แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ใน วันอังคารที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
เราทุกคนคือธรรมะคือสภาวะธรรม ที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง แล้วจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ส่วนประกอบที่เป็นร่างกายก็ได้แก่ดินได้แก่น้ำได้แก่ลมได้แก่ไฟ ดินน้ำลมไฟนี้คือร่างกาย ร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ ๔ อย่าง จะดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ได้แก่อาหารที่อยู่อาศัยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยารักษาโรค สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ในการดำรงชีวิตในชีวิตประจำวัน ยารักษาโรคต้องมีความรู้ทางแพทย์ทางพยาบาล ความรู้ความเข้าใจเรียกว่าปัญญา ศัพท์ในทางพระศาสนาเรียกว่าพุทธะ พุทธะคุมไปทั้งทางเรื่องจิตใจคุมไปทั้งทางวัตถุ
คำว่าปัญญาเป็นความรู้เฉพาะทาง อย่างเช่นความรู้เรื่องเกษตร ความรู้ทางอุตสาหกรรม ทางการแพทย์พยาบาล ความรู้เรื่องทางวิศวกรทางสถาปนิก ความรู้ทางตำรวจ ความรู้ทางทหาร ผู้พิพากษาอัยการ ข้าราชการ นักวิชาการ เพราะคนคนเดียวจะไปรู้ทั้งหมด มันไม่ได้มันไม่ไหว ความรู้ทางพระศาสนาความรู้ทางบรรพชิตความรู้ทางนักบวช อย่างรู้เรื่องเก่า ความรู้เรื่องคนหนุ่มคนสาว ความรู้เรื่องคนทำงาน คนเจ็บคนป่วยคนเฒ่าคนชรา ความรู้เรื่องคนตาย ความรู้พวกนี้จะได้มาจากไหน ประการแรกที่เกิดมาก็ได้จากพ่อจากแม่ ผู้ที่เกิดมาได้รับ DNA ทางร่างกายมาจากพ่อจากแม่ ทั้งความรู้ความเข้าใจในการดำรงชีวิต พ่อแม่ถึงเป็นครูผู้บอกผู้สอนของบุตรธิดาที่เกิดมา ความรู้เราจะได้มาจากการเรียนการศึกษาในโรงเรียน ในหมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้านต้องมีโรงเรียน ถ้ามีบ้านต้องมีโรงเรียน โรงเรียนก็คือปัญญา พ่อแม่ถึงเป็นผู้ที่สำคัญ เพราะว่าพ่อแม่ต้องให้ทั้งความรู้ความประพฤติ พ่อแม่ถึงต้องเอาธรรมนูญครองกายครองวาจาครองจิตใจ ครองนั้นก็คือปกครองนั่นแหละ พ่อแม่ทุกคนต้องพากันปฏิบัติ เอาธรรมนูญครองกายครองวาจาครองใจ ศีล ๕ นี้คือความเป็นพระ ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนต้องมีศีล ๕ ในกายในวาจาในใจ 100% พ่อแม่ได้รับการยกย่องให้เป็นพระประจำบ้านประจำครอบครัว
ทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติที่ตนเอง มีเจตนามีความตั้งใจมีความตั้งมั่นมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พวกลูกพวกหลานมันก็จะไม่เถียง ลูกหลานเขาถึงจะไว้วางใจ การประพฤติการปฏิบัติเราต้องปฏิบัติที่ตัวเองแก้ไขที่ตัวเอง แก้ไขที่ตัวเองได้เราถึงจะบอกถึงจะสอนคนอื่นได้ เพื่อนมนุษย์ก็จะไว้วางใจกัน พวกสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเขาจะได้ไว้วางใจเรา เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ใครเขาจะมาไว้วางใจเรา ตัวตนคือความประกอบทุกข์
การดำเนินชีวิตที่เอาธรรมะเป็นหลัก เรียกว่าธรรมนูญแห่งชีวิต เราเป็นมนุษย์ก็ต้องเอาธรรมนูญแห่งชีวิต เราเป็นข้าราชการนักการเมืองก็ต้องเอาธรรมนูญแห่งชีวิต ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็เป็นธรรมนูญไม่ได้ ทุกคนต้องยกเลิกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน ทุกคนต้องมีความตั้งใจต้องมีเจตนา พระพุทธเจ้าให้พวกเราทุกคนเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ เพื่อจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การดำรงชีพดำรงชีวิตของเรามันถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ปรับทั้งกายปรับทั้งวาจาปรับทั้งจิตใจ ที่พวกเราทั้งหมดในโลกนี้ โลกนี้น่ะหมุนรอบตัวเองหมุนรอบดวงอาทิตย์ ถ้าเราไม่มีข้าราชการไม่มีนักการเมืองนี้จะได้ไหม? ตอบว่าไม่ได้ มันต้องมีข้าราชการมีนักการเมือง โลกนี้ไม่มีพระศาสนาได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพราะศาสนานั้นคือธรรมนูญแห่งชีวิต เป็นการดำเนินชีวิตทีดีงาม ด้วยการเอาธรรมเป็นหลักเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง
ข้าราชการนักการเมืองเอาเงินมาจากไหนมาจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการนักการเมือง ก็มาจากภาษีอากรของหมู่มวลมนุษย์ทุกคนนี่แหละ ทุกคนที่เกิดมาที่มีลมหายใจอยู่นี่แหละ ต้องเสียภาษีอากรทุกๆ คน เพื่อเอาไปบริหารประเทศชาติบริหารบ้านเมือง ไม่มีใครเลยที่ไม่ได้เสียภาษีอากร ผู้ที่มีลมหายใจอยู่นี่ต้องเสียภาษีอากร ตำแหน่งข้าราชการนักการเมืองจึงเป็นตำแหน่งธรรมนูญ ผู้ที่มาเป็นข้าราชการผู้ที่มาเป็นนักการเมืองให้พากันเข้าใจนะ เป็นตำแหน่งที่ต้องพากันมาเสียสละ มีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม อย่างนี้เขาเรียกว่าข้าราชการนักการเมือง ที่เรามองเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ที่เป็นข้าราชการที่เป็นนักการเมือง มันยังไม่ใช่ธรรมนูญสักเท่าไหร่ เพราะคือผู้ที่กินบ้านกินเมืองกัน พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้นะ ความทุกข์น่ะมันไม่มีนะ ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติ มันจะเป็นความสงบมันจะเป็นปัญญา
วันหนึ่งคืนหนึ่งของมนุษย์เราเนี่ย สำหรับนักบวชก็นอนหลับสัก ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพราะว่าไม่ได้ทำงานหนักเท่ากับคฤหัสถ์เขา เวลาตื่นอยู่ของนักบวช ๑๘ ชั่วโมง เวลาพักผ่อนสมองของพระพุทธเจ้าวันละเพียง ๔ ชั่วโมง สำหรับพระพุทธเจ้าก็เพียงพอแล้ว เวลาที่ทำพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ๒๐ ชั่วโมง พระอรหันต์น่าจะนอนสัก ๕ ชั่วโมงก็เพียงพอ เวลาตื่นอยู่ ๑๙ ชั่วโมงเป็นเวลาที่เสียสละสำหรับประชาชน สำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเด็ก ๗ ขวบต้องนอนวันละ ๑๒ ชั่วโมง พวกที่เรียนประถมมัธยมน่าจะ ๘ ชั่วโมง สำหรับผู้ใหญ่ที่จบมหาวิทยาลัยถึงวัยทำงานน่าจะพากันนอน ๗-๘ ชั่วโมงก็เพียงพอ เวลาเราตื่นขึ้นจากการนอน เป็นเวลาที่มีความสุขในการทำงานและปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน คนแก่คนเฒ่าวันหนึ่งคืนหนึ่งต้องได้นอนได้พักผ่อนนอนหลับ ๕-๖ ชั่วโมง ถ้าไม่อย่างนั้นร่างกายมันจะทรุดโทรมเร็ว อายุขัยจะสั้นลง การนอนการพักผ่อนมีผลต่อสรีระร่างกาย ถ้าเรานอนเราพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองคือศูนย์รวมทุกส่วนสัดของร่างกาย สมองจะไปสั่งร่างกายไม่ได้ประสิทธิภาพ จะเอาความรู้ความสามารถที่เราเรียนเราศึกษาไปใช้ทำการทำงานได้ไม่สมบูรณ์
ทำไมมนุษย์เราเอาถึงปรุงแต่งอาหาร ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ไม่มีปรุงแต่งไม่ได้เหรอ ไม่ได้ ต้องปรุงแต่ง ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ ชีวิตนี้ต้องดำเนินไปด้วยการรับประทานอาหาร เราต้องทานอาหารให้ได้ตามแคลอรี่ของร่างกาย ร่างกายของเราจะอยู่ได้ยาวนานก็เนื่องมาจากอาหารที่อร่อยและถูกสุขลักษณะ ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง อาหารนั้นก็ไม่อร่อย อาหารนั้นต้องอร่อยด้วยถูกสุขลักษณะมีวิตามินมีโปรตีนมีแร่ธาตุครบถ้วนด้วย การทานอาหารต้องให้อร่อย ถ้าไม่อร่อยทุกคนก็ไม่อยากทาน อาหารนั้นน่ะมันเป็นยาเป็นสิ่งที่เยียวยาชีวิตเราให้อยู่ได้ยืนนาน เมื่อมันอร่อยแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้พวกเราติดอกติดใจหลงใหลในรสชาติอาหาร เพราะอาหารนั้นเป็นเพียงยา การหลงนั้นคือติด ติดนั้นคือไปไม่ได้จึงเรียกว่าติด เมื่อเราติดเราก็ไม่ได้เอาธรรมนูญแห่งชีวิต เราเอาตัวตน ชีวิตเราก็ไม่ได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เพราะความติดนั้นเป็นตัวเป็นตน ทุกๆ คนถึงต้องพัฒนาใจของตัวเองให้ได้ เพราะเรามีหน้าที่พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เมื่อเรารับประทานอาหารได้ เราถึงจะพากันนอนหลับ ถ้าเราทานอาหารไม่ได้ เราก็นอนหลับไม่ได้ คนโบราณท่านถึงพูดกันว่า กินได้นอนหลับสบาย การปรุงแต่งอาหารมันถึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างนี้ ท่านถึงบอกว่า ฉันอาหารเสร็จให้ขูดลิ้นตัวเองที่มันเป็นฝ้าออกทุกๆ วัน เพื่อลิ้นนั้นจะได้รับรสชาติอาหารที่อร่อย ถ้าไม่อร่อยมันก็ไม่อยากฉัน สำหรับประชาชนถ้าไม่อร่อย ก็ไม่อยากรับประทานเหมือนกัน คนแก่ๆ ร่างกายมันเสื่อม ทานอาหารไม่อร่อยทานได้น้อย เลยพักผ่อนได้น้อย อายุเลยสั้นและตายเร็ว พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทุกคนพากันรู้จัก ให้พากันทานอาหารให้เป็นยา มันอร่อยก็เพื่อเป็นยา ถ้ามันไม่อร่อยก็ต้องฝืนความไม่อร่อย เพราะเราต้องผ่านอาหารให้ได้ปริมาณ นักโภชนาการทั้งหลายให้พากันเข้าใจนะ เพราะร่างกายนี้มันเกิดโรคเกิดภัยก็เพราะจากอาหารที่เรารับประทานไปที่บริโภคไป เราต้องพากันมีสติมีปัญญา จึงจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องโภชนาการ เพราะแพทย์ใหญ่หมอใหญ่ก็คือเป็นผู้ให้ยาให้อาหาร พ่อครัวแม่ครัวคือแพทย์ใหญ่หมอใหญ่ ท่านให้พากันจำไว้นะ ตัวเราเองนี่แหละคือหมอใหญ่ เป็นหมอทั้งทางกายเป็นหมอทั้งทางใจ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เราจะเอาอะไรเข้าไปในร่างกายของเรา เราต้องพากันรู้ คำว่ารู้ก็คือมีปัญญานั่นแหละ สิ่งที่เข้าไปในร่างกายเขาถึงเรียกว่าทานข้าว มันคือเข้าไปในร่างกาย เขาถึงตั้งชื่อข้าว เป็นข้าวเหนียวเป็นข้าวจ้าวขนมปังอย่างนี้ สิ่งนี้มันเข้าไปอยู่ในร่างกายทั้งหมดเขาเรียกว่า ข้าว เข้าไปในร่างกายนี้มันเป็นยา
มนุษย์เราทำไมถึงต้องมีบ้าน มนุษย์เราต้องมีบ้านมีที่อยู่อาศัยมีที่มุงมีที่บังมีหน้าต่างมีประตู เพื่อเราทุกคนจะได้พักได้อาศัยกันแดดกันลมกันร้อนกันหนาว อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อทุกคนจะได้มีความสุขอยู่เป็นที่เป็นทางเป็นหลักเป็นแหล่ง ทำบ้านอยู่ทำที่อาศัยให้มันได้มาตรฐาน เพื่อร่างกายจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย บ้านนี้ดีมันป้องกันร้อนกันหนาวกันฝนกันหิมะ เทคโนโลยีที่หมู่มวลมนุษย์พัฒนาจากวิทยาศาสตร์มันป้องกันได้ เมืองร้อนเมืองหนาวเมืองอะไรแบบไหนก็ป้องกันได้หมด เพราะว่ามีพุทธะสร้างปัญญาทั้งทางจิตใจทั้งทางวัตถุ มันจะพัฒนาได้ ประเทศที่เขาพัฒนากันไปไกล การปลูกบ้านสร้างเรือน เขาถึงต้องมีสถาปนิกมีวิศวกร การเรียนการศึกษาต้องเข้าสู่การปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจก็ต้องเอามาจากการเรียนการศึกษา จึงมีปัญญา ปัญญานั้นถ้าเราเจริญปัญญาเพื่อตัวตน มันไม่ได้ การเจริญปัญญานั้นต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทุกคนต้องดำรงชีวิตด้วยธรรมนูญ ต้องพากันยกเลิกเพื่อหยุดตัวหยุดตน ต้องพากันมาหยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เพราะวาระจิตของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เมื่อเราไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิต ธรรมะถึงจะเกิดได้ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สัมมาอาชีวะมันก็ไม่มี อาชีพที่เราดำเนินอยู่นั้น มันก็เป็นอาชีพที่ไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราเรื่องสัมมาอาชีวะ อาชีพของเราน่ะ ต้องไม่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์หรือการเลี้ยงสัตว์ไว้ค้าขาย เปิดร้านอาหารขายพวกสัตว์ที่ยังไม่ตาย เพื่อให้ผู้ที่มาบริโภคได้มาลิ้มรสอาหารที่เอร็ดอร่อย รวมทั้งบ่อนชนไก่จับปลาบ่อนชนวัวชนกระบือ มาเป็นเจ้าของเรือล่าสัตว์ในทะเลในมหาสมุทรเพื่อประกอบอาชีพเพื่อให้คนทั้งหลายพากันบริโภค อาชีพเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่เลี้ยงจระเข้เลี้ยงปลาเลี้ยงกบสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่อย่างนี้เป็นต้น รวมถึงอาชีพขายปืนขายกระสุนปืนขายระเบิดเครื่องประหารมนุษย์ พวกขายเหล้าขายเบียร์ขายฝิ่นขายกัญชา เป็นเจ้าของกิจการใหญ่เจ้าของโรงเหล้าโรงเบียร์โรงไวน์ เปิดผลับเปิดบาร์ สร้างบ่อนคาสิโน เป็นเจ้ามือหวย เจ้ามือการพนัน เล่นไพ่ไฮโล ขายยาฆ่าแมลง เปิดสถานเริงรมย์ค้าบริการทางเพศ อาชีพอาชีพเลี้ยงปลาทั้งจำหน่ายทั้งฟินทั้งเบียร์ไม่เอาคนยากคนจนมาเป็นข้าทาสแรงงานที่เขาไม่ได้สมัครเขาไม่ได้ตั้งใจมา เป็นพ่อเล้าแม่เล้า มันมีมากให้ทุกคนน้อมมาใส่ตัวเอง อาชีพที่ปล่อยเงินกู้ที่ผิดกฎหมายที่แพงเกินรัฐบาลกำหนด เพราะว่าการกระทำอย่างนี้น่ะเป็นอาชีพที่เอาความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น เอาความสุขจากความหลงของคนอื่น อย่างนี้ถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ก็เพราะความยากจนของตัวเอง เราจะเอาความยากจนมาเป็นเหตุผล มันก็ไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องก็คือความไม่ถูกต้อง อาชีพที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้แก่ข้าราชการนักการเมืองรับใต้โต๊ะจากประชาชนในการทำงาน บังหลวงกินเปอร์เซ็นต์ในการซื้อครุภัณฑ์ บังหลวงให้ผู้ที่มาประมูลงานโครงการหลวงไปกินเปอร์เซ็นต์ กับงานภาครัฐกับภาครัฐวิสาหกิจ ร่วมมือทางการโกงกินคอร์รัปชั่น อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นอาชีพที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ฝ่ายทางนักบวชก็ให้เป็นสัมมาอาชีวะ อาชีพของนักบวชทั้งหลายได้รับสิทธิพิเศษ นักบวชคือผู้ที่หยุดนิติบุคคลไม่มีตัวตน เป็นแต่พระธรรมเป็นแต่พระวินัย เวลาไปกรอกแบบฟอร์มที่ไหน เขาจะมีคำสอบถามว่ามีอาชีพอะไร พระภิกษุสามเณรจะเขียนว่าอาชีพนักบวช อาชีพนักบวชคืออาชีพไม่มีอะไร อาชีพนักบวชก็คือมาสมาทานธรรมวินัย เมื่อเราทำตามที่เราได้ปฏิญาณที่เราได้ตั้งใจ ประชาชนเขาจะให้ความเคารพนับถือ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทจึงไม่ต้องพากันทำอาชีพอะไร มีอาชีพเป็นนักบวชอย่างเดียว ได้รับแบรนด์เนมที่เป็นสัญลักษณ์คือปลงผมนุ่งห่มจีวรนั่นคือแบรนด์เนมคือเครื่องแบบ แบรนด์เนมในพระศาสนาได้แก่ปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวรย้อมด้วยสีย้อมน้ำฝาด พระพุทธเจ้าท่านให้เอาสีย้อมด้วยแผ่นขนุนเป็นหลัก
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถ้าใครสละคืนซึ่งตัวซึ่งตนแล้ว มันประเสริฐ ที่เราได้พากันเห็นในปัจจุบันเห็นผู้ที่มาบวชทั้งหลายพากันมาทำความผิด พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาอาชีวะคือเลี้ยงชีวิตไม่ถูกต้อง ที่มันเป็นเดรัจฉานกถาที่มันเป็นเดรัจฉานวิชา ที่เราเห็นกันอยู่ในเมืองไทยหรือว่าหลายๆ ประเทศ ....................
อุปปถกริยา คือ การกระทำนอกรีตนอกรอยของพระภิกษุสามเณรมี ๓ ประเภท ได้แก่
๑. อนาจาร คือ การประพฤติที่ไม่ดีไม่งาม ไม่เหมาะสม แก่ภาวะของความเป็นบรรพชิต ซึ่งมี ๓ อย่าง คือ การเล่นเหมือนเด็ก การร้อยดอกไม้ การเรียนดิรัจฉานวิชา เช่น การทำนายฝัน การทายหวย การทำเสน่ห์ ดูลายมือ เป็นต้น
๒. บาปสมาจาร คือ ความประพฤติเหลวไหล เลวทราม เช่น ชอบประจบคฤหัสถ์ด้วยอาการอันไม่เหมาะสม
๓. อเนสนา คือ การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นภิกษุ ผิดสมณวิสัย เช่น การหลอกลวงเขาด้วยการอวดอุตริมนุสธรรม ทำวิญญัติ คือออกปากขอต่อคนที่ไม่ควรขอ ใช้เงินลงทุนหาผลประโยชน์ ต่อลาภด้วยลาภ คือให้แต่น้อยเพื่อหวังตอบแทนมาก เป็นหมอเวทมนต์ เสกเป่า เป็นต้น
สัมมาอาชีวะการงานก็ต้องเป็นการงานชอบ การงานที่เป็นอาชีพที่ถูกต้อง เราก็ต้องชอบในการทำงาน เพราะความสุขของเราทุกคนอยู่ที่การทำงาน การงานก็ต้องเป็นงานที่ถูกต้อง วันหนึ่งคือหนึ่งเราต้องพักผ่อน เราตื่นขึ้นมาอย่างนี้น่ะคือการทำงานแล้วความสุขของเราอยู่ที่การทำงาน เพราะเราตื่นอยู่นี่ก็เกือบ ๒๐ ชั่วโมง เราต้องมีความสุขในการทำงานงานของเราทุกงานต้องเป็นงานสุจริต การงานของเราต้องเป็นงานที่ไม่ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกามโกหกหลอกลวง เป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดธรรมะ เป็นอาชีพที่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่น การทำงานที่ไม่คำนึงถึงผิดถูกชั่วดีขอให้ได้มาซึ่งเงิน เช่นเงินทอนวัดที่มีเรื่องมีราวกัน ไม่คำนึงถึงเรื่องผิดเรื่องถูก การที่เราทำอย่างนั้นน่ะ ถ้ามีเจตนาอย่างนั้นถ้าเป็นเงินเกิน ๕ มาสกก็ขาดจากความเป็นพระแล้ว ผู้ที่เป็นข้าราชการนักการเมืองถ้าไปทำอย่างนั้นมันก็เป็นการงานที่ไม่ชอบ มันก็ต้องขาดจากความเป็นข้าราชการและการเมืองในทางจิตใจในทางคุณธรรม
การงานของเราต้องเป็นงานที่บริสุทธิ์ เพราะความสุขมันอยู่ที่การทำงาน การงานไม่บริสุทธิ์ใจของเราก็เศร้าหมอง กายของเราไม่เศร้าหมองหรอก เพราะเราอยู่ในที่ร่มอยู่ในห้องแอร์ แต่ว่าใจของเราน่ะมันเศร้าหมอง ทุกท่านทุกคนต้องใจเข้มแข็งตั้งอยู่ในสัมมาสมาธิ สัมมาอาชีวะของเราต้องตั้งมั่น เราอย่าเอาความหลงเป็นที่ตั้ง เราอย่าไปคิดว่า ในโลกนี้ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือเหตุผลของกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำบาปกัน
ให้ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติธรรมเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เอาหลักธรรมะเป็นที่พึ่ง การงานของเราต้องให้ถูกต้อง เราต้องหยุดด้วยความถูกต้อง เราต้องหยุดด้วยศีลด้วยสมาธิเพื่อให้ในปัจจุบันผ่านไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เมื่อเราไม่ตรึกในกามในพยาบาทอย่างติดต่อต่อเนื่องกัน พลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง เขาก็จะทำงานไม่ได้ นี้มันคือไฟท์นะ คือการปฏิบัติ เราทุกคนต้องผ่านไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยการงานชอบ ถ้าเราตามไปเหมือนแต่ก่อน มันก็คือเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เป็นการฉายภาพยนตร์ฉายหนังม้วนเก่านั่นแหละ เราต้องข้ามไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา คนโบราณน่ะเขาจะเอาไม้มาสร้างบ้านเขาต้องเลือกไม้ที่มีแก่นที่มันแข็งแรงมาทำเสามาทำคานมาทำขื่อ เป็นไม้ที่แข็งแรงที่สุด เขาไม่ได้เอาไม้เนื้ออ่อนมาทำเสาทำคาน การที่ขึ้นภูเขาสูงชันขึ้นสู่ที่สูง มันเป็นสิ่งที่ขึ้นยาก เพื่อความปลอดภัย แต่เราก็มีความจำเป็นขึ้นที่สูงที่ปลอดภัย ยานคือศีลคือสมาธิคือปัญญาเราต้องเอามาใช้ตอนนี้แหละ ตอนที่กำลังเป็นปัจจุบัน ตอนที่การงานของเรามันถูกต้อง ถ้าเราไม่มีความแก่ความเจ็บความตายเพื่อให้เราพัฒนาใจ พระนิพพานนั้นจะมีมาจากไหน
ศีลนี้ถึงเป็นความสุขที่สุดในโลกนะให้เราตั้งมั่น สมาธิเป็นความสุขที่สุดในโลกให้เราตั้งมั่น ปัญญาคือความถูกต้องเป็นความสุขที่สุดในโลก ทุกท่านทุกคนต้อง Control ตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา การก้าวไปของเรานั้นอยู่ที่ปัจจุบันนี่แหละ พระพุทธเจ้าบอกพวกเรานะอย่าเป็นผู้แพ้นะ ผู้แพ้น่ะรู้ไหมว่าคือบุคคลหัวใจปาราชิก บุคคลหัวใจปาราชิกคือบุคคลที่ตายจากมรรคผลจากพระนิพพาน เอาความหลงความอ่อนแอเป็นที่ตั้ง นั่นคือบุคคลคนที่หัวใจปาราชิก บุคคลว่างจากมรรคผลพระนิพพาน ถ้าเราไม่จัดการเราอย่างนี้น่ะ ชื่อว่าเราไม่รู้อริยสัจ ๔ คือไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
งานความเป็นพระเป็นการงานที่ชอบ งานที่ชอบเรียกว่างานพระกรรมฐาน ถ้าเราไม่เอาศีลไม่เอาสมาธิมันไม่ใช่ความตั้งมั่น เรียกว่าฐานพังทลายเหมือนตึก world trade ที่ถูกเครื่องบินชน คนตายตั้งหลายพันคนที่อเมริกา มันพังมันถล่ม เหมือนแผ่นดินไหวเหมือนสึนามิที่ถล่มหลายๆ ประเทศ การงานที่ไม่ถูกต้องมันเสียหายมาก ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นอดีตที่มันเสียหายเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่าให้ความไม่ถูกต้องที่เป็นบาปเป็นอกุศลมาพังมาถล่มความถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่เสียหาย เรามาคิดดูสิพ่อแม่บรรพบุรุษที่ละสังขารวายชนม์ ย่อมเอากลับคืนมาไม่ได้ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งมั่นต้องเข้มแข็ง (ขยาย)
สัมมาวาจาการพูดจาชอบถึงเป็นธรรมะที่ให้เราได้เจริญสติได้เจริญสัมปชัญญะในการพูดจาชอบ การพูดจานี้ให้เอาต้นแบบต้นฉบับให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เป็นการให้ความอบอุ่นเป็นการให้ความสงบ เป็นการให้สติให้ปัญญา พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า การต้อนรับปฏิสันถารนี้เป็นทางนำไปสู่มรรคผลนำไปสู่พระนิพพาน เรื่องคำพูดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญพระพุทธเจ้าพูดดีกับทุกๆ คน พูดสุภาพเรียบร้อย ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนจากใคร เป็นผู้ให้อย่างเดียว คำพูดที่ออกไปเปรียบเสมือนดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เป็นคำพูดที่เป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ เพราะการพูดก็คือการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมก็คือการพูด ถ้าใจเขาไม่สงบ เขาจะไม่ยอมรับในคำพูดของเรา เหมือนอาหารที่เรารับประทานนี่แหละ ถึงอาหารจะมีประโยชน์ ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่มีใครอยากรับประทาน ถึงแม้อาหารจะเป็นยา เราถึงมีความจำเป็นปรุงอาหารให้มันอร่อย คนที่ทำร้านขายอาหารอาหารมันไม่อร่อยมันก็ไปไม่ได้ คำพูดก็เปรียบอาหารที่อร่อย ยกตัวอย่างโคนันทวิสาล แม้แต่สัตว์ก็ยังต้องการคำพูดที่เป็นสัมมาวาจา พระพุทธองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า คำหยาบ ไม่เป็นที่ชอบใจของใครๆ แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน" แล้วได้ตรัสพระคาถาว่า "มนุญฺญเมว ภาเสยฺย นามนุญฺญํ กุทาจนํ มนุญฺญํ ภาสมานสฺส ครุภารํ อุททฺธริ ธนญฺจ นํ อลาเภสิ เตน จตฺตมโน อหูติ ฯ บุคคลพึงกล่าวแต่คำที่ไพเราะเท่านั้น ไม่พึงกล่าวคำที่ไม่ไพเราะในกาลไหนๆ เมื่อพราหมณ์กล่าวคำไพเราะ โคนันทิวิสาลได้ลากเอาภาระอันหนักไปได้ ทำพราหมณ์ผู้นั้นให้ได้ทรัพย์ด้วย ตนเองก็เป็นผู้ปลื้มใจเพราะการช่วยเหลือนั้นด้วย" ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของโคไม่ฉลาดในการใช้คำพูด...
จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
มีหลายๆ คนมีปัญหาเรื่องคำพูดที่เรามองเห็น ผู้ใดไปเกี่ยวข้องจะอยู่ด้วยได้ไม่นาน ไม่มีเพื่อนทั้งที่เป็นผู้ให้ผู้ที่เสียสละ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สัมมาวาจามันจะไม่มีเลย ถ้าพูดดีพูดเพราะก็เพื่อประจบเพื่อโกหกหลอกลวง พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ยกตนข่มท่าน เป็นคนหลงตัวหลงตน ที่ผ่านชีวิตมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่เฒ่าชราก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนสักกี่คน เช่นเราเป็นพ่อเป็นแม่บ่นลูกบนหลานยิ่งกว่าพระสวดมนต์ ไม่รู้สรรหาเอาคำพูดที่ไหนมาบ่น อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคำพูดที่ทำลายความมั่นคงในหมู่เพื่อนผู้ที่เกี่ยวข้อง มีปากก็ปากติดเอ็ม 16 ติดอาก้าอย่างนี้ เป็นคนปากที่มีกลิ่นเหม็น เหมือนปลาทองกปิละ ด้วยวิบากกรรมที่ด่าว่าผู้มีศีลมีธรรมในอดีตชาติที่เคยเป็นภิกษุ พอพอปลาทองอ้าปากก็เหม็นทั้งท้องพระโรง อย่างนี้เป็นต้น คำพูดไม่ดีมันเป็นคำพูดที่ไม่ให้ความอบอุ่นกับผู้อื่น มันเป็นคำพูดที่แตกแยกแตกสมานสามัคคี ถ้าฝ่ายนักบวชเขาเรียกว่าสังฆเภท เป็นคำพูดที่ทุกคนไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเกี่ยวข้องแล้วมันไม่มีความสุขมันไม่เป็นมงคล
การพูดดีพูดเพราะพูดให้สุภาพก็ให้มันถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องเป็นการพูดโกหกหลอกลวง มันเป็นคำพูดที่ได้ยินได้ฟังก็นึกในใจว่า ทำไมไม่ไปหาหมอจิตแพทย์ ไปหาหมอจิตแพทย์มันก็ไม่หายหรอก เพราะว่ามันไม่ใช่คนโรคประสาท มันเป็นบุคคลที่มีตัวมีตน จับเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไปหาหมอจิตแพทย์มันก็ไม่หายหรอก ทุกๆ คนน่ะต้องมาหวนรำลึกถึงตัวเองว่า มีสัมมาวาจาเป็นผู้มีวาจาชอบหรือยัง? เราทุกคนจะได้แก้ไขตัวเอง การที่ไม่มีหมู่มีเพื่อนมันมีความทุกข์นะ พระพุทธเจ้าถึงบอกให้เราเป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ให้สัมมาวาจากับคนอื่นกับคนที่เกี่ยวข้อง การทำอย่างนี้จะว่ายาก มันก็ไม่ยากหรอก เพราะเราไม่ได้ไปแก้คนอื่น เราแก้ที่ตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ก่อนพูดให้มีสติ กำลังพูดให้มีสติ เพราะก่อนพูดเราเป็นนาย พอพูดจบเราเป็นบ่าว เพราะกรรมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะผลกรรมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราจะให้ของคนอื่นให้อะไรก็ต้องให้ของดีๆ การพูดที่ไม่มีสัมมาวาจาคือการพูดที่ไม่ดี ก็เท่ากับเป็นการให้ของเสียของเน่าของเหม็นของบูดของสกปรกกับคนอื่นนะ เพราะปัญหานี้สำคัญเป็นปัญหาในครอบครัวเป็นปัญหาในสังคมต้องพูดเพราะแล้วก็เป็นจริง
อย่างเรานี้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคุณพ่อคุณแม่ เวลาใช้คำพูดกับลูก ใช้คำพูดกับผู้บังคับบัญชาก็ขาดความเคารพ ขาดความยำเกรง พูดตรงไปตรงมา พูดขวานผ่าซาก น้ำเสียงก็ไม่ไพเราะ บางครั้งก็พูดดีอยู่ แต่พูดมากเกินไป
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้พูดมากเกิน... ถ้าใครพูดมากก็ไม่ต้องบริกรรมพุทโธๆ ให้บริกรรมว่า "หายใจเข้าก็อย่าพูดมาก หายใจออกก็อย่าพูดมาก"
ความรู้เรื่องพูดนี้ก็สำคัญ... คนที่พูดดีมีประโยชน์ ถ้าเราพูดดีนี้ ผู้บังคับบัญชาก็เคารพรักนับถือ เพื่อนฝูงก็รัก ลูกน้องบริวารก็รัก ที่เราเรียนจบ ดร. มา ถ้าเราพูดไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็ปกครองใครไม่ได้ ปกครองได้ก็ไม่กี่คน เพราะถึงแม้เราจะมีความรู้มากแต่ในใจเขารับไม่ได้
คนบางคนเป็นคนที่เก่ง เป็นคนฉลาด มีความสามารถ พูดจาฉะฉานแต่ว่าอาภัพ เพราะเป็นคนที่ไม่ระมัดระวังเรื่องคำพูด คบค้าสมาคมกับใครๆ ไม่กี่ปีเขาก็พากันตีตัวออกห่าง มันเพราะอะไร..? ก็เพราะคำพูดนะถ้าพูดด้วยความเมตตาออกจากใจ พูดด้วยความปรารถนาดี ผู้ฟังก็ฟังออก มันรับได้ "คำพูดมันเหมือนกัน อันหนึ่งมันออกจากปาก อันหนึ่งมันมาจากใจแล้วถึงออกจากปาก ...." “คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเขาเอาปากไว้ที่ใจ”
เมื่อพูดให้ดีมีประโยชน์แล้ว ต้องพูดให้เป็นมงคลคือเป็นวาจาสุภาษิต ลักษณะ วาจาสุภาสิต ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง กล่าวไว้ ๕ ชนิด ซึ่งได้ทรงแสดงไว้ในสุภาสิตสูตร พระสุตตันตปิฎกว่า ๑. กาเลน ภาสิตา พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม ในเวลาที่ เหมาะสม ในปริมาณที่เหมาะสม โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่กำลังพูดนั้นเอง ๒. สจฺจา ภาสิตา ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้องมีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ปั้นแต่งขึ้นมาเอง ๓. สณฺหา ภาสิตา ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ ไพเราะ ไม่หยาบโลน หยาบคาย ๔. อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทาง ไปคิด หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์ต่อไป ๕. เมตฺตจิตฺเตน ภาสิตา พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนา ดีต่อผู้ฟัง มีความจริงใจต่อผู้ฟัง หลักการพูดดีที่ประกอบไปด้วย ๕ ข้อข้างต้นนั้น เข้าใจว่าเป็น ที่รู้กันอยู่แล้ว แต่เรามักไม่จริงจังหรือใส่ใจที่จะทำตาม ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นเรื่องไม่ ยากเย็นอะไรเลย เพราะการพูดเรื่องจริงนั้นง่ายกว่าการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาแน่นอน การพูดคำสุภาพ พูดเรื่องที่มีประโยชน์ หรือ พูดด้วยจิตเมตตา ก็ไม่เป็นเรื่องที่หนักหนา หรือต้องใช้ความพยายาม อะไร แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดไม่พูดดีๆ กันสักที
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องความจริงไว้มาก ทรงอนุโมทนาข้อความที่ว่า “(สจฺจํ เว อมตา วาจา) คำจริงเป็นวาจาที่ไม่ตาย และ (สจฺจํ อตฺเถ จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา) สัตบุรุษย่อมดำรงมั่นอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม"
คำเทศนา วันอังคารที่ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗
เราทุกคนคือธรรมะคือสภาวะธรรม ที่เกิดจากเหตุเกิดจากปัจจัย เพราะสิ่งนี้มีสิ่งต่อไปมันถึงมี ทุกท่านทุกคนต้องมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้อง แล้วจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ส่วนประกอบที่เป็นร่างกายก็ได้แก่ดินได้แก่น้ำได้แก่ลมได้แก่ไฟ ดินน้ำลมไฟนี้คือร่างกาย ร่างกายนี้ประกอบด้วยธาตุ ๔ อย่าง จะดำรงชีวิตอยู่ได้ก็ด้วยปัจจัย ๔ ปัจจัย ๔ ได้แก่อาหารที่อยู่อาศัยเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มยารักษาโรค สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย ในการดำรงชีวิตในชีวิตประจำวัน ยารักษาโรคต้องมีความรู้ทางแพทย์ทางพยาบาล ความรู้ความเข้าใจเรียกว่าปัญญา ศัพท์ในทางพระศาสนาเรียกว่าพุทธะ พุทธะคุมไปทั้งทางเรื่องจิตใจคุมไปทั้งทางวัตถุ
คำว่าปัญญาเป็นความรู้เฉพาะทาง อย่างเช่นความรู้เรื่องเกษตร ความรู้ทางอุตสาหกรรม ทางการแพทย์พยาบาล ความรู้เรื่องทางวิศวกรทางสถาปนิก ความรู้ทางตำรวจ ความรู้ทางทหาร ผู้พิพากษาอัยการ ข้าราชการ นักวิชาการ เพราะคนคนเดียวจะไปรู้ทั้งหมด มันไม่ได้มันไม่ไหว ความรู้ทางพระศาสนาความรู้ทางบรรพชิตความรู้ทางนักบวช อย่างรู้เรื่องเก่า ความรู้เรื่องคนหนุ่มคนสาว ความรู้เรื่องคนทำงาน คนเจ็บคนป่วยคนเฒ่าคนชรา ความรู้เรื่องคนตาย ความรู้พวกนี้จะได้มาจากไหน ประการแรกที่เกิดมาก็ได้จากพ่อจากแม่ ผู้ที่เกิดมาได้รับ DNA ทางร่างกายมาจากพ่อจากแม่ ทั้งความรู้ความเข้าใจในการดำรงชีวิต พ่อแม่ถึงเป็นครูผู้บอกผู้สอนของบุตรธิดาที่เกิดมา ความรู้เราจะได้มาจากการเรียนการศึกษาในโรงเรียน ในหมู่บ้านเกือบทุกหมู่บ้านต้องมีโรงเรียน ถ้ามีบ้านต้องมีโรงเรียน โรงเรียนก็คือปัญญา พ่อแม่ถึงเป็นผู้ที่สำคัญ เพราะว่าพ่อแม่ต้องให้ทั้งความรู้ความประพฤติ พ่อแม่ถึงต้องเอาธรรมนูญครองกายครองวาจาครองจิตใจ ครองนั้นก็คือปกครองนั่นแหละ พ่อแม่ทุกคนต้องพากันปฏิบัติ เอาธรรมนูญครองกายครองวาจาครองใจ ศีล ๕ นี้คือความเป็นพระ ผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่ทุกคนต้องมีศีล ๕ ในกายในวาจาในใจ 100% พ่อแม่ได้รับการยกย่องให้เป็นพระประจำบ้านประจำครอบครัว
ทุกท่านทุกคนพากันปฏิบัติที่ตนเอง มีเจตนามีความตั้งใจมีความตั้งมั่นมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ เราทำอย่างนี้ปฏิบัติอย่างนี้ พวกลูกพวกหลานมันก็จะไม่เถียง ลูกหลานเขาถึงจะไว้วางใจ การประพฤติการปฏิบัติเราต้องปฏิบัติที่ตัวเองแก้ไขที่ตัวเอง แก้ไขที่ตัวเองได้เราถึงจะบอกถึงจะสอนคนอื่นได้ เพื่อนมนุษย์ก็จะไว้วางใจกัน พวกสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเขาจะได้ไว้วางใจเรา เมื่อเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ใครเขาจะมาไว้วางใจเรา ตัวตนคือความประกอบทุกข์
การดำเนินชีวิตที่เอาธรรมะเป็นหลัก เรียกว่าธรรมนูญแห่งชีวิต เราเป็นมนุษย์ก็ต้องเอาธรรมนูญแห่งชีวิต เราเป็นข้าราชการนักการเมืองก็ต้องเอาธรรมนูญแห่งชีวิต ถ้าเอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็เป็นธรรมนูญไม่ได้ ทุกคนต้องยกเลิกสิ่งที่เป็นตัวเป็นตน ทุกคนต้องมีความตั้งใจต้องมีเจตนา พระพุทธเจ้าให้พวกเราทุกคนเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้ เพื่อจะได้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การดำรงชีพดำรงชีวิตของเรามันถึงเป็นสัมมาทิฏฐิ ปรับทั้งกายปรับทั้งวาจาปรับทั้งจิตใจ ที่พวกเราทั้งหมดในโลกนี้ โลกนี้น่ะหมุนรอบตัวเองหมุนรอบดวงอาทิตย์ ถ้าเราไม่มีข้าราชการไม่มีนักการเมืองนี้จะได้ไหม? ตอบว่าไม่ได้ มันต้องมีข้าราชการมีนักการเมือง โลกนี้ไม่มีพระศาสนาได้ไหม? ก็ไม่ได้ เพราะศาสนานั้นคือธรรมนูญแห่งชีวิต เป็นการดำเนินชีวิตทีดีงาม ด้วยการเอาธรรมเป็นหลักเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง
ข้าราชการนักการเมืองเอาเงินมาจากไหนมาจ่ายเงินเดือนให้ข้าราชการนักการเมือง ก็มาจากภาษีอากรของหมู่มวลมนุษย์ทุกคนนี่แหละ ทุกคนที่เกิดมาที่มีลมหายใจอยู่นี่แหละ ต้องเสียภาษีอากรทุกๆ คน เพื่อเอาไปบริหารประเทศชาติบริหารบ้านเมือง ไม่มีใครเลยที่ไม่ได้เสียภาษีอากร ผู้ที่มีลมหายใจอยู่นี่ต้องเสียภาษีอากร ตำแหน่งข้าราชการนักการเมืองจึงเป็นตำแหน่งธรรมนูญ ผู้ที่มาเป็นข้าราชการผู้ที่มาเป็นนักการเมืองให้พากันเข้าใจนะ เป็นตำแหน่งที่ต้องพากันมาเสียสละ มีความสุขในการทำงานมีความสุขในการปฏิบัติธรรม อย่างนี้เขาเรียกว่าข้าราชการนักการเมือง ที่เรามองเห็นกันอยู่ทุกวันนี้ที่เป็นข้าราชการที่เป็นนักการเมือง มันยังไม่ใช่ธรรมนูญสักเท่าไหร่ เพราะคือผู้ที่กินบ้านกินเมืองกัน พระพุทธเจ้าให้พวกเราพากันเข้าใจง่ายๆ อย่างนี้นะ ความทุกข์น่ะมันไม่มีนะ ถ้าเรามีสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติ มันจะเป็นความสงบมันจะเป็นปัญญา
วันหนึ่งคืนหนึ่งของมนุษย์เราเนี่ย สำหรับนักบวชก็นอนหลับสัก ๖ ชั่วโมงก็เพียงพอ เพราะว่าไม่ได้ทำงานหนักเท่ากับคฤหัสถ์เขา เวลาตื่นอยู่ของนักบวช ๑๘ ชั่วโมง เวลาพักผ่อนสมองของพระพุทธเจ้าวันละเพียง ๔ ชั่วโมง สำหรับพระพุทธเจ้าก็เพียงพอแล้ว เวลาที่ทำพุทธกิจของพระพุทธเจ้า ๒๐ ชั่วโมง พระอรหันต์น่าจะนอนสัก ๕ ชั่วโมงก็เพียงพอ เวลาตื่นอยู่ ๑๙ ชั่วโมงเป็นเวลาที่เสียสละสำหรับประชาชน สำหรับเด็กตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยเด็ก ๗ ขวบต้องนอนวันละ ๑๒ ชั่วโมง พวกที่เรียนประถมมัธยมน่าจะ ๘ ชั่วโมง สำหรับผู้ใหญ่ที่จบมหาวิทยาลัยถึงวัยทำงานน่าจะพากันนอน ๗-๘ ชั่วโมงก็เพียงพอ เวลาเราตื่นขึ้นจากการนอน เป็นเวลาที่มีความสุขในการทำงานและปฏิบัติธรรมไปพร้อมๆ กัน คนแก่คนเฒ่าวันหนึ่งคืนหนึ่งต้องได้นอนได้พักผ่อนนอนหลับ ๕-๖ ชั่วโมง ถ้าไม่อย่างนั้นร่างกายมันจะทรุดโทรมเร็ว อายุขัยจะสั้นลง การนอนการพักผ่อนมีผลต่อสรีระร่างกาย ถ้าเรานอนเราพักผ่อนไม่เพียงพอ สมองคือศูนย์รวมทุกส่วนสัดของร่างกาย สมองจะไปสั่งร่างกายไม่ได้ประสิทธิภาพ จะเอาความรู้ความสามารถที่เราเรียนเราศึกษาไปใช้ทำการทำงานได้ไม่สมบูรณ์
ทำไมมนุษย์เราเอาถึงปรุงแต่งอาหาร ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจนะ ไม่มีปรุงแต่งไม่ได้เหรอ ไม่ได้ ต้องปรุงแต่ง ให้พวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจ ชีวิตนี้ต้องดำเนินไปด้วยการรับประทานอาหาร เราต้องทานอาหารให้ได้ตามแคลอรี่ของร่างกาย ร่างกายของเราจะอยู่ได้ยาวนานก็เนื่องมาจากอาหารที่อร่อยและถูกสุขลักษณะ ถ้าเราไม่ปรุงแต่ง อาหารนั้นก็ไม่อร่อย อาหารนั้นต้องอร่อยด้วยถูกสุขลักษณะมีวิตามินมีโปรตีนมีแร่ธาตุครบถ้วนด้วย การทานอาหารต้องให้อร่อย ถ้าไม่อร่อยทุกคนก็ไม่อยากทาน อาหารนั้นน่ะมันเป็นยาเป็นสิ่งที่เยียวยาชีวิตเราให้อยู่ได้ยืนนาน เมื่อมันอร่อยแล้วพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้พวกเราติดอกติดใจหลงใหลในรสชาติอาหาร เพราะอาหารนั้นเป็นเพียงยา การหลงนั้นคือติด ติดนั้นคือไปไม่ได้จึงเรียกว่าติด เมื่อเราติดเราก็ไม่ได้เอาธรรมนูญแห่งชีวิต เราเอาตัวตน ชีวิตเราก็ไม่ได้เข้าถึงธรรมเข้าถึงปัจจุบันธรรม เพราะความติดนั้นเป็นตัวเป็นตน ทุกๆ คนถึงต้องพัฒนาใจของตัวเองให้ได้ เพราะเรามีหน้าที่พัฒนาใจพัฒนาวัตถุไปพร้อมๆ กัน เมื่อเรารับประทานอาหารได้ เราถึงจะพากันนอนหลับ ถ้าเราทานอาหารไม่ได้ เราก็นอนหลับไม่ได้ คนโบราณท่านถึงพูดกันว่า กินได้นอนหลับสบาย การปรุงแต่งอาหารมันถึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างนี้ ท่านถึงบอกว่า ฉันอาหารเสร็จให้ขูดลิ้นตัวเองที่มันเป็นฝ้าออกทุกๆ วัน เพื่อลิ้นนั้นจะได้รับรสชาติอาหารที่อร่อย ถ้าไม่อร่อยมันก็ไม่อยากฉัน สำหรับประชาชนถ้าไม่อร่อย ก็ไม่อยากรับประทานเหมือนกัน คนแก่ๆ ร่างกายมันเสื่อม ทานอาหารไม่อร่อยทานได้น้อย เลยพักผ่อนได้น้อย อายุเลยสั้นและตายเร็ว พระพุทธเจ้าถึงสอนให้ทุกคนพากันรู้จัก ให้พากันทานอาหารให้เป็นยา มันอร่อยก็เพื่อเป็นยา ถ้ามันไม่อร่อยก็ต้องฝืนความไม่อร่อย เพราะเราต้องผ่านอาหารให้ได้ปริมาณ นักโภชนาการทั้งหลายให้พากันเข้าใจนะ เพราะร่างกายนี้มันเกิดโรคเกิดภัยก็เพราะจากอาหารที่เรารับประทานไปที่บริโภคไป เราต้องพากันมีสติมีปัญญา จึงจำเป็นต้องมีความรู้ในเรื่องโภชนาการ เพราะแพทย์ใหญ่หมอใหญ่ก็คือเป็นผู้ให้ยาให้อาหาร พ่อครัวแม่ครัวคือแพทย์ใหญ่หมอใหญ่ ท่านให้พากันจำไว้นะ ตัวเราเองนี่แหละคือหมอใหญ่ เป็นหมอทั้งทางกายเป็นหมอทั้งทางใจ ไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก เราจะเอาอะไรเข้าไปในร่างกายของเรา เราต้องพากันรู้ คำว่ารู้ก็คือมีปัญญานั่นแหละ สิ่งที่เข้าไปในร่างกายเขาถึงเรียกว่าทานข้าว มันคือเข้าไปในร่างกาย เขาถึงตั้งชื่อข้าว เป็นข้าวเหนียวเป็นข้าวจ้าวขนมปังอย่างนี้ สิ่งนี้มันเข้าไปอยู่ในร่างกายทั้งหมดเขาเรียกว่า ข้าว เข้าไปในร่างกายนี้มันเป็นยา
มนุษย์เราทำไมถึงต้องมีบ้าน มนุษย์เราต้องมีบ้านมีที่อยู่อาศัยมีที่มุงมีที่บังมีหน้าต่างมีประตู เพื่อเราทุกคนจะได้พักได้อาศัยกันแดดกันลมกันร้อนกันหนาว อากาศถ่ายเทสะดวก เพื่อทุกคนจะได้มีความสุขอยู่เป็นที่เป็นทางเป็นหลักเป็นแหล่ง ทำบ้านอยู่ทำที่อาศัยให้มันได้มาตรฐาน เพื่อร่างกายจะได้ไม่เจ็บไม่ป่วย บ้านนี้ดีมันป้องกันร้อนกันหนาวกันฝนกันหิมะ เทคโนโลยีที่หมู่มวลมนุษย์พัฒนาจากวิทยาศาสตร์มันป้องกันได้ เมืองร้อนเมืองหนาวเมืองอะไรแบบไหนก็ป้องกันได้หมด เพราะว่ามีพุทธะสร้างปัญญาทั้งทางจิตใจทั้งทางวัตถุ มันจะพัฒนาได้ ประเทศที่เขาพัฒนากันไปไกล การปลูกบ้านสร้างเรือน เขาถึงต้องมีสถาปนิกมีวิศวกร การเรียนการศึกษาต้องเข้าสู่การปฏิบัติ ความรู้ความเข้าใจก็ต้องเอามาจากการเรียนการศึกษา จึงมีปัญญา ปัญญานั้นถ้าเราเจริญปัญญาเพื่อตัวตน มันไม่ได้ การเจริญปัญญานั้นต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ เพื่อจะได้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา เป็นธรรมเป็นปัจจุบันธรรม
เราทุกคนต้องดำรงชีวิตด้วยธรรมนูญ ต้องพากันยกเลิกเพื่อหยุดตัวหยุดตน ต้องพากันมาหยุดตรึกในกามหยุดตรึกในพยาบาท เพราะใจของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เพราะวาระจิตของเรามันคิดได้ทีละอย่าง เมื่อเราไม่ได้เอาตัวตนนำชีวิต ธรรมะถึงจะเกิดได้ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สัมมาอาชีวะมันก็ไม่มี อาชีพที่เราดำเนินอยู่นั้น มันก็เป็นอาชีพที่ไม่ถูกต้อง พระพุทธเจ้าถึงบอกพวกเราเรื่องสัมมาอาชีวะ อาชีพของเราน่ะ ต้องไม่เกี่ยวกับการฆ่าสัตว์หรือการเลี้ยงสัตว์ไว้ค้าขาย เปิดร้านอาหารขายพวกสัตว์ที่ยังไม่ตาย เพื่อให้ผู้ที่มาบริโภคได้มาลิ้มรสอาหารที่เอร็ดอร่อย รวมทั้งบ่อนชนไก่จับปลาบ่อนชนวัวชนกระบือ มาเป็นเจ้าของเรือล่าสัตว์ในทะเลในมหาสมุทรเพื่อประกอบอาชีพเพื่อให้คนทั้งหลายพากันบริโภค อาชีพเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่เลี้ยงจระเข้เลี้ยงปลาเลี้ยงกบสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่อย่างนี้เป็นต้น รวมถึงอาชีพขายปืนขายกระสุนปืนขายระเบิดเครื่องประหารมนุษย์ พวกขายเหล้าขายเบียร์ขายฝิ่นขายกัญชา เป็นเจ้าของกิจการใหญ่เจ้าของโรงเหล้าโรงเบียร์โรงไวน์ เปิดผลับเปิดบาร์ สร้างบ่อนคาสิโน เป็นเจ้ามือหวย เจ้ามือการพนัน เล่นไพ่ไฮโล ขายยาฆ่าแมลง เปิดสถานเริงรมย์ค้าบริการทางเพศ อาชีพอาชีพเลี้ยงปลาทั้งจำหน่ายทั้งฟินทั้งเบียร์ไม่เอาคนยากคนจนมาเป็นข้าทาสแรงงานที่เขาไม่ได้สมัครเขาไม่ได้ตั้งใจมา เป็นพ่อเล้าแม่เล้า มันมีมากให้ทุกคนน้อมมาใส่ตัวเอง อาชีพที่ปล่อยเงินกู้ที่ผิดกฎหมายที่แพงเกินรัฐบาลกำหนด เพราะว่าการกระทำอย่างนี้น่ะเป็นอาชีพที่เอาความสุขกับความทุกข์ของคนอื่น เอาความสุขจากความหลงของคนอื่น อย่างนี้ถือว่าเป็นอาชีพที่ไม่ถูกต้อง ทุกคนรู้ว่ามันไม่ถูกต้อง ก็เพราะความยากจนของตัวเอง เราจะเอาความยากจนมาเป็นเหตุผล มันก็ไม่ถูกต้อง ความไม่ถูกต้องก็คือความไม่ถูกต้อง อาชีพที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ได้แก่ข้าราชการนักการเมืองรับใต้โต๊ะจากประชาชนในการทำงาน บังหลวงกินเปอร์เซ็นต์ในการซื้อครุภัณฑ์ บังหลวงให้ผู้ที่มาประมูลงานโครงการหลวงไปกินเปอร์เซ็นต์ กับงานภาครัฐกับภาครัฐวิสาหกิจ ร่วมมือทางการโกงกินคอร์รัปชั่น อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นอาชีพที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง
ฝ่ายทางนักบวชก็ให้เป็นสัมมาอาชีวะ อาชีพของนักบวชทั้งหลายได้รับสิทธิพิเศษ นักบวชคือผู้ที่หยุดนิติบุคคลไม่มีตัวตน เป็นแต่พระธรรมเป็นแต่พระวินัย เวลาไปกรอกแบบฟอร์มที่ไหน เขาจะมีคำสอบถามว่ามีอาชีพอะไร พระภิกษุสามเณรจะเขียนว่าอาชีพนักบวช อาชีพนักบวชคืออาชีพไม่มีอะไร อาชีพนักบวชก็คือมาสมาทานธรรมวินัย เมื่อเราทำตามที่เราได้ปฏิญาณที่เราได้ตั้งใจ ประชาชนเขาจะให้ความเคารพนับถือ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นนิติบุคคลเป็นตัวเป็นตน เป็นพระธรรมเป็นพระวินัย ผู้ที่มาบรรพชาอุปสมบทจึงไม่ต้องพากันทำอาชีพอะไร มีอาชีพเป็นนักบวชอย่างเดียว ได้รับแบรนด์เนมที่เป็นสัญลักษณ์คือปลงผมนุ่งห่มจีวรนั่นคือแบรนด์เนมคือเครื่องแบบ แบรนด์เนมในพระศาสนาได้แก่ปลงผมนุ่งห่มผ้าจีวรย้อมด้วยสีย้อมน้ำฝาด พระพุทธเจ้าท่านให้เอาสีย้อมด้วยแผ่นขนุนเป็นหลัก
พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งที่ประเสริฐ ถ้าใครสละคืนซึ่งตัวซึ่งตนแล้ว มันประเสริฐ ที่เราได้พากันเห็นในปัจจุบันเห็นผู้ที่มาบวชทั้งหลายพากันมาทำความผิด พระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาอาชีวะคือเลี้ยงชีวิตไม่ถูกต้อง ที่มันเป็นเดรัจฉานกถาที่มันเป็นเดรัจฉานวิชา ที่เราเห็นกันอยู่ในเมืองไทยหรือว่าหลายๆ ประเทศ ....................
อุปปถกริยา คือ การกระทำนอกรีตนอกรอยของพระภิกษุสามเณรมี ๓ ประเภท ได้แก่
๑. อนาจาร คือ การประพฤติที่ไม่ดีไม่งาม ไม่เหมาะสม แก่ภาวะของความเป็นบรรพชิต ซึ่งมี ๓ อย่าง คือ การเล่นเหมือนเด็ก การร้อยดอกไม้ การเรียนดิรัจฉานวิชา เช่น การทำนายฝัน การทายหวย การทำเสน่ห์ ดูลายมือ เป็นต้น
๒. บาปสมาจาร คือ ความประพฤติเหลวไหล เลวทราม เช่น ชอบประจบคฤหัสถ์ด้วยอาการอันไม่เหมาะสม
๓. อเนสนา คือ การหาเลี้ยงชีพในทางที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นภิกษุ ผิดสมณวิสัย เช่น การหลอกลวงเขาด้วยการอวดอุตริมนุสธรรม ทำวิญญัติ คือออกปากขอต่อคนที่ไม่ควรขอ ใช้เงินลงทุนหาผลประโยชน์ ต่อลาภด้วยลาภ คือให้แต่น้อยเพื่อหวังตอบแทนมาก เป็นหมอเวทมนต์ เสกเป่า เป็นต้น
สัมมาอาชีวะการงานก็ต้องเป็นการงานชอบ การงานที่เป็นอาชีพที่ถูกต้อง เราก็ต้องชอบในการทำงาน เพราะความสุขของเราทุกคนอยู่ที่การทำงาน การงานก็ต้องเป็นงานที่ถูกต้อง วันหนึ่งคือหนึ่งเราต้องพักผ่อน เราตื่นขึ้นมาอย่างนี้น่ะคือการทำงานแล้วความสุขของเราอยู่ที่การทำงาน เพราะเราตื่นอยู่นี่ก็เกือบ ๒๐ ชั่วโมง เราต้องมีความสุขในการทำงานงานของเราทุกงานต้องเป็นงานสุจริต การงานของเราต้องเป็นงานที่ไม่ฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ประพฤติผิดในกามโกหกหลอกลวง เป็นอาชีพที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดธรรมะ เป็นอาชีพที่ไม่โกงกินคอร์รัปชั่น การทำงานที่ไม่คำนึงถึงผิดถูกชั่วดีขอให้ได้มาซึ่งเงิน เช่นเงินทอนวัดที่มีเรื่องมีราวกัน ไม่คำนึงถึงเรื่องผิดเรื่องถูก การที่เราทำอย่างนั้นน่ะ ถ้ามีเจตนาอย่างนั้นถ้าเป็นเงินเกิน ๕ มาสกก็ขาดจากความเป็นพระแล้ว ผู้ที่เป็นข้าราชการนักการเมืองถ้าไปทำอย่างนั้นมันก็เป็นการงานที่ไม่ชอบ มันก็ต้องขาดจากความเป็นข้าราชการและการเมืองในทางจิตใจในทางคุณธรรม
การงานของเราต้องเป็นงานที่บริสุทธิ์ เพราะความสุขมันอยู่ที่การทำงาน การงานไม่บริสุทธิ์ใจของเราก็เศร้าหมอง กายของเราไม่เศร้าหมองหรอก เพราะเราอยู่ในที่ร่มอยู่ในห้องแอร์ แต่ว่าใจของเราน่ะมันเศร้าหมอง ทุกท่านทุกคนต้องใจเข้มแข็งตั้งอยู่ในสัมมาสมาธิ สัมมาอาชีวะของเราต้องตั้งมั่น เราอย่าเอาความหลงเป็นที่ตั้ง เราอย่าไปคิดว่า ในโลกนี้ใครๆ เขาก็ทำกันอย่างนี้ทั้งนั้น นี่คือเหตุผลของกิเลสที่เป็นเหตุให้ทำบาปกัน
ให้ผู้ประพฤติผู้ปฏิบัติธรรมเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เอาหลักธรรมะเป็นที่พึ่ง การงานของเราต้องให้ถูกต้อง เราต้องหยุดด้วยความถูกต้อง เราต้องหยุดด้วยศีลด้วยสมาธิเพื่อให้ในปัจจุบันผ่านไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา เมื่อเราไม่ตรึกในกามในพยาบาทอย่างติดต่อต่อเนื่องกัน พลังงานแห่งอวิชชาแห่งความหลง เขาก็จะทำงานไม่ได้ นี้มันคือไฟท์นะ คือการปฏิบัติ เราทุกคนต้องผ่านไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา ด้วยการงานชอบ ถ้าเราตามไปเหมือนแต่ก่อน มันก็คือเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เป็นการฉายภาพยนตร์ฉายหนังม้วนเก่านั่นแหละ เราต้องข้ามไปด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา คนโบราณน่ะเขาจะเอาไม้มาสร้างบ้านเขาต้องเลือกไม้ที่มีแก่นที่มันแข็งแรงมาทำเสามาทำคานมาทำขื่อ เป็นไม้ที่แข็งแรงที่สุด เขาไม่ได้เอาไม้เนื้ออ่อนมาทำเสาทำคาน การที่ขึ้นภูเขาสูงชันขึ้นสู่ที่สูง มันเป็นสิ่งที่ขึ้นยาก เพื่อความปลอดภัย แต่เราก็มีความจำเป็นขึ้นที่สูงที่ปลอดภัย ยานคือศีลคือสมาธิคือปัญญาเราต้องเอามาใช้ตอนนี้แหละ ตอนที่กำลังเป็นปัจจุบัน ตอนที่การงานของเรามันถูกต้อง ถ้าเราไม่มีความแก่ความเจ็บความตายเพื่อให้เราพัฒนาใจ พระนิพพานนั้นจะมีมาจากไหน
ศีลนี้ถึงเป็นความสุขที่สุดในโลกนะให้เราตั้งมั่น สมาธิเป็นความสุขที่สุดในโลกให้เราตั้งมั่น ปัญญาคือความถูกต้องเป็นความสุขที่สุดในโลก ทุกท่านทุกคนต้อง Control ตัวเองด้วยศีลด้วยสมาธิด้วยปัญญา การก้าวไปของเรานั้นอยู่ที่ปัจจุบันนี่แหละ พระพุทธเจ้าบอกพวกเรานะอย่าเป็นผู้แพ้นะ ผู้แพ้น่ะรู้ไหมว่าคือบุคคลหัวใจปาราชิก บุคคลหัวใจปาราชิกคือบุคคลที่ตายจากมรรคผลจากพระนิพพาน เอาความหลงความอ่อนแอเป็นที่ตั้ง นั่นคือบุคคลคนที่หัวใจปาราชิก บุคคลว่างจากมรรคผลพระนิพพาน ถ้าเราไม่จัดการเราอย่างนี้น่ะ ชื่อว่าเราไม่รู้อริยสัจ ๔ คือไม่รู้ทุกข์ไม่รู้เหตุเกิดทุกข์ไม่รู้ข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์
งานความเป็นพระเป็นการงานที่ชอบ งานที่ชอบเรียกว่างานพระกรรมฐาน ถ้าเราไม่เอาศีลไม่เอาสมาธิมันไม่ใช่ความตั้งมั่น เรียกว่าฐานพังทลายเหมือนตึก world trade ที่ถูกเครื่องบินชน คนตายตั้งหลายพันคนที่อเมริกา มันพังมันถล่ม เหมือนแผ่นดินไหวเหมือนสึนามิที่ถล่มหลายๆ ประเทศ การงานที่ไม่ถูกต้องมันเสียหายมาก ให้ทุกท่านทุกคนพากันเข้าใจว่า สิ่งที่เป็นอดีตที่มันเสียหายเอากลับคืนมาไม่ได้ อย่าให้ความไม่ถูกต้องที่เป็นบาปเป็นอกุศลมาพังมาถล่มความถูกต้อง มันเป็นสิ่งที่เสียหาย เรามาคิดดูสิพ่อแม่บรรพบุรุษที่ละสังขารวายชนม์ ย่อมเอากลับคืนมาไม่ได้ ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องตั้งมั่นต้องเข้มแข็ง (ขยาย)
สัมมาวาจาการพูดจาชอบถึงเป็นธรรมะที่ให้เราได้เจริญสติได้เจริญสัมปชัญญะในการพูดจาชอบ การพูดจานี้ให้เอาต้นแบบต้นฉบับให้เอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เป็นการให้ความอบอุ่นเป็นการให้ความสงบ เป็นการให้สติให้ปัญญา พระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า การต้อนรับปฏิสันถารนี้เป็นทางนำไปสู่มรรคผลนำไปสู่พระนิพพาน เรื่องคำพูดนี้เป็นสิ่งที่สำคัญพระพุทธเจ้าพูดดีกับทุกๆ คน พูดสุภาพเรียบร้อย ด้วยไม่หวังผลประโยชน์ตอบแทนจากใคร เป็นผู้ให้อย่างเดียว คำพูดที่ออกไปเปรียบเสมือนดอกไม้ที่มีกลิ่นหอม เป็นคำพูดที่เป็นผู้ให้เป็นผู้ที่เสียสละ เพราะการพูดก็คือการปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมก็คือการพูด ถ้าใจเขาไม่สงบ เขาจะไม่ยอมรับในคำพูดของเรา เหมือนอาหารที่เรารับประทานนี่แหละ ถึงอาหารจะมีประโยชน์ ถ้ามันไม่อร่อยก็ไม่มีใครอยากรับประทาน ถึงแม้อาหารจะเป็นยา เราถึงมีความจำเป็นปรุงอาหารให้มันอร่อย คนที่ทำร้านขายอาหารอาหารมันไม่อร่อยมันก็ไปไม่ได้ คำพูดก็เปรียบอาหารที่อร่อย ยกตัวอย่างโคนันทวิสาล แม้แต่สัตว์ก็ยังต้องการคำพูดที่เป็นสัมมาวาจา พระพุทธองค์ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า คำหยาบ ไม่เป็นที่ชอบใจของใครๆ แม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน" แล้วได้ตรัสพระคาถาว่า "มนุญฺญเมว ภาเสยฺย นามนุญฺญํ กุทาจนํ มนุญฺญํ ภาสมานสฺส ครุภารํ อุททฺธริ ธนญฺจ นํ อลาเภสิ เตน จตฺตมโน อหูติ ฯ บุคคลพึงกล่าวแต่คำที่ไพเราะเท่านั้น ไม่พึงกล่าวคำที่ไม่ไพเราะในกาลไหนๆ เมื่อพราหมณ์กล่าวคำไพเราะ โคนันทิวิสาลได้ลากเอาภาระอันหนักไปได้ ทำพราหมณ์ผู้นั้นให้ได้ทรัพย์ด้วย ตนเองก็เป็นผู้ปลื้มใจเพราะการช่วยเหลือนั้นด้วย" ที่เป็นอย่างนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของโคไม่ฉลาดในการใช้คำพูด...
จะพูดจาปราศรัยกับใครนั้น อย่าตะคั้นตะคอกให้เคืองหู
ไม่ควรพูดอื้ออึงขึ้นมึงกู คนจะหลู่ล่วงลามไม่ขามใจ
ถึงบางพูดพูดดีเป็นศรีศักดิ์ มีคนรักรสถ้อยอร่อยจิต
แม้นพูดชั่วตัวตายทำลายมิตร จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
มีหลายๆ คนมีปัญหาเรื่องคำพูดที่เรามองเห็น ผู้ใดไปเกี่ยวข้องจะอยู่ด้วยได้ไม่นาน ไม่มีเพื่อนทั้งที่เป็นผู้ให้ผู้ที่เสียสละ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง สัมมาวาจามันจะไม่มีเลย ถ้าพูดดีพูดเพราะก็เพื่อประจบเพื่อโกหกหลอกลวง พูดเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่น ยกตนข่มท่าน เป็นคนหลงตัวหลงตน ที่ผ่านชีวิตมาตั้งแต่หนุ่มจนแก่เฒ่าชราก็ไม่ค่อยจะมีเพื่อนสักกี่คน เช่นเราเป็นพ่อเป็นแม่บ่นลูกบนหลานยิ่งกว่าพระสวดมนต์ ไม่รู้สรรหาเอาคำพูดที่ไหนมาบ่น อย่างนี้เขาเรียกว่าเป็นคำพูดที่ทำลายความมั่นคงในหมู่เพื่อนผู้ที่เกี่ยวข้อง มีปากก็ปากติดเอ็ม 16 ติดอาก้าอย่างนี้ เป็นคนปากที่มีกลิ่นเหม็น เหมือนปลาทองกปิละ ด้วยวิบากกรรมที่ด่าว่าผู้มีศีลมีธรรมในอดีตชาติที่เคยเป็นภิกษุ พอพอปลาทองอ้าปากก็เหม็นทั้งท้องพระโรง อย่างนี้เป็นต้น คำพูดไม่ดีมันเป็นคำพูดที่ไม่ให้ความอบอุ่นกับผู้อื่น มันเป็นคำพูดที่แตกแยกแตกสมานสามัคคี ถ้าฝ่ายนักบวชเขาเรียกว่าสังฆเภท เป็นคำพูดที่ทุกคนไม่อยากเกี่ยวข้องด้วย ถ้าเกี่ยวข้องแล้วมันไม่มีความสุขมันไม่เป็นมงคล
การพูดดีพูดเพราะพูดให้สุภาพก็ให้มันถูกต้อง ถ้าไม่ถูกต้องเป็นการพูดโกหกหลอกลวง มันเป็นคำพูดที่ได้ยินได้ฟังก็นึกในใจว่า ทำไมไม่ไปหาหมอจิตแพทย์ ไปหาหมอจิตแพทย์มันก็ไม่หายหรอก เพราะว่ามันไม่ใช่คนโรคประสาท มันเป็นบุคคลที่มีตัวมีตน จับเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง ไปหาหมอจิตแพทย์มันก็ไม่หายหรอก ทุกๆ คนน่ะต้องมาหวนรำลึกถึงตัวเองว่า มีสัมมาวาจาเป็นผู้มีวาจาชอบหรือยัง? เราทุกคนจะได้แก้ไขตัวเอง การที่ไม่มีหมู่มีเพื่อนมันมีความทุกข์นะ พระพุทธเจ้าถึงบอกให้เราเป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ให้สัมมาวาจากับคนอื่นกับคนที่เกี่ยวข้อง การทำอย่างนี้จะว่ายาก มันก็ไม่ยากหรอก เพราะเราไม่ได้ไปแก้คนอื่น เราแก้ที่ตัวเอง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า ก่อนพูดให้มีสติ กำลังพูดให้มีสติ เพราะก่อนพูดเราเป็นนาย พอพูดจบเราเป็นบ่าว เพราะกรรมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เพราะผลกรรมมันเป็นสิ่งที่มีอยู่ เราจะให้ของคนอื่นให้อะไรก็ต้องให้ของดีๆ การพูดที่ไม่มีสัมมาวาจาคือการพูดที่ไม่ดี ก็เท่ากับเป็นการให้ของเสียของเน่าของเหม็นของบูดของสกปรกกับคนอื่นนะ เพราะปัญหานี้สำคัญเป็นปัญหาในครอบครัวเป็นปัญหาในสังคมต้องพูดเพราะแล้วก็เป็นจริง
อย่างเรานี้เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เป็นคุณพ่อคุณแม่ เวลาใช้คำพูดกับลูก ใช้คำพูดกับผู้บังคับบัญชาก็ขาดความเคารพ ขาดความยำเกรง พูดตรงไปตรงมา พูดขวานผ่าซาก น้ำเสียงก็ไม่ไพเราะ บางครั้งก็พูดดีอยู่ แต่พูดมากเกินไป
พระพุทธเจ้าท่านไม่ให้พูดมากเกิน... ถ้าใครพูดมากก็ไม่ต้องบริกรรมพุทโธๆ ให้บริกรรมว่า "หายใจเข้าก็อย่าพูดมาก หายใจออกก็อย่าพูดมาก"
ความรู้เรื่องพูดนี้ก็สำคัญ... คนที่พูดดีมีประโยชน์ ถ้าเราพูดดีนี้ ผู้บังคับบัญชาก็เคารพรักนับถือ เพื่อนฝูงก็รัก ลูกน้องบริวารก็รัก ที่เราเรียนจบ ดร. มา ถ้าเราพูดไม่ดี ไม่ถูกต้อง เราก็ปกครองใครไม่ได้ ปกครองได้ก็ไม่กี่คน เพราะถึงแม้เราจะมีความรู้มากแต่ในใจเขารับไม่ได้
คนบางคนเป็นคนที่เก่ง เป็นคนฉลาด มีความสามารถ พูดจาฉะฉานแต่ว่าอาภัพ เพราะเป็นคนที่ไม่ระมัดระวังเรื่องคำพูด คบค้าสมาคมกับใครๆ ไม่กี่ปีเขาก็พากันตีตัวออกห่าง มันเพราะอะไร..? ก็เพราะคำพูดนะถ้าพูดด้วยความเมตตาออกจากใจ พูดด้วยความปรารถนาดี ผู้ฟังก็ฟังออก มันรับได้ "คำพูดมันเหมือนกัน อันหนึ่งมันออกจากปาก อันหนึ่งมันมาจากใจแล้วถึงออกจากปาก ...." “คนโง่เอาใจไว้ที่ปาก คนฉลาดเขาเอาปากไว้ที่ใจ”
เมื่อพูดให้ดีมีประโยชน์แล้ว ต้องพูดให้เป็นมงคลคือเป็นวาจาสุภาษิต ลักษณะ วาจาสุภาสิต ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง กล่าวไว้ ๕ ชนิด ซึ่งได้ทรงแสดงไว้ในสุภาสิตสูตร พระสุตตันตปิฎกว่า ๑. กาเลน ภาสิตา พูดได้ถูกกาลเทศะ คือพูดในสถานที่เหมาะสม ในเวลาที่ เหมาะสม ในปริมาณที่เหมาะสม โดยความเหมาะสมจะมีมากน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเรื่องที่กำลังพูดนั้นเอง ๒. สจฺจา ภาสิตา ต้องเป็นคำจริง คือข้อมูลที่ถูกต้องมีหลักฐานอ้างอิงได้ ไม่ปั้นแต่งขึ้นมาเอง ๓. สณฺหา ภาสิตา ต้องเป็นคำสุภาพ คือพูดด้วยภาษาที่สุภาพ ไพเราะ ไม่หยาบโลน หยาบคาย ๔. อตฺถสญฺหิตา ภาสิตา พูดแล้วมีประโยชน์ คือมีประโยชน์ต่อผู้ฟังถ้าหากนำแนวทาง ไปคิด หรือปฏิบัติในทางสร้างสรรค์ต่อไป ๕. เมตฺตจิตฺเตน ภาสิตา พูดด้วยจิตที่มีเมตตา คือพูดด้วยจิตใจที่มีความปรารถนา ดีต่อผู้ฟัง มีความจริงใจต่อผู้ฟัง หลักการพูดดีที่ประกอบไปด้วย ๕ ข้อข้างต้นนั้น เข้าใจว่าเป็น ที่รู้กันอยู่แล้ว แต่เรามักไม่จริงจังหรือใส่ใจที่จะทำตาม ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นเรื่องไม่ ยากเย็นอะไรเลย เพราะการพูดเรื่องจริงนั้นง่ายกว่าการปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาแน่นอน การพูดคำสุภาพ พูดเรื่องที่มีประโยชน์ หรือ พูดด้วยจิตเมตตา ก็ไม่เป็นเรื่องที่หนักหนา หรือต้องใช้ความพยายาม อะไร แต่ก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดไม่พูดดีๆ กันสักที
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องความจริงไว้มาก ทรงอนุโมทนาข้อความที่ว่า “(สจฺจํ เว อมตา วาจา) คำจริงเป็นวาจาที่ไม่ตาย และ (สจฺจํ อตฺเถ จ อหุ สนฺโต ปติฏฺฐิตา) สัตบุรุษย่อมดำรงมั่นอยู่ในสัจจะที่เป็นประโยชน์และเป็นธรรม"