แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันศุกร์ที่ ๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๑๒ ความสงบวิเวกจะมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่ง ด้วยการพัฒนาจิตใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
การพักผ่อนนอนหลับของเราทุกๆ คน ที่เป็นสามัญชน ๖ ชั่วโมงสำหรับผู้ที่พักผ่อนนอนหลับสนิท สำหรับผู้ที่พักผ่อนนอนหลับไม่สนิทอาจจะซัก ๗ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมง สำหรับพระอรหันต์ ๕ ชั่วโมงก็เพียงพอ สำหรับพระพุทธเจ้านั้นวันละ ๔ ชั่วโมง การดำรงชีวิตของหมู่มนุษย์จะต้องเอาปัญญานำชีวิต ปัญญามี ๒ อย่างปัญญาที่ ๑ เป็นปัญญาทางธรรม ปัญญาที่ ๒ เป็นปัญญาทางวัตถุ พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติ ๒ อย่างไปพร้อมๆ กัน คือเอาทั้งธรรมพร้อมทั้งเอาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เพื่อจะได้เป็นทางสายกลาง ทางธรรมก็ไม่ยิ่งหย่อนทางวัตถุก็ไม่ยิ่งหย่อน เพื่อพัฒนาให้เป็นทางสายกลาง เมื่อทุกคนมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกๆ คนก็จะปฏิบัติได้อยู่ในทุกหนทุกแห่ง ธรรมะคู่กับวัตถุก็ต้องไปพร้อมๆ กัน เราจะเอาแต่เรื่องจิตเรื่องใจเรื่องธรรมะไม่เอาวัตถุมันก็สุดโต่ง หรือจะเอาแต่ทางวัตถุไม่เอาธรรมะมันก็สุดโต่งมันมีปัญหา
การเรียนการศึกษาต้องเข้าใจทั้งสองอย่าง ทั้งทางธรรมและทางวัตถุไปพร้อมๆ กันทุกท่านทุกคนต้องรู้เรื่อง ๒ อย่างรู้เรื่องใจรู้เรื่องวัตถุไปพร้อมๆ กัน สัมมาทิฏฐิได้แก่ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติในปัจจุบันในชีวิตประจำวัน ทุกท่านทุกคนต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติของตัวเราเอง โดยอาศัยกายอาศัยใจ ๒ อย่างนี้ กายนั้นได้แก่รูปธรรม ใจนั้นได้แก่นามธรรม ทุกคนต้องละทิ้งอดีตให้อดีตเป็นเรื่องว่างเปล่ าถึงจะมีสัญญาบ้างก็ให้มีความรู้สึกสักแต่ว่า เพื่อจะไม่ให้อดีตมาปรุงแต่งเราได้ในปัจจุบัน ที่พระพุทธเจ้าท่านละความยึดมั่นถือมั่น พระอรหันต์ทั้งหลายท่านละความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องอดีต อดีตปรุงแต่งท่านไม่ได้ เพราะท่านรู้อริยสัจ ๔ หรือทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ เมื่อเราพากันเข้าใจสำหรับเสขะบุคคล ต้องพากันอบรมบ่มอินทรีย์ เพื่อไม่ให้อดีตที่มันเป็นจิตใต้สำนึก ที่มันเป็นสัญญาขันธ์ที่เป็นกรรมเป็นจิตสำนึก เพื่อจะได้หยุดทำหน้าที่หยุดทำงาน ที่ผ่านมาทุกคนก็ต้องมีสัญญาสัญญาขันธ์ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจนะ พระพุทธเจ้าท่านยังให้พวกเราภาวนาวิปัสสนาเพื่อชำระล้างเรื่องอดีตว่า ทุกอย่างนั้นมันไม่แน่ไม่เที่ยง มันไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ตั้งแต่เราเกิดมารู้ความก็เห็นอะไรทุกอย่างมีความเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ใจของเราเลยได้รู้สัจธรรมความจริงว่า สัจธรรมนั้นไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนเลย เป็นเพียงเหตุเป็นเพียงปัจจัย ถ้าเรายังมีเหตุมีปัจจัย มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ ทุกอย่างเกิดขึ้นทุกอย่างก็ต้องจากไป นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดนอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับ
ปัจจุบันถึงเป็นข้อสอบและข้อตอบ ผัสสะทั้งหลายนั้นคือข้อสอบที่เกิดความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งสุขทุกข์ นี้คือข้อสอบข้อตอบของเราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อใจของเราทุกคนจะได้เข้าสู่ความเป็นพุทธะ ในผัสสะในอารมณ์ เพื่อเข้าสู่ธรรมะ เพื่อให้ใจของเราจะได้สละเสียซึ่งอวิชชาซึ่งความหลง เพราะเราจะได้พากันประพฤติพากันปฏิบัติในหน้าที่ของตัวเอง ทั้งทางวัตถุทั้งทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน ผัสสะกระทบกัน เกิดอารมณ์เราทุกคนต้องรู้จักอารมณ์รู้จักความรู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน มันเป็นความรู้สึก เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เราจะไม่ได้หลงผัสสะ เราจะไม่ได้หลงอารมณ์ เพราะผัสสะอารมณ์ มันเป็นข้อสอบมันเป็นข้อตอบ นี้คือการประพฤติการปฏิบัติของเราทุกคน มันเป็นไฟท์การประพฤติการปฏิบัติของเราในปัจจุบัน ใจของเราในปัจจุบันมันคิดได้อย่างเดียว ถ้าเอาความรู้สึกสุขทุกข์เย็นร้อนอ่อนแข็ง มันถึงเป็นตัวเรา ชอบไม่ชอบดีใจเสียใจ นั้นมันเป็นอาการของจิตใจที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า เราต้องมีสติ อย่าได้ไปตรึกในตัวในตน เพราะใจของเรามันตรึกได้ทีละอย่าง ให้หยุดให้เลิกให้ยกเลิกในการตรึกในตัวในตน ให้ยกความรู้สึกเหล่านี้เข้าสู่พระไตรลักษณ์ว่า ทุกอย่างนั้นไม่แน่ไม่เที่ยง ทุกอย่างนั้นได้จากไปทุกๆ ขณะ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เรารู้จักเจ้าเสียแล้ว เจ้าจะมาทำบ้านทำเรือนให้เราไม่ได้อีกต่อไป ทุกท่านทุกคนต้องยกผัสสะยกอารมณ์เหล่านี้สู่พระไตรลักษณ์ มีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติถูกต้องมีความตั้งมั่นที่เป็นสัมมาสมาธิ เพื่ออบรมบ่มอินทรีย์ของเราทุกคน
ความสงบความวิเวกหรือว่าการประพฤติการปฏิบัติ ถึงมีอยู่กับเราทุกหนทุกแห่งไม่เลือกกาลไม่เลือกเวลาไม่เลือกสถานที่ ด้วยการพัฒนาจิตใจด้วยการพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้เป็นธรรมะที่ละได้ทุกกาลทุกเวลาทุกสถานที่ ที่อยู่กับเราทุกคนที่ได้ดำรงธาตุดำรงขันธ์ ถึงเป็นอริยมรรคพัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
พระนิพพานต้องเป็นสิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ด้วยความเห็นถูกต้องความเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มันจะไปมีประโยชน์อะไร มันไม่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ ว่างจากสิ่งที่มีอยู่มันมีประโยชน์นะ เราไม่รู้เรื่องธรรมะไม่รู้เรื่องใจ ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ เราจะได้พากันดำรงชีวิตที่ประเสริฐ เราจะไม่ได้ไปหาความดับทุกข์ที่ไหน หาความดับทุกข์ที่กายใจนี่เอง คำว่าพระคือที่กายที่ใจในปัจจุบัน ถ้าเรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด เราหาความเป็นพระไม่ได้ ถ้าไม่รู้จักตาหูจมูกลิ้นกายใจเดี๋ยวนี้ปัจจุบันนี้ พระพุทธเจ้าให้พวกเราเข้าใจอย่างนี้ เรามีความเห็นถูกเข้าใจถูก เพื่อเอามาพัฒนาใจของเรา พัฒนาวัตถุเพื่ออำนวยความสะดวกในการดำรงธาตุดำรงขันธ์ การปฏิบัติมันเป็นเรื่องปัจจุบัน ไม่ใช่เรื่องอดีตไม่ใช่เรื่องอนาคต อดีตมันโบราณไปแล้ว คนโบราณก็พากันตายไปแล้ว อนาคตก็ยังมาไม่ถึง พระพุทธเจ้าถึงให้เราพากันเข้าใจอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ มีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เพราะอันนี้คือความถูกต้อง คือการพัฒนาจิตใจคือการพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราไม่เข้าใจ เราพากันแสวงหาความสงบแสวงหาความวิเวก ความสงบมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติถูกต้อง ยกเลิกความเป็นนิติบุคคลความเป็นตัวตน
การแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ของพระพุทธเจ้า คือการยกเลิกนิติบุคคล เรียกว่ายกเลิกทาสยกเลิกชั้นยกเลิกวรรณะ สละคืนเสียซึ่งตัวซึ่งตน เมื่อเรามีตัวมีตน ก็มีปัญหา เราจะไปมีปัญหามันทำไม เพราะตัวตนนั้นเป็นไปเพื่อประกอบความทุกข์ เราต้องเข้าใจเรื่องความสงบความวิเวกในเบื้องต้น ให้เหมือนกล้าไม้ที่เราเอาปลูกใหม่ๆ เราต้องมีสแลนกันแดดให้ สัก ๒-๓ อาทิตย์ ศีลนี้จึงเป็นความวิเวกเบื้องต้น อย่างคนติดบุหรี่อย่างนี้ต้องเข้าสู่ความวิเวกด้วยการไม่มีบุหรี่ติดตัว ไม่มีไฟแช็กติดตัว เพราะการจะเลิกบุหรี่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย ๔ อาทิตย์ เหมือนไก่มันฟักไข่นี้แหละแม่ไก่กกไข่ใช้เวลา ๓ อาทิตย์ถึงจะออกลูกมาเป็นตัว ใจของเราทุกคนเบื้องต้นต้องอาศัยความวิเวก ใจของเราต้องไม่ตรึกไม่นึกไม่คิดในสิ่งนั้นๆ เราต้องมีหลักการมีจุดยืน การตรึกการนึกการคิดเรียกว่ามีเพศสัมพันธ์ทางความคิดมีเพศสัมพันธ์ทางอารมณ์ กายมันไม่มีเพศสัมพันธ์ทางความคิด แต่ว่าใจถ้าเราไปตรึกไปนึกไปคิดนั่นแหละ คือเรากำลังมีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์ การประพฤติการปฏิบัติมันถึงเป็นเรื่องทางจิตทางใจ ทุกๆ คนต้องพากันรู้จักตัวเอง ถ้าตัวเองมีความเห็นผิดเข้าใจผิด เราทุกคนก็ต้องปฏิบัติผิด มีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตน นั้นแสดงว่ามีเพศสัมพันธ์ทางความคิดทางอารมณ์ การประพฤติการปฏิบัตินั้น ต้องพากันรู้จัก เมื่อเราปล่อยให้ตัวเองตรึกตัวเองนึกตัวเองคิด ถึงจะปลงผมนุ่งห่มผ้าเหลือง มันก็เท่ากับการไม่ได้บรรพชาไม่ได้อุปสมบท เท่ากับใจมันยังมีลูกมีเมียอยู่ มันจะมีประโยชน์อะไร ที่มาปลงผมห่มผ้าเหลืองห่มจีวร มันจะมีประโยชน์อะไร ทุกท่านทุกคนต้องพากันรู้การประพฤติการปฏิบัติ เพราะการมาบวชมาบรรพชาอุปสมบทคือมายกเลิกตัวตน คือการยกเลิกความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง ที่เรามองเห็นภายนอก เห็นหมู่มวลมนุษย์เห็นหมู่มวลสัตว์เป็นผลกรรม ที่เห็นเกิดแก่เจ็บตาย เป็นผลกรรมที่ปรากฏจากใจจากการตรึกนึกคิดมีผัวมีเมียนี่แหละ กว่าจะรู้กว่าจะคลอดออกมาเกือบ ๑๐ เดือน
สำหรับหมู่มวลมนุษย์คือผลของการตรึกนึกคิดที่เราไม่รู้อริยสัจ ๔ ไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ความดับทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ พระพุทธเจ้าถึงให้พวกเราพากันรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ความดับทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ เราอย่าไปตรึกในกามอย่าไปตึกในความชอบใจความไม่ชอบใจ เราพากันละเหยื่อในโลกนี้เสีย พากันมุ่งสู่สันติมุ่งสู่นิพพานเถิด เราจะไปโทษใคร มีความเห็นผิดเข้าใจผิด เราพยายามจะไปแก้ภายนอก แก้ภายนอกมันแก้ที่ปลายเหตุ มันไม่ถูกต้อง เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันต้องได้รับผลกรรมอย่างนี้แหละ ความหลงที่เราสงสารพ่อสงสารแม่สงสารใคร ที่จริงมันไม่สงสารใครหรอก มันหลงเฉยๆ ถ้าแก้ต้องมาก่อนเมตตาตัวเองก่อน ยกเลิกตัวตนกับตัวเองก่อน ตัวเองยังไม่ยกเลิกด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา มันจะไปสงสารใคร บอกตัวเองยังก่อนยังก่อน ทั้งที่ตัวเองมันยังตรึกยังนึกยังคิด อย่าไปคิดว่าสงสารคนนั้นคนนี้ แต่ตัวเองไม่สงสาร ปล่อยให้ตัวเองไปตรึกไปนึกไปคิด เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง อย่างนี้มันไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญบารมีเพื่อจะโปรดคนอื่น ท่านก็มาเพื่อแก้ไขตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เรียกว่าอริยมรรค เพราะการดำเนินชีวิตเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เรายังไม่เข้าใจเลย มาบวชมาปฏิบัติยังไม่รู้เรื่องการประพฤติการปฏิบัติ พากันมาสร้างตัวสร้างตนสร้างภพสร้างชาติ มาสร้างกุฏิสร้างวิหารสร้างโบสถ์ แต่ไม่ได้ประพฤติไม่ได้ปฏิบัติพรหมจรรย์เลย เรายังไม่รู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติเลย เราทำไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง มันก็ต้องเสียหาย มาบวชแล้วก็พากันมารับเงินรับสตางค์รับประเคน อยากมาเป็นเจ้าอาวาสอยากมาเป็นพระอุปัชฌาย์อยากมาเป็นพระครูเป็นเจ้าคุณอะไรต่างๆ การเสียสละตัวตนต้องให้เหมือนพระพุทธเจ้าพระพุทธเจ้าท่านไม่ต้องการอะไรเลย ท่านถึงได้เป็นพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ท่านไม่ต้องการอะไรเลย ท่านถึงได้เป็นพระอรหันต์ ทุกท่านทุกคนต้องพากันเข้าใจ ตำแหน่งที่เขาแต่งตั้ง เพื่อให้ทุกคนได้เสียสละ หลวงพ่อชาสอนลูกศิษย์ของท่านเมื่อสมัย ๕๐ ปีก่อน ท่านบอกว่าผมน่ะสอนตัวเอง 100% สอนพวกท่าน 5% นะ หลวงปู่มั่นหลวงพ่อชาหลวงตามหาบัวท่านพุทธทาสถึงพูดเสมอว่า จงมองภายในตัวเราเอง กลับมามองตัวเอง อย่าไปมองคนอื่น มองตัวเองจะได้รู้ข้อวัตรข้อปฏิบัติ การก่อการสร้างแต่ศาสนวัตถุนั้นคือขาลง
สำหรับประชาชนก็พากันเป็นพระได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะอยู่บ้านนอกบ้านนาในป่าในเขาในเมืองในกรุง ก็เป็นพระได้เหมือนกัน พระมหากษัตริย์ก็เป็นพระอริยเจ้าได้ ข้าราชการนักการเมืองพวกพ่อค้าประชาชนนิสิตนักศึกษาทุกๆ คนก็พากันเป็นพระอริยเจ้าได้หมด ไม่มีใครยกเว้น เพราะว่าพระนั้นคือผู้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วพากันปฏิบัติให้มีความถูกต้อง ความรู้สึกที่เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตนมันเป็นความมืด การที่ยกเลิกตัวเองคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่มีการตัดออกไม่มีการเพิ่ม มันเป็นความสงบเป็นปัญญา การปฏิบัติธรรมมันต้องเป็นสมัยปัจจุบัน ตากระทบรูปหูกระทบเสียงอย่างนี้ ทุกคนต้องเข้าใจ แล้วก็เข้าสู่ภาพประพฤติภาคปฏิบัติตัวเอง พัฒนาใจพัฒนาวัตถุ ยกทุกอย่างเข้าสู่พระไตรลักษณ์ ทุกคนจะมีศีลสมาธิปัญญาในตัวเองอยู่แล้ว ถึงจะอยู่บ้านใหญ่โตอลังการ ก็ให้มีสัมมาทิฏฐิด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พวกเศรษฐีในเมืองกรุงก็ต้องปฏิบัติได้ เป็นพระอริยเจ้าได้เหมือนกัน มหาวิทยาลัยสงฆ์ มหามกุฎฯ มหาจุฬาฯ ก็ปฏิบัติได้ เพราะกายใจเป็นเรื่องของเราเอง มันต้องปฏิบัติได้ มันไม่ใช่สิ่งที่ว่างจากสิ่งที่มีอยู่ มันไม่ใช่ว่าจากสิ่งที่ไม่มีอยู่ อย่าไปคิดว่ามันไม่ว่างเลย ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติเลย นั้นไม่เข้าใจเรื่องใจเรื่องวัตถุ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันก็มืดอย่างนี้แหละ เพราะตัวตนคือความมืด ทุกท่านทุกคนต้องไม่เอาความรู้สึกเย็นร้อนอ่อนแข็งสุขทุกข์ที่เป็นเราเป็นของเรา อันนั้นเป็นธรรมเป็นสภาวะธรรม ที่เราทุกคนก่อภพก่อชาติก่อสังสารวัฏ ต้องเอาสิ่งเหล่านี้มาเป็นสนามสอบสนามปฏิบัติ พระพุทธเจ้าให้พวกเราว่างจากตัวตน ศีลถึงยกเลิกตัวตน สมาธิถึงยกเลิกตัวตน ปัญญาถึงยกเลิกตัวตน พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน
ความวิเวก คือ ความสงัด หรือ การปลีกออก หมายถึง ความปราศจากสิ่งที่มารบกวนให้เกิดความฟุ้งซ่านรำคาญ หรือการปลีกออกจากสิ่งที่เป็นข้าศึกของความสงบ มี ๓ ระดับ คือ กายวิเวก จิตตวิเวก และอุปธิวิเวก
วิเวกในทางกายนั้น ไม่มีอะไรรบกวนในทางกาย ในภายในก็ไม่รบกวน คือร่างกายสบายดี ในภายนอกก็ไม่มีอะไรมากระทบกระทั่ง ไปหาโอกาสชิมมันดูเอง คนโบราณก็มาอยู่วัดเสียบ้าง วันอุโบสถ วันพระ มาถือศีลอยู่ที่วัดเสียบ้าง อย่างน้อยเขาก็ได้รับวิเวกในทางกาย ได้ศึกษามันจากจิตใจโดยตรง ถ้าเราไม่อาจจะมาอยู่วัด วันพระ ๘ ค่ำนี่ ที่บ้านก็ได้ ลองจัดให้บางวันมันวิเวกดูบ้าง อย่าให้มันคลุกคลี ชุลมุน สับสนวุ่นวายยิ่งขึ้นไปเสียอีก พอมีเวลาว่างแล้วก็ยิ่งจัดให้มันคลุกคลี โกลาหลวุ่นวายเสียอีก มีความโง่มากจนไม่มีโอกาสที่จะพบความวิเวก อย่างวันเกิดอย่างนี้ แทนที่จะพบความวิเวกบ้าง ก็ยิ่งจัดให้มันยุ่งเสียไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อฉลองอะไร ก็ฉลองในทางยุ่ง ไม่ฉลองด้วยความเงียบ จนไม่มีวันไหนเวลาไหนเหลืออยู่สำหรับวิเวกแม้แต่ทางกาย
ทีนี้วิเวกที่ ๒ คือวิเวกทางจิต นี้จะไม่พูดถึงทางกาย จะพูดกันในฝ่ายจิตล้วนๆ คือไม่มีความรู้สึกอะไรมารบกวนจิต ที่เขาเรียกว่า นิวรณ์ นิวรณ์นั้น แปลว่า สิ่งรบกวนจิต ปิดกั้นจิต ไม่ให้พบกับความสงบ กามฉันทะ ความรู้สึกที่มันดิ่งลงไปในทางกาม พยาบาท ความโกรธแค้น ขัดเคือง หงุดหงิดนั่นนี่อยู่ ถีนมิทธะ การที่จิตเพลีย อ่อนเพลีย ละเหี่ยละห้อย อุทธัจจกุกกุจจะ ความที่จิตมันฟุ้งขึ้นไปอย่างคึกคะนอง และ วิจิกิจฉา ความที่ไม่แน่ใจในสิ่งที่ควรจะแน่ใจ ที่เรียกว่า กามฉันทะ พอใจในสิ่งที่เรียกว่า กาม นี่ก็เริ่มมีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อเริ่มรู้สึกในเวทนาที่มีรสอร่อยทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย สูงขึ้นมาตามลำดับจนถึงวัยเต็มที่ของความเป็นหนุ่มสาว แล้วก็ยากที่จะเหือดหายไป ฉะนั้นจึงรบกวนจิตบ่อย ทีนี้ พยาบาท นี่ ใช้คำว่า พยาบาท คำเดียว แต่หมายถึง ความไม่ชอบพอ ความขัดใจ คับแค้น อะไรทุกอย่าง โกรธง่ายแล้วก็ลืมยาก แล้วก็เอามาทบทวนความโกรธอยู่ในรูปของความอาฆาตพยาบาท ริษยา เคียดแค้น มันก็มารบกวนใจอยู่เสมอ ทีนี้ที่มันรบกวนต่อไปก็คือ ถีนมิทธะ ความที่จิตมันซบเซา แม้ที่สุดแต่ง่วงนอน อ่อนเพลีย มันก็มารบกวนอยู่บ่อยๆ ไม่มีความกระปรี้กระเปร่าเลย ถ้าไอ้ตัวนี้มันมาก นี้ถ้าว่าตัว อุทธัจจะกุกกุจจะ มา มันก็ฟุ้งซ่านเกินกว่าเหตุ ฟุ้งซ่านขนาดนอนไม่หลับ ฟุ้งซ่านขนาดที่เรียกว่าเหมือนจะเป็นบ้า มันก็มารบกวน ทีนี้ วิจิกิจฉา นี่ขอให้สังเกตด้วย ตัวหนังสือแปลว่า ลังเล ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อ ไม่เชื่อทุกอย่างที่ทำให้เกิดความรางเลือน ลังเล อ่อนแอ ไม่เชื่อว่าเราจะปลอดภัย ไม่เชื่อว่าเราจะทำได้ ไม่เชื่อแม้วิชาความรู้ของเรา ไม่เชื่อในสิ่งที่เราเคารพนับถือ ไม่เชื่อบิดามารดา ครูบาอาจารย์ ไม่เชื่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่เชื่อแม้แต่ตัวเอง ไม่เชื่อแม้แต่สมรรถภาพของตัวเอง มันไม่แน่ใจลงไปได้ มันทำให้เกิดความโลเล รวนเร ต้องไปสังเกตดูให้ดีว่ามันมี มีเมื่อไร มีที่ไหน มีอย่างไร ซึ่งเราก็เคยมีทั้งนั้นแหละแต่เราไม่สังเกต ยังแถมมีความทุกข์ด้วย ไอ้ความลังเลอย่างนี้
มันมีถึง ๕ อย่าง เป็นอย่างน้อยนะที่จะมารบกวนจิต พอสิ่งเหล่านี้มารบกวนจิต จิตก็ปราศจากความวิเวก คือความสงบสงัด ไม่ต้องมีอะไรมาโดยตรง มันคิดเอาก็ได้ คือจิตมันคิดย้อนหลังก็ได้ หรือจิตมันปล่อยไปอย่างไม่ควบคุม นี่มันก็มีความคิดความรู้สึกชนิดนี้เกิดขึ้นมารบกวนจิตเอง อย่าเห็นเป็นเรื่องในหนังสือหรือเป็นตัวหนังสือ ไปเห็นมันในชีวิตจริงๆ ตามธรรมดาประจำวันน่ะ มันมีสิ่งเหล่านี้รบกวนอยู่ เราก็ไม่รู้ไม่ชี้กับมัน ก็ปล่อยไปให้มันรบกวนโดยไม่คิดจะแก้ไข อย่างดีก็เพียงกลบเกลื่อน อันนี้เกิดขึ้นมาเหลือทนก็ไปกลบเกลื่อนอันโน้น อันโน้นเหลือทนก็ว่าไปกลบเกลื่อนอันอื่น แต่ที่ร้ายหรือเลวร้ายกว่านั้นก็คือว่า ยิ่งไปส่งเสริมมัน พอความรู้สึกทางกามารมณ์เกิดขึ้น แทนที่จะกลบเกลื่อนเสียหรือแก้ไขเสีย กลับไปส่งเสริมมันเข้า มันก็เลยงอกงามใหญ่ หรือพยาบาท ความอาฆาต ความริษยาอะไรเกิดขึ้น แทนที่จะกลบเกลื่อนมันเสีย ละมันเสีย กลับไปส่งเสริมมันเข้า ไปหาอะไรมาเตรียมพร้อมไว้สำหรับจะทำลายล้างกันอย่างนี้ อื่นๆ ก็เหมือนกันแหละ เช่น ง่วงนอนขึ้นมา แทนที่จะบังคับกันบ้าง ก็นอนมันเสีย ให้มันมากขึ้นไปอีก ความฟุ้งซ่านเกิดขึ้น ก็ไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้มันหลงใหลในความฟุ้งซ่านมากยิ่งขึ้นไปอีก ความลังเลสงสัยนี่ก็ไม่เคยคิดแก้ไข อย่างเดียวกัน ความไม่แน่ใจมันก็มีเป็นนิสัยมากขึ้น จิตอย่างนี้ถูกรบกวนนานาประการ ก็เรียกว่ามันไม่มีวิเวกทางจิต จิตไม่สงัดจากสิ่งรบกวนทางจิต นี่ก็พอจะรู้ได้อีกเหมือนกันว่าเราจะเรียนจากหนังสือไม่ได้ เราต้องเรียนจากจิตใจจริงๆ จากที่มันเกิดขึ้นกับจิตใจจริงๆ จึงจะรู้จักมัน และจะไม่ชอบมัน แล้วก็ค่อยๆ อยากจะทำลาย หรือแก้ไข หรือล้างมันเสีย เดี๋ยวนี้เขาเรียนกันแต่ในหนังสือในกระดาษทั้งนั้น เรื่องอย่างที่กำลังพูดนี่ เรียนแต่ในกระดาษ ในหนังสือ ในคัมภีร์ รู้เรื่องความรบกวนทางจิตไว้ในลักษณะอย่างนี้ แล้วเปรียบเทียบดูว่ามันไม่ใช่เรื่องทางกาย อันโน้นมันกระทบกระทั่ง เบียดเบียน คลุกคลีในทางกาย อันนี้มันกระทบกระทั่งในระบบของจิต
ทีนี้มาถึงอันที่ ๓ ที่เรียกว่า อุปธิวิเวก แปลว่าสิ่งที่ยึดถือเอาไว้ แต่เป็นเรื่องทางจิตใจ หอบหิ้วเอาไว้ กอดรัดเอาไว้ เทิดทูลเอาไว้ เป็นเรื่องวัตถุ สังขาร ร่างกาย กามารมณ์ ตัวกู ตัวกู ร้ายกาจที่สุด คนโง่ชอบนักหนา บรมโง่ อย่างนี้เรียกว่า ไม่วิเวก คิดดู ถ้าถือก้อนหินเอาไว้ จิตมันจะสบายได้อย่างไร ที่จัดไว้อันหลังสุด เพราะมันร้ายกาจกว่า สองอันแรก รบกวนทางกายไม่เท่าไร รบกวนทางจิตก็ไม่เท่าไร แต่อุปธิวิเวกรบกวนตลอดเวลา ทุกวินาที เป็นสิ่งที่มีอยู่จริง แต่ก็ไม่ค่อยรู้กันมากนัก ไม่ปรารถนาที่จะวิเวก วิเวกมันในหน้าที่มันเกี่ยวข้องกับคนทั่วไปธรรมดาสามัญ
วิเวกเมื่อใด มันก็เป็นสุขภาพทางจิตใจเมื่อนั้น ไม่มีอะไรมารบกวนกาย สุขภาพกายก็ดี ไม่มีอะไรมารบกวนจิต สุขภาพจิตก็ดี พระอรหันต์ไม่มีสิ่งรบกวน ที่เรียกว่า วิเวก อาจจะมีของไปรบกวน คนไปรบกวน สัตว์ไปรบกวน แต่ก็เหมือนไม่รบกวน ทางจิตก็ไม่มีนิวรณ์ไปรบกวน ทางอุปธิ ก็ปล่อยวางหมดแล้ว พระอรหันต์ ท่านก็มีวิเวก ครบสมบูรณ์ นี่ก็เป็นเครื่องเปรียบเทียบ สำหรับให้เรารู้จักพระอรหันต์โดยถูกต้อง และเราก็ไม่ต้องอวดดีว่าจะเป็นพระอรหันต์กันเดี๋ยวนี้ ฉะนั้นควรเอาอย่างท่าน เพื่อสุขภาพอนามัย ที่จริงมันก็มีอยู่ตามสมควร แต่คนโง่มันมองไม่เห็น ถ้าไม่มีวิเวกเลย มันตายไปนานแล้ว มันเป็นบ้า เวลาที่ไม่มีอะไรรบกวนมันพอมี แม้แต่คนกิเลสหนา มันยังพอมี ไม่ใช่มีกิเลสทุกลมหายใจเข้าออก แม้นาทีเดียวก็ถือว่ามี แต่คนมันไม่สังเกตเห็น มันไม่สนใจ มันไปหาสิ่งมารบกวนอีก หาสิ่งที่มาช่วยประโลมใจ ไม่ให้ว่าง
เครื่องประโลมใจ ถ้ามันไปในทางที่ดี ก็ดีอยู่ แต่ถ้าไปในทางที่ไม่ดี ก็วินาศ มีธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ มันก็ดี มีกามารมณ์เครื่องประโลมใจ มันก็วินาศ มนุษย์ทั่วไปมันก็เครื่องประโลมใจ จึงเป็นปัจจัยที่จะดำรงชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน จริงในบาลีมีแค่สี่ คือ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย มันเป็นทางกาย แต่ทางฝ่ายจิตมันมีปัจจัย คือเครื่องประโลมใจ ถ้าไม่มีมันจะกระวนกระวายใจ มันไม่ปกติ ก็พูดให้คิด ให้นึก สวดมนต์ก็ได้ เรียนธรรมะก็ได้ มาประโลมใจ ธรรมะไม่เป็นอันตราย ให้เห็นภาพเหล่านั้น แล้วถูกต้อง พอใจ เป็นสุขภาพทางจิต ทางวิญญาณ เลยขอเรียกว่าเป็นปัจจัยที่ห้า ให้สบายใจ มีกำลังใจ รู้จักใช้ธรรมะเป็นเครื่องประโลมใจ ถ้าใช้กิเลสเป็นเครื่องประโลมใจ มันเขลา มันโง่ มันเป็นการทำลายวิเวก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อุปธิวิเวก หรือแม้แต่จิตวิเวก พวกที่ชอบกินเหล้า มันก็เกลียดวิเวก กินเหล้าไปกระตุ้นให้ฟุ้งซ่าน มันก็เลิกไม่ได้ ไม่ยอมเลิก หรือสูบบุหรี่ คนสูบมันก็สบายใจ ให้สิ่งเสพติดมาประโลมใจ ละก็ไม่ได้ มันไม่ต้องการวิเวก ของเสพติดอื่นก็เหมือนกัน น้ำชา กาแฟ เราควรหาอิสรภาพ เสรีภาพ ไม่เป็นทาสต่อสิ่งใด นั่นแหละดี มีสิ่งใดเป็นนาย เหนืออยู่ มันก็ไม่วิเวก มันเป็นสิ่งที่ควรสร้าง แต่เขาไม่ยอมเข้าใจ ไม่ยอมทำความรู้สึก แม้ช่วงเวลาที่ว่างจากกิเลสมันก็มีบ้าง แต่มันไม่ยอมรับรสว่า มันประเสริฐอย่างไร
เราสังเกตดูดีๆ ว่า เมื่อใดที่เรารู้สึกสบายใจที่สุด เวลานั้นจะไม่มีอะไรรบกวนทางกาย จิต และอุปธิ แต่มันก็ผ่านไปโดยไม่มีใครรู้จัก แต่ก็พยายามไปหาโอกาสที่ไม่มีอะไรมารบกวน ไปชายทะเลบ้าง ไปภูเขาบ้าง แต่มันก็แค่ผิวๆ มันยังมีอุปธิ คือตัวกู ลากตัวกูไปเที่ยวทะเล ตัวกูมันไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะไปที่ไหน แต่ก็รู้สึกอยู่บ้าง ไปริมทะเล มันโล่งอกโล่งใจ ว่างบ้าง มีวิเวกบ้าง แต่ไม่รู้จัก ไม่สร้างมันให้มีตลอดเวลา ฉะนั้นมันเกี่ยวกับความพยายามที่จะสร้างขึ้นมา
ทีนี้มาพูดเรื่อง ธรรมะปฏิบัติที่จะให้บรรลุมรรคผลนิพพาน เรื่องนิพพานมันคือเรื่องว่าง สงบ วิเวก ศีลก็ทำให้วิเวก ปราศจากสิ่งรบกวนตามระดับของศีล สมาธิก็วิเวกตามระดับของสมาธิ มันจะพอมีตัวอย่างเล็กๆ ของวิเวกเข้ามา ถ้าเราพอใจที่จะมีมากขึ้นไปอีก พอใจ นั่นคือ ฉันทะ แล้วก็มี วิริยะ จิตตะ วิมังสา ตามหลักของอิทธิบาท ตามหลักศาสนาก็เป็นแบบนี้ แต่ไปเรียกว่า วิมุติบ้าง วิสุทธิ์บ้าง แต่ก็มีความหมายคล้ายกัน ไม่มีอะไรมารบกวน ว่างจากกิเลส ว่างจากความทุกข์ ถ้ามองเห็นความว่างจะเข้าใจ ไม่ว่างมันบริสุทธิ์ไม่ได้ พระพุทธเจ้าบริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งปวง ทีนี้การบวชเข้ามา เป็นโอกาสอันดีที่จะศึกษาเรื่องเหล่านี้ เมื่ออยู่ที่บ้าน นั้นยากที่ศึกษา ไม่มีโอกาส มีเวลาเล่นหัวคลุกคลีกันอยู่มาก เอาเวลาไปนั่งวิเวกบ้าง อย่าชอบหัวเราะ ชอบคลุกคลี ที่เป็นข้าศึกต่อวิเวก แต่เอาเถอะ มันยากที่จะไม่หัวเราะเลย แต่ให้ระมัดระวังให้ควบคุม อย่าทำลายความสงบ สงัด ของจิตใจ วิเวกของผู้ สันโดษ ถ้าได้ฟังธรรมะของพระอริยะเจ้า มีความเห็นธรรมะนั้น จึงเกิดความวิเวก แล้วเป็นสุข
ประโยชน์ของการมีวิเวก ๑. ทำให้สุขภาพจิตดี ไม่มีอะไรมารบกวนกายมันก็มีร่างกายที่สบาย ไม่มีอะไรมารบกวนจิตจิตมันก็ดี ไม่มีอะไรมาเป็นของหนักแก่จิตใจยึดมั่นถือมั่น มันก็ทำให้สุขภาพจิตดี
๒. ทำให้ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน คือการทำให้ว่าง สงัด วิเวก ก็เรื่องเดียวกันนี่แหละ ศีลช่วยให้วิเวกไปตามระดับของศีล ปราศจากการรบกวนตามระดับของศีล สมาธิก็วิเวกไปตามระดับของสมาธิ ถ้าเป็นอุปธิวิเวกในระดับพระอรหันต์ก็จะไม่มีอะไรมารบกวนเลย
๓. วิเวกเป็นวัคซีนป้องกันโรคทางจิตใจ เคยคิดไหมว่า พูดอย่างนี้มันเหมือนกับชักจูงถอยหลังเข้าคลอง เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปี ซึ่งคนโบราณต้องการ เขาชอบกันนัก ต้องการกายวิเวก จิตวิเวก แต่คนสมัยนี้ควรจะเห็นว่า มันโบร่ำโบราณโง่เง่าเต่าล้านปี แต่แท้จริงมันเป็นเรื่องที่สดใสแจ่มใส เยือกเย็นงดงามยิ่งนัก ในสมัยปัจจุบันนี้วัตถุเจริญมากมาย ขณะเดียวกันมีเรื่องชิงดีชิงเด่น แข่งกันใหญ่ ดูมันยุ่งๆวุ่นวายไปหมด นี่เป็นเพราะไม่มีวัคซีนทางใจ คือวิเวกเข้าช่วยนั่นเอง
๔. วิเวกทำให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด ในเมื่อศึกษารู้เรื่องจิต ปล่อยวางจิต สิ่งที่ครอบงำถูกปลดปล่อยจากจิตใจ ไม่ยินดียินร้าย ไม่เป็นบวกเป็นลบ แม้ว่าจะต้องตายก็ไม่เป็นทุกข์ คนจบปริญญายาวเป็นหาง หากไม่ปล่อยวาง มีวิเวกก็คงบ้าตายไม่ต้องสงสัย ขอให้รู้ว่าสูงสุดของพระศาสนาอยู่ที่ตรงนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเอาชนะอะไรไปเสียทุกอย่างในโลกได้ เป็นกฎของธรรมชาติที่ตายตัวเป็นอย่างยิ่งว่า ถ้าไม่รู้จักวิเวก หรือเป็นอิสระจากสิ่งรบกวนต่างๆ มันก็จมอยู่ในทุกข์ตลอดไป
๕. วิเวกเป็นไวพจน์ของนิพพาน เป็นคำแทนชื่อของพระนิพพานแปลว่า ดับเย็น วิเวกแปลว่าสงัดหรือเดี่ยวอย่างยิ่งถ้ามันมีอะไรรบกวนมันก็จะดับอยู่ในตัว สงบเย็นอยู่ในตัว ดังนั้นวิงวอนทุกคนว่า จงพยายามมีวิเวก ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องได้ใช้ต่อไปไม่ว่ายุคใดสมัยใดต่อไปในวันข้างหน้า
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนคน อื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้ เมื่อมีตนที่ฝึกฝนดีแล้ว ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้โดยยากคือพระนิพพาน พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามีชัดเจนอยู่แล้ว เราเอาพระธรรมคำสอนนั่นแหละมาประพฤติปฏิบัติ เน้นลงที่ปัจจุบัน สิ่งภายนอกให้ทุกคนตัดออกให้หมด ทิ้งอดีตอนาคต มาอยู่ที่ปัจจุบันขณะ เพื่อให้เป็นธรรมะล้วนๆ ปราศจากตัวตน จึงต้องทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ กายจึงจะวิเวกได้ จิตจึงจะวิเวกได้ สงบระงับสังขารการปรุงแต่งทั้งหลายจึงจะเป็นอุปธิวิเวกได้ในที่สุด
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee