังก็ออกไปอย่างนี้ พวกนี้ต้องระวังน่ะ เพราะต้องทำอะไร ภายนอกก็ให้เป็นพระ ภายในก็ให้เป็นพระพระธรรมพระวินัย เพราะผู้อุปถัมภ์อุปัฏฐากจะได้มีความสุข ในการทำมาหากินมีความสุขในการอุปถัมภ์อุปัฏฐาก ดีแล้วโลกสมัยใหม่รู้กันทั่วถึงทั้งในเมืองในกรุง เพราะว่าพระนิพพานมันเป็นสิ่งที่ว่างจากตัวตน ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ ถ้าเรามีตัวมีตนเนี่ย มันจะมีความว่างมีนิพพานที่ไหน
เราต้องเข้าใจเรื่องเหตุเรื่องผลเรื่องปฏิจสมุปบาทที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ถ้าเรามีตัวมีตนก็คือมีวัฏฏะสงสารมีการเวียนว่ายตายเกิด เราต้องเข้าใจ การปฏิบัติก็ไม่ยาก เพราะว่าเราต้องเห็นคุณเห็นสิ่งที่ประเสริฐ เราต้องพากันประพฤติปฏิบัตินี้แหละ เราจะได้ยกเลิกความทุกข์ โรคซึมเศร้า เป็นโรคซึมเศร้าเนี่ย มันเดือดร้อนหมอนะ มันก็หายไม่ได้หรอก ถ้าเราไม่ยกเลิกตัวตน ไม่มีความสุขในการเสียสละ ไม่มีความสุขในการทำงาน ความสุขความดับทุกข์มันต้องมีในปัจจุบัน เพราะว่ามรรคผลนิพพานมันต้องมีในปัจจุบันน่ะ อยู่ในตึกที่หลายสิบชั้นหลายร้อยชั้นมันมีอยู่นั่นได้ เพราะเราต้องรู้ว่าสิ่งที่มันมีเพราะเหตุปัจจัย สิ่งที่ดับไปเพราะเหตุปัจจัยสิ่งเหล่านี้ก็ตั้งอยู่ได้ไม่เกิน ๑,๐๐๐ ปี ก็จากไปเป็นส่วนใหญ่อย่างงี้ เราจะเข้าใจเหมือนทุกคนตั้งอยู่ได้ส่วนใหญ่ก็ไม่เกิน ๑๒๐ ปี อย่างนี้เป็นต้น
พระพุทธเจ้าถึงบอกพระโมฆราชว่าต้องว่างจากสิ่งที่มีอยู่
สุญฺญโต โลกํ อเวกฺขสฺสุ โมฆราช สทา สโต อตฺตานุทิฏฺฐึ อูหจฺจ เอวํ มจฺจุตโร สิยา
เอวํ โลกํ อเวกฺขนฺตํ มจฺจุราชา น ปสฺสตีติ - ดูกรโมฆราช เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า มีสติทุกเมื่อ พึงถอนอัตตานุทิฏฐิ คือความยึดมั่นถือมั่นเรื่องตัวตนเสีย ด้วยอาการอย่างนี้ เธอจะเป็นผู้ข้ามมัจจุราชเสียได้ บุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น”
อย่าให้ใจมันว่างจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ นั่นมันไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องเป็นสิ่งที่ทันโลกทันสมัยที่เป็นธรรมเป็นปัจจุบันสำหรับดำเนินชีวิตในชีวิตประจำวันที่ได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
พระโมฆราช เกิดในตระกูลพราหรมณ์ ชาวเมืองสาวัตถี เมื่อมีอายุพอสมควรแก่การศึกษาศิลปะวิทยาตามประเพณีพราหมณ์ จึงได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตที่ปรึกษาของพระเจ้าปเสนทิโกศลต่อมา พราหมณ์พาวรี เบื่อหน่ายชีวิตการครองเรือน จึงได้กราบทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศล ออกบวชเป็นชฎิล บำเพ็ญพรตตามประเพณีพราหมณ์ ตั้งสำนักอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ระหว่างเมืองอัสสกะและเมืองอาฬกะ ตัวเองเป็นเจ้าสำนักและเป็นอาจารย์ใหญ่ทำหน้าที่ทั้งรับและอบรมสั่งสอนไตรเพทแก่ศิษย์ทั่วไป โมฆราชมาณพ พร้อมกับเพื่อศิษย์อีกหลายคนได้ออกบวชติดตามด้วยพราหมณ์พาวรี แม้จะบวชเป็นฤๅษีชฎิลเช่นเดียวกับตระกูลกัสสปะ ๓ พี่น้อง แต่คนทั่วไปก็นิยมเรียก “พราหมณ์พาวรี” อยู่เช่นเดิม ไม่นิยมเรียกว่า “ชฎิล” เหมือนตระกูลกัสสปะ ทรงสอบการตรัสรู้ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะ ผู้เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าสุทโธทนศากยราชา ผู้ครองนคร กบิลพัสดุ์ เสด็จออกบรรพชาได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้วเที่ยวสั่งสอนเวไนยสัตว์ให้เกิดศรัทธาเลื่อมใสออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ ติดตามพระองค์มากมาย พราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวเป็นลำดับ แต่ก็ยังเคลือบแคลงใจในการตรัสรู้ขององค์พระสัพพัญญโคดมเจ้า จึงตั้ง ปัญหาขึ้น ๑๖ หมวด แล้วมอบให้ศิษย์ ๑๖ คน นำไปกราบทูลถามพระบรมศาสดา ซึ่งขณะนั้นประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ และโมฆราชมาณพก็เป็นหนึ่งในจำนวนศิษย์เหล่านั้น
ในบรรดาศิษย์ทั้ง ๑๖ คนนั้น โมฆราชมาณพถือตัวว่าเป็นผู้มีความรู้ยิ่งกว่าทุกคน ท่านคิดว่า อชิตมาณพนี้เป็นหัวหน้าของศิษย์ทุกคน เราไม่ควรถามปัญหาก่อน เพราะความเคารพในตำแหน่งผู้นำของอชิตมาณพนั้น ท่านจึงไม่ถามก่อน ครั้นเมื่ออชิตมาณพนั้นถามปัญหาแล้ว จึงถามปัญหาต่อพระศาสดาเป็นคนที่สอง
พระศาสดาทรงดำริว่า โมฆราชมาณพเป็นคนถือตัว ทั้งญาณของเขาก็ยังไม่แก่กล้าเต็มที่ ควรจะต้องทำให้ความถือตัวของเขาค่อย ๆ หมดไป จึงตรัสว่า โมฆราชเธอจงคอยก่อน ให้คนอื่น ๆ ถามปัญหาก่อน
โมฆราชมาณพนั้น ครั้นถูกห้ามโดยพระศาสดาเช่นนั้น ก็คิดว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เราเข้าใจว่า ไม่มีคนที่จะเป็นบัณฑิตเกินกว่าเรา ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ถ้าไม่ทรงทราบความในใจ ย่อมไม่ตรัส พระศาสดาคงจักทรงเห็นโทษในการถามของเราเป็นแน่ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงนิ่งเสีย
เมื่อมาณพคนอื่นๆ ถามไปโดยลำดับถึงคนที่ ๘ โมฆราชมาณพ ก็แสดงความประสงค์ จะทูลถามเป็นคนที่ ๙ พระพุทธองค์ก็ตรัสห้ามไว้อีกครั้ง จนถึงลำดับคนที่ ๑๔ ผ่านไปแล้ว
โมฆราชมาณพ จึงได้มีโอกาสทูลถามเป็นคนที่ ๑๕ โดยกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โลกนี้ก็ดี โลกอื่นก็ดี พรหมโลกกับทั้งเทวโลกก็ดี ย่อมไม่ ทราบความเห็นของพระองค์ เหตุดังนั้น จึงมีปัญหามาถึงพระองค์ ผู้มีปรีชาญาณเห็นล่วงสามัญชนทั้งปวงอย่างนี้ ข้าพระพุทธเจ้า จะพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชคือความตายจึงจะไม่แลเห็น คือ จักไม่ตามทัน พระเจ้าข้า” พระบรมศาสดา ตรัสพยากรณ์ว่า “ดูก่อนโมฆราช ท่านจงมีสติพิจารณาดูโลกโดยความเป็นของว่างเปล่า ถอนความเห็นว่าตัวของเราเสียทุกเมื่อเถิด ท่านจะข้ามล่วงมัจจุราชเสียได้ด้วยอุบายนี้ท่านพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้แล้ว มัจจุราชคือความตายจักแลไม่เห็น” เมื่อพระบรมศาสดา ตรัสพยากรณ์ปัญหาของโมฆราชมาณพ จบลงแล้วโมฆราชมาณพ พร้อมด้วยชฎิลทั้งหมด ได้บรรลุพระอรหัตผลสิ้นอาสวกิเลสทุกคนเว้นแต่ปิดคิยมาณพผู้เดียวเพราะมัวแต่คิดถึงอาจารย์พราหมณ์พาวรีผู้เป็นลุง จึงได้เพียงญาณหยั่งเห็นในธรรมเท่านั้น มาณพทั้ง ๑๖ คน กราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ประทานด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ได้เป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา พร้อมบาตรและจีวรอันสำเร็จด้วยบุญฤทธิ์ ส่วนพระปิงคิยเถระกราบทูลลากลับไปแจ้งข่าวแก่พราหมณ์พาวรี แสดงธรรมตามที่พระพุทธ องค์ทรงแก้ปัญหาทั้ง ๑๖ ข้อ ให้ฟังแล้วยังพราหมณ์พาวรี ให้บรรลุธรรมาพิสมัยชั้นเสขภูมิ พระโมฆราชนั้น เมื่ออุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นผู้มักน้อยสันโดษยินดีเฉพาะการ ใช้สอยจีวรที่เศร้าหมอง ๓ ประการ คือ ๑. ผ้าเศร้าหมอง ๒. ด้ายเย็บผ้าเศร้าหมอง ๓. น้ำย้อมผ้า เศร้าหมองด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุ ทั้งหลายในทาง ผู้ยินดีในจีวรเศร้าหมอง
เรามาประพฤติปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้เรียกว่าประพฤติพรหมจรรย์ ทุกสิ่งผ่านเข้ามา ตั้งอยู่ชั่วคราว และเปลี่ยนแปลงไปดับสลายไปในที่สุด เหมือนลมหายใจ ที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เหมือนอิริยาบถต่างๆ มันตั้งอยู่ได้ไม่นานก็ต้องผ่านไป เหมือนกระแสไฟฟ้าที่ส่งมาติดต่อกัน เป็นกระบวนการปรากฏการณ์ที่เป็นพลังงานของความเกิดดับของรูปธรรมนามธรรม ให้มองเป็นเช่นนี้
สิ่งเหล่านี้หาใช่ตัวใช่ตนไม่ มันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นมาตั้งอยู่เพียงชั่วคราวและดับไปในที่สุด ถ้าเราไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็จะเห็นแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไปนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
ที่เราทานอาหารพักผ่อน ผลัดเปลี่ยนอิริยาบถ ก็เพียงเพื่อบำบัดทุกข์เฉยๆ ไม่ได้เป็นความสุขอย่างไร เราจะมีความสุขได้ ต้องมีปัญญาเห็นแจ้งว่าเราทุกคนเกิดมา เพื่อมีพระพุทธเจ้า มีพระธรรม มีพระอริยสงฆ์ อยู่ในใจ เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเครื่องออกจากทุกข์ ปฏิบัติสมควร ผู้ปฏิบัติอย่างนี้จึงเป็น สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ที่เป็นพระอริยบุคคล ๘ จำพวก เป็นผู้ควรแก่การบูชา เป็นผู้ควรแก่การต้อนรับ เป็นผู้ควรแก่การกราบไหว้ เป็นเนื้อนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ใครได้เห็น ได้ฟัง ได้สัมผัส ก็เป็นบุญอย่างหาที่สุดไม่ได้
มนุษย์ผู้มีตาดีทั้งหลายในโลกนี้ ส่วนมากก็เป็นเช่น “คนตาบอด” ในวัฏสงสาร เพราะถูกอวิชชา ความไม่รู้ ปิดบังไว้ ดังนั้น เราท่านอาจเป็นหนึ่งในพวก “ตาบอดคลำช้าง” โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ หนทางสว่างที่จะพ้นจากความเป็นคนบอดได้คือ “ปิดตา เปิดใจ รวมจิตให้มีสติมีสมาธิ” เมื่อใจบริสุทธิ์ ย่อมเกิดความสว่างไสว ทำลายความมืดบอดให้สิ้นไปได้ เมื่อนั้นเราจึงจะได้เป็น “คนตาดี” อย่างแท้จริง
เมื่อเรามีทุกข์ เรามักหาที่พักพิง สิ่งที่เราใช้กันประจำคือ สุรา ยาเสพติด กามคุณ อำนาจหรือเงินตรา แต่ในที่สุด มันก็ไม่ยั่งยืนจนเราไม่รู้ว่า “อะไรคือความสุขที่แท้จริงกันแน่”
ในพระพุทธศาสนา ที่พึ่งที่ดีที่สุด คือ พระรัตนตรัย ซึ่งประกอบไปด้วย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
พระพุทธเจ้า คือ องค์พระศาสดา ผู้เปรียบเหมือนนายแพทย์ที่ค้นพบวิธีพ้นทุกข์
พระธรรม คือ ตัวยาที่จะฆ่าเหตุแห่งทุกข์ออกไปจากเรา และ
พระสงฆ์ คือ คณะแพทย์ที่รู้ว่าเราเหมาะกับยาใด
เรียนรู้ปฏิบัติอยู่กับพระรัตนตรัย จะทำให้เราพบกับความสุขที่ยั่งยืน
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai