แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
โอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
ที่หลวงพ่อกัณหา สุขกาโม เมตตาให้นำมาบรรยาย
บรรยายธรรมโดย พระมหาอนุชน สาสนกิตติ (ป.ธ.๙, ดร.)
ในคำเทศนา วันจันทร์ที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗ พุทธศักราช ๒๕๖๖
ณ วัดป่าทรัพย์ทวีธรรมาราม อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา
เรื่อง
(บางส่วนจากโอวาทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า)
ให้พวกเราทุกๆ คนพากันเข้าใจนะ มีความเห็นให้ถูกต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้องเราจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้อง ประการแรกเราต้องยกเลิกสิ่งที่มันเป็นสัญชาตญาณ ที่มันเป็นนิติบุคคลตัวตน เมื่อก่อนเราเดินไปทางทิศตะวันตก ที่ผ่านมานั้นให้เราพากันเข้าใจว่า การดำเนินชีวิตของเราเป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดเลยปฏิบัติผิด ให้เราเอาธรรมะเอาพระวินัย ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติไว้มาประพฤติปฏิบัติ สังเกตดูพระภิกษุสามเณรแม่ชีที่ได้พากันมาบวชพากันมาปฏิบัติ ที่ไม่มีความก้าวหน้าในการประพฤติปฏิบัติธรรม เพราะเราไม่ลงใจในพระพุทธเจ้า ไม่ลงใจในพระธรรมวินัย ไม่ลงใจในพระอริยสงฆ์ มีการลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ เมื่อเราไม่ลงใจในพระพุทธเจ้า ไม่ลงใจในพระธรรมวินัย ไม่ลงใจในพระอริยสงฆ์ เลยลูบคลำในศีลในข้อวัตรข้อปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติของเราเข้าไปไม่ได้ สังเกตดูพระเณรแม่ชีผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่มีปัญญา จะเป็นคนที่ไม่ค่อยจะเสียสละ
พระพุทธศาสนาคือความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เรามาบวชเรามาประพฤติปฏิบัติ เราต้องพากันมาเสียสละ เสียสละอะไร เสียสละนิติบุคคลตัวตนนั่นแหละ ผู้ที่ไม่มีตัวไม่มีตนคือผู้ที่เสียสละนะ พระพุทธเจ้าคือผู้ที่เสียสละ พระองค์ท่านบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง ช่วยเหลือทวยเทพเทวดาและหมู่มวลมนุษย์วันละ ๒๐ ชั่วโมง เมื่อเรามาบรรพชาอุปสมบท เราไม่เสียสละ การที่มาบวชมาปฏิบัติมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากมาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉันเท่านั้น ถ้าเราไม่เสียสละสัญชาตญาณที่เป็นนิติบุคคลตัวตน เราก็ไม่มี สมาธิที่จะว่างจากนิวรณ์ก็ไม่มี ปัญญาที่ทำที่สุดแห่งทุกข์ก็ไม่มี เราดำเนินชีวิตไปเพื่อประกอบทุกข์นะ มันเป็นโมฆะ
ให้ทุกท่านทุกคนกลับมามองดูตัวเองนะว่า ตัวเองได้เสียสละหรือยัง ต้องหยุดทำตามใจตัวเองหยุดทำตามอารมณ์ตัวเอง ต้องหยุดตรึกในกามในพยาบาท พวกกามพวกพยาบาทนี้ที่มันสื่อออกมาทางภายนอกที่ให้เราได้มองเห็น นี่มันเป็นความหลงเป็นความเพลิดเพลิน ที่เต็มไปด้วยการประกอบทุกข์ ที่มันเป็นความขี้เกียจขี้คร้านไม่เสียสละ มันมีความหลงมีความเพลิดเพลิน มันมีความฟุ้งซ่าน มันยังไม่ลงใจให้กับพระพุทธเจ้า ไม่ลงใจในพระธรรมวินัยพระธรรมคำสั่งสอน มันหมกมุ่นอยู่ในตัวในตน หมกมุ่นอยู่ในกามในพยาบาท ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งอย่างนี้มันไปไม่ได้นะ ทุกท่านทุกคนพากันรู้นะอย่าคิดว่าตัวเองแน่กว่าพระพุทธเจ้า การที่เราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งไม่ลงใจให้พระพุทธเจ้า เรานึกว่าเราแน่กว่าพระพุทธเจ้านะ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งนั้นเขาเรียกว่าเป็นผู้ที่ไม่เอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ ไม่ได้เอาพระธรรมเป็นสรณะ ไม่ได้เอาพระอริยสงฆ์เป็นสรณะ เลยเอาตัวตนเป็นสรณะ
ทำไมล่ะหลวงพ่อถึงไม่ให้พระเณรชีผู้ปฏิบัติธรรมในวัดนี้ให้มีโทรศัพท์มือถือ เพราะการมีโทรศัพท์มือถือนี้แหละมันเป็นสิ่งที่ชั่วหยาบ จิตใจมันหยาบ ความหยาบนั่นมันแสดงออกมาทางภายนอก ที่เราได้หมกมุ่นในกามในพยาบาทในอวิชชาความหลง ถ้าเรามีตัวมีตนมันจะมีเหตุผลเยอะว่า มีความจำเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ เพราะการที่มีโทรศัพท์มือถือเป็นเครื่องหมายที่เราได้พากันประกอบทุกข์ พากันหมกมุ่นในกาม พระเณรแม่ชีผู้ปฏิบัติธรรมมันถึงไม่มีปัญญากัน ปัญญาอย่างมากก็ที่ท่องมาจากหนังสือ ปัญญาที่จำคนอื่นมาแค่นั้น
เรามาบวชมาปฏิบัติ ทุกคนก็ต้องพากันมาจัดการตัวเอง เพราะเรามาบวชมาปฏิบัติได้รับสิทธิพิเศษ บ้านไม่ได้เช่าข้าวไม่ได้ซื้อ สิ่งของบริโภคเขาก็เอามาถวายเอามาประเคน ถ้าเราไม่ทำเหมือนพระพุทธเจ้า ไม่เอาพระธรรมไม่เอาพระวินัย เราไม่ได้เข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ ให้ทุกคนพากันรู้นะว่าเราไม่ใช่พระนะ เรานี่แหละเป็นโจรชัดๆ โจรผู้ทำลายพระศาสนา ทำลายพระศาสนาที่ไหน ก็คือทำลายความประเสริฐที่เราได้พากันเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์คือผู้มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ที่เป็นชาติศาสนาเอาความถูกต้องนำชีวิต เรียกว่ามีพระรัตนตรัย ทุกๆ คนน่ะไม่ต้องไปแก้ไขคนอื่นหรอก เราต้องพากันมาแก้ไขตนเอง แก้คนอื่นเราจะไปแก้ได้ยังไง การที่เรามาบวชมาปฏิบัติ เป็นเรื่องที่เราแก้ไขตนเอง ไม่ใช่แก้ไขคนอื่น เราแก้ไขประเทศชาติก็คือแก้ไขตนเอง เราแก้ไขพระศาสนาก็คือแก้ไขตนเอง คนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือตัวเรานี่แหละ ที่เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิดปฏิบัติผิด เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ ตัวเรานี่แหละหมกมุ่นในกาม กามก็คือความยินดี ไม่ได้ตามปรารถนามันก็ยินร้าย
ให้พระเถรเณรชีผู้ปฏิบัติพาการเข้าใจนะ เราจะมาเอาตัวตนเป็นที่ตั้งมันไปไม่ได้นะ มันมาอาศัยพระศาสนาหาอยู่หาฉันหาเลี้ยงชีพ มันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ปัญญามันก็ไม่เกิด เพราะเราไม่ได้พากันเป็นพระกันเลย พากันมาเป็นโจร โจรคือความทุกข์ โจรปล้นพระศาสนา คือเราเอาของจากประชาชนที่เราบริโภค เราไม่ใช่พระเราเป็นโจร เมื่อเราไม่ลงใจให้พระพุทธเจ้า ไม่ลงใจให้พระธรรมวินัย ไม่ลงใจให้พระอริยสงฆ์ นั่นคือมหาโจร พระพุทธเจ้าท่านได้แสดงมหาโจรไว้ ๕ ประเภท
โจรที่รวมพวกกันได้นับร้อยนับพัน ยกพลบุกเข้าปล้นบ้านเผาเมืองฆ่าฟันผู้คน แย่งชิงปล้นเอาทรัพย์สินของเขามาเป็นของตนเอง เทียบได้กับภิกษุลามกรวบรวมบริวารแวดล้อมได้เป็นร้อยเป็นพัน ทำทีจาริกเข้าไปในหมู่บ้าน นิคม เมืองใหญ่ ใช้กลอุบายหลอกลวงให้ชาวบ้านหลงเชื่อเคารพบูชา เพื่อให้ตนได้มาซึ่งลาภสักการะ จนร่ำรวยด้วยปัจจัย ๔ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๑”
ภิกษุลามกบางรูปที่ได้เล่าเรียนพระธรรมวินัยอันล้ำลึก ซึ่งพระตถาคตเจ้าผู้ทรงตรัสรู้อริยสัจได้ประกาศแล้ว กลับฉ้อฉลอ้างว่ารู้มาด้วยตนเอง คิดขึ้นมาได้เอง ไม่ได้เล่าเรียนมาจากใคร ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๒”
ภิกษุลามกบางรูปที่ปั้นเรื่องเท็จใส่ความเพื่อนพรหมจรรย์ผู้บริสุทธิ์ให้ได้รับความเสียหาย กล่าวหาโดยปราศจากมูลความจริง ก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่สงฆ์ ภิกษุลามกอย่างนี้จัดเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๓”
ภิกษุลามกบางรูปอยากได้ลาภยศสักการจากคฤหัสถ์ เบียดบังเอาครุภัณฑ์ ครุบริขาร เครื่องใช้ไม้สอยของวัด ที่ดินพัสดุของสงฆ์ นำไปยกให้แก่คฤหัสถ์ ประจบประแจงเอาใจ ภิกษุเหล่านี้ถือว่าเป็น “มหาโจรประเภทที่ ๔”
ภิกษุลามกพวกสุดท้ายที่จัดเป็น “มหาโจรชั้นเลิศ” ทั้งในโลกมนุษย์ มารโลก และพรหมโลก คือ ภิกษุที่อวดตนว่ามีวิชาความรู้วิเศษ ทั้งๆ ที่ตนเองรู้อยู่แล้วว่าไม่เป็นความจริง ไม่สามารถทำให้วิเศษขึ้นได้จริงตามที่อวดอ้าง แต่เมื่อให้ได้มาซึ่งความเคารพนับถือกราบไหว้บูชา ได้มาซึ่งลาภสักการ อันเป็นการกระทำด้วยอุบายหลอกลวงเหมือนดังนายพรานผู้วางเหยื่อดักสัตว์ เพื่อจับกินเป็นอาหาร แม้ผู้นั้นห่อหุ้มคลุมกายด้วยผ้ากาสาวพัสตร์ ก็ได้ชื่อว่าบริโภคก้อนข้าวของชาวบ้านในแบบลักขโมยด้วยการเนรคุณ ภิกษุลามกทุศีล “อวดอุตริมนุสสธรรม” เช่นนี้ถือว่าเป็น “ภิกษุอภิมหาโจรชั้นเลิศ” ประเภทที่ ๕
ภิกษุทุศีล พระพุทธองค์เรียกว่า “พระเน่าใน” ข้างนอกดูดี เพราะจีวรแพรป่านอย่างดีหุ้มห่อไว้ แต่ข้างในเหม็นร้ายกาจ แม้จะอบสมุนไพรทำให้ผิวผุดผ่อง ทำนองให้คนรู้ว่าผุดผ่องเพราะแสงแห่งคุณธรรม แต่ก็ผ่องไปไม่นาน ใบหน้าหมองคล้ำขึ้นทุกวัน กลิ่นตุๆ โชยเตะจมูกแรงขึ้นทุกที ภิกษุทุศีล บางครั้งพระพุทธองค์ตรัสว่า “พระหมกดาบในจีวร” อันหมายถึงซ่อนดาบไว้ในจีวร ใครเผลอเป็นเชือดดับดิ้น โดยเฉพาะดาบที่คอยเชือดเอาเงินทองของคนงมงายไปทีละนิดๆ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนเชือดก็ไม่มีเลือดเหลือแล้ว
ภิกษุทุศีล พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่ามหาโจรและยอดมหาโจร ที่มีพิษภัยร้ายกาจคือ มหาโจรประเภทที่ห้าคือพระโกหกมดเท็จ อวดอ้างว่าตนบรรลุคุณธรรมชั้นสูง สูงขนาดขึ้นไปจับมือถือแขนพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานได้ พระพุทธองค์ได้ตรัสตำหนิว่าพวกเธอประพฤติตนเยี่ยงมหาโจร หลอกต้มชาวบ้านกินไปวันๆ จึงทรงบัญญัติปาราชิกข้อที่ ๔ห้ามภิกษุอวดอุตริมนุสธรรม ดังกล่าวไว้ข้างต้น
ทำไมทรงเรียกพระโกหกหลอกลวงว่ายอดมหาโจร เพราะมหาโจรธรรมดาเวลาเข้าปล้น ใครเห็นก็รู้ทันทีว่าเป็นโจร บางครั้งกลัวเขาไม่รู้ โจรยังร้องบอกว่า “เป็นโจร”
แต่มหาโจรในคราบผ้ากาสาวพัสตร์ ดูยังไงก็ดูไม่ออก กว่าจะรู้ว่าเป็นมหาโจร ก็ถูกปล้นจนหมดตัวแล้ว เหตุนี้แลพระพุทธองค์จึงตรัสว่าเป็น “ยอดมหาโจร” เขามิได้ปล้นเฉพาะประชาชน หากปล้นพระธรรมคำสอน ปล้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธองค์ด้วย ปล้นเอาวัดเอาวามาตั้งบริษัท นำพระธรรมคำสอนมาเป็นสินค้าขาย จนร่ำรวยมหาศาล
เมื่อก่อนนี้ พ่อแม่ครูบาอาจารย์พร่ำสอนกันมาว่า “พระงามที่จน คน (ชาวบ้าน) งามที่มี” เดี๋ยวนี้ ทำไมมันกลับตาลปัตรปานนั้น
เราจะไปหาโจรที่ไหน โจรที่ยิ่งใหญ่คือมีความเห็นไม่ถูกต้องเข้าใจไม่ถูกต้องปฏิบัติไม่ถูกต้อง เอาตัวตนเป็นการดำเนินชีวิต เราทุกคนจึงต้องพากันมาหยุดความเป็นโจรของเรา เพราะมันเป็นเรื่องของเรา ใครจะหยุดให้ได้ ถ้าเราปฏิบัติไม่ได้ก็สืบไปเสีย จะพากันมาเป็นโจรไม่ได้ ถ้าเรามีตัวมีตนเอาตัวตนเป็นที่ตั้งนี่แหละคือมหาโจร เรามาหมกมุ่นในตัวในตนในกามในพยาบาท ศีลสมาธิปัญญาก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเราไม่ลงใจให้พระพุทธเจ้าพระธรรมพระอริยสงฆ์ เราเป็นเพียงแบรนด์เนมทางศาสนาเพื่อหาอยู่หาฉันนะ ยังไม่ใช่สงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า เราคืออลัชชีนะคือผู้ไม่ละอายต่อบาปไม่เกรงกลัวต่อบาป หมกมุ่นอยู่ในตัวในตน โจรนั้นก็คือโจร โจรนั้นไม่ใช่พระนะ พระก็คือผู้เสียสละ ไม่ขี้เกียจขี้คร้าน ไม่สะสมความกำหนัดยินดี เอาหลักตัดสินทำมาวินัย ๘ ประการเอามาพิจารณาซักฟอกตัวเอง คือ ธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความกำหนัดย้อมใจ... เป็นไปเพื่อประกอบความทุกข์... เป็นไปเพื่อสะสมกองกิเลส... เป็นไปเพื่อความอยากใหญ่... เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ... เป็นไปเพื่อความคลุกคลีหมู่คณะ... เป็นไปเพื่อความเกียจคร้าน... เป็นไปเพื่อความเลี้ยงยาก ธรรมเหล่านั้นพึงรู้ว่า ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่เป็นสัตถุสาสน์ คือคำสอนของพระศาสดา
ถ้าธรรมเหล่าใด เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัด... เป็นไปเพื่อความปราศจากทุกข์... เป็นไปเพื่อความไม่สะสมกิเลส... เป็นไปเพื่อความอยากน้อย... เป็นไปเพื่อความสันโดษ... เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ... เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร... เป็นไปเพื่อความเลี้ยงง่าย ธรรมเหล่านั้น จงรู้เถิดว่า เป็นธรรม เป็นวินัย เป็นสัตถุสาสน์ คือคำสอนของพระศาสดา
เราพากันมาบวชคือมาเสียสละนะ ถ้าเราไม่เสียสละปัญญามันก็เกิดไม่ได้ เพราะใจของเรามันคิดได้อย่างเดียว ให้ทุกคนถือคติว่า ที่มันแล้วก็ให้แล้วไป ให้ตั้งใจใหม่ ทุกท่านทุกคนต้องเข้มแข็งเสียสละตัวตน
วาระจิตในปัจจุบันเป็นสิ่งที่สำคัญ ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้งคือภพชาติคือวัฏสงสาร คือการสร้างครอบครัว คือมีตัวมีตน ที่ไปมีลูกมีเมียก็คือแสดงออกมาทางภายนอก เราต้องหยุดเรื่องคิดเรื่องใจก่อน เพราะกายมันไม่รู้อะไร ท่านทุกคนต้องจัดการตัวเองอย่างนี้ มีความสุขในการปฏิบัติรักษาศีล ตั้งมั่นในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เอาปัจจุบันให้ได้ เราจะได้อบรมบ่มอินทรีย์ เรียกว่าอริยมรรค
ทุกคนต้องพากันจัดการตัวเอง พระรูปไหนเณรชีรูปไหนก็ช่างหัวมัน เพราะการเวียนว่ายตายเกิดมันเป็นเรื่องของเรา พระพุทธเจ้าท่านเมตตาทรงสอนพวกเราว่า สมณะที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ นั้นมีอยู่ในอริยมรรคมีองค์ ๘ ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง ไม่ต้องไปแก้ที่คนอื่น
พวกเราทุกคนอย่าพากันเอาพระศาสนาหาอยู่หาเลี้ยงชีพนะ มันไม่ถูกต้อง มันเป็นความเสียหาย คนเราทุกคนมันมีอวิชชาความหลง มันก็ไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตาย นั่นคือความคิดเห็นผิดเข้าใจผิด คือบุคคลที่ไม่รู้จักอริยสัจ ๔ ความรู้สึกที่เป็นสัญชาตญาณ มันเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าผู้ได้บำเพ็ญพุทธบารมีมาหลายล้านชาติจนก็ตรัสรู้แล้วมาบอกมาสอนพวกเรา เราต้องสละคืนความรู้สึกนึกคิด เพื่อยกเลิกโรงงานแห่งอวิชชาความหลง เพื่อมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง เพื่อหยุดในสิ่งที่มันไม่ถูกต้อง เป็นการปฏิบัติที่เป็นศีลสมาธิปัญญาที่ให้เราได้ปฏิบัติในปัจจุบัน ทุกท่านทุกคนต้องจัดการโจรในตัวเองนะ ไม่ใช่โจรธรรมดา มันเป็นมหาโจร
พระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกของพระพุทธเจ้า โปรดผู้อื่นได้เป็นพระอรหันต์เป็นพระอริยเจ้าส่วนใหญ่ ก่อนท่านจะเข้าสู่นิพพาน ท่านก็ไปโปรดโยมแม่เพื่อให้ได้ดวงตาเห็นธรรม สิ่งสำคัญคือต้องหยุดความทุกข์ของตนเอง หยุดการประกอบทุกของตัวเอง การที่เราช่วยเหลือพ่อแม่ช่วยเหลือคนอื่นก็จะช่วยได้
ความดับทุกข์ให้ได้อยู่ที่ความรวยความจน มันอยู่ที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง การพัฒนาของเราทุกคนต้องพัฒนาทางด้านจิตใจ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก ไม่เอาตัวตนเป็นหลัก ให้มีความสุขในการประพฤติปฏิบัติ เพราะศีลสมาธิปัญญาคือความดับทุกข์ เมื่อเราไม่รักศีลสมาธิปัญญา ก็เท่ากับว่าเราไม่รักตัวเอง ส่วนใหญ่คนเป็นบ้า ก็ไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นบ้านะ เราต้องพัฒนาใจและวัตถุไปพร้อมๆ กัน เราพัฒนาใจให้มีพุทธะ เราต้องพัฒนากายให้มีพุทธะทางวัตถุไปด้วยกัน การเรียนการศึกษาต้องปรับกายกับใจไปพร้อมๆ กัน
เห็นไหมพระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่เสียสละที่สุดในโลก เพราะมีความสุขในการปฏิบัติธรรม ทรงบรรทมวันละ ๔ ชั่วโมง ถ้าเราเอาตัวตนเป็นที่ตั้ง เราก็ขี้เกียจขี้คร้าน หลวงพ่อสังเกตมานานพวกที่มาอยู่วัดส่วนใหญ่ก็พากันขี้เกียจขี้คร้าน พวกอยู่บ้านก็คงขี้เกียจขี้คร้านเหมือนกัน ไม่มีความรับผิดชอบ ความรับผิดชอบต่ำ
เราทำเพื่อมาเสียสละกัน เพราะเราทุกคนมีความเห็นเเก่ตัวขี้เกียจขี้คร้าน ใจสกปรก เพราะเราไม่อยากละ ไม่อยากเลิก เเม้เเต่นั่งสมาธิก็จมอยู่ในกาม มันอยากได้สมาธิ มันไม่ยอมเข้มเเข็ง ไม่ยอมตัวตรง ไม่ยอมกำหนดลมหายใจเข้าก็รู้ ลมหายใจออกก็รู้ มันจะเอาเเต่อะไร พวกพระก็ให้เข้าใจ พวกเณรก็ให้เข้าใจ พวกเเม่ชีก็ให้เข้าใจ พวกโยมวัดก็ให้เข้าใจ ถ้างั้นมาอยู่วัดก็ไม่ได้ฝึกอะไรเลย เเห่กันไป เเห่กันมา หุงหาอาหารให้เสียเวลาเฉยๆ การที่เป็นเเชมป์มันพอได้ พอฝึกเเล้วระยะหนึ่ง เเต่ที่จะรักษาเเชมป์มันเป็นของยาก ถ้ารักษาเเชมป์นี้ก็ มันอยู่ที่ปัจจุบัน ไม่เกี่ยวกับบวชเก่าบวชใหม่ หรือ ผู้ที่อยู่วัด อยู่บ้าน ทุกคนต้องทำปัจจุบันให้มันชัดเจนขึ้น ด้วยศีล ด้วยธรรม ด้วยพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าท่านได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัย เพื่อให้บุคคลที่มีอินทรีย์บารมีอ่อน ที่ยังไม่เข้าใจ ยังเป็นผู้ที่ตั้งอยู่ในความประมาท ไม่ให้ล่วงละเมิดในสิกขาบท ตั้งแต่พระวินัยที่เบื้องต้น ขนาดกลาง ขนาดหนัก
พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติศีล บัญญัติพระวินัยไว้สำหรับพระอรหันต์ ไว้สำหรับสามัญชน ความเป็นพระของเรา ความเป็นเณร ความเป็นอุบาสก อุบาสิกา หรือเป็นตำรวจ ทหาร ข้าราชการนั้น ที่จะเป็นไปเต็มรูปแบบทั้งกายทั้งใจ มันต้องเกิดจากความประพฤติ เกิดจากการปฏิบัติของเราทั้งกาย ทั้งวาจาและทางจิตใจ
เราแต่งตั้งกันได้ก็เพียงแต่งตั้งทางสมมุติ แต่ความประพฤตินั้น จะไม่มีใครแต่งตั้งเราได้ นอกจากตัวของเราเอง 'ความรับผิดชอบ' เป็นคุณสมบัติที่จะนำทางเราไปสู่ความเป็น คนดี เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร
คนเราจะมีคุณธรรมมันจะต้องเป็นคนที่รับผิดชอบ มีความรู้มีความเข้าใจนั้นยังไม่เพียงพอ มันต้องมีความรับผิดชอบ ถ้าใครมีความรับผิดชอบน่ะ คนๆ นั้นก็ชื่อว่าเป็น 'คนดี' ใครไม่มีความรับผิดชอบ เค้าก็เรียกว่าคนนั้นเป็น 'คนไม่ดี' คนที่รับผิดชอบ คือบุคคลที่เอาตัวรอดในทางที่ดี
คนที่ไม่รับผิดชอบ คือคนที่เอาตัวไม่รอด แม้แต่ตัวเองก็ยังปกครองตัวเองไม่ได้ ด้วยเหตุผลนี้ ไม่ว่าเราได้รับหน้าที่อะไร เราต้องรับผิดชอบอย่างเต็มที่ อย่างเต็มร้อย เห็นความสำคัญในสิ่งที่เราได้รับมอบหมาย เราต้องการจัดการ ต้องเคลียร์ อย่าได้ประมาท คนเค้ามองกันว่าคนโน้นรับผิดชอบ คนนี้ไม่รับผิดชอบน่ะ... ความรับผิดชอบนี้จึงเป็นการทำประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท
ทำไมเราถึงเคารพพระพุทธเจ้า ทำไมเราถึงฟังพระพุทธเจ้า เพราะว่าท่านเป็นคนมีศีล มีสมาธิ มีปัญญา ทำไมพวกลูกๆ หลานๆ ไม่ฟังพ่อไม่ฟังแม่ ไม่ฟังปู่ย่าตายาย เพราะว่าเป็นคนไม่มีศีล ทำไมเขาไม่ฟังเจ้าอาวาส ไม่ฟังผู้ที่บวชมาก่อน เพราะว่าคนพวกนี้ไม่มีศีล ไม่มีความตั้งมั่น ไม่มีปัญญา ยังทำตามใจตัวเอง ตามอารมณ์ตัวเอง ตามความรู้สึกตัวเอง ด้วยเหตุผลนี้ ผู้ที่มาบวชต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า เข้าสู่ระบบระเบียบของพระพุทธเจ้า ตัวเองถึงจะเคารพตัวเองได้ คนที่เกี่ยวข้องกับเรา ถึงจะเคารพเราได้ เราก็รู้ว่าคนเก่งมันมีเยอะ แต่คนดีแล้วเป็นคนเก่งด้วยมันหายาก ธรรมะของผู้ปกครองก็ต้องเข้าสู่ไลน์ของพระพุทธเจ้า ทำไมเขายกมือไหว้ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเพราะเขามีความสุข ทำไมไม่ไหว้ พระที่ไม่เอาศีล เอาธรรม เอาแต่เงิน เอาแต่ตังค์ เอาแต่ลาภ ยศ สรรเสริญ เพราะมีความทุกข์ใจว่าทำไมเราถึงมาไหว้คนอย่างนี้
เรามองดู... ถ้าจะเอาคนส่วนใหญ่ที่เค้าไม่ได้มาตรฐานเป็นประมาณ นั้นไม่ได้ ต้องเอาพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เราอย่าไปคิดว่า สมัยโน้นกับสมัยนี้มันไม่เหมือนกัน สมัยไหน... คนก็ย่อมมีความทุกข์ ย่อมมีความไม่สงบ เหมือนกัน ไฟมันก็ยังร้อนอย่างเก่า พริกมันก็ยังเผ็ดอย่างเก่า น้ำตาลมันก็หวานอย่างเก่า พระพุทธเจ้าให้ทุกท่านทุกคนน่ะ ตั้งมั่นใน 'พระรัตนตรัย' คือพระพุทธเจ้า คือพระธรรม คือพระอริยสงฆ์ 'พระอริยสงฆ์' ก็คือตัวเรานี้แหละ...ที่จะประพฤติปฏิบัติ เป็นพระอริยสงฆ์
ใจของคนนั้นมันไม่มีคนเฒ่าคนแก่ ไม่มีคนหนุ่มสาว ไม่มีผู้หญิง ผู้ชาย คือ ใจที่บริสุทธิ์ เป็นผู้หญิง...เป็นผู้ชาย ก็แตกต่างกันที่ไว้ผม มีเครื่องประดับ รักษาผิว เป็นพระ..เป็นโยม ก็แตกต่างกันที่เครื่องนุ่งห่ม กับปลงผม แต่ร่างกาย ก็คือ "ความแก่ ความเจ็บ ความตาย" นั้นเหมือนกัน
ถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง ปฏิบัติสมควร เป็นผู้ที่รับผิดชอบ เป็นผู้ที่เสียสละ หัวใจของเราก็เป็น 'พระอริยเจ้า' ได้ เหมือนกันทุกคน ไม่มีอะไรที่จะมากีดขวาง ขอให้เราตั้งมั่นในพระรัตนตรัย รับผิดชอบให้มันมากขึ้น ทุกอย่างให้มันละเอียดขึ้น เห็นคุณค่าในการเสียสละ เห็นคุณค่าในการที่เราจะต้องเป็นผู้ที่รับผิดชอบ ทุกๆ คนต้องดำเนินด้วยปลีแข้งของตัวเองด้วยการเสียสละในความดี หน้าที่การงาน ชีวิตก็จะพลิกล็อค เปลี่ยนแปลง ถ้าเราเป็นคนเสียสละ คนรับผิดชอบ ที่เราเป็นคนไม่รับผิดชอบเพราะเราไม่เสียสละ เห็นแก่ปาก แก่ท้อง แก่กิน แก่นอน เห็นแก่พวกพ้องบริวาร
คนรับผิดชอบเหมือนแผ่นดิน เป็นที่ให้เราได้ยืน ได้สร้างบ้านที่อยู่อาศัย มีร่างกายให้เราทำความดี ความรับผิดชอบจึงเป็นเยี่ยมที่สุดในโลก
อย่างในโลกนี้ ใครเป็นคนรับผิดชอบที่สุดในโลก...? พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รับผิดชอบที่สุดในโลก เสียสละที่สุดในโลก เรารับผิดชอบ โลกก็ต้องการ ถ้าเรารับผิดชอบ บ้านก็ต้องการ ที่ทำงานก็ต้องการ เพราะบุคคลนั้นหาได้ยาก
ความงามของคนอยู่ที่ไหน..? ความงามของคนไม่ใช่อยู่ที่หน้าตา ผิวพรรณ ความ งามแท้จริงที่เป็นอมตะ คือ ความรับผิดชอบ
อยู่ในวัดถ้าใครรับผิดชอบ ชื่อว่างามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง และงามในที่สุด เป็นผู้ให้ ผู้เสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทน ชื่อว่างามแท้จริง ตั้งมั่นในธรรม มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม
ไม่ว่าจะเป็นธรรมยุตหรือมหานิกายก็ต้องสามัคคีกัน ไม่ว่านิกายไหนก็ได้บรรลุธรรมพอกัน ถ้าปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์แปดตามพระพุทธเจ้า อย่างลูกศิษย์หลวงปู่มั่น มีทั้งธรรมยุตมหานิกายก็ได้บรรลุธรรมพอๆ กัน เราต้องสลายระบบสังฆเภทระบบแตกแยกระบบหมู่เฮาออกไปจากใจ พระพุทธเจ้าให้เราละอายต่อบาปกลัวต่อบาป อย่าไปคบค้าสมาคมกับอลัชชี อลัชชีภายนอกยังไม่ร้ายเท่ากับอลัชชีภายใน ที่มักจะอนุโลมขอโอกาสคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีไปเรื่อย ย่อหย่อนอ่อนแอไปเรื่อย สำคัญต้องเข้มแข็งต้องสมาทาน คนเราเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกันที่มีความสุข มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อม คนสำรวมตัวเอง คือคนปฏิบัติธรรม
ทุกคนอย่าไปเก้อเขินอย่าไปอาย โจรกลับใจมันก็อายนะ เก้อเขินนะ เป็นธรรมดานั่นแหละ ทำไปไม่กี่วันกี่เดือนกี่ปี มันก็เป็นไปโดยธรรมชาติ ไม่มีใครถึงปริญญาเอกทันทีหรอก มันก็ต้องผ่านอนุบาล ผ่านประถม ผ่านมัธยม ผ่านอุดมศึกษา ผ่านปริญญาตรี ปริญญาโท มันถึงปริญญาเอก เพราะนี้เป็นภาคปฏิบัติของเราทุกคน เพราะความประพฤติการปฏิบัติ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวเอง เป็นการประพฤติการปฏิบัติ ให้เป็นกุศลกรรม คือการกระทำดีของเรามันพัฒนาไป เพราะถ้าทำอย่างนี้นะ สถานการณ์มันจะเย็นลง ทั้งตัวเองและ ผู้อื่น เราทุกคนจะได้เป็นพระ เป็นสมณะ ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้อง เป็นพระไม่ได้ เป็นสมณะไม่ได้ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างวัน มันเป็นทางแห่งการประพฤติการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ให้เราพัฒนาปัญญาขึ้นสู่วิปัสสนา
เราทุกๆ คนทุกท่านปฏิบัติได้เหมือนๆ กัน ไม่ยิ่งไม่หย่อนกว่ากันนะ เราต้องเอาศักยภาพที่ประเสริฐออกมาใช้ออกมาประพฤติปฏิบัติ
"ความดี ความถูกต้อง ธรรมวินัย" เท่านั้น จะเป็นที่พึ่งของเราทั้งหลาย ไม่ว่าเราจะไปอยู่ที่ไหน ทำอะไรนั้นน่ะ "ศีล คือความรับผิดชอบ สมาธิ คือความหนักแน่น ปัญญา คือรู้จักรู้แจ้ง ปล่อยวาง เสียสละ อบรมบ่มอินทรีย์ พัฒนาตัวเองอย่างนี้ตลอดไป เพราะไม่มีความสุขใดยิ่งไปกว่าการปล่อยวาง... และสำรวมตนอยู่ในธรรม"
จกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee