แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในวันอาทิตย์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง คุณของพระธรรม ตอนที่ ๑ ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะตน จึงต้องฝึกฝนให้มีธรรมะมานำใจ
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนให้พากันมีความเห็นให้ถูกต้องเข้าใจให้ถูกต้องเราจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง เพราะการทำที่สุดแห่งความดับทุกข์ทางกายและทางใจต้องมาจากความเห็นที่ถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติถูกต้อง ในการดำรงชีวิตดำรงธาตุดำรงขันธ์ดำรงอายตนะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นคือเหตุคือปัจจัย พระพุทธเจ้าบอกเราว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมีได้ ปัจจุบันมันเป็นพื้นเป็นฐานเพื่อให้เกิดอนาคต ใจของเราต้องมีพุทธะเป็นพุทธะ พุทธะก็หมายถึงรู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ อย่างนี้เรียกชื่อว่าพุทธะ ชีวิตของเราทุกคนร่างกายนี้จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑๒๐ ปี ก็หมดอายุขัยลาละสังขารไป ส่วนทางด้านจิตด้านใจนั้น ก็ยังมีอวิชชามีความหลงก็ยังมีปัจจัยที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดตามเหตุตามปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี ทุกคนต้องพากันเข้าใจ พระพุทธเจ้าให้เราพากันเข้าใจในการดำเนินชีวิตที่ประเสริฐเพื่อให้เป็นอริยมรรค อริยมรรคแปลว่าเหตุปัจจัยที่จะก้าวไปด้วยความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เราทุกคนก็พากันปฏิบัติตัวของเราเอง เราต้องพึ่งพาความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้มันถูกต้อง ด้วยตัวของเราเอง การรู้จักการเวียนว่ายตายเกิดของจิตใจ รู้จักการเวียนว่ายตายเกิดของร่างกาย
ค่าใช้จ่ายของเราทุกๆ คนในชีวิตประจำวันในประเทศไทยเพื่อให้ไม่อัตคัดขัดสนในปัจจุบัน เพื่อดำรงชีพดำรงธาตุดำรงขันธ์ คนหนึ่งก็ประมาณ ๔๐๐ บาทในประเทศไทย สำหรับคนชนบทสำหรับคนในเมืองในกรุงน่าจะ ๕๐๐ ถึง ๖๐๐ บาท รวมทั้งค่าอาหารค่าน้ำค่าไฟค่าเสื้อผ้าอาภรณ์ค่ารถค่าน้ำมันรถค่าแต่งตัวค่ายยารักษาโรค เกี่ยวกับสังคมเกี่ยวข้องกับภาษีอากรต่างๆ เราต้องเข้าใจรายรับรายจ่าย บ้านเราครอบครัวก็มี ๔ คน ๕ คนอย่างนี้ ถ้าไปทำงาน ๒ คนอย่างนี้ ๓ คนก็ไม่ได้ทำงาน การเลี้ยงดูกันก็อัตคัดขัดสน ครอบครัวเราก็ต้องมีหนี้มีสินเป็นหนี้ในภาพรวม เป็นหนี้ในครอบครัว บางครอบครัวหลายหมื่นบางครอบครัวหลายแสน บางครอบครัวก็หลายล้าน ถ้าเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกอย่างมันจะไม่มีปัญหา ทุกคนต้องรู้เหตุรู้ปัจจัย เพราะทุกอย่างมันมาจากเหตุจากปัจจัย เวลาของเราทุกๆ คนมันมี ๒๔ ชั่วโมง การนอนของเราทุกคนมันต้องนอนคนละ ๖ ชั่วโมง นอนหลับสนิท ๖ ชั่วโมง ก็เพื่อจะให้สมองพักผ่อน สำหรับคนนอนหลับยากกว่าจะนอนเป็นชั่วโมงน่าจะใช้เวลานอน ๗-๘ ชั่วโมง ถึงจะเอาสมองมาสั่งร่างกายเอามาทำธุรกิจหน้าที่การงาน เวลาเราตื่นอยู่นี่เป็นเวลาร่วม ๑๖ ชั่วโมง ทุกๆ คนอย่าไปคอรัปชั่นเวลานอนเพราะว่าสิ่งแวดล้อมที่มันเกี่ยวข้องกับเราน่ะ ทำให้เราทุกคนพากันพักผ่อนไม่เพียงพอ
ชีวิตของเราน่ะต้องปลับเข้าหาธรรมะ แล้วก็ปลับเข้าหาเวลาไปพร้อมๆ กัน เพราะทุกคนต้องพากันยกเลิกตัวยกเลิกตน ทุกๆ คนย่อมมีความรู้สึก ความรู้สึกถ้ามีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้อง มันจะกลายเป็นตัวตน ถ้าความรู้สึกที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง มันก็จะเป็นธรรมะ ที่จะมีความรู้สึกได้ ต้องอาศัยผัสสะภายในคือตัวเรา ผัสสะภายนอกเช่นตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส และใจกระทบธรรมารมณ์ทั้ง ๒ อย่างนี้มันเกิดผัสสะตัว ผัสสะนี้แหละเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ผัสสะนั้นจะเป็นข้อสอบ ตัวผู้รู้นั้นจะเป็นข้อตอบ ถ้าเรายินดียินร้ายนั่นน่ะคือเราสอบตก เพราะใจของเรามันคิดได้อย่างเดียว ใจของเรามันไม่มีปัญญา เราเลยสอบตก ถ้าใจของเรามีปัญญา ผัสสะนั้นก็จะเป็นเพียงผัสสะเก้อๆ เพราะใจของเรามีพุทธะเหมือนกับชฎิล ๓ พี่น้องที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเรื่องอาทิตตปริยายสูตร เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีอยู่ แต่เรารู้แจ้งด้วยปัญญา ไม่เอาความทุกข์นั้นมาให้กับเรา
พระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่รู้ทุกข์รู้เหตุเกิดทุกข์รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์ ทุกข์ถึงเป็นของเก้อๆ การปฏิบัติธรรมเป็นคู่กับทางวิทยาศาสตร์ มันเป็นสิ่งที่ทันการทันสมัย ทางใจกับทางวัตถุก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน การปฏิบัติธรรมไม่ได้ขัดขวางทางวัตถุ การประพฤติการปฏิบัติธรรมถึงไม่แยกเรื่องวัตถุ ไม่แยกร่างกายออกจากกัน ไปพร้อมกันเป็นอริยมรรค ถึงเป็นศีลสมาธิปัญญาที่แก้ปัญหาได้
การปฏิบัติธรรมจึงเป็นสิ่งที่รีบด่วน หลักการเป็นสิ่งที่มี แต่การปฏิบัติจริงอยู่ที่ปัจจุบัน เราพัฒนาใจเราพัฒนาทางวิทยาศาสตร์เพื่อเลี้ยงดูสุขภาพร่างกายของเรา เลี้ยงดูสุขภาพพ่อแม่ผู้เฒ่าผู้ชราพวกลูกเด็กเล็กแดง เสียภาษีอากรเพื่อส่วนรวมบำรุงพระศาสนา ถ้าเราพัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ทุกๆ คนก็ย่อมไม่มีปัญหา เพราะเราทุกคนไม่ได้แก้ปัญหาใครเลย แก้ปัญหาของเราเอง พระพุทธเจ้าท่านให้เน้นมาหาตัวเรา เราอย่ามีตัวมีตน ทุกคนต้องยกเลิกตัวตน เข้าสู่ไลน์เข้าสู่ธรรมะ เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ทุกๆ อย่างมันก็จะไม่มีปัญหาทุ กคนต้องยืนด้วยปลีแข้งลำแข้งของตัวเอง ไม่ต้องอาศัยใครทั้งสิ้น เพราะเราเกิดมาเพื่อเสียสละมาเป็นผู้ให้ ไม่เป็นผู้เอา พระพุทธเจ้าน่ะคือผู้ที่เสียสละ ไม่เอาอะไร พระอรหันต์คือผู้ที่ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละไม่เอาอะไร
ทุกท่านทุกคนต้องเข้าใจคำว่าเมตตา เมตตาเป็นสิ่งที่หยุด ต้องรู้จัก ประการแรกต้องเมตตาต่อตนเอง เอาความหลงเป็นการดำเนินชีวิตไม่ใช่ความเมตตา เพราะว่ามันเป็นไปเพื่อประกอบความทุกข์ ต้องพากันมายกเลิกตัวยกเลิกตน มาเอาพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างแบบอย่าง มาเอาพระอรหันต์เป็นตัวอย่างแบบอย่าง ที่เรารักตนเองอย่างสามัญชนมันไม่ใช่เมตตาตนเองนะ ได้บริโภคความหลงทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นึกว่าเป็นคนมีบุญนั้นไม่ใช่นะ นั้นเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ สร้างภพสร้างชาตินะ ได้รับประทานอาหารดีๆ อร่อย นึกว่าเป็นบุญ ได้ยินเสียงเพราะๆ ดีๆ นึกว่าเป็นบุญ ได้กลิ่นหอมๆ ได้ชิมอาหารรสอร่อยๆ ได้สัมผัสกายที่ถูกใจ นึกว่าเป็นบุญ พระพุทธเจ้าท่านให้เราบริโภคสิ่งที่อร่อยได้ เพื่อวัตถุนั้นๆ จะมีคุณแก่เรา เพราะวัตถุทุกอย่างมีคุณอยู่แล้ว ถ้าเราหลงเรายึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างมันจะเป็นโทษ พระพุทธเจ้าให้เราบริโภคทุกอย่างด้วยปัญญาให้พิจารณาทุกอย่างด้วยปัญญา ต้องเข้าใจพระศาสนา เพื่อจะได้พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน ถ้าเราไปปฏิเสธวัตถุจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ทุกคนหายใจเข้าออก ไวรัสก็ตายอยู่แล้ว ถ้าเราให้ไวรัสตาย เราก็ไม่ได้หายใจ เราทุกคนยังไม่เข้าใจ ไม่อยากพิจารณารูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญ สู่พระไตรลักษณ์รูปเสียงกลิ่นรสลาภยศสรรเสริญเลยเป็นโทษ ถ้าพิจารณาตัว มันจะหมดรสหมดชาติ ถ้ามันมีรสมันต้องมีชาติ ผัสสะที่มันเกิดกับเราก็เลยทำให้เราสอบตก เราต้องรู้จักคำว่าเมตตา ปล่อยให้ตัวเองยินดียินร้ายปล่อยให้ตัวเองชอบไม่ชอบจะเป็นผู้มีเมตตาได้ยังไง ยิ่งเรามีพ่อมีแม่มีลูกหลานมีความหลงไม่เข้าใจ เราเลยมีอคติทั้ง ๔ มีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้อง มันไม่ใช่ความเมตตา มันเป็นความหลง หลงในพ่อในแม่ในปู่ย่าตายาย หลงซึ่งกันและกัน อย่างนั้นไม่ใช่เมตตา
ทุกท่านทุกคนต้องภาวนาทุกสิ่งทุกอย่าง ผัสสะที่มันเกี่ยวข้องขึ้นสู่พระไตรลักษณ์ เพราะทุกอย่างนั้นเป็นเหตุเป็นปัจจัย เราจะได้มีเมตตาต่อตนเองที่ถูกต้อง เมตตาญาติพี่น้องเพื่อนฝูงญาติตระกูลที่ถูกต้อง ทุกท่านทุกคนต้องจัดการตัวเองให้ถูกต้อง ก่อนที่เราจะเมตตาคนอื่นเราต้องเมตตาตนเองก่อน เมตตาที่ถูกต้องย่อมส่งคืนตัวตนยกเลิกด้วยศีลยกเลิกด้วยสมาธิยกเลิกด้วยปัญญา เพราะศีลนั้นคือความยกเลิก สมาธินั้นคือความยกเลิก ปัญญาคือความยกเลิก ถ้าเรายังมีตัวมีตนอยู่เอาความรู้สึกมาเป็นเรา ตัวเรายังไม่มีเมตตาเราเลย เราจะมีเมตตาใคร เราไปบอกคนอื่นไปสอนคนอื่น เขาไม่ทำตามเราก็เครียด ไม่มีกำลังใจที่จะบอกจะสอน นั่นแสดงว่าเรายังมีตัวตนอยู่ เราไม่มีเมตตาบริสุทธิคุณ กรุณาบริสุทธิคุณ ปัญญาบริสุทธิคุณ เพราะเรายังมีตัวมีตนอยู่ การมีตัวมีตนคือยังหวังอะไรตอบแทน ใจของเรายังเป็นนายทุนอยู่ การทำอะไรหวังผลตอบแทน นั่นแสดงว่าใจของเรายังเป็นนายทุนอยู่ ยังไม่ได้เลิกทาส ยังถือชั้นวรรณะอยู่
เมตตาอย่างพระพุทธเจ้าท่านมีหน้าที่บอกสอน ท่านไม่เอาอะไรไม่ต้องการอะไรทุกๆ ชีวิต เมตตาเหมือนกันหมด ไม่มีอคติ ทุกคนทำอะไรหวังผล ไม่ได้ตามต้องการก็ท้อใจ อย่างนี้เรียกว่าปฏิบัติผิด ทำงานก็เพื่อตัวตน เรียนหนังสือก็เพื่อตัวตน ปฏิบัติธรรมก็เพื่อตัวตน ไม่ได้เสียสละอะไร ความถูกต้องไม่ได้ตามใครชอบใครไม่ชอบ ความถูกต้องคือความถูกต้อง ถ้าเรามีความสุขในการทำงาน ความทุกข์มันก็ย่อมมีไม่ได้ เพราะเรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องเราต้อง มีความสุขในการทำงาน การทำงานมันถึงเป็นความสุข เหมือนพระพุทธเจ้าทุกองค์มาตรัสโอวาทปาฏิโมกข์ พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ๓ ประการ ไม่ทำบาปอะไรทั้งปวง มีความสุขที่ไม่ทำบาปทั้งปวง หมายถึงมีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง เรายกเลิกสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งหลายทั้งปวงที่เรียกว่าศีล เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ พระวินัย ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ที่อยู่ในพระไตรปิฎก มันก็มารวมอยู่ที่ไม่ทำบาปทั้งหลายทั้งปวง เพราะใจมีเจตนาหยุดละเลิก เราเข้าใจอย่างนี้เท่ากับเราเข้าใจพระวินัยปิฎก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เมื่อเราทำอย่างนี้เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้ สมองเราจะหยุดสับสนทันทีเลย เราไม่ต้องไปเถียงกันเหมือนธรรมะกะทึก ว่าอันนั้นผิดอันนั้นถูก ถ้าเรายกเลิกตัวตนความเห็นผิดความเข้าใจผิด มันก็ยกเลิกไปหมด เพราะเราได้ถอนรากถอนโคนไปหมดแล้ว เจตนาถึงเป็นสิ่งที่สำคัญ
ทุกๆ ท่านทุกคนต้องเข้าใจพระศาสนาอย่างนี้แหละ ถ้าเรายกเลิกการตรึกในกาม การตรึกในพยาบาทมันก็ไม่มี มันก็จะเป็นพื้นเป็นฐานเป็นสัมมาสมาธิไปโดยธรรมชาติ ใจของเราก็จะรู้อริยสัจ ๔ หยุดเหตุหยุดปัจจัย เมื่อเรายกเลิกความเห็นผิด ปัญญามันถึงเกิด เพราะการประพฤติการปฏิบัติธรรมมันเป็นเรื่องปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนต้องพากันดับทุกตั้งแต่ปัจจุบัน เพื่อให้ทุกคนได้พัฒนาใจพัฒนาวิทยาศาสตร์ไปพร้อมๆ กัน เราจะได้ไม่ถกเถียงกันตายแล้วเกิดตายแล้วสูญ เราจัดการตัวเองตั้งแต่ปัจจุบันนี้แหละ ให้เข้าถึงมนุษย์สมบัติสวรรค์สมบัตินิพพานสมบัติตั้งแต่ปัจจุบันนี้แหละ พระพุทธเจ้าบอกสอนเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เราก็ไม่ต้องไปค้นคว้าอะไร เพราะท่านใช้เวลาค้นคว้าทั้งภาคความรู้ทั้งภาคปฏิบัติหลายอสงไขย จนท่านได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วเราก็มาสืบทอดต่อยอดพระพุทธศาสนา เราก็มายกเลิกตัวยกเลิกตน ไม่ต้องไปค้นคว้าอะไรต่อ เหมือนวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ วิทยาศาสตร์ทางวัตถุนี้เราต้องค้นคว้าไปเรื่อย เพื่อส่งผลัดกันไปเรื่อยๆ ไม่ว่าทางอุตสาหกรรมทางการเกษตรที่อำนวยความสะดวกสบายให้หมู่มวลมนุษย์ เราต้องมาต่อยอดกันทางวิทยาศาสตร์ เราจะไม่ได้ไปเสียเวลาค้นคว้า รุ่นพี่ของเราได้ค้นคว้ามาแล้ว ตั้งแต่ก่อนการเกษตรทำนา ๕๐ ไร่ได้เข้าอย่างมากก็ ๓ เกวียนแต่ทุกวันนี้ ๑ ไร่พัฒนาไปแล้ว ๑ ไร่ต่อ 5 เกวียน ทางวิทยาศาสตร์ย่อมพัฒนาไปได้ ฝนไม่ตกก็ทำให้ฝนตกได้ น้ำไม่มีก็ให้มีได้
หมู่มูลมนุษย์พากันเรียนหนังสือ ตั้งแต่อนุบาลจนถึงปริญญาเอก ก็เพื่อความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง จะได้พากันมาเสียสละที่มันเป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน ถ้าเราทำเพื่อจะเอาจะมีจะเป็น มันไม่ถูกต้อง มันมีความเครียด ความสุขความทุกข์ของเราทุกคนต้องพากันเข้าใจ ความไม่สับสนมันจะได้หายจากเราด้วย พากันมาดำเนินชีวิตที่ประเสริฐทั้งกายทั้งใจ ปัญหาต่างๆ พระพุทธเจ้าให้มาแก้ที่เราอย่างนี้เข้าใจ โอวาทปาฏิโมกข์ คือยกเลิกบาปทั้งหลายทั้งปวง เมื่อยกเลิกมันก็เป็นบุญ เป็นกุศลเพียงแต่มีการยกเลิกเหมือนกับเรายกเลิกความมืดแสงสว่างมันก็มี เมื่อมีเหตุมันก็มีผล พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าเพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปถึงมี เราทุกคนอยู่ทุกหนทุกแห่ง ก็พากันเข้าใจเอาเอง เพราะปัญหาต่างๆ นั้นมันเป็นของเราโดยเฉพาะ มรรคผลนิพพานมันอยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง อยู่ในปัจจุบันอย่างนี้ มันเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ ให้ทุกท่านทุกคนได้มีสัมมาทิฏฐิความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง
คนเราเวลาก่อนที่จะแต่งตัว เราจะต้องชำระล้างสิ่งสกปรกของร่างกาย เป็นต้นว่าเหงื่อไคลให้หมดเสียก่อนจึงจะแต่งตัว การแต่งใจก็เช่นกัน จะต้องชำระสิ่งสกปรกทางใจออกเสียก่อน สิ่งสกปรกทางใจนี้ ในทางศาสนาเรียกว่า "บาป" ซึ่งถ้าจะแปลแล้วก็ได้แก่ ความสกปรกทางใจ
สิ่งของที่เสีย เรามีชื่อเรียกต่างๆ กันไป เช่น บ้านเสียเราเรียกบ้าน ชำรุด อาหารเสียเราเรียกอาหารบูด ฯลฯ คำจำพวกที่ว่าบูด ชำรุด แตก หัก ผุพัง เน่า ขึ้นรา ฯลฯ ถ้าพูดรวมๆ เราเรียกว่า เสีย หมายความว่า มันไม่ดี
อาการเสียของจิตก็เหมือนกัน เราเรียกแยกได้หลายอย่าง เช่น จิตเศร้าหมอง จิตเหลวไหล ใจร้าย ใจดำ ใจขุ่นมัว ฯลฯ แล้วแต่จะบอกอาการทางไหน คำว่า เศร้าหมอง เหลวไหล ต่ำทราม ร้ายกาจ เป็นคำบอกว่าจิตเสีย ซึ่งสิ่งที่ทำให้จิตเสียนี้ทางพระพุทธศาสนาท่านใช้คำสั้นๆ ว่า ”บาป” คำว่าบาปจึงหมายถึง สิ่งที่ทำให้จิตเสีย คือมีคุณภาพต่ำลงนั้นเอง ไม่ว่าจะเสียในแง่ไหนก็เรียกว่าบาปทั้งสิ้น
คำว่าบาปนั้น ได้แก่ความเศร้าหมองของจิตใจ ซึ่งการกระทำอะไรก็ตาม ถ้าการกระทำนั้นเป็นการก่อความเดือดร้อน ทำให้จิตใจของเรานั้นผิดปกติไปจากความเป็นจริงของธรรมชาติ เป็นต้นว่า ใจร้าย ใจดำ ใจต่ำ จิตเศร้าหมอง เหล่านี้เป็นบาปทั้งนั้นในทางศาสนานั้นมุ่งหวังการกระทำทางจิตใจเป็นเกณฑ์ การกระทำใดๆ ก็ตาม เมื่อทำแล้วทำให้เกิดความเสื่อมเสียทางจิตใจสิ่งนั้นเป็นบาป
ที่ว่าเสื่อมเสียทางจิตใจนั้น หมายถึงการกระทำที่ทำให้ใจของบุคคลนั้น มีสภาพต่ำลงจากปกติคนทั่วไป เราทราบความหมายของมนุษย์เป็นอย่างดีแล้วว่า แปลว่า ผู้มีจิตใจสูง คือสูงจากสัตว์ทั่วไปในด้านของคุณธรรม ถ้าการกระทำใดๆ ของเรามีเจตนาในทางชั่วร้ายแล้ว ก็ไม่ทำให้ต่างอะไรกับสัตว์ทั่วๆ ไป ดังนั้นความหมายของมนุษย์ หรือคน ไม่ใช่อยู่ที่ว่ามีหัว มีแขนสองแขน มีขาสองขา มีการกินอยู่ หลับนอน เหล่านี้เท่านั้น แต่จะต้องมีคุณธรรมที่สูงกว่าสัตว์ทั่วไป คือ มีจารีตประเพณี มีคุณธรรม เหล่านี้เป็นเครื่องหมายของมนุษย์ที่ทำให้แตกต่างจากสัตว์ทั่วๆ ไป
การกระทำที่ศาสนาต่างๆ สอนว่าเป็นบาปนั้นผิดแผกกันเป็นส่วนมาก ศาสนาใดสอนว่าโลกและสรรพสัตว์มีพระเจ้าสร้าง ศาสนานั้นก็สอนว่าการกระทำผิดต่อพระเป็นเจ้าเป็นบาป ดังนั้นบาปก็หมายถึงการผิดจากคำสั่งสอนของท่าน และท่านอาจมีสิทธิยกบาปให้ด้วย เช่น คริสต์ศาสนา เป็นต้น ถือว่าคนจะบริสุทธิ์นั้นด้วยการที่พระเจ้าไถ่บาปให้ การกำเนิดของบาป ในทัศนะของศาสนาอื่น เช่น คริสต์ อิสลาม ฮินดู ต่างกับของศาสนาพุทธอย่างมาก เช่น แนวคิดในศาสนาคริสต์ก็ดี อิสลามก็ดี สอนว่าบาปจะเกิดเมื่อผิดคำสั่งของพระผู้เป็นเจ้า เช่น พระผู้เป็นเจ้าสั่งให้นึกถึงพระองค์อยู่เป็นประจำ ถ้าลืมนึกไปก็เป็นบาป หรือพระผู้เป็นเจ้าในศาสนาคริสต์สั่งไม่ให้เอ่ยนามพระองค์โดยไม่จำเป็น ถ้าใครเอ่ยนามพระเจ้าพร่ำเพรื่อก็เป็นบาป
ยิ่งไปกว่านั้นตามความเชื่อของเขา บาปยังมีการตกทอดไปถึงลูกหลาน ได้อีกด้วย เช่น ในศาสนาคริสต์เขาถือว่าทุกคนเกิดมามีบาป เพราะอาดัมกับอีวา ซึ่งเขาถือว่าเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ ขัดคำสั่งพระเจ้า แอบไปกินแอปเปิ้ลในสวนเอเดน ถูกพระเจ้าปรับโทษเอาเป็นบาป ลูกหลานทั่วโลกจึงมีบาปติดต่อมาด้วย โดยนัยนี้ศาสนาคริสต์เชื่อว่า บาปตกทอดถึงกันได้โดยสายเลือด
แต่พุทธศาสนาไม่ได้สอนเรื่องพระเจ้าสร้าง เรื่องบาปเป็นเรื่องเหตุผลทางจิตใจ คือการกระทำใดๆ ก็ตาม เมื่อทำลงไปแล้วจิตใจของคนนั้นแปรสภาพในทางเสียนั้นเป็นบาปทั้งสิ้น บาปคงเป็นบาป ไม่มีการหยิบยื่นบาปให้แก่ผู้ใด และไม่มีการงดเว้นหรือไถ่บาปให้แก่ผู้ใด ใครทำผู้นั้นก็จะต้องได้รับ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระพุทธบารมีมาอย่างดีเยี่ยมไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน เป็นผลให้พระองค์ทรงเห็นและรู้จักธรรมชาติของกิเลส อันเป็นต้นเหตุแห่งบาปทั้งหลายได้อย่างถูกต้องตามความเป็นจริง และสามารถกำจัดกิเลสเหล่านั้น ออกไปได้โดยสิ้นเชิงและเด็ดขาด พระองค์ได้ตรัสสรุปเรื่องการกำเนิดของบาปไว้อย่างชัดเจนว่า
“นตฺถิ ปาปํ อกุพฺพโต บาปย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้ไม่ทำบาป”
“อตฺตนาว กตํ ปาปํ อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ ใครทำบาป คนนั้นก็เศร้าหมองเอง”
“อตฺตนา อกตํ ปาปํ อตฺตนา ว วิสุชฺฌติ ใครไม่ทำบาป คนนั้นก็บริสุทธิ์”
พระพุทธวจนะนี้ เป็นเครื่องยืนยันการค้นพบของพระองค์ว่า บาปเป็นเรื่องเฉพาะตัว ไม่ใช่สิ่งติดต่อกันได้ ใครทำบาปคนนั้นก็ได้บาป ใครไม่ทำบาปก็รอดตัวไป พ่อทำบาปก็เรื่องของพ่อ ลูกทำบาปก็เรื่องของลูก คนละคนกัน เปรียบเหมือนพ่อกินข้าวพ่อก็อิ่ม ลูกไม่ได้กินลูกก็หิว หรือลูกกินข้าวลูกก็อิ่ม พ่อไม่ได้กินพ่อก็หิว ไม่ใช่พ่อกินข้าวอยู่ที่บ้าน ลูกอยู่บนยอดเขาแล้วจะอิ่มไปด้วย เพราะเป็นเรื่องเฉพาะตัว ใครทำใครได้
ดังนั้นตามความเห็นของพระพุทธศาสนา บาปจึงเกิดที่ตัวคนทำเอง คือเกิดที่ใจของคนทำ ใครไปทำชั่ว บาปก็กัดกร่อนใจของคนนั้นให้เสียคุณภาพ เศร้าหมองขุ่นมัวไป ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานไป ไม่เกี่ยวกับคนอื่น
เมื่อทัศนะในเรื่องกำเนิดบาปต่างกันดังกล่าว วิธีล้างบาปในศาสนา ที่มีพระเจ้ากับการแก้ไขพฤติกรรมในพระพุทธศาสนา จึงห่างกันราวฟ้ากับดิน ศาสนาที่เชื่อพระเจ้า เชื่อผู้สร้างผู้ศักดิ์สิทธิ์ สอนว่าพระเจ้าทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ขาดที่จะยกเลิกบาปให้ใครๆ ได้โดยการไถ่บาป ขออย่างเดียวให้ผู้นั้นภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าก็แล้วกัน
แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงรู้แจ้งโลกหาใครเสมอเหมือนมิได้ ตรัสสอนว่า
“สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เป็นเรื่องเฉพาะตัว”
“นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ใครจะไถ่บาป ทำให้คนอื่นบริสุทธิ์ไม่ได้”
การทำบาปของบุคคลเรามีอยู่ ๓ ทาง ดังเช่นที่ได้กล่าวมาแล้วในมงคลที่ ๑๘ คือทางกาย ทางวาจา และทางใจ ทั้ง ๓ ทางนี้ รวมเป็นบาป ๑๐ ประการ คือ ทางกาย ๓ ทางวาจา ๔ ทางใจ ๓
ทั้ง ๑๐ ทางนี้ นับเฉพาะหัวข้อใหญ่ๆ ซึ่งเป็นแม่บทโดยเฉพาะ ไม่ได้หมายความถึงวิธีการกระทำอื่นๆ เช่น การทำร้ายกันด้วยวิธีการต่างๆ หรือว่าการหลอกลวงด้วยเล่ห์กลอื่นๆ ทางกาย ๑. การฆ่า ๒. การลักทรัพย์ ๓. การผิดประเวณี และได้แยกออกไปอีก เช่น การฆ่า รวมไปถึงการฆ่าคน ยิงนกตกปลา ทรมานสัตว์ กัดปลา ชนไก่ ทำร้ายร่างกาย การลักทรัพย์ มีการขโมย ปล้น ฉ้อโกง หลอกลวง หนีภาษี หากินทางทุจริต คอรัปชั่น การผิดประเวณี คือ การทำชู้ ฉุดคร่า อนาจาร
ทางวาจา มีการพูดเท็จ แยกออกเป็นดังนี้
๑. พูดโกหก เสริมความ บิดพลิ้ว ทำหลักฐานเท็จ ฯลฯ
๒. พูดคำหยาบ มีด่า ประชด แช่งชัก ว่ากระทบกระแทก
๓. พูดส่อเสียด มี ยุยง ใส่ร้ายป้ายสี ฯลฯ
๔. พูดเหลวไหล เช่น พูดเหลาะแหละ พูดโปรยประโยชน์ พูดพล่าม พูดเพ้อเจ้อ ฯลฯ
ทางใจ มีอยู่ ๓ คือ ๑. คิดโลภมาก คือ อยากได้ในทางทุจริต เพ่งเล็งทรัพย์ผู้อื่นวางแผนทุจริต ฯลฯ ๒. พยาบาท คิดอาฆาต คิดแก้แค้น คิดปองร้าย ฯลฯ ๓. เห็นผิด เห็นว่าบาปบุญไม่มี เห็นว่าบิดามารดาไม่มีคุณ เห็นว่าตายแล้วสูญ เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี ฯลฯ
เหล่านี้เป็นเรื่องของบาป ซึ่งแยกออกเป็น ๑๐ประการ มีทางกาย ๓ ทางวาจา ๔ ทางใจ ๓ ดังที่ได้แสดงมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบาปอกุศลทั้งสิ้น
ดังนั้นผู้ที่ปรารถนาหาความสุขความก้าวหน้าทั้งหลาย จึงต้องฝึกใจตนเองให้งดเว้นบาป ซึ่งทำได้โดย ต้องฝึกให้ใจมีหิริโอตตัปปะเสียก่อน
หิริ คือความละอายบาป ถึงไม่มีใครรู้แต่นึกแล้วกินแหนงแคลงใจ ไม่สบายใจ เป็นความรู้สึกรังเกียจ ไม่อยากทำบาป เห็นบาปเป็นของสกปรก จะทำให้ใจของเราเศร้าหมอง จึงไม่ยอมทำบาป
โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวผลของปาก เป็นความรู้สึกกลัว กลัวว่าเมื่อทำไปแล้ว บาปจะส่งผลเป็นความทุกข์ทรมานแก่เรา จึงไม่ยอมทำบาป
สมมุติว่าเราเห็นเหล็กชิ้นหนึ่งเปื้อนอุจจาระอยู่เราไม่อยากจับต้องรังเกียจว่าอุจจาระจะมาเปื้อนมือเรา ความรู้สึกนี้เปรียบได้กับ หิริ คือความละอายต่อบาป
สมมุติว่าเราเห็นเหล็กท่อนหนึ่งเผาไฟอยู่จนร้อนแดง เรามีความรู้สึกกลัวไม่กล้าจับต้อง เพราะเกรงว่าความร้อนจะลวกเผาไหม้มือเรา ความรู้สึกนี้เปรียบได้กับโอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อผลของบาป
การทำชั่ว เหมือนการเดินตามกระแสน้ำ เดินไปได้ง่าย ทุก คนพร้อมที่จะกระทำสิ่งต่างๆ ไปตามกระแสกิเลสอยู่แล้ว ถ้าไม่ควบคุมให้ดี ยอมตกเป็นทาสของกิเลส กระทำสิ่งต่างๆ ตามอำนาจของความอยาก ก็จะประสบทุกข์ในบั้นปลาย
การทำดี เหมือนการเดินทวนกระแสน้ำ เดินลำบาก ต้องใช้ความอดทน ใช้ความมานะพยายามต้องระมัดระวังไม่ให้ลื่นล้ม การทำความดีเป็นการทวนกระแสกิเลสในตัว ไม่ทำสิ่งต่างๆ ตามอำเภอใจ คำนึงถึงความ ถูกความดีเป็นที่ตั้ง ไม่ยอมเป็นทาสของความอยาก เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ต้องใช้ความสุขุมรอบคอบ ใช้ความมานะพยายามสูง แต่จะประสบสุขในบั้นปลาย
การทำกลางๆ เหมือนยืนอยู่เฉยๆ กลางกระแสน้ำ ไม่ช้าก็ถูกกระแส น้ำพัดพาไปได้ คนที่คิดว่า “ฉันอยู่ของฉันอย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้ใคร แต่ความดีฉันก็ไม่สนใจที่จะทำ”เข้าทำนองบุญก็ไม่ทำ กรรมก็ไม่ สร้าง วัดก็ไม่เข้า เหล้าก็ไม่กิน เขาย่อมจะมีโอกาสเผลอไปทำความชั่วได้ในไม่ช้า เพราะใจของคนเราพร้อมที่จะไหลเลื่อนลงไปในที่ต่ำตามอำนาจกิเลสอยู่แล้ว ผู้ที่คิดอย่างนี้จึงเป็นคนประมาทอย่างยิ่ง
ดังนั้นเราทั้งหลาย นอกจากจะต้องพยายามงดเว้นบาปเพื่อป้องกันใจของเราไม่ให้ไหลเลื่อนไปทางต่ำแล้ว จะต้องหมั่นยกใจของเราให้สูงอยู่เสมอ ด้วยการขวนขวายสร้างสมบุญกุศลอยู่เป็นนิจ คือการทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เป็นต้น
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee