แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๖ ผู้ยังทำร้ายผู้อื่นทางกายวาจา หาเป็นบรรพชิตไม่ ผู้ยังเบียดเบียนผู้อื่นทางใจ จะเป็นสมณะไม่ได้
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้ทุกๆ คนเข้าใจความหมายของคำว่าพระ พระเขานับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เป็นพระได้ทั้งคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เป็นพระได้ทั้งนักบวชที่มาบรรพชาอุปสมบท ต้องเข้าใจความเป็นพระ ความเป็นพระนั้นคือมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่ทุกคนต้องพากันรู้ ความรู้นี้เรียกว่าพุทธะ ที่เราได้รับมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีจนได้ตรัสรู้มาบอกมาสอนพวกเรา และพวกเราก็มาต่อยอดเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันของเรา ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้ทุกคนเข้าใจ ความเป็นพระเป็นสมณะนี้ไม่มีใครแต่งตั้งกันได้ ต้องเข้าใจแล้วก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็พากันเป็นพระไม่ได้ เพียงเข้าใจยังไม่พอต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
บางคนก็ยังไม่เข้าใจคำว่าพระกรรมฐาน คิดว่าพระกรรมฐานต้องใส่จีวรสีดำคล้ำย้อมด้วยน้ำฝาดแก่นขนุนที่เห็นตามวัดป่าที่เคร่งครัด พระกรรมฐานคือพระธรรมคือพระวินัย ฐานที่จะทำให้เป็นพระก็คือศีลคือสมาธิคือปัญญา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐฺยนฺโต. ผู้ยังทำร้ายผู้อื่น หาเป็นบรรพชิตไม่ ผู้ยังเบียดเบียน ผู้อื่นอยู่ หาเป็นสมณะไม่.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดที่เป็นผู้ชื่อว่าเข้าไปฆ่าผู้อื่น เพราะไม่มีอธิวาสนขันติ คือ จงใจปลงผู้อื่น โดยที่สุดแม้เหลือบและยุงให้ตกไปจากชีวิต ผู้นั้นก็หาได้ชื่อว่าบรรพชิตไม่, ถามว่าเพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะมลทินยังเป็นความแปดเปื้อนที่เขายังละทิ้งไม่ได้ฯ
มลทินที่ตนกำลังละอยู่, เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า บรรพชิต, จริงอยู่ การละทิ้งมลทินนี้ เป็นลักษณะของบรรพชิต แม้บุคคลผู้ใดไม่เข้าไปเบียดเบียนเลยแลคือไม่ฆ่าให้ตาย เป็นเพียงเบียดเบียนด้วยอาวุธมีท่อนไม้เป็นต้น, บุคคลนั้น ที่กำลังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ จะชื่อว่าเป็นสมณะไม่ได้ ถามว่าเพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะความเบียดเบียนยังเป็นโทษที่เข้าสงบระงับไม่ได้ เพราะบาปทั้งหลาย เป็นบาปที่เข้าสงบระงับได้แล้ว จึงจะตรัสเรียกว่า "สมณะ" เหตุนั้น การสงบระงับบาปได้นี้ จึงเป็นลักษณะของสมณะ
อธิบายในบาทคาถานี้ มุ่งเรื่องศีลเป็นสำคัญ สำหรับผู้เป็นนักบวชศาสนาพุทธแล้ว ศีลเป็นเบื้องต้นแห่งคุณธรรมทั้งหลาย การไปเผยแผ่ธรรมแล้ว ผู้เผยแผ่จักต้องตั้งมั่น หรือดำรงมั่นอยู่ในศีล ศีล คือ เจตนาที่จะงดเว้นจากความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจด้วย เจตนางดเว้นทุจริตทางกาย ทางวาจา ท่านเรียกว่า เจตนาศีล การงดเว้นทางมโนทุจริต ความชั่วทางใจ ๓ อย่าง คือ (๑) อภิชฌา ความโลภอยากได้ของคนอื่นในทางทุจริต ไม่ชอบธรรม (๒) พยาบาท คิดปองร้ายผู้อื่น (๓) มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว เป็นต้น ความปกติทางกาย วาจา ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าใจไม่ประกอบด้วยขันติธรรมประเภทตีติกขาขันติ หรืออธิวาสนขันติแล้ว ย่อมจักทำผิดศีล ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความปกติทางกาย วาจาได้ ถ้านักบวชหรือนักประกาศศาสนาของพระพุทธองค์ ไปทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ย่อมไม่ชื่อว่าบรรพชิต และสมณะ เพราะได้ประพฤติกายกรรม วจีกรรมอันเป็นโทษเสียแล้ว นัยยะแห่งคำว่า บรรพชิต ก็เช่นกัน แปลว่า ผู้เว้นชั่วทางกาย ทางวาจา คำว่า สมณะ แปลว่า ผู้มีความสงบระงับจากบาปอกุศลทั้งปวง ฉะนั้น ผู้ที่เป็นบรรพชิตก็ดี จักต้องเว้นจากการเข้าไปทำร้ายผู้อื่น หรือนักบวชศาสนาอื่น เป็นสมณะก็ดี จักต้องเว้นจากบาปอกุศลที่เกิดขึ้นในใจ ดำรงอยู่ในศีลาจารวัตรเท่านั้น
คำว่าพุทธะมีความหมายว่ารู้เหตุรู้ปัจจัย ทุกๆ อย่างเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เมื่อไม่มีเหตุผลก็ไม่มี พระพุทธศาสนาได้แก่รู้เหตุรู้ปัจจัย แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ภาคประพฤติภาคปฏิบัตินั้นได้แก่ศีลได้แก่สมาธิได้แก่ปัญญาในปัจจุบัน ศีลจึงเป็นสภาวะธรรมที่มายกเลิกเหตุมายกเลิกปัจจัย เป็นปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ เราต้องหยุดเหตุด้วยการยกเลิก ศีลถึงเป็นกรรมเป็นการงานที่มายกเลิกในสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด การประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจง่ายๆ นะ ศีลทั้งหมดนั้นคือมารวมลงที่ใจ เมื่อใจของเรามีความเห็นถูกต้อง เราก็ต้องพากันมาหยุดตัวเอง การประพฤติการปฏิบัติมันถึงเป็นเรื่องของเราที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้มันถูกต้องทุกคนต้องพากันรู้เรื่องจิตเรื่องใจของตัวเองเพราะความรู้สึกของใครก็ย่อมรู้ความนึกคิดของใครก็ย่อมรู้ทุกคนก็ต้องรู้ใจของเราเองใจของคนเรามันคิดได้ทีละอย่างอันไหนไม่ดีอันไหนไม่ถูกต้องเราก็อย่าไปคิดถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกกันความคิดของเราก็ยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ เราทุกคนยังมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ ยังมีอายุขัยอยู่ ก็ย่อมมีผัสสะภายนอกภายในสัมผัสกัน ทุกคนย่อมรับรู้ในผัสสะนั้นๆ ผัสสะนั้นเป็นข้อสอบ พุทธะตัวผู้รู้ในปัจจุบันเป็นผู้ตอบ พระพุทธศาสนาได้แก่รู้ข้อสอบรู้ข้อตอบในปัจจุบัน
การเรียนการศึกษานั้นเรียนเพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วเราจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นการเรียนการศึกษานั้นจะเป็นความหลงเป็นความเห็นแก่ตัว การเรียนการศึกษานั้นเรียนเพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ของเรามันต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจแต่ไม่มีความสุขในการเรียนการศึกษาผู้ที่ไม่มีความสุขในการเรียนการศึกษาจึงเป็นผู้ไม่รู้อริยสัจ 4 การทำงานเราก็ต้องรู้จักเพราะการทำงานคือความสุข เรามีความเห็นถูกต้องเพื่อจะดูต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการทำงาน งานคือความสุขความสุขกับการทำงาน ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานก็ให้เข้าใจว่าเรายังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ พระพุทธเจ้าท่านมีความสุขในการทำงาน วันหนึ่งคืนหนึ่งของพระพุทธเจ้าทรงบรรทมพักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมง ท่านมีความสุขในการทำงาน ๒๐ ชั่วโมง
การประพฤติการปฏิบัติคือการทำงานเป็นการละตัวละตน เราทุกคนต้องข้ามสัญชาตญาณแห่งความเป็นตัวตน มีความสุขกับการทำงาน การพักผ่อนของนักบวช ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอสมองเราจะไปสั่งร่างกายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อสมองก็จะไม่แข็งแรงจะอ่อนแรง นักบวชต้องควบคุมการนอนของตัวเอง อย่างเช่นวัดป่าอย่างนี้ก็นอน ๓ ทุ่มตื่นตี ๓ ก็เพียงพอแล้ว พระกรรมฐานรุ่นเก่าสมัยหลวงปู่มั่นท่านนอน ๔ ทุ่มตื่นตี ๒ ท่านปฏิบัติเข้มข้น เราเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชีต้องเจริญสติปัฏฐาน เจริญสติสัมปชัญญะทั้งวัน พระรุ่นเก่าสมัยเก่าตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เพราะสมัยเก่าน่ะบ้านเมืองยังไม่เจริญเป็นป่าเป็นเขา ยังไม่มีวิทยุไม่มีโทรทัศน์ไม่มีหนังสือพิมพ์ทางโลกไม่มีโทรศัพท์มือถือ ท่านพากันประพฤติพากันปฏิบัติ รุ่นของหลวงปู่มั่นรุ่นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น พากันตั้งใจพากันตั้งเจตนา อะไรไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำน่ะ ยกเลิกตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า ปัญญาของพระพุทธเจ้าก็คือเรามีพุทธะทางจิตใจในปัจจุบันนี่แหละ พระกรรมฐานรุ่นเก่านะจะไม่พากันฟังวิทยุไม่อ่านหนังสือพิมพ์ทางโลกวารสารต่างๆทางโลก เพราะถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเดรัจฉานกถา พากันอ่านแต่หนังสือธรรมะหนังสือนักธรรมตรีโทเอก หรือหนังสือเปรียญธรรม พากันฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ฉันในบาตร ไม่ฉันในถ้วยในจาน ไม่มีสำรวมฉันในถ้วยในจาน มีแต่สำรวมฉันในบาตร ไม่เหมือนรุ่นใหม่นี้สำรวมฉันในจาน ยกเลิกการฉันในบาตรไป ให้พากันเข้าใจนะ พระพุทธเจ้านะไม่มีสำรวมฉันให้ถ้วยในจาน มีแต่ฉันในบาตร
การปฏิบัติธรรมต้องติดต่อต่อเนื่อง ให้ศีลเป็นสิ่งที่ยกเลิกตัวตน ให้สมาธิยกเลิกตัวตน ให้ปัญญายกเลิกตัวตน ต้องติดต่อต่อเนื่องเหมือนไก่ฟักไข่ กกไข่ให้ไออุ่นอย่างสม่ำเสมอ ผ่านไป ๓ อาทิตย์ถึงจะออกลูกมาเป็นตัว
พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจเรื่องจิตในที่มันเป็นธรรมชาติคิดได้อารมณ์เดียว คิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาแต่ตัวเอาแต่ตน พุทธะก็เกิดขึ้นไม่ได้ ธรรมวินัยก็เกิดขึ้นไม่ได้ มันมีแต่ตัวมีแต่ตน ทุกท่านทุกคนปฏิบัติในใจมันต้องเด่น เด่นยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เวลากลางวัน เด่นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิจะไม่ร้อนเหมือนแสงอาทิตย์ หัวใจจะเย็นเหมือนติดแอร์คอนดิชั่น จากสว่างด้วยสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ เพราะใจได้ยกเลิกตัวตนที่เปรียบเสมือนความมืด ความมืดคือตัวตน มันก็มืดมันก็มัว มีตัวตนนิดหน่อยมันก็มืดนิดหน่อย เหมือนคนแก่ตามืดตามัวตาฝ้าตาฟาง ถ้าเรามีตัวมีตนว่ามันก็มืดมิดเหมือนกับคนตาบอด คนมีตัวมีตนมันก็บอดอย่างนั้น คนมีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องก็คือคนตาบอดทางจิตใจ พุทธะเป็นแสงสว่าง สว่างทั้งความรู้ความเข้าใจสว่างทั้งภาคปฏิบัติ ศีลถึงเป็นพลังงานแห่งความดับทุกข์ เป็นการที่สุดแห่งทุกข์
ตัวผู้รู้กับการปฏิบัติต้องไปพร้อมกัน ผู้ที่มาบวชจะได้พากันเป็นพระเป็นสมณะที่แท้จริง เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ยกเลิกตัวตน ผู้ที่เป็นประชาชนเป็นคฤหัสถ์ก็พากันเป็นพระ เป็นพระอริยเจ้า ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การทำงานกับการปฏิบัติธรรมจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอริยมรรค ในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เมื่อเรายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้งถึงจะปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะพัสตร์ มันก็ไม่ใช่พระอยู่แล้ว เพราะใจไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ใจยังเป็นโจรอยู่ โจรก็หมายถึงตัวตนนั่นแหละที่เป็นโจร โจรกับตัวตนก็คืออันเดียวกัน ถ้าเรามีตัวมีตน มันก็คือเป็นเปรตประจำวัดนั่นแหละ ตำแหน่งเดียวกับเปรตประจำวัด ไม่ต้องไปหาเปรตที่ไหนหรอก หาจากที่ตัวเรานี่แหละ ที่มาบวชที่มีตัวมีตน ไม่ใช่พระยังเป็นโจร เป็นเปรตประจำวัด ไม่ต้องหาเปตรที่ไหน หาเปรตที่ตัวเรานี่แหละ เราไม่เข้าใจ ก็ไปวาดเปรตตามฝาผนังโบสถ์ตามฝาผนังวิหาร ที่แท้จริงมันก็อยู่ที่เรานี่แหละ ที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง มีความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ตัวเรานี้แหละเป็นเปรตตัวจริง อันนั้นเป็นบุคลาธิษฐาน ท่านให้พวกเรามีสติ มีปัญญา เพื่อจะได้แก้ปัญหาตัวของเราเอง ไม่ต้องไปแก้ปัญหาคนอื่น เพราะปัญหาทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่ที่เราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เราทุกคนต้องยกเลิกความเป็นโจร ยกเลิกความเป็นเปรต ในเราในตัวความหลงเราอย่างนี้นะ
เราทุกคนที่นั่งอยู่บนอาสงฆ์ก็ดี ที่ยืนเดินนั่งนอนอยู่ไหน ต้องกลับมาปลุกใจตัวเอง ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง นี้แหละคือโจร คือเปรตคือผีคือยักษ์คือมารคืออสูรกาย นี่แหละคือสัตว์นรก เราต้องรู้ด้วยใจของเราทุกๆ คน ศีลนี้เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ยกเลิกตัวตน
บวชมาทำไมมันไม่มีปัญญา มันไม่มีปัญญาเพราะมันมีตัวมีตน การเทศน์การสอนก็เอาหนังสือพระไตรปิฎกมาสอน เอานักธรรมตรีโทเอกมาสอน จำครูบาอาจารย์มาสอน บวชมาแล้วไม่ยกเลิกตัวตน ละเมิดพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้าถือนิสัยของตัวเอง มันเสียหายนะ เสียหายมาก เสียหายจริงๆ ที่เราไม่ยกเลิกความเป็นโจร ความเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกาย ที่มันมาครองธาตุครองขันธ์ของเรานี้นะ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เพราะว่าไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น มันแก้ที่ตัวเรา ที่ครูบาอาจารย์บรรยายพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องเข้าใจ แล้วไปแก้ไข ความเห็นแก่ตัวนี้ จิตใจมันหยาบ จิตใจมันสกปรก ใจมันด้าน เรียกว่าหน้าด้าน คนหยาบนิสัยหยาบ เพราะตัวตนมันจัด เราเป็นฆราวาสเราก็เป็นพระได้อยู่แล้ว ประชาชนทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ ความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้หยุดสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
พอรู้ว่าอันไหนไม่ดีเราก็อย่าไปคิด เราต้องยกเลิกความคิดของเรา ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้หยุดตรึกในกาม ในพยาบาท เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง อันไหนไม่ดีเราก็ไม่ไปคิดไม่ไปตรึกมัน ฆราวาสก็ต้องเข้าใจ นักบวชก็ต้องเข้าใจ การตรึกการนึกการคิดอย่างนี้ ที่ประกอบไปด้วยตัวไปด้วยตน ด้วยอวิชชาความหลงอย่างนี้ มันเป็นการก่อภพก่อชาติ มันเป็นพวกมีผัวมีเมียทางความคิด มีผัวมีเมียทางอารมณ์ เรียกว่าพวกมีผัวมีเมียทั้งวันทั้งคืน พวกนักบวชก็ต้องหยุดตรึก หยุดนึกหยุดคิดในกามในพยาบาท คฤหัสถ์ที่ไม่ได้บวชก็ต้องหยุดเหมือนกัน ให้ทุกคนพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ การตรึกนั้น นึกคิดอย่างนั้น มันยังตั้งอยู่ในสัญชาตญาณของการเวียนว่ายตายเกิด ที่มันแสดงออกมาทางด้านจิตด้านใจ
พระกรรมฐานรุ่นเก่า ถึงไม่มีใครพูดไม่มีใครคุยทางการบ้านการเมืองทางครอบครัว ต้องยกเลิกความตรึกความนึกคิดทางกาม ทางพยาบาท เพื่อจะได้หยุดเชื้อ หยุดให้น้ำให้ปุ๋ยให้อากาศให้แสงแดดให้อาหารของความหลง ถ้าเราไม่รู้จักข้อนี้แหละ มาบวชหลายปี หัวใจมันก็ยังมีลูกมีเมียนะ ยังไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าหยุดตรึกหยุดนึกหยุดคิดที่มันเป็นเดรัจฉานกถา ของมันอร่อยของมันแซ่บ มันรำ มันนั่ว มันหรอย ของมันติด ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ให้ยกทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ภาวนาไปว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยงไม่แน่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จะตามความหลงไปนั้นไม่จบ
เราต้องรู้จักว่าศีลนี้คือความสุข สมาธินี้คือความสุข ปัญญาที่หยุดตัวเอง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าความหยุดหรือว่าความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะธรรมอย่างยิ่ง มันถึงเป็นความสุขของเรา ที่ต้องโบกมือบ๊ายบายวัฏฏะสงสารอย่างนี้ ความอดทนนั้นมันเป็นความสุขนะ เราอย่าพากันโง่พากันเข้าใจผิดว่า เราไปอดทนนั้นเป็นความทุกข์ ความอดทนนั้นมันเป็นความดับทุกข์ เป็นความหยุดทุกข์ เป็นความยกเลิกทุกข์ เขาจะทำฝายอย่างนี้ เขาก็ต้องเอาดินร่วนมาถมมาอัดมาบดให้มันแน่นๆ ใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ที่เขื่อนใหญ่ๆ ที่จะรับน้ำได้หลายล้านลูกบาศก์เมตร ต้องเข้าใจว่า ความอดทนนั้นมันถึงเป็นความสุข เราจะได้น้ำเพื่อเอามาใช้งาน ในการบริโภค
พวกนักบวชทั้งหลายมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อย่าพากันไปยินดีในกามไปหลงใหลในกาม การพัฒนาเทคโนโลยีมันดีมันมีประโยชน์ มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์มันดี เราเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชี เราต้องตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัวเอง เพื่อยกเลิกอวิชชาความหลงของตัวเอง ความไม่รู้ความไม่เข้าใจ ทำให้พระเราเณรเราแม่ชีเรา ไม่รู้จักคุณค่าของพระธรรมวินัย อ่อนในข้อวัตรอ่อนในกิจวัตร ขาดทำวัตรเช้าขาดทำวัตรเย็น วัตร ๑๔ ก็บกพร่อง เพราะตัวตนมันมาก ตัวตนมันจัด ที่เราขาดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ไม่เห็นข้อวัตรสำคัญ อันนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐินะ แสดงถึงพระเณรพากันลักมีโทรศัพท์มือถือ เมื่อมีโทรศัพท์มือถือมันหมกอยู่ในกาม พุทธะมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่พากันขาดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น มาบวช ปัญญาก็ไม่เกิด มาบวชก็มีแต่กามเกิด มีแต่อวิชชามีแต่ความหลงเกิด เราไม่ได้ตั้งอกตั้งใจกัน มาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉันหากินอย่างนี้ไม่ถูกต้อง มันเอาเปรียบคนอื่น มันเป็นเปรตประจำพระศาสนา ประจำบ้านประจำสังคม มันไม่ถูกต้อง
โลกนี้มีคนต้องการคนจำพวกนี้ไหม ทุกคนไม่ต้องการ คนสายพันธุ์นี้ไม่มีใครต้องการ แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ต้องการ เมื่อไม่ต้องการ เราต้องยกเลิก พระสายปกครองที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการบริหาร ก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ที่พากันมีโทรศัพท์มือถือ พากันมีคอมพิวเตอร์ต้องเข้าใจ ส่วนพระที่ไม่ได้เป็นนักปกครอง ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมีโทรศัพท์มือถือมีคอมพิวเตอร์อะไร มันไม่ใช่การทำที่สุดแห่งความทุกข์ มันคือการประกอบทุกข์ต่างหาก การที่มีโทรศัพท์มือถือนี้มีคอมพิวเตอร์นี้มันดี เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดี เราอยู่กันไกลคนละที่ เราไม่ต้องนั่งรถนั่งเรือนั่งเครื่องบิน พระเราต่างคนก็เอามรรคพลนิพพาน มันก็ไม่มีงานอะไร มันมีงานเยอะ ก็เพราะทุกคนไม่เอามรรคผลไม่เอาพระนิพพาน มันเลยต้องมีงานเยอะ การติดต่อประสานงานกันก็ต้องให้เป็นเวล่ำเวลา มันไม่ใช่พร่ำเพื่อ วันหนึ่งสัก ๒-ภ ครั้งก็เพียงพอ ไม่ใช่เอาโทรศัพท์แช่ไว้อยู่ในกระเป๋า อยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างนี้ เราไม่เข้าใจ การมีโทรศัพท์มือถือมันก็ยิ่งกว่ามีภรรยามีสามีซะอีก เราใช้เทคโนโลยีเราต้องมีปัญญากัน ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญา มันก็ไม่ใช่พุทธะ มันก็คืออวิชชาความหลง เมื่อไม่เข้าใจเรื่องพุทธะ ตัวเองยังแก้ไขตัวเองไม่ได้ มันจะไปแก้ไขใคร เดี๋ยวนี้เราไม่เข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนา กันพากันมีโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่สามเณรไปจนถึงเจ้าอาวาส หลวงพ่อหลวงตา เขาก็พากันมีโทรศัพท์มือถือหมด เราต้องพากันเข้าใจ มันทำความเสียหายให้กับเรา ให้กับคนอื่น
การที่มีพระศาสนานั้น เราต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนา พระศาสนาก็แปลว่าพากันมายกเลิกอวิชชายยกเลิกความหลง พากันมายกเลิกตัวยกเลิกตน พระศาสนาต้องมีอยู่ในใจของทุกๆ คน ทั้งนักบวชทั้งฆราวาสต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจพระศาสนา มันก็ทำลายความมั่นคงของตัวเราเองหรือของผู้อื่น ที่มันบ่อนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีตัวมีตัวนี้แหละคือการทำลายชาติทำลายพระศาสนาทำลายพระมหากษัตริย์ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจผู้ที่ทำลาย ก็คือตัวเราเองนี่แหละ ทำลายแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าทำลายความประเสริฐแห่งความเป็นมนุษย์ ทำลายพระศาสนาก็คือเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ที่เราพากันเป็นได้แต่เพียงคนอย่างนี้แหละ ไม่ได้เอาความถูกต้อง เอาความถูกใจ
พระศาสนานั้นเป็นธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระศาสนา พระศาสนาเป็นการพัฒนาสัมมาทิฏฐิทางความคิด สัมมาทิฏฐิทางภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พระมหากษัตริย์ก็หมายถึงปัญญา ทำไมพระพุทธรูปถึงมีพระเกศแหลมๆ อยู่บนพระเศียร นั่นแหละเขาเรียกว่าปัญญา ปัญญานั้นก็หมายถึงฉัตรที่แหลมๆ การดำเนินชีวิตของผู้นำของประเทศหรือว่าของโลก เขาเรียกว่าฉัตร คือเอาปัญญาเอาสัมมาทิฏฐิเป็นการปกครองตัวของทุกๆ คน ปกครองไม่เอาหมู่เอาคณะ แต่เอาความถูกต้องเหนือความถูกใจ ผู้ที่เป็นประมุขเป็นผู้นำก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ จะได้ปฏิบัติอย่างนี้ บ้านเราเมืองเรามันถึงจะได้มีข้าราชการ ถึงจะได้มีนักการเมือง เพราะมันเป็นตำแหน่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นตำแหน่งที่ยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำข้าราชการ ไม่เอสตัวเอาตนเป็นการทำข้าราชการ อย่างนี้เขาเรียกว่าข้าราชการ ข้าราชการยังไม่มีเพียงพอ เพราะใครมีหน้าที่อะไรก็ มีหน้าที่ในเรื่องนั้นเต็มที่แต่ไม่ได้คิดเรื่องอื่นจึงมีนักการเมืองที่ออกมาคิดมาวางแผน ถ้าเราตัวตนเป็นที่ตั้งประเทศเราก็ไปไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ถูกต้องมันคือตัวคือตนมันไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นได้เพียงประชาธิปไตย เป็นได้เพียงสังคมนิยมมันไปไม่ได้ สังคมนิยมก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ ประชาธิปไตยก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเพราะพวกนั้นมันยังความหลงเพื่อบัญญัติกฎหมายบ้านเมือง ทำไมถึงว่าอย่างนั้น มันต้องว่าอย่างนี้แหละ เพราะว่าอย่างนี้มันถึงถูกต้อง เราดูตัวอย่างที่มองเห็นง่ายๆ ถ้าอยากกินเหล้ากินเบียร์ ก็มีความพร้อมเพียงกัน หลายๆ คนก็ยกมือกัน ตั้งโรงเหล้าโรงเบียร์ให้มันมาตรฐาน อันนี้มันไม่ใช่ถูกต้อง มันเป็นประชาธิปไตย อย่างอื่นก็เหมือนกันนั่นแหละ เราดูกฎหมายบางมาตราดูสิ เป็นการปกครองเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่ความถูกต้องอะไร พวกที่ทำงานพวกนี้ ก็ได้เงินจากภาษีอากรจากทุกๆ คนที่เกิดมา คนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องมาเสียภาษีอากรหมด
เราต้องเข้าใจ ทุกคนจะได้พากันแก้ไขตัวเอง ทั้งนักบวชทั้งข้าราชการนักการเมือง ทุกคนพากันแก้ไขตัวเองหมด เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เพราะมันเป็นเรื่องของทุกคนๆ นั้นเอง นี่ถึงเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราต้องเข้าใจชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ เราทุกคนจะได้แก้ไขตัวเอง ตำแหน่งที่เขาแต่งตั้ง มันเป็นตำแหน่งที่ทุกคนต้องมาเสียสละ ไม่ใช่เอามาหลงกัน ทุกคนต้องเสียสละเต็มที่ ทุกคนต้องมีศีลมีธรรมกันเต็มที่ ไม่ใช่มีตัวมีตนอย่างเต็มที่ มาหลงขยะมาแย่งขยะอย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างเราดูความเป็นพระ การเสียสละ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์อย่างนี้ ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นสมเด็จพระราชาคณะ หรือว่าเป็นนักปกครองอะไรนี้ เป็นตำแหน่งที่ย้ำให้แต่ละท่านรับผิดชอบว่าต้องมาเสียสละ เหมือนพระพุทธเจ้าเสียสละ เหมือนพระอรหันต์เสียสละ ไม่ใช่พากันมาหลงในยศหลงในตำแหน่ง มันเสียหาย อย่าไปหลงยศหลงตำแหน่ง ฉลองกันใหญ่ ถ้าเราไม่เข้าใจ มันก็เป็นการฉลองความโง่กัน
ที่บรรยายพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ทุกคนได้หูตาสว่าง เพราะว่ามันมืดเหลือเกิน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมืด ปัญญาเรามันไม่เกิด ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่า ทำไมเราไม่มีปัญญา เพราะเรามีตัวมีตน เราจะมีปัญญาได้อย่างไร จบปริญญาเอกจะมีปัญญาได้อย่างไรอย่างมากก็ปัญญาทำมาหากิน ไม่ใช่ปัญญารู้อริยสัจ ๔ ต้องแก้ไขที่ตัวเอง อย่าไปแก้ไขที่คนอื่น ต้องพากันแก้ไขตัวเองนี่แหละ ท่านอาจารย์ชาพูดกับลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมน่ะสอนตัวเองปฏิบัติตัวเอง 100% บอกพวกท่านเพียง 5% ธรรมะนั้นยกเลิกตัวตน ถึงมีสมาธิมีปัญญา มีตัวตนมันก็ซื่อบื้ออย่างนี้แหละ รู้ก็รู้มาจากหนังสือ แต่ปัจจุบันมันก็ซื่อบื้ออย่างนี้แหละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าสมองมันทึบ เพราะตัวตนมันเป็นที่ตั้ง พระอรหันต์ทุกองค์ปัจจุบันของท่านดี ปัจจุบันดีทุกรูป ท่านไม่ซื่อบื้อ เพราะตัวตนนี้ก็คือความเป็นตนซื่อบื้อ สมองมันคิดไม่ออก ให้ทุกท่านทุกคนพากันจำไว้ จะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าไปคิดมึนตึ๊บอยู่อย่างนี้นะว่า ทำไมมันทำยากแท้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันต้องยาก เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไปได้เมื่อไหร่ มันไปไม่ได้ ความดับทุกข์มันอยู่กับเราทุกคนต้องให้เข้าใจอย่างนี้ เพราะใจของเราจะได้มีพุทธะทางใจ
: เห็นพระ แต่ไม่ได้เป็นพระ : ดีกว่าเป็นพระ แต่ไม่ได้เห็นพระ
: บางคนเป็นพระ แม้จะไม่ได้อยู่ในสมณเพศ
: บางคนเป็นเปรต ทั้งๆ ที่อยู่ในเพศสมณะ
: ยอดบรรพชิต คือผู้สละชีวิตเพื่อพระศาสนา
: ยอดคนมิจฉา คือผู้สละพระศาสนาเพื่อชีวิต
คำเทศนา วันศุกร์ที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
ให้ทุกๆ คนเข้าใจความหมายของคำว่าพระ พระเขานับเอาตั้งแต่พระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์ เป็นพระได้ทั้งคฤหัสถ์ผู้ครองเรือน เป็นพระได้ทั้งนักบวชที่มาบรรพชาอุปสมบท ต้องเข้าใจความเป็นพระ ความเป็นพระนั้นคือมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่ทุกคนต้องพากันรู้ ความรู้นี้เรียกว่าพุทธะ ที่เราได้รับมาจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีจนได้ตรัสรู้มาบอกมาสอนพวกเรา และพวกเราก็มาต่อยอดเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ในชีวิตประจำวันของเรา ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ ให้ทุกคนเข้าใจ ความเป็นพระเป็นสมณะนี้ไม่มีใครแต่งตั้งกันได้ ต้องเข้าใจแล้วก็พากันประพฤติพากันปฏิบัติ ต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจก็พากันเป็นพระไม่ได้ เพียงเข้าใจยังไม่พอต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ
บางคนก็ยังไม่เข้าใจคำว่าพระกรรมฐาน คิดว่าพระกรรมฐานต้องใส่จีวรสีดำคล้ำย้อมด้วยน้ำฝาดแก่นขนุนที่เห็นตามวัดป่าที่เคร่งครัด พระกรรมฐานคือพระธรรมคือพระวินัย ฐานที่จะทำให้เป็นพระก็คือศีลคือสมาธิคือปัญญา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี น สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐฺยนฺโต. ผู้ยังทำร้ายผู้อื่น หาเป็นบรรพชิตไม่ ผู้ยังเบียดเบียน ผู้อื่นอยู่ หาเป็นสมณะไม่.
อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใดที่เป็นผู้ชื่อว่าเข้าไปฆ่าผู้อื่น เพราะไม่มีอธิวาสนขันติ คือ จงใจปลงผู้อื่น โดยที่สุดแม้เหลือบและยุงให้ตกไปจากชีวิต ผู้นั้นก็หาได้ชื่อว่าบรรพชิตไม่, ถามว่าเพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะมลทินยังเป็นความแปดเปื้อนที่เขายังละทิ้งไม่ได้ฯ
มลทินที่ตนกำลังละอยู่, เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า บรรพชิต, จริงอยู่ การละทิ้งมลทินนี้ เป็นลักษณะของบรรพชิต แม้บุคคลผู้ใดไม่เข้าไปเบียดเบียนเลยแลคือไม่ฆ่าให้ตาย เป็นเพียงเบียดเบียนด้วยอาวุธมีท่อนไม้เป็นต้น, บุคคลนั้น ที่กำลังเบียดเบียนผู้อื่นอยู่ จะชื่อว่าเป็นสมณะไม่ได้ ถามว่าเพราะเหตุไร? แก้ว่า เพราะความเบียดเบียนยังเป็นโทษที่เข้าสงบระงับไม่ได้ เพราะบาปทั้งหลาย เป็นบาปที่เข้าสงบระงับได้แล้ว จึงจะตรัสเรียกว่า "สมณะ" เหตุนั้น การสงบระงับบาปได้นี้ จึงเป็นลักษณะของสมณะ
อธิบายในบาทคาถานี้ มุ่งเรื่องศีลเป็นสำคัญ สำหรับผู้เป็นนักบวชศาสนาพุทธแล้ว ศีลเป็นเบื้องต้นแห่งคุณธรรมทั้งหลาย การไปเผยแผ่ธรรมแล้ว ผู้เผยแผ่จักต้องตั้งมั่น หรือดำรงมั่นอยู่ในศีล ศีล คือ เจตนาที่จะงดเว้นจากความชั่วทางกาย ทางวาจา และทางใจด้วย เจตนางดเว้นทุจริตทางกาย ทางวาจา ท่านเรียกว่า เจตนาศีล การงดเว้นทางมโนทุจริต ความชั่วทางใจ ๓ อย่าง คือ (๑) อภิชฌา ความโลภอยากได้ของคนอื่นในทางทุจริต ไม่ชอบธรรม (๒) พยาบาท คิดปองร้ายผู้อื่น (๓) มิจฉาทิฏฐิ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เช่น ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว เป็นต้น ความปกติทางกาย วาจา ซึ่งแน่นอนว่า ถ้าใจไม่ประกอบด้วยขันติธรรมประเภทตีติกขาขันติ หรืออธิวาสนขันติแล้ว ย่อมจักทำผิดศีล ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งความปกติทางกาย วาจาได้ ถ้านักบวชหรือนักประกาศศาสนาของพระพุทธองค์ ไปทำร้ายหรือเบียดเบียนผู้อื่นแล้ว ย่อมไม่ชื่อว่าบรรพชิต และสมณะ เพราะได้ประพฤติกายกรรม วจีกรรมอันเป็นโทษเสียแล้ว นัยยะแห่งคำว่า บรรพชิต ก็เช่นกัน แปลว่า ผู้เว้นชั่วทางกาย ทางวาจา คำว่า สมณะ แปลว่า ผู้มีความสงบระงับจากบาปอกุศลทั้งปวง ฉะนั้น ผู้ที่เป็นบรรพชิตก็ดี จักต้องเว้นจากการเข้าไปทำร้ายผู้อื่น หรือนักบวชศาสนาอื่น เป็นสมณะก็ดี จักต้องเว้นจากบาปอกุศลที่เกิดขึ้นในใจ ดำรงอยู่ในศีลาจารวัตรเท่านั้น
คำว่าพุทธะมีความหมายว่ารู้เหตุรู้ปัจจัย ทุกๆ อย่างเกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เมื่อไม่มีเหตุผลก็ไม่มี พระพุทธศาสนาได้แก่รู้เหตุรู้ปัจจัย แล้วเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ภาคประพฤติภาคปฏิบัตินั้นได้แก่ศีลได้แก่สมาธิได้แก่ปัญญาในปัจจุบัน ศีลจึงเป็นสภาวะธรรมที่มายกเลิกเหตุมายกเลิกปัจจัย เป็นปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องว่าธรรมทั้งหลายทั้งปวงเกิดจากเหตุ เราต้องหยุดเหตุด้วยการยกเลิก ศีลถึงเป็นกรรมเป็นการงานที่มายกเลิกในสิ่งที่เวียนว่ายตายเกิด การประพฤติการปฏิบัติให้เข้าใจง่ายๆ นะ ศีลทั้งหมดนั้นคือมารวมลงที่ใจ เมื่อใจของเรามีความเห็นถูกต้อง เราก็ต้องพากันมาหยุดตัวเอง การประพฤติการปฏิบัติมันถึงเป็นเรื่องของเราที่มีความเห็นถูกต้องมีความเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้มันถูกต้องทุกคนต้องพากันรู้เรื่องจิตเรื่องใจของตัวเองเพราะความรู้สึกของใครก็ย่อมรู้ความนึกคิดของใครก็ย่อมรู้ทุกคนก็ต้องรู้ใจของเราเองใจของคนเรามันคิดได้ทีละอย่างอันไหนไม่ดีอันไหนไม่ถูกต้องเราก็อย่าไปคิดถ้าเรายกเลิกตัวยกเลิกกันความคิดของเราก็ยกเลิกไปโดยอัตโนมัติ เราทุกคนยังมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ ยังมีอายุขัยอยู่ ก็ย่อมมีผัสสะภายนอกภายในสัมผัสกัน ทุกคนย่อมรับรู้ในผัสสะนั้นๆ ผัสสะนั้นเป็นข้อสอบ พุทธะตัวผู้รู้ในปัจจุบันเป็นผู้ตอบ พระพุทธศาสนาได้แก่รู้ข้อสอบรู้ข้อตอบในปัจจุบัน
การเรียนการศึกษานั้นเรียนเพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วเราจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ถ้าไม่เช่นนั้นการเรียนการศึกษานั้นจะเป็นความหลงเป็นความเห็นแก่ตัว การเรียนการศึกษานั้นเรียนเพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วจะได้ปฏิบัติถูกต้อง ของเรามันต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจ เราไม่รู้ไม่เข้าใจแต่ไม่มีความสุขในการเรียนการศึกษาผู้ที่ไม่มีความสุขในการเรียนการศึกษาจึงเป็นผู้ไม่รู้อริยสัจ 4 การทำงานเราก็ต้องรู้จักเพราะการทำงานคือความสุข เรามีความเห็นถูกต้องเพื่อจะดูต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการทำงาน งานคือความสุขความสุขกับการทำงาน ถ้าเราไม่มีความสุขในการทำงานก็ให้เข้าใจว่าเรายังเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ พระพุทธเจ้าท่านมีความสุขในการทำงาน วันหนึ่งคืนหนึ่งของพระพุทธเจ้าทรงบรรทมพักผ่อนเพียง ๔ ชั่วโมง ท่านมีความสุขในการทำงาน ๒๐ ชั่วโมง
การประพฤติการปฏิบัติคือการทำงานเป็นการละตัวละตน เราทุกคนต้องข้ามสัญชาตญาณแห่งความเป็นตัวตน มีความสุขกับการทำงาน การพักผ่อนของนักบวช ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ ถ้าเราพักผ่อนไม่เพียงพอสมองเราจะไปสั่งร่างกายอย่างไม่มีประสิทธิภาพ กล้ามเนื้อสมองก็จะไม่แข็งแรงจะอ่อนแรง นักบวชต้องควบคุมการนอนของตัวเอง อย่างเช่นวัดป่าอย่างนี้ก็นอน ๓ ทุ่มตื่นตี ๓ ก็เพียงพอแล้ว พระกรรมฐานรุ่นเก่าสมัยหลวงปู่มั่นท่านนอน ๔ ทุ่มตื่นตี ๒ ท่านปฏิบัติเข้มข้น เราเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชีต้องเจริญสติปัฏฐาน เจริญสติสัมปชัญญะทั้งวัน พระรุ่นเก่าสมัยเก่าตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติธรรมกัน เพราะสมัยเก่าน่ะบ้านเมืองยังไม่เจริญเป็นป่าเป็นเขา ยังไม่มีวิทยุไม่มีโทรทัศน์ไม่มีหนังสือพิมพ์ทางโลกไม่มีโทรศัพท์มือถือ ท่านพากันประพฤติพากันปฏิบัติ รุ่นของหลวงปู่มั่นรุ่นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น พากันตั้งใจพากันตั้งเจตนา อะไรไม่ดีไม่คิด อันไหนไม่ดีไม่พูด อันไหนไม่ดีไม่ทำน่ะ ยกเลิกตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญาของพระพุทธเจ้า ปัญญาของพระพุทธเจ้าก็คือเรามีพุทธะทางจิตใจในปัจจุบันนี่แหละ พระกรรมฐานรุ่นเก่านะจะไม่พากันฟังวิทยุไม่อ่านหนังสือพิมพ์ทางโลกวารสารต่างๆทางโลก เพราะถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเดรัจฉานกถา พากันอ่านแต่หนังสือธรรมะหนังสือนักธรรมตรีโทเอก หรือหนังสือเปรียญธรรม พากันฉันอาหารวันหนึ่งเพียงหนเดียว ฉันในบาตร ไม่ฉันในถ้วยในจาน ไม่มีสำรวมฉันในถ้วยในจาน มีแต่สำรวมฉันในบาตร ไม่เหมือนรุ่นใหม่นี้สำรวมฉันในจาน ยกเลิกการฉันในบาตรไป ให้พากันเข้าใจนะ พระพุทธเจ้านะไม่มีสำรวมฉันให้ถ้วยในจาน มีแต่ฉันในบาตร
การปฏิบัติธรรมต้องติดต่อต่อเนื่อง ให้ศีลเป็นสิ่งที่ยกเลิกตัวตน ให้สมาธิยกเลิกตัวตน ให้ปัญญายกเลิกตัวตน ต้องติดต่อต่อเนื่องเหมือนไก่ฟักไข่ กกไข่ให้ไออุ่นอย่างสม่ำเสมอ ผ่านไป ๓ อาทิตย์ถึงจะออกลูกมาเป็นตัว
พระพุทธเจ้าให้เราเข้าใจเรื่องจิตในที่มันเป็นธรรมชาติคิดได้อารมณ์เดียว คิดได้ทีละอย่าง ถ้าเราเอาแต่ตัวเอาแต่ตน พุทธะก็เกิดขึ้นไม่ได้ ธรรมวินัยก็เกิดขึ้นไม่ได้ มันมีแต่ตัวมีแต่ตน ทุกท่านทุกคนปฏิบัติในใจมันต้องเด่น เด่นยิ่งกว่าดวงอาทิตย์เวลากลางวัน เด่นด้วยปัญญาสัมมาทิฏฐิจะไม่ร้อนเหมือนแสงอาทิตย์ หัวใจจะเย็นเหมือนติดแอร์คอนดิชั่น จากสว่างด้วยสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องอย่างนี้ เพราะใจได้ยกเลิกตัวตนที่เปรียบเสมือนความมืด ความมืดคือตัวตน มันก็มืดมันก็มัว มีตัวตนนิดหน่อยมันก็มืดนิดหน่อย เหมือนคนแก่ตามืดตามัวตาฝ้าตาฟาง ถ้าเรามีตัวมีตนว่ามันก็มืดมิดเหมือนกับคนตาบอด คนมีตัวมีตนมันก็บอดอย่างนั้น คนมีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องก็คือคนตาบอดทางจิตใจ พุทธะเป็นแสงสว่าง สว่างทั้งความรู้ความเข้าใจสว่างทั้งภาคปฏิบัติ ศีลถึงเป็นพลังงานแห่งความดับทุกข์ เป็นการที่สุดแห่งทุกข์
ตัวผู้รู้กับการปฏิบัติต้องไปพร้อมกัน ผู้ที่มาบวชจะได้พากันเป็นพระเป็นสมณะที่แท้จริง เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ยกเลิกตัวตน ผู้ที่เป็นประชาชนเป็นคฤหัสถ์ก็พากันเป็นพระ เป็นพระอริยเจ้า ด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การทำงานกับการปฏิบัติธรรมจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเป็นอริยมรรค ในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐ เมื่อเรายังเอาตัวตนเป็นที่ตั้งถึงจะปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะพัสตร์ มันก็ไม่ใช่พระอยู่แล้ว เพราะใจไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ใจยังเป็นโจรอยู่ โจรก็หมายถึงตัวตนนั่นแหละที่เป็นโจร โจรกับตัวตนก็คืออันเดียวกัน ถ้าเรามีตัวมีตน มันก็คือเป็นเปรตประจำวัดนั่นแหละ ตำแหน่งเดียวกับเปรตประจำวัด ไม่ต้องไปหาเปรตที่ไหนหรอก หาจากที่ตัวเรานี่แหละ ที่มาบวชที่มีตัวมีตน ไม่ใช่พระยังเป็นโจร เป็นเปรตประจำวัด ไม่ต้องหาเปตรที่ไหน หาเปรตที่ตัวเรานี่แหละ เราไม่เข้าใจ ก็ไปวาดเปรตตามฝาผนังโบสถ์ตามฝาผนังวิหาร ที่แท้จริงมันก็อยู่ที่เรานี่แหละ ที่มีความเห็นไม่ถูกต้อง มีความเข้าใจไม่ถูกต้อง ปฏิบัติไม่ถูกต้อง ตัวเรานี้แหละเป็นเปรตตัวจริง อันนั้นเป็นบุคลาธิษฐาน ท่านให้พวกเรามีสติ มีปัญญา เพื่อจะได้แก้ปัญหาตัวของเราเอง ไม่ต้องไปแก้ปัญหาคนอื่น เพราะปัญหาทั้งหลายทั้งปวงมันอยู่ที่เราไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เราทุกคนต้องยกเลิกความเป็นโจร ยกเลิกความเป็นเปรต ในเราในตัวความหลงเราอย่างนี้นะ
เราทุกคนที่นั่งอยู่บนอาสงฆ์ก็ดี ที่ยืนเดินนั่งนอนอยู่ไหน ต้องกลับมาปลุกใจตัวเอง ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง นี้แหละคือโจร คือเปรตคือผีคือยักษ์คือมารคืออสูรกาย นี่แหละคือสัตว์นรก เราต้องรู้ด้วยใจของเราทุกๆ คน ศีลนี้เป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ยกเลิกตัวตน
บวชมาทำไมมันไม่มีปัญญา มันไม่มีปัญญาเพราะมันมีตัวมีตน การเทศน์การสอนก็เอาหนังสือพระไตรปิฎกมาสอน เอานักธรรมตรีโทเอกมาสอน จำครูบาอาจารย์มาสอน บวชมาแล้วไม่ยกเลิกตัวตน ละเมิดพระวินัยสิกขาบทน้อยใหญ่ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ถือนิสัยของพระพุทธเจ้าถือนิสัยของตัวเอง มันเสียหายนะ เสียหายมาก เสียหายจริงๆ ที่เราไม่ยกเลิกความเป็นโจร ความเป็นเปรตเป็นผีเป็นยักษ์เป็นมารเป็นอสูรกาย ที่มันมาครองธาตุครองขันธ์ของเรานี้นะ ทุกคนทำได้ปฏิบัติได้ เพราะว่าไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น มันแก้ที่ตัวเรา ที่ครูบาอาจารย์บรรยายพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องเข้าใจ แล้วไปแก้ไข ความเห็นแก่ตัวนี้ จิตใจมันหยาบ จิตใจมันสกปรก ใจมันด้าน เรียกว่าหน้าด้าน คนหยาบนิสัยหยาบ เพราะตัวตนมันจัด เราเป็นฆราวาสเราก็เป็นพระได้อยู่แล้ว ประชาชนทั้งหลายต้องพากันเข้าใจ ความเป็นพระอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ เราจะได้หยุดสร้างปัญหาให้กับตัวเอง
พอรู้ว่าอันไหนไม่ดีเราก็อย่าไปคิด เราต้องยกเลิกความคิดของเรา ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าให้หยุดตรึกในกาม ในพยาบาท เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง อันไหนไม่ดีเราก็ไม่ไปคิดไม่ไปตรึกมัน ฆราวาสก็ต้องเข้าใจ นักบวชก็ต้องเข้าใจ การตรึกการนึกการคิดอย่างนี้ ที่ประกอบไปด้วยตัวไปด้วยตน ด้วยอวิชชาความหลงอย่างนี้ มันเป็นการก่อภพก่อชาติ มันเป็นพวกมีผัวมีเมียทางความคิด มีผัวมีเมียทางอารมณ์ เรียกว่าพวกมีผัวมีเมียทั้งวันทั้งคืน พวกนักบวชก็ต้องหยุดตรึก หยุดนึกหยุดคิดในกามในพยาบาท คฤหัสถ์ที่ไม่ได้บวชก็ต้องหยุดเหมือนกัน ให้ทุกคนพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ การตรึกนั้น นึกคิดอย่างนั้น มันยังตั้งอยู่ในสัญชาตญาณของการเวียนว่ายตายเกิด ที่มันแสดงออกมาทางด้านจิตด้านใจ
พระกรรมฐานรุ่นเก่า ถึงไม่มีใครพูดไม่มีใครคุยทางการบ้านการเมืองทางครอบครัว ต้องยกเลิกความตรึกความนึกคิดทางกาม ทางพยาบาท เพื่อจะได้หยุดเชื้อ หยุดให้น้ำให้ปุ๋ยให้อากาศให้แสงแดดให้อาหารของความหลง ถ้าเราไม่รู้จักข้อนี้แหละ มาบวชหลายปี หัวใจมันก็ยังมีลูกมีเมียนะ ยังไม่ได้เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจ พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าหยุดตรึกหยุดนึกหยุดคิดที่มันเป็นเดรัจฉานกถา ของมันอร่อยของมันแซ่บ มันรำ มันนั่ว มันหรอย ของมันติด ทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้อง มีความเข้าใจถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ให้ยกทุกอย่างขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ ภาวนาไปว่าทุกอย่างมันไม่เที่ยงไม่แน่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จะตามความหลงไปนั้นไม่จบ
เราต้องรู้จักว่าศีลนี้คือความสุข สมาธินี้คือความสุข ปัญญาที่หยุดตัวเอง ที่พระพุทธเจ้าบอกว่าความหยุดหรือว่าความอดทนคือความอดกลั้นเป็นตบะธรรมอย่างยิ่ง มันถึงเป็นความสุขของเรา ที่ต้องโบกมือบ๊ายบายวัฏฏะสงสารอย่างนี้ ความอดทนนั้นมันเป็นความสุขนะ เราอย่าพากันโง่พากันเข้าใจผิดว่า เราไปอดทนนั้นเป็นความทุกข์ ความอดทนนั้นมันเป็นความดับทุกข์ เป็นความหยุดทุกข์ เป็นความยกเลิกทุกข์ เขาจะทำฝายอย่างนี้ เขาก็ต้องเอาดินร่วนมาถมมาอัดมาบดให้มันแน่นๆ ใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ที่เขื่อนใหญ่ๆ ที่จะรับน้ำได้หลายล้านลูกบาศก์เมตร ต้องเข้าใจว่า ความอดทนนั้นมันถึงเป็นความสุข เราจะได้น้ำเพื่อเอามาใช้งาน ในการบริโภค
พวกนักบวชทั้งหลายมีความเห็นถูกต้อง ความเข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง อย่าพากันไปยินดีในกามไปหลงใหลในกาม การพัฒนาเทคโนโลยีมันดีมันมีประโยชน์ มีโทรศัพท์มือถือ มีคอมพิวเตอร์มันดี เราเป็นพระเป็นเณรเป็นแม่ชี เราต้องตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติตัวเอง เพื่อยกเลิกอวิชชาความหลงของตัวเอง ความไม่รู้ความไม่เข้าใจ ทำให้พระเราเณรเราแม่ชีเรา ไม่รู้จักคุณค่าของพระธรรมวินัย อ่อนในข้อวัตรอ่อนในกิจวัตร ขาดทำวัตรเช้าขาดทำวัตรเย็น วัตร ๑๔ ก็บกพร่อง เพราะตัวตนมันมาก ตัวตนมันจัด ที่เราขาดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น ไม่เห็นข้อวัตรสำคัญ อันนี้มันเป็นมิจฉาทิฏฐินะ แสดงถึงพระเณรพากันลักมีโทรศัพท์มือถือ เมื่อมีโทรศัพท์มือถือมันหมกอยู่ในกาม พุทธะมันก็เกิดขึ้นไม่ได้ ที่พากันขาดทำวัตรเช้าทำวัตรเย็น มาบวช ปัญญาก็ไม่เกิด มาบวชก็มีแต่กามเกิด มีแต่อวิชชามีแต่ความหลงเกิด เราไม่ได้ตั้งอกตั้งใจกัน มาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉันหากินอย่างนี้ไม่ถูกต้อง มันเอาเปรียบคนอื่น มันเป็นเปรตประจำพระศาสนา ประจำบ้านประจำสังคม มันไม่ถูกต้อง
โลกนี้มีคนต้องการคนจำพวกนี้ไหม ทุกคนไม่ต้องการ คนสายพันธุ์นี้ไม่มีใครต้องการ แม้แต่ตัวเราเองก็ไม่ต้องการ เมื่อไม่ต้องการ เราต้องยกเลิก พระสายปกครองที่ต้องใช้เทคโนโลยีในการบริหาร ก็ต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง ที่พากันมีโทรศัพท์มือถือ พากันมีคอมพิวเตอร์ต้องเข้าใจ ส่วนพระที่ไม่ได้เป็นนักปกครอง ไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมีโทรศัพท์มือถือมีคอมพิวเตอร์อะไร มันไม่ใช่การทำที่สุดแห่งความทุกข์ มันคือการประกอบทุกข์ต่างหาก การที่มีโทรศัพท์มือถือนี้มีคอมพิวเตอร์นี้มันดี เพราะเป็นวิทยาศาสตร์ที่ดี เราอยู่กันไกลคนละที่ เราไม่ต้องนั่งรถนั่งเรือนั่งเครื่องบิน พระเราต่างคนก็เอามรรคพลนิพพาน มันก็ไม่มีงานอะไร มันมีงานเยอะ ก็เพราะทุกคนไม่เอามรรคผลไม่เอาพระนิพพาน มันเลยต้องมีงานเยอะ การติดต่อประสานงานกันก็ต้องให้เป็นเวล่ำเวลา มันไม่ใช่พร่ำเพื่อ วันหนึ่งสัก ๒-ภ ครั้งก็เพียงพอ ไม่ใช่เอาโทรศัพท์แช่ไว้อยู่ในกระเป๋า อยู่ทุกหนทุกแห่งอย่างนี้ เราไม่เข้าใจ การมีโทรศัพท์มือถือมันก็ยิ่งกว่ามีภรรยามีสามีซะอีก เราใช้เทคโนโลยีเราต้องมีปัญญากัน ถ้าไม่มีสติไม่มีปัญญา มันก็ไม่ใช่พุทธะ มันก็คืออวิชชาความหลง เมื่อไม่เข้าใจเรื่องพุทธะ ตัวเองยังแก้ไขตัวเองไม่ได้ มันจะไปแก้ไขใคร เดี๋ยวนี้เราไม่เข้าใจเรื่องพระพุทธศาสนา กันพากันมีโทรศัพท์มือถือ ตั้งแต่สามเณรไปจนถึงเจ้าอาวาส หลวงพ่อหลวงตา เขาก็พากันมีโทรศัพท์มือถือหมด เราต้องพากันเข้าใจ มันทำความเสียหายให้กับเรา ให้กับคนอื่น
การที่มีพระศาสนานั้น เราต้องเข้าใจเรื่องพระศาสนา พระศาสนาก็แปลว่าพากันมายกเลิกอวิชชายยกเลิกความหลง พากันมายกเลิกตัวยกเลิกตน พระศาสนาต้องมีอยู่ในใจของทุกๆ คน ทั้งนักบวชทั้งฆราวาสต้องเข้าใจอย่างนี้ ถ้าเราไม่เข้าใจพระศาสนา มันก็ทำลายความมั่นคงของตัวเราเองหรือของผู้อื่น ที่มันบ่อนทำลายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีตัวมีตัวนี้แหละคือการทำลายชาติทำลายพระศาสนาทำลายพระมหากษัตริย์ แต่ก่อนเราไม่เข้าใจผู้ที่ทำลาย ก็คือตัวเราเองนี่แหละ ทำลายแห่งความเป็นมนุษย์ของเรา เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าทำลายความประเสริฐแห่งความเป็นมนุษย์ ทำลายพระศาสนาก็คือเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ที่เราพากันเป็นได้แต่เพียงคนอย่างนี้แหละ ไม่ได้เอาความถูกต้อง เอาความถูกใจ
พระศาสนานั้นเป็นธรรมะ ธรรมะนั้นคือพระศาสนา พระศาสนาเป็นการพัฒนาสัมมาทิฏฐิทางความคิด สัมมาทิฏฐิทางภาคประพฤติภาคปฏิบัติ พระมหากษัตริย์ก็หมายถึงปัญญา ทำไมพระพุทธรูปถึงมีพระเกศแหลมๆ อยู่บนพระเศียร นั่นแหละเขาเรียกว่าปัญญา ปัญญานั้นก็หมายถึงฉัตรที่แหลมๆ การดำเนินชีวิตของผู้นำของประเทศหรือว่าของโลก เขาเรียกว่าฉัตร คือเอาปัญญาเอาสัมมาทิฏฐิเป็นการปกครองตัวของทุกๆ คน ปกครองไม่เอาหมู่เอาคณะ แต่เอาความถูกต้องเหนือความถูกใจ ผู้ที่เป็นประมุขเป็นผู้นำก็ต้องเข้าใจอย่างนี้ จะได้ปฏิบัติอย่างนี้ บ้านเราเมืองเรามันถึงจะได้มีข้าราชการ ถึงจะได้มีนักการเมือง เพราะมันเป็นตำแหน่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เป็นตำแหน่งที่ยกเลิกตัวตน มีความสุขในการทำข้าราชการ ไม่เอสตัวเอาตนเป็นการทำข้าราชการ อย่างนี้เขาเรียกว่าข้าราชการ ข้าราชการยังไม่มีเพียงพอ เพราะใครมีหน้าที่อะไรก็ มีหน้าที่ในเรื่องนั้นเต็มที่แต่ไม่ได้คิดเรื่องอื่นจึงมีนักการเมืองที่ออกมาคิดมาวางแผน ถ้าเราตัวตนเป็นที่ตั้งประเทศเราก็ไปไม่ได้ เพราะว่ามันไม่ถูกต้องมันคือตัวคือตนมันไม่ใช่ธรรมะ มันเป็นได้เพียงประชาธิปไตย เป็นได้เพียงสังคมนิยมมันไปไม่ได้ สังคมนิยมก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะ ประชาธิปไตยก็ต้องปรับตัวเข้าหาธรรมะเพราะพวกนั้นมันยังความหลงเพื่อบัญญัติกฎหมายบ้านเมือง ทำไมถึงว่าอย่างนั้น มันต้องว่าอย่างนี้แหละ เพราะว่าอย่างนี้มันถึงถูกต้อง เราดูตัวอย่างที่มองเห็นง่ายๆ ถ้าอยากกินเหล้ากินเบียร์ ก็มีความพร้อมเพียงกัน หลายๆ คนก็ยกมือกัน ตั้งโรงเหล้าโรงเบียร์ให้มันมาตรฐาน อันนี้มันไม่ใช่ถูกต้อง มันเป็นประชาธิปไตย อย่างอื่นก็เหมือนกันนั่นแหละ เราดูกฎหมายบางมาตราดูสิ เป็นการปกครองเพื่อตัวเพื่อตน ไม่ใช่ความถูกต้องอะไร พวกที่ทำงานพวกนี้ ก็ได้เงินจากภาษีอากรจากทุกๆ คนที่เกิดมา คนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องมาเสียภาษีอากรหมด
เราต้องเข้าใจ ทุกคนจะได้พากันแก้ไขตัวเอง ทั้งนักบวชทั้งข้าราชการนักการเมือง ทุกคนพากันแก้ไขตัวเองหมด เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคนอื่น เพราะมันเป็นเรื่องของทุกคนๆ นั้นเอง นี่ถึงเป็นชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เราต้องเข้าใจชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ เราทุกคนจะได้แก้ไขตัวเอง ตำแหน่งที่เขาแต่งตั้ง มันเป็นตำแหน่งที่ทุกคนต้องมาเสียสละ ไม่ใช่เอามาหลงกัน ทุกคนต้องเสียสละเต็มที่ ทุกคนต้องมีศีลมีธรรมกันเต็มที่ ไม่ใช่มีตัวมีตนอย่างเต็มที่ มาหลงขยะมาแย่งขยะอย่างนี้ไม่ถูกต้อง อย่างเราดูความเป็นพระ การเสียสละ ตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์อย่างนี้ ที่เขาแต่งตั้งให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช เป็นสมเด็จพระราชาคณะ หรือว่าเป็นนักปกครองอะไรนี้ เป็นตำแหน่งที่ย้ำให้แต่ละท่านรับผิดชอบว่าต้องมาเสียสละ เหมือนพระพุทธเจ้าเสียสละ เหมือนพระอรหันต์เสียสละ ไม่ใช่พากันมาหลงในยศหลงในตำแหน่ง มันเสียหาย อย่าไปหลงยศหลงตำแหน่ง ฉลองกันใหญ่ ถ้าเราไม่เข้าใจ มันก็เป็นการฉลองความโง่กัน
ที่บรรยายพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อให้ทุกคนได้หูตาสว่าง เพราะว่ามันมืดเหลือเกิน เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันมืด ปัญญาเรามันไม่เกิด ให้ทุกท่านทุกคนรู้ว่า ทำไมเราไม่มีปัญญา เพราะเรามีตัวมีตน เราจะมีปัญญาได้อย่างไร จบปริญญาเอกจะมีปัญญาได้อย่างไรอย่างมากก็ปัญญาทำมาหากิน ไม่ใช่ปัญญารู้อริยสัจ ๔ ต้องแก้ไขที่ตัวเอง อย่าไปแก้ไขที่คนอื่น ต้องพากันแก้ไขตัวเองนี่แหละ ท่านอาจารย์ชาพูดกับลูกศิษย์ลูกหาว่า ผมน่ะสอนตัวเองปฏิบัติตัวเอง 100% บอกพวกท่านเพียง 5% ธรรมะนั้นยกเลิกตัวตน ถึงมีสมาธิมีปัญญา มีตัวตนมันก็ซื่อบื้ออย่างนี้แหละ รู้ก็รู้มาจากหนังสือ แต่ปัจจุบันมันก็ซื่อบื้ออย่างนี้แหละ เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เขาเรียกว่าสมองมันทึบ เพราะตัวตนมันเป็นที่ตั้ง พระอรหันต์ทุกองค์ปัจจุบันของท่านดี ปัจจุบันดีทุกรูป ท่านไม่ซื่อบื้อ เพราะตัวตนนี้ก็คือความเป็นตนซื่อบื้อ สมองมันคิดไม่ออก ให้ทุกท่านทุกคนพากันจำไว้ จะได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าไปคิดมึนตึ๊บอยู่อย่างนี้นะว่า ทำไมมันทำยากแท้ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันต้องยาก เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มันไปได้เมื่อไหร่ มันไปไม่ได้ ความดับทุกข์มันอยู่กับเราทุกคนต้องให้เข้าใจอย่างนี้ เพราะใจของเราจะได้มีพุทธะทางใจ
: เห็นพระ แต่ไม่ได้เป็นพระ : ดีกว่าเป็นพระ แต่ไม่ได้เห็นพระ
: บางคนเป็นพระ แม้จะไม่ได้อยู่ในสมณเพศ
: บางคนเป็นเปรต ทั้งๆ ที่อยู่ในเพศสมณะ
: ยอดบรรพชิต คือผู้สละชีวิตเพื่อพระศาสนา
: ยอดคนมิจฉา คือผู้สละพระศาสนาเพื่อชีวิต
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee