แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันพุธที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๑๐ ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับรู้จักและมาหยุดตนเอง จะได้หยุดเป็นทาสของความคิดความปรุงแต่ง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เมื่อวานนี้ได้พูดให้เข้าใจความเป็นพระ พระนั้นเขานับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ ผู้ที่มาบวชมาปฏิบัติก็เป็นพระได้ เพราะพระนั้นคือพระธรรมพระวินัย ผู้ที่เป็นฆราวาสไม่ได้บวชก็เป็นพระได้ตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอนาคามี ให้เข้าใจในเรื่องของความเป็นพระ มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง พัฒนาใจและพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กันเพื่อให้เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
คำว่าพระนิพพานหมายถึงว่าจากสิ่งที่มีอยู่ ไม่ใช่ว่างจากสิ่งที่ไม่มี เพียงแต่เราทำความเข้าใจแล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาพปฏิบัติ ต้องเข้าใจในโลกสมัยใหม่พัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี มันมีทั้งคุณมีทั้งโทษ ถ้าไม่เข้าใจก็เหมือนนักบวชชีเปลือย ที่ปล่อยวางหมดไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ ถ้าไม่เข้าใจก็จะไปเน้นแต่ทางกายทรมานกาย พระพุทธเจ้าก่อนจะตรัสรู้ก็เคยบำเพ็ญทุกรกิริยา เน้นทางกายทรมานร่างกายเกือบ ๖ ปี แต่ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้ จนกระทั่งมาพัฒนาจิตใจตามทางสายกลางคืออริยมรรคมีองค์ ๘ จึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
เราไม่ต้องหาพระที่ไหนหรอก ถ้าทุกคนประพฤติปฏิบัติ ใจของเราจะแน่วเเน่อย่างนี้ เเน่นอน เราไม่ต้องไปถามหรอกว่าถูกหรือไม่ถูก เพราะถูกหรือผิด เราก็รู้อยู่ในใจอยู่เเล้ว เพราะปฏิบัติ พระพุทธเจ้าก็ไม่ให้เราอะไร ให้เรามีความสุขในการเสียสละ ถ้าเราจะเอาอะไร เเสดงว่ามันผิดเเล้ว มันเป็นระบบอัตตาตัวตน ระบบครอบครัว ระบบสักกายทิฏฐิ เราอย่าคิดว่าถ้าไม่เอา ไม่ใช่ว่างขาดสูญ อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่เราจะเอา เราต้องเป็นมิจฉาทิฏฐิ เราอย่าไปสรุปเอา คิดเอา ว่าอะไรก็ว่าว่างหมด เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ได้ มันว่างอย่างนั้น มันเรียกว่า ว่างจากศีล จากธรรม ว่างจากมรรคผลนิพพานนะ พวกเราที่เดินกันเป็นเเถว นอนก็เป็นเเถว ทำอะไร มันว่างจากศีล จากสมาธิ ปัญญา พากันว่างจากมรรคผลนิพพาน เราต้องรู้จัก ต้องลงรายละเอียดให้กับตัวเอง ว่าความสุขความดับทุกข์ มันจะมีกับเราทุกๆ คน อยู่ทุกครอบครัว อันนี้ๆ เรียกว่า ธรรมะอันนี้เค้าเรียกว่าศาสนา ศาสนาคริสต์ก็ต้องทำอย่างนี้เเหละ ศาสนาอิสลามก็ต้องทำอย่างนี้ ทุกศาสนาต้องเข้าถึงความสุขความดับทุกข์ เพราะทุกคนเกิดมาเพื่อมาเสียสละ ทิฏฐิมานะ อัตตาตัวตน รู้จักว่าเราต้องทำอย่างนี้ๆ เราไปทำอย่างอื่นไม่ได้ มันไม่ถูก เราถึงต้องมีบ้าน มีที่อยู่อาศัยเป็นท้องถิ่น มีที่ทำมาหากินเป็นถิ่น เเล้วก็มีตัวเราเป็นผู้ปฏิบัติ เราจะได้รู้จักบ้าน บ้านภายนอกคือร่างกาย บ้านภายในคือจิตใจ เรียกว่า มีข้อวัตร ข้อปฏิบัติ ที่รู้ ที่เรียนเป็นที่เรียนเพื่อศึกษาทำมาหากิน วัดที่เราเห็นอยู่ในเมืองไทย ก็เป็นส่วนรวมของผู้เอามรรคผลนิพพาน ผู้ที่มาบวชต้องเข้าใจอย่างนี้ อย่าพากันเข้าใจผิด พามาปลงผมห่มผ้าเหลือง มีอุปัชฌาย์บวชให้นั้นยังไม่ใช่ เค้าให้เราเป็นภิกษุเฉยๆ เราต้องประพฤติปฏิบัติเพื่อให้เราเป็นพระธรรมเป็นพระวินัย พวกกามนี้เราต้องเสียสละ เราอย่ามากินมานอนมาพักผ่อน เราพากันรักษาศีลให้มันได้เต็มร้อย ตั้งมั่นในสมาธิให้มันเต็มร้อย เราเสียสละให้เต็มร้อย ไม่ว่าวัดบ้านวัดป่า มันก็สามารถที่พัฒนาใจเราทุกคนที่จะเป็นพระได้ เพราะไม่ได้อยู่ที่สถานที่ อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง เเล้วเราฝึกอานาปานสติ มันก็จะสงบลง เพราะเราไม่ได้ตามอารมณ์ ตามอะไรไป
พระโรหิณีเถรี ผู้เป็นธิดาพราหมณ์มหาศาลตระกูลหนึ่งในเมืองไพศาลี เนื่องจากมีอุปนิสัยปัจจัยอันได้สั่งสมมาแล้วแต่ปางก่อน จึงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา หลังจากฟังพระธรรมเทศนา ได้บรรลุเป็นพระโสดาบันแล้ว ก็บวชอุทิศชีวิตแก่พระศาสนา บำเพ็ญสมถวิปัสสนา ไม่ช้าไม่นานก็บรรลุพระอรหัตพร้อมปฏิสัมภิทา เมื่อกลับมายังตระกูลของตน ถูกบิดาถามทำนองค่อนแคะว่า ลูกโรหิณี พ่อไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าจึงนิยมชมชอบพวกสมณะ (ศากยบุตร) ซึ่งเป็นคนไม่ทำมาหาเลี้ยงชีพ ได้แต่ขอเขากิน คนเกียจคร้านปานนี้ยังเป็นที่รักของเจ้าหรือ
เป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง แม้สมัยปัจจุบันคำกล่าวหาทำนองนี้ก็ยังมีอยู่ และเมื่อกาลเวลาผ่านมาถึงยุคนี้ คำกล่าวหาอย่างนี้กลับมีน้ำหนักเสียด้วยเพราะ “สมณะยุคโลกาภิวัตน์” ส่วนมากดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเสียด้วย
ลองมาดูคำแถลงของพระโรหิณี ดูว่าท่านแก้ต่างว่าอย่างไร
สมณะเหล่านั้นมิได้เกียจคร้านดังคุณพ่อเข้าใจ ท่านใคร่ต่อการงานเป็นอย่างยิ่ง แต่เป็นการงานทางจิตที่ประเสริฐสุด คือ งานละราคะ โทสะ (โมหะ)
สมณะในพระพุทธศาสนามีพระคุณต่อลูกมาก เป็นเนื้อนาบุญอันเลิศของโลก ไม่มีเนื้อนาบุญอื่นยิ่งกว่า สมณะทั้งหลาย เป็นผู้ปรารภความเพียร ไม่เกียจคร้าน ทำแต่งานที่ประเสริฐสุด คือ งานขจัดกิเลสอาสวะ ท่านเหล่านั้นละราคะ โทสะ และโมหะได้สิ้นเชิง เพราะเหตุนั้น สมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของลูก...
สมณะทั้งหลาย กำจัดรากเหง้าแห่งบาป ๓ ประการ คือ โลภะ โทสะ โมหะ ได้แล้ว ทำแต่การงานที่สะอาดบริสุทธิ์ ละความชั่วได้ทุกชนิด กายกรรมของท่านเหล่านั้นสะอาด วจีก็สะอาด มโนกรรมก็สะอาด สะอาดหมดจดทั้งภายนอกภายใน ดังสังข์ที่ขัดดีแล้ว เต็มเปี่ยมด้วยธรรมที่สะอาด เพราะเหตุนั้น สมณะทั้งหลายจึงเป็นที่รักของลูก
คุณพ่อได้ยินลูกสาวกล่าวพรรณนาคุณของสมณะ ซึ่งไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน รู้สึกอัศจรรย์ใจเริ่มคล้อยตามคำของลูกสาว จึงถามต่อไปว่า “สมณะของลูกมีคุณอะไรอีก”
สมณะเหล่านั้นเป็นพหูสูตทรงธรรม เป็นอริยะ มีชีวิตอยู่ในธรรม มีจิตเป็นอารมณ์เดียว มีสติ แสดงเหตุแสดงผลให้คนเข้าใจแจ่มแจ้ง มีสติ มีสมาธิแน่วแน่ “ไปไกล” พูดพอประมาณ ไม่พูดเรื่องไร้สาระ พูดด้วยปัญญา ไม่ฟุ้งซ่าน รู้จักวิธีขจัดทุกข์
ท่านเหล่านั้นไม่ติดถิ่นที่ ไปไหนไม่ต้องกังวลห่วงใย ท่านเหล่านั้นไม่สะสมข้าวปลาอาหาร ยังชีพด้วยภักษาหาร ฉันอาหารที่เขาถวาย และไม่รับเงินทอง สมณะทั้งหลายออกบวชจากตระกูลต่างกันจากชนบทต่างกัน แต่รักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดี เพราะเหตุผลดังว่ามานี้ สมณะเหล่านั้นจึงเป็นที่รักของอาตมภาพ
พราหมณ์ผู้บิดา ได้ฟังเกียรติคุณของพระสมณะ (ศากยบุตร) ทั้งหลาย ที่ภิกษุณีผู้สาธยายให้ฟัง พิจารณาไปตาม ในที่สุดก็เห็นด้วยกับคำพูดของภิกษุณีผู้เป็นธิดา จึงเปลี่ยนท่าทีกล่าวกับเธอว่า โรหิณีลูกพ่อ เจ้าได้ศรัทธาปสาทะในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ นับว่าเจ้าเกิดมาเพื่อประโยชน์แก่ตระกูลเราจริงๆ สมณะเหล่านั้นเป็นเนื้อนาบุญอันประเสริฐจริงๆ ขอให้สมณะเหล่านั้นจงมารับทักษิณาของเราบ้างเถิด ไทยธรรมที่ถวายแก่สมณะเหล่านั้นจักมีผลไพบูลย์
โรหิณีภิกษุณี กล่าวกับบิดาว่า “ถ้าโยมพ่อเกลียดกลัวทุกข์ คุณพ่อจงเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ จงสมาทานศีลสรณคมน์ และศีลนั้นจักเป็นประโยชน์แก่คุณพ่อและตระกูลวงศ์ของเรา”
เมื่อก่อนตระกูลเราเป็นพราหมณ์ (ถูกสอนว่าพวกเราได้เข้าถึงพระพรหม) บัดนี้อาตมภาพได้เป็นสมณะศากยบุตรได้รู้แจ้งวิชา ๓ ประการ ถึงฝั่งแห่งพรหมจรรย์ นับว่าได้เป็น “พราหมณ์” (ผู้ล้างบาป) ที่แท้จริงแล้ว
พระเถรีได้บรรยายคุณสมบัติของสมณะในอุดมคติให้บิดาฟังว่า สมณะศากยบุตรทั้งหลายมิได้เป็นอย่างที่บิดาคิด ท่านเหล่านั้นมีคุณสมบัติสรุปได้ดังนี้ คือ • เป็นผู้ขยันทำงาน มิได้เกียจคร้าน หากเป็นงานด้านการพัฒนาจิตใจ ละอกุศลมูลได้ ไตรทวารสะอาดบริสุทธิ์
นับว่าพระเถรีได้เป็นปากเป็นเสียงแทนสมณะศากยบุตรทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ชี้แจงให้คนที่มองพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาผิดๆ (ในกรณี คือ โยมบิดา) ให้เข้าใจว่า แท้ที่จริงแล้วมิได้เป็นดังที่คนทั่วไปคิด
ท้ายที่สุด พระเถรีได้ให้ความมั่นใจแก่โยมบิดาว่า ที่ท่านละทิ้งลัทธิพราหมณ์ดั้งเดิมที่เชื่อว่าเข้าถึงพระพรหมผู้ประเสริฐได้ และเป็นพราหมณ์ (คือ ผู้ล้างบาปได้) มาสู่พระพุทธศาสนานั้นเป็นความถูกต้องแล้ว เพราะการได้บรรลุวิชชา ๓ ประการนั้น ถือว่าเป็นการเข้าถึง “พรหม” (ภาวะที่ประเสริฐ) แท้จริง และท่านได้ละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง นับว่าเป็น “พราหมณ์” (ผู้ล้างบาปได้) ที่แท้จริง
ไม่มีอะไรจะมีความสุขเท่ากับรู้จักและมาหยุดตนเอง จะได้หยุดเป็นทาสของความคิด ทาสของอารมณ์ ทาสของความปรุงแต่ง ถ้าเรามีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง หยุดปรุงแต่ง เรื่องมันก็จบกัน ไม่ได้มีอะไร มันหาเรื่องให้ตนเองเฉยๆ สรุปแล้วปัญหาภายนอกไม่มีหรอก ปัญหามาจากที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง เข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ต้องมารู้จักปัญหาที่เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเราทุกคน มันเป็นชะนวนเหมือน กับคนโบราณบอกว่า ไม้ขีดก้านเดียวที่จุดขึ้นมามันเผาบ้านทั้งหลังได้ ความคิดความรุนแรงอย่าไปให้ความสำคัญมั่นหมายกับมัน ไม่ให้มันมามีอำนาจมีอิทธิพลครอบงำจิตใจ ให้ทุกท่านทุกคนพากันถอนรากถอนโคนของอวิชชาคือความหลงออกไปให้ได้
อย่างพระอรหันต์ พระอริยเจ้าท่านมีความสุขจากการเสียสละ เพราะว่าจิตใจของท่านไม่มีปัญหา หมดปัญหา ท่านก็เสียสละ ท่านจึงมีอายุยืน ถ้าท่านไม่เสียสละเพื่อประโยชน์ เพื่อผู้อื่น เพื่อมหาชนส่วนรวม ท่านก็อายุไม่ยืน
ทุกท่านทุกคนอย่าพากันเผาตนเอง ต้องรู้จักอารมณ์ รู้จักความคิด เราอย่าไปวิ่งตามรูปเสียงกลิ่น รส ลาภยศสรรเสริญ เราทุกคนพากันคิดดูดีๆนะ อวิชชาความหลง ความคิดความปรุงแต่งมันเผาเรา ความอยากความต้องการต่างๆมันมาเผาเรา ดังที่พระพุทธองค์ตรัสว่า ทะเลไม่อิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่อิ่มด้วยเชื้อ คนหลงก็ไม่อิ่มเต็มด้วยตัณหาความทะยานอยากต่างๆ
การประพฤติปฏิบัติ เราอย่าพากันทำให้มันวุ่นวาย ครั้งหนึ่ง มีพระไปกราบ หลวงพ่อพุทธทาสที่สวนโมกขพลาราม แล้วกราบเรียนท่านว่า ผมอยากจะมาอยู่กับท่านอาจารย์ มาปฏิบัติกับท่านอาจารย์ หลวงพ่อก็เลยถามว่า ท่านไม่มีวัดไม่มีที่อยู่หรือ? พระรูปนั้นก็ตอบไปว่ามีที่อยู่ครับ แต่อยากมาประพฤติปฏิบัติกับท่านอาจารย์ หลวงพ่อพุทธทาสก็เลยบอกไปว่า ท่านไม่รู้การปฏิบัติหรอก การปฏิบัติไม่ต้องไปทำอะไรมาก ไม่ต้องไปคิดอะไร เราต้องรู้จักความคิด รู้จักอารมณ์ อย่าไปวุ่นวายตามอารมณ์ เพราะความคิดความปรุงแต่งมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง การปล่อยวางได้จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง ยิ่งปล่อยวางยิ่งบางเบา ยิ่งรับเอายิ่งเป็นทุกข์
ถ้าเราไม่รู้จักความคิดความปรุงแต่ง ไม่อย่างนั้นก็คือ เผาตนเอง เรากำลังสร้างบาป สร้างกรรม สร้างเวร สร้างภัยให้กับตนเอง เราทุกคนต้องมารู้อารมณ์อย่างนี้ ต้องมารู้ความคิดอย่างนี้ รู้จิตรู้ใจอย่างนี้ พากันมาหยุดความวุ่นวาย คนเราทำได้อย่างนี้มันดีนะ เข้าถึงความพอดีพอเพียง มักน้อยสันโดษ เราทุกคนต้องมาเสียสละความวุ่นวาย ความปรุงแต่งออกจากจิตใจของเรา เราทำอย่างนี้จึงจะเป็นคนเก่งเป็นคนฉลาด ไม่เป็นทาสของความคิด ไม่เป็นทาสของอารมณ์ ไม่เป็นทาสของสิ่งแวดล้อม ใจจะได้เป็นธรรม เป็นธรรมชาติ สงบเย็น ใจจะได้มีพระนิพพาน ในจิตใจ ในปัจจุบัน เราทุกคนพากันคิดให้ดีๆนะ เราจะเผาตัวเองไปถึงไหน
เมื่อเรารู้เราเข้าใจแล้ว ก็พากันปฏิบัติได้อยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งในป่าในเขาในบ้านในครอบครัวในอำเภอในจังหวัดในเมืองกรุง เราต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เอาเหมือนที่พระพุทธเจ้าบอกคือว่างจากตัวตน ว่างจากรายวิชาจากความหลง เราทำได้ปฏิบัติได้ เราจะย้อนหลังเหมือนสมัยที่ยังไม่เจริญก็ไม่ได้ มันเจริญก็ดีอยู่แล้ว ประชากรโลกเยอะ ก็ต้องพัฒนาเทคโนโลยีพัฒนาวิทยาศาสตร์ ที่สำคัญคือต้องพัฒนาใจเพื่อไม่ให้หลง
ในชีวิตประจำวัน เราทำความเสียหายให้กับตัวเราและประเทศชาติของเรา นึกว่าปฏิบัติธรรมต้องตาไม่เห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง เป็นต้น ทำให้ประชาชนที่อยู่ในชุมชนในบ้านในเมือง และทำให้พระในกลางกรุงกลางจังหวัดกลางอำเภอกลางชุมชนหมู่บ้าน ปฏิเสธมรรคผลพระนิพพาน เพราะเข้าใจผิดคิดว่าอยู่ในเมืองในชุมชนแล้วปฏิบัติไม่ได้ ต้องไปหาที่สงบหาที่วิเวก
พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่มีปัญญาทันโลกทันสมัย ต้องพากันเข้าใจ จะได้ไม่เสียเวลาในการประพฤติในการปฏิบัติ จะไม่เสียทรัพยากรแห่งความเป็นมนุษย์ จะได้ไม่เสียทรัพยากรแห่งการอุปถัมภ์อุปัฏฐากของญาติโยม แล้วไม่มีการประพฤติไม่มีการปฏิบัติ ทุกคนน่ะสามารถทำได้ปฏิบัติได้ ไม่มีปัญหา ให้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ให้รู้อริยสัจ ๔ ทุกๆ ศาสนาก็สามารถมีพระอริยเจ้าได้ มีพระอรหันต์ขีณาสพได้ ถึงจะชื่อคนละอย่างก็ไม่เป็นไร เหมือนกับคนจะทานข้าวทานแป้งทานขนมปังทานผลไม้ก็อิ่มพอๆ กัน ดับทุกข์ทางกายได้ ความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องก็จะดับทุกข์ทั้งทางกายดับทุกข์ทั้งทางจิตใจไปอย่างนี้ เราต้องรู้จักการประพฤติการปฏิบัติ จะได้พากันสร้างบารมี จะได้รู้ความหมายของการเรียนการศึกษารู้เรื่องการทำงานทำมาหาเลี้ยงชีพที่พัฒนาใจไปพร้อมกัน ถ้าเราไม่เข้าใจก็จะไปเน้นแต่วัตถุ ถือวัตถุเป็นที่ตั้ง ถือเงินเป็นที่ตั้ง เอาความหลงเป็นที่ตั้ง บางทีบวชมาแล้วก็ยังไม่รู้ว่า การบวชนี่คือการยกเลิกวัฏสงสารยกเลิกความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง เมื่อไม่เข้าใจมันก็เสียหาย จึงต้องเข้าใจ เพราะอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ทุกหนทุกแห่ง ไม่มีที่ไหนที่ปฏิบัติไม่ได้ เพราะเรามีตาหูจมูกลิ้นกายใจ มีผัสสะมากระทบ ก็มีการปฏิบัติเพราะที่นั่นคือข้อสอบคือข้อตอบอยู่ทุกหนทุกแห่ง พุทธบริษัทหรือว่าทุกๆ ศาสนาก็ให้เข้าใจอย่างนี้ เราจะไม่ได้ไปสุดโต่งทางวัตถุอย่างเดียวหรือ สุดโต่งทางจิตใจอย่างเดียว มันต้องไปพร้อมๆ กัน
เมื่อเราทำอย่างนี้เป็นสิ่งที่ทำได้แก้ปัญหาได้ พระนิพพานก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ พรหมโลกก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ สวรรค์ก็เป็นสิ่งที่มีอยู่ ทุกอย่างไม่ใช่ว่างขาดสูญ อย่างเราจะเอาความว่างจากตาเห็นรูป หูไม่ได้ยินเสียง จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่ได้รับรส กายไม่ได้ถูกต้องสัมผัส ใจไม่ได้นึกคิดในอารมณ์ นี่ก็ถือว่ายังใช้ไม่ได้ ยังไม่ใช่ขั้นดับทุกข์สูงสุด เมื่อเรามีลมหายใจอยู่ก็ย่อมมีความรู้สึก ทุกสิ่งทุกอย่างก็ย่อมมีความเปลี่ยนแปลงไป ธรรมะของพระพุทธเจ้าถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ทุกอย่างก็อยู่ในกิจกรรมที่เราดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ ความสงบกับปัญญาก็ต้องไปพร้อมๆ กัน ศีลกับปัญญาก็ต้องไปพร้อมๆ กัน จึงจะเป็นพุทธะผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน
พวกเราทั้งหลายนี้ ถือว่า เป็นผู้ที่โชคดีที่ไม่ต้องไปคิดมาก ไม่ต้องไปค้นคว้ามาก เพียงแต่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนที่พระพุทธเจ้าที่ท่านตรัสรู้ดีแล้ว...นั่นเอง
ในสมัยครั้งพุทธกาล...มีกุลบุตรลูกหลานได้พากันบรรพชาอุปสมบทแล้วก็ได้บรรลุธรรมกันเป็นจำนวนมาก เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้าน นี้ถือว่า เป็นค่านิยมในสมัยนั้น ยุคนั้น ทางฝ่ายญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ก็ได้มีผู้บรรลุธรรมตรัสรู้ธรรมเช่นเดียวกัน ไม่ต่างไปกับบรรพชิตทั้งหลาย เป็นพระอริยเจ้าที่อยู่ในคราบของคฤหัสถ์ เพราะความเป็นพระที่แท้จริงนั้น...อยู่ที่ใจ 'ใจ' ที่เข้าถึงศีลเข้าถึงธรรม 'ใจ' ที่ได้ประพฤติธรรม ได้ปฏิบัติธรรม ใจ มันเป็น...ธรรม ใจ ถึงได้...บรรลุธรรม ใจ จึงได้...เห็นธรรม
เราเกิดมาในยุคสมัยนี้เรามีโอกาสรู้เห็นน้อย เพราะเราจะเห็นแต่คนที่เกิดมา มีแต่การตั้งใจทำมาหากินตั้งแต่เกิดจนตาย.
ยุคนี้สมัยนี้...การที่จะได้เห็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติธรรมนั้นก็หายาก ประเพณีที่พระพุทธเจ้ามาประพฤติปฏิบัติ ก็เลยขาดช่วงขาดตอนไป ญาติโยมประชาชนทั้งหลายก็เลยคิดว่าสมัยนี้พระอริยเจ้า มรรคผลนิพพานนั้นไม่มี "ก็คิดกันไปอย่างนั้น" ความเป็นจริงแล้ว 'มรรคผลนิพพาน' ก็ยังมีอยู่ มีอยู่ในผู้ประพฤติปฏิบัติ มีอยู่ในกลุ่มของนักปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ดังนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงตรัสไว้ว่า "ตราบใดที่ยังมีผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่ โลกนี้จะไม่ว่างจากพระอรหันต์"
ถ้าเราประพฤติปฏิบัติ เราก็จะเข้าถึงมรรคผลได้กันทุก ๆ คน...
สิ่งที่จะทำให้เราเข้าถึง 'มรรคผลพระนิพพาน' ได้ ก็คือ พระธรรม พระวินัย นั่นเอง ผู้ที่เข้าถึงธรรมเข้าถึงพระวินัยได้ จะต้องเป็นผู้ที่หายพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ เป็นผู้ที่ไม่ถือตัว ไม่ถือตน ไม่เอาตนเป็นใหญ่มอบกายถวายชีวิตต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์ และตั้งใจว่า... "ชาตินี้ข้าพเจ้าจะไม่มีตัวไม่มีตน ไม่ถือตัวถือตน จะมอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัย เอาพระธรรม เอาพระวินัยเป็นที่ตั้ง พระธรรม พระวินัย ว่าอย่างไร ก็จะประพฤติปฏิบัติตามอย่างนั้น... เอาพระธรรม เอาพระวินัย เป็นประธานในหัวจิตหัวใจ"
ความอาลัยอาวรณ์ทั้งหลายในโลกในตัวในตนของแต่ละคนมันมีมาก มันยากที่จะสลัดทิ้ง ยากที่จะสลัดคืนออกไปได้ แต่เรามาคิดดูมาทบทวนดูแล้ว ถ้าเราไม่เดินตามรอยพระพุทธเจ้า ไม่เดินตามรอยของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็ไม่มีวันที่จะเข้าถึงความดับทุกข์ได้เลย เพราะยิ่งเราทำไป ยิ่งปฏิบัติ ก็ยิ่งสร้างปัญหา สร้างความทุกข์ ความสับสนวุ่นวายให้กับตัวเองยิ่งขึ้น เกิดแล้วเกิดเล่า ตายแล้วตายเล่า ก็เพราะว่าเราไม่ได้ ปฏิบัติตามรอยของพระพุทธเจ้า ปัญหาเรื่องราวต่างๆ มันจึงเกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา
คนเราที่มันมีปัญหานี้ มันไม่ได้มาจากภายนอก มันมาจากจิตจากใจของตัวเองเราเอง มันมาจากความหลงของตัวเราเอง สิ่งภายนอกมันไม่ได้ให้คุณให้โทษ ความหลง ความไม่รู้แจ้งต่างหากที่มันให้คุณให้โทษกับเรา
การที่จะฝึกตัวเองได้ ปฏิบัติตัวเองได้ ก็ต้องอาศัยศีล อาศัยธรรม อาศัยข้อวัตรปฏิบัติ เพราะว่าใจของเรานี้มันเป็นนามธรรม มันไม่มีตัวไม่มีตน ภาคปฏิบัติ ต้องอาศัยการฝึกจิตฝึกใจ ฝึกกาย ฝึกวาจาของเราให้ตั้งมั่น ให้อยู่ในศีลในธรรม กายของเรามันทำโน่นทำนี่ ถือว่า เป็นอาการกิริยาทางจิตใจที่แสดงออกมา 'ทางกาย' ที่มันไม่อยากรักษาศีล ไม่อยากประพฤติปฏิบัติ ไม่อยากทำข้อวัตร นั่นคือ อาการกิริยาของใจ ที่มันแสดงออกมา 'ทางกาย' ที่มันหลง ที่มันมีความเห็นแก่ตัว มีความเห็นผิด อาการกิริยาที่เป็นตัวตนเป็นตน
การปล่อย... การวาง... ถ้าเราไปเน้นที่ใจ ทุกอย่างอะไรก็อยู่ที่ใจ ศีลเราก็ไม่ต้องรักษาอย่างนั้น มันก็ไม่ถูก! ถือว่ามันข้ามขั้นตอนของการประพฤติปฏิบัติไป มันเป็นความคิดความเห็นของคนเห็นแก่ตัว เป็นความคิดความเห็นของคนที่สรุปเอาเอง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ ว่าเราทำอะไรไปแบบไม่ยึดไม่ถือ มันถูกต้องแล้ว มันใช้ได้แล้ว
"ความปล่อย...ความวาง กับ 'ความขี้เกียจ" มันชอบหลงนะ หรือแม้แต่ว่า 'พระนิพพาน' กับ 'ความเห็นแก่ตัว' เราก็คิดเอาเองว่ามันเป็นเหมือนกัน "อย่างนั้นไม่ใช่" นักประพฤติปฏิบัติ ท่านถึงให้มาเน้นที่ 'ศีล' เน้นที่ 'ธรรม' เน้นที่ 'ข้อวัตรปฏิบัติ' เพื่อฝึกที่จิตที่ใจของเรา ถ้าเราไม่ปฏิบัติอย่างนี้ ก็ยากที่จะเข้าถึงเรื่องจิต เรื่องใจ เรื่องคุณธรรมได้
เจตนา ก็คือความตั้งจิตตั้งใจ นี้สำคัญมาก เพราะ "เรื่องจิต เรื่องใจ" เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าเราคิดอะไร...คนอื่นเขาไม่รู้ เขาไม่เห็น เขาไม่เข้าใจกับเรา แต่เราต่างหากที่เป็นผู้รู้... ผู้เห็น... ผู้เข้าใจ...ของเราเอง
'รู้' ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เราดำริขึ้นมาในใจของเรา การกระทำใดๆ เราก็รู้หมด ถ้าอันไหนมันไม่ถูก พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ให้เราคิด ไม่ให้เราทำ ไม่ให้เราพูด การประพฤติปฏิบัติอย่างนี้เรียกว่า "เดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เดินตามรอยของพระอริยเจ้าทั้งหลาย"
เมื่อเราเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เดินตามรอยของพระอริยเจ้าทั้งหลายแล้ว เรานี้แหละก็ได้ชื่อว่าเป็น สุปะฏิปันโน อุชุปะฏิปันโน ญายะปะฏิปันโน สามีจิปะฏิปันโน ก็คือเป็นพระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้านั่นเอง ความเป็นพระก็จะเกิดขึ้นที่จิตที่ใจของเรา สมมุติสงฆ์ก็จะเป็น 'อริยสงฆ์ ญาติโยมที่อยู่ที่บ้านที่สังคม ที่ปฏิบัติเดินตามรอยของพระพุทธเจ้า เดินตามรอยของพระอริยเจ้าทั้งหลาย ก็จะได้เป็น "พระอริยสงฆ์ในจิตใจ" ได้เช่นเดียวกัน
ฉะนั้น เราต้องจับหลักให้ได้ดีๆ ทุกคนจะได้ไม่พลาดโอกาส ไม่เสียโอกาส เราอย่าไปคิดไกลเกินไปนะว่า...พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์นั้นอยู่ไกล แท้ที่จริงแล้วพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก็อยู่ที่ตัวเราทุกๆ คนนี้แหละ
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee