แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
สาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดมันมาจากอะไร พระพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราทั้งหลาย สาเหตุมาจากเราทั้งหลายไม่เข้าใจในเหตุในปัจจัยที่เวียนว่ายตายเกิด การเวียนว่ายเกิดจึงเป็นสิ่งที่มี เราจะหยุดเวียนว่ายตายเกิดได้ ก็เพราะเหตุเพราะปัจจัย ใจของเรานั้นมันคิดได้ทีละอย่าง เราจะเอาความไม่รู้ไปดำเนินชีวิต ชีวิตของเรามันก็ดำเนินไปด้วยความประกอบทุกข์ เมื่อพระพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญพุทธบารมีได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ท่านถึงได้เมตตามาบอกมาสอนพวกเรา เพราะทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย เมื่อใจยังไม่รู้ เอาความไม่รู้เป็นการดำเนินชีวิต เราถึงพากันประกอบทุกข์ การเรียนการศึกษาก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ การทำงานก็เป็นไปเพื่อประกอบทุกข์ เพราะสิ่งที่ไม่รู้มันเป็นความทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านบอกพวกเราว่า เราจะหยุดสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยศีล ศีลที่เป็นสัมมาทิฏฐิมีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องแล้วปฏิบัติให้ถูกต้อง ศีลเท่านั้นถึงจะเป็นการหยุด หยุดนั้นเป็นพุทธะ เรียกว่าหยุดในตัวในตน หยุดในกามในพยาบาท ที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกพวกเราว่าหยุดตรึกนึกคิดในกามในพยาบาท
ศีลนั้นถือเป็นความดับทุกข์ที่สุดในโลก สมาธิที่มันเป็นสัมมาสมาธิถึงเป็นความสุขที่สุดในโลก ปัญญาที่มีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง มันถึงเป็นการหยุดเวียนว่ายตายเกิด ถ้าเราสละคืนตัวตน เราทุกคนก็ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด การดำรงชีวิตของเรามันก็ย่อมมีแต่พุทธะ ใจของเราที่เอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้ง เราก็ย่อมเป็นสัตว์บุคคลเป็นตัวเป็นตนเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชายเป็นเด็กเป็นหนุ่มเป็นสาวเป็นคนแก่ ศีลนี้ถึงเป็นความสุขที่สุดในโลก ผมสมาธิถึงเป็นความสุขที่สุดในโลก ธรรมะถึงเป็นความสุขที่สุดในโลก เพราะมันไม่ใช่นิติบุคคลตัวตน ตัวตนเป็นความทุกข์ที่สุดในโลก เอาตัวตนเป็นที่ตั้งก็ยังมาแซ่บมาอร่อยมาลำมานัว เอาตัวตนเป็นที่ตั้งบวชมาก็มาสร้างครอบครัวในเพศนักบวช เอาตัวตนเป็นที่ตั้งพวกคฤหัสถ์ก็มาสร้างครอบครัวสร้างตัวสร้างตน เป็นข้าราชการเอาตัวเอาตนเป็นที่ตั้งก็สร้างครอบครัวหมายถึงตัวตน
พวกศีลถึงเป็นความสุข พวกธรรมะถึงเป็นความสุข ปัญญาที่สละซึ่งตัวซึ่งตนถึงเป็นความดับทุกข์ ความดับทุกข์ก็มี ๒ อย่าง ความดับทุกข์ร่างกายคือการพัฒนาทางวิทยาศาสตร์ มีความสุขในการทำงานมีความสุขในการพัฒนาวิทยาศาสตร์ การเรียนการศึกษาถึงเป็นการพัฒนาความเป็นพุทธะ เป็นผู้รู้เหตุรู้ผลทางวิทยาศาสตร์ทางจิตใจไปพร้อมๆ กัน คนเราทำอย่างนี้มันก็มีความสุข ไม่ได้อัตคัดขัดสนอะไร ไม่ได้อัตคัดในปัจจัย ๔
ถ้ามีตัวมีตัวอย่างนี้คนสองคนก็ทะเลาะกันแล้ว สมาธิมันถึงมีความสุข สมาธิหมายถึงสมองไม่สับสน ศีลนี้คือสมองไม่สับสน ปัญญาคือสมองไม่สับสน สมองสงบด้วยมีพุทธะ คนเราไม่มีความสุขในการเสียสละละตัวละตน สมองก็ย่อมสับสน คนเราไม่มีความสุขในการรักษาศีล สมองก็ย่อมสับสน คนเราไม่มีความสุขในการเจริญสมาธิ สมองก็ย่อมสับสน คนเรามันต้องมีความสุขใจสบาย เราอย่าเอาความหลงเป็นความสุข เรามีความเห็นผิดเข้าใจผิด เอาความหลงเป็นความสุขอย่างนี้ไม่ได้ ทุกอย่างมันจะเป็นโทษทุก อย่างมันจะไม่เป็นคุณ
การดำเนินชีวิตของเราต้องเป็นไปด้วยความถูกต้อง เป็นไปเพื่อความดับทุกข์ ทั้งทางใจทั้งทางวัตถุไปพร้อมๆ กัน ที่เราได้พากันพัฒนาประเทศตั้งประเทศสร้างประเทศ เพราะความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้องนี้เป็นศีลเป็นสมาธิเป็นปัญญา ไม่ได้เป็นอวิชชาไม่ได้เป็นความหลง เพราะอันนี้เป็นความสุขเป็นความดับทุกข์เป็นโครงสร้างที่แน่นอน โครงสร้างที่เป็นอมตะ ทุกคนต้องจัดการกับตัวเองให้ถูกต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง อย่าไปสับสนอย่าไปเป็นได้แต่เพียงคน
เราถือพระพุทธเจ้าเป็นหลัก เพราะพระพุทธเจ้าไม่ใช่นิติบุคคลไม่ใช่ตัวตน ไม่ถือชนชั้นวรรณะ ทรงถือความถูกต้องความเป็นธรรมความยุติธรรม การเรียนการศึกษาก็เพื่อให้เป็นสัมมาทิฏฐิ เพื่อให้เป็นพุทธะทางจิตใจและทางวัตถุ ต้องเข้าสู่ภาคประพฤติภาคปฏิบัติ อย่าไปถือชนชั้นวรรณะ ต้องให้รู้จักคำว่าชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
ความถูกต้องก็คือความถูกต้อง เราอย่าไปถือตัวถือตนถือพรรคถือพวก ถ้าเอาตัวตนมันไปไม่ได้ เพราะไม่ใช่ความสมัครสมานสามัคคี มันแตกแยก ถ้าฝ่ายทางศาสนาเรียกว่าสังฆเภท
เพราะความสุขความดับทุกข์ทางจิตใจ มันเหนือกว่านั้น เรื่องความสุขความดับทุกข์ มันถึงเป็นเรื่องจิตเรื่องใจ มันไม่เกี่ยวกับคนรวยคนจน อยู่ที่เรามีความเห็นถูกต้องเข้าใจถูกต้องปฏิบัติถูกต้อง มีความสุขในการเสียสละ เพราะคนเราไม่เสียสละมันไม่มีความสุขไม่มีความดับทุกข์ เพราะว่าเรามีความผิดมีโทษ มันยังเป็นคนจะเอาความสุขความดับทุกข์กับวัตถุกับตัวกับตน มันยังไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง เขาเรียกว่ามนุษย์รวย เป็นเทวดารวยเฉยๆ ทุกท่านทุกคนอย่าไปตามใจตัวเองตามอารมณ์ตัวเอง ทุกท่านทุกคนมันจะเป็นพระได้อย่างไงหล่ะ ถ้าเราไม่เอาพระธรรมพระวินัยหน่ะ เหมือนกับที่เราเห็นกันทุกวันนี้ ไม่ค่อยเห็นมีใครได้บรรลุกัน ประเทศไทยบวชมีพระสงฆ์นับว่าเป็นแสน สองแสน ก็เพราะส่วนใหญ่ไม่ได้ตามพระพุทธเจ้าเลย ตามแต่ใจตัวเอง ตามแต่อารมณ์ตัวเอง เอาแต่วัตถุ ไม่ได้พัฒนาใจเลย ไม่ได้พัฒนาธรรมวินัยไปพร้อมๆ กัน
ดูแล้วความย่อหย่อนออนแอ เอาตัวตนเป็นที่ตั้งของผู้ที่มาบวชในประเทศไทยนี่นะ มันทำความเสียหายให้กับประเทศไทยเรา ประเทศอื่นก็ทำความเสียหายให้กับประเทศเขา อันนี้เสียหายมากนะ พวกที่นำคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่เอาพระธรรมวินัย 100% สมบูรณ์เนี่ย มันไปไม่ได้ เราปฏิบัติเพื่อให้เขาเลื่อมใส ให้ประชาชนเลื่อมใส ให้เพื่อนเลื่อมใส มันไม่ถูก มันยังปฏิบัติเป็นโจรอยู่ มันเรียกว่าปฏิบัติแบบเอาหินทับหญ้า ไม่ได้พัฒนาใจ เหมือนกฏหมายบ้านเมืองมันก็เป็นหินทับหญ้า มันไม่ได้ตั้งใจเจตนาเพื่อจะเสียสละ เพื่อพัฒนาทั้งกายทั้งวาจาพัฒนาทั้งใจไปพร้อมๆ กัน มันยังเป็นโจรอยู่ พวกฝรั่งลูกศิษย์อาจารย์ชาก็ดี หลวงตามหาบัวก็ดี หลวงพ่อพุทธทาสก็ดี พากันนำธรรมะดีๆไป ถ้าพวกท่านทั้งหลายพากันทิ้งพระวินัย กลายเป็นพระฉันหลายครั้ง เป็นพระที่ฟรีสไตล์ นั่นคือความเสียหาย นั่นมันไม่ใช่ศาสนาพุทธนะ นั่นคือทิฏฐิมานะอัตตาตัวตนนะ ท่านต้องระลึกถึงพระพุทธเจ้า ที่ท่านเสียสละ ท่านก็อยู่ตามโคนไม้ อยู่ตามป่าตามถ้ำ อยู่ตามที่ถูกต้องคามพระวินัย ท่านเสียสละ ถ้าท่านไม่เอาอะไรเลย ไม่เก็บเงินเก็บตังไม่อะไรเลย เราทำอย่างนี้แหละ เรากลับมีจะมีประโยชน์ต่อส่วนรวมนะ พวกท่านทั้งหลายอย่าพากันเข้าใจผิด เราต้องทรงไว้ซึ่งพระธรรมพระวินัยให้สมบูรณ์ พวกท่านอย่าพากันฟรีสไตล์ อย่าพากันเก่งไปเลยนะ ดำน้ำหลายครั้ง มันเกิน 3 ครั้ง โบราณว่าหัวมันล้านนะ หัวด้านหัวดื้อนะ มันจะไปไม่ได้
“บุคคลควรเห็นผู้มีปัญญา ที่คอยกล่าวคำขนาบ ชี้โทษของเราให้เห็นว่าเป็นดุจผู้ชี้บอกขุมทรัพย์ให้ ควรคบกับบัณฑิตที่เป็นเช่นนั้น เพราะเมื่อคบแล้ว ย่อมมีแต่ดีฝ่ายเดียว ไม่มีเลวเลย”
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคทรงสนทนากับคนฝึกม้าผู้เชี่ยวชาญนามว่าเกสิ พระองค์ตรัสถามว่า 'ดูก่อนเกสิ ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญทางการฝึกม้า ตถาคตอยากทราบว่า ท่านมีวิธีฝึกม้าอย่างไร?' นายเกสิทูลตอบว่า 'ฝึกโดยวิธีละมุนละม่อมบ้าง โดยวิธีรุนแรงบ้าง โดยวิธีทั้งละมุนละไมและทั้งรุนแรงบ้าง'
"เกสิ! ถ้าม้าของท่านไม่รับการฝึก คือฝึกไม่ได้ ท่านจะทำอย่างไร?"
"พระองค์ผู้เจริญ! ถ้าม้าตัวใดฝึกไม่ได้ ข้าพระองค์ก็ฆ่าม้าตัวนั้นเสีย ทั้งนี้เพื่อมิให้เสียชื่อผู้ฝึก และมิให้ม้าตัวนั้นมีพืชพันธุ์ไม่ดีต่อไป พระองค์ผู้เจริญ! พระองค์มีชื่อเสียงปรากฏว่าเป็นยอดแห่งนักฝึกคนที่พอจะฝึกได้ ก็พระองค์มีวิธีฝึกคนอย่างไรเล่า?"
"ดูก่อนเกสิ!" พระศาสดาตรัส "เราก็ฝึกบุคคลที่ควรฝึกอย่างนั้นเหมือนกัน คือฝึกโดยวิธีละมุนละไมบ้าง โดยวิธีรุนแรงบ้าง ทั้งโดยวิธีรุนแรงและละมุนละไมบ้าง"
"ถ้าฝึกไม่ได้เล่าพระเจ้าข้า" นายเกสิทูลถาม "พระองค์จะทรงกระทำประการใด"
"ถ้าม้าฝึกไม่ได้เราก็ฆ่าเหมือนกัน" พระศาสดาทรงตอบ
"ก็พระองค์ไม่ทรงทำปาณาติบาตมิใช่หรือ เหตุไฉนจึงตรัสว่าทรงฆ่า"
"ดูก่อนเกสิ! การฆ่าของเราเป็นการฆ่าแบบอริยประหาร คือไม่ยอมว่ากล่าวสั่งสอนเลย ทำประดุจบุคคลผู้นั้นไม่มีอยู่ในโลก การลงโทษอย่างนี้รุนแรงที่สุด ผู้ถูกลงโทษได้รับผลที่น่ากลัวที่สุด"
นายเกสิคนฝึกม้าทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาว่า "แจ่มแจ้งดียิ่งนัก"
เมื่อมีโอกาสประทับอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ได้ทรงนำเรื่องม้ามาเป็นบทประกอบพระธรรมเทศนา โอวาทภิกษุทั้งหลายมีใจความดังนี้
"ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงเห็นเงาปฏักที่นายสารถียกขึ้นเท่านั้น ก็ทราบได้ว่า นายต้องการจะให้ตนทำอย่างไร แล้วสามารถปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้องฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้น เพียงได้ยินข่าวว่าบุคคลโน้นอยู่บ้านโน้น แก่บ้าง เจ็บบ้าง ตายบ้าง ก็เกิดสังเวชสลดจิตน้อมเข้ามาหาตัวว่า แม้เราต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตายอย่างนั้นเหมือนกัน แล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมจนได้บรรลุคุณธรรมเบื้องสูง
"ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงได้เห็นเงาปฏักเท่านั้นยังไม่อาจเข้าใจความหมายที่นายต้องการให้ทำ แต่เมื่อถูกแทงจนขนร่วงนั่นแหละจึงรู้สึก แล้วปฏิบัติได้อย่างถูกต้องตามที่นายต้องการฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้นเพียงได้ยินข่าวเจ็บ และข่าวตายของผู้อื่นเท่านั้นยังไม่เกิดสังเวชสลดจิต แต่เมื่อได้เห็นด้วยตนเองซึ่งคนแก่ คนเจ็บ และคนตาย จึงเกิดสังเวชสลดจิตแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง
"ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงแต่เห็นเงาปฏักและถูกแทงจนขนร่วงก็ยังไม่รู้สึก เมื่อถูกแทนจนทะลุหนังเข้าไปจึงรู้สึก และพร้อมที่จะปฏิบัติตามนายฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้น เพียงเห็นคนแก่ คนเจ็บ หรือคนตาย และได้ยินได้ฟังข่าวเช่นนั้น ไม่ก่อให้เกิดความสังเวชสลดจิตได้ ต่อเมื่อญาติสายโลหิตมิตรสหายอันเป็นที่รักที่พึงใจเจ็บหรือตายลง จึงเกิดสังเวชสลดจิตแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง
"ภิกษุทั้งหลาย! ม้าบางตัวเพียงได้เห็นเงาปฏักถูกแทงจนขนร่วง ถูกแทงจนทะลุผิวหนังเข้าไป ก็หาเข้าใจถึงสิ่งที่นายต้องการให้ทำไม่ ต่อเมื่อถูกแทงจนจดกระดูกจึงรู้สึก และเข้าใจในสิ่งที่นายต้องการให้ทำฉันใด บุคคลบางคนก็ฉันนั้น เพียงแต่ได้ยินได้ฟัง หรือเห็นญาติพี่น้องเจ็บและตายก็ไม่เกิดสังเวชสลดจิต ต่อเมื่อตนเจ็บเอง และเจ็บเจียนตายใกล้ต่อมรณสมัย จึงรู้สึกสังเวชสลดจิตแล้วตั้งใจปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุคุณธรรมเบื้องสูง"
แลแล้วพระพุทธองค์ตรัสต่อไปว่า "ภิกษุทั้งหลาย! ม้าซึ่งประกอบด้วยคุณลักษณะหรือคุณสมบัติ ๔ ประการ ควรเป็นม้าทรงของพระราชา ๔ ประการนั้นคือ มีความซื่อตรง มีเชาวน์ดี มีความอดทน และมีลักษณะสงบเรียบร้อย ภิกษุผู้ประกอบด้วยคุณสมบัติ ๔ ประการก็เหมือนกัน คือ มีความซื่อตรงไม่หลอกลวงไม่คดในข้องอในกระดูก มีเชาวน์ดีในการู้อริยสัจ มีความอดทนอย่างยิ่ง และมีการสำรวมตนสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ไม่ประพฤติตนเอะอะโวยวายเยี่ยงนักเลงสุราบาน ก็สมควรเป็นทักขิเณยยบุคคล เป็นเนื้อนาบุญของโลก ภิกษุทั้งหลาย! เราเคยกล่าวไว้มิใช่หรือว่า ถ้าจะดูความเป็นบ้าในหมู่สงฆ์ ก็จงดูตรงที่เธอร้องรำทำเพลง ถ้าจะดูความเป็นเด็กในหมู่สงฆ์ ก็จงดูตรงที่เธอยิงฟันหัวเราะในลักษณะปล่อยตนเหมือนเด็กชาวบ้าน"
"ดูก่อนท่านทั้งหลาย!" พระอานนท์กล่าวต่อไป "พระพุทธองค์เคยตรัสกับข้าพเจ้าไว้ว่า 'อานนท์ เราจะไม่ทำกับพวกเธออย่างทะนุถนอม อย่างที่ช่างหม้อทำกับหม้อที่ยังเปียกยังดิบ อานนท์! เราจักขนาบแล้วขนาบเล่าให้หยุดหย่อน เราจักชี้ให้เห็นโทษของกิเลสบาปธรรมแล้วๆ เล่าๆ ไม่หยุดหย่อน อานนท์! ผู้ใดมุ่งหวังมรรคผลเป็นสำคัญในการประพฤติพรหมจรรย์ ผู้ใดเป็นสาระมีประโยชน์ ผู้นั้นจึงจักอยู่ได้"
เราเดินตามพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านบอกทางเราถูกต้องแล้ว แต่มันต้องอาศัยความอดทนความตั้งมั่น ถ้าเราไม่มีความอดทนตามใจตามตัวเอง เขาเรียกว่าเราเป็นคนทิฏฐิมานะมาก เป็นคนหัวดื้อ เป็นคนหัวรั้น เอาแต่ใจตัวเอง เป็นผู้ที่ว่ายากสอนยาก เราจะไปว่ายากสอนยากทำไมหล่ะ เพราะว่ามันไม่ถูกต้อง ไปว่ายากสอนยากทำไม เราอย่าไปคิดว่าปฏิบัติไม่ได้ เราต้องปฏิบัติได้ ไวรัสกับยารักษามันก็ต้องสู้กัน ยารักษาไวรัสในวัฏฏะสงสาร มันคือความอดทน ให้ทุกท่านทุกคนรู้จักว่าเราตามใจตัวเองเราจะเอาแต่ความรวยเอาแต่ความสุขเอาแต่สวรรค์ เพราะความรวยสวรรค์รู้จักเราต้องจิตใจเข้มแข็งเพราะอันนี้มันเป็นแค่ทางผ่านแค่เดินผ่านเฉยๆ เราต้องจิตใจเข็มแข็งต้องอดทนเพราะทุกอย่างมันมีทั้งคุณทั้งโทษ พวกบ้าน พวกรถ ลาภ ยศ สรรเสริญ มันก็ดีมันอำนวยความสะดวก แต่มนุษย์เราต้องมีปัญญามากกว่านั้น เราจะไปติดได้อย่างไร เพราะร่างกายนี้ก็ยังไม่ใช่ของเรา ทานอาหาร พักผ่อน ก็ยังแก่ไปเรื่อยๆ ทุกวัน ทุกคนติดเพลินในการท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสาร การท่องเที่ยวในวัฏฏะสงสารคือความเพลิดเพลิน เป็นสิ่งที่ทำให้เราเดินช้า
ทุกท่านทุกคนต้องพากันอดทนให้อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่กับปัจจุบันอยู่กับอานาปานสติ เราพากันหลงอารมณ์ หลงอะไรไปเรื่อย ความหลงพาเราเวียนว่ายตายเกิด มันก็อยากจะไปดูคนอื่น อยากไปฟังแต่คนอื่น อยากไปแก้ไขคนอื่น เราไปแก้ปัญหาข้างนอกมันไม่ถูก ต้องแก้ปัญหาในตัวเราที่ไม่มีความอดทน พระวินัยทุกข้อทุกสิกขาบทมีมาในพระปาฏิโมกข์ ๒๒๗ ข้อ มีมาในพระไตรปิฏก ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เพื่อให้เราทุกคนหยุดตัวเอง เพื่อไม่ให้ตัวเองมีทิฏฐิมานะ การหยุดนี่ถึงเป็นสิ่งที่หยุดปัญหาเราต้องเห็นคุณค่าของความอดทน ปัจจุบันเราต้องมีความสุขให้ได้ เพราะชีวิตของเราที่จะเป็นสุข เพราะความสุขที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่ประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญาในปัจจุบันมันถึงจะพัฒนาตัวเองได้ เราต้องเน้นที่ปัจจุบัน มันจะเป็นฐานที่ก้าวไป
ให้ทุกท่านทุกคนมีความสุขในการประพฤติการปฏิบัติ วันคืนเวลาเป็นการประพฤติการปฏิบัติ ให้ทุกคนพากันเข้าใจอย่างนี้นะ พระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่างแบบอย่าง เห็นไหมพระพุทธเจ้าของเราหน่ะ รองเท้าก็ไม่ใส่ ร่มก็ไม่กาง อะไรก็ไม่เอา บาตรก็มีแต่ใบหน่ะ ฝาก็ไม่มี พระพุทธเจ้าหน่ะ ไม่ได้ไปรถ ไม่ได้ไปด้วยเครื่องบินอะไรเลย มีแต่เสด็จด้วยพระบาท แต่ท่านมีอภินิหาร เพราะท่านเสียสละ ท่านก็สมควรที่จะมีอภินิหารใช่ไหม ท่านอยากไปที่ไหนก็เพียงแค่ลัดมือเดียว ก็รอบโลกหลายรอบแล้ว
คนเราต้องมีความสุขในการประพฤติในการปฏิบัติ ทุกท่านทุกคนต้องพากันมีความสุข ทั้งพระทั้งประชาชน อย่าห่วงในลูกหลานในตระกูลอะไรอย่างนี้ ถ้าห่วง เราก็เสียสละซิ เป็นตัวอย่างให้ลูกให้หลาน คนเราถ้ามีความสุขในการทำงานมันจะจนได้ไง มีความสุขในความขยันรับผิดชอบจะจนได้ไง เป็นพระที่ไม่เอาอะไรเลยเขาก็เอาอะไรมาถวายเยอะแยะเลยใช่ไหม ไม่ต้องไปติดป้ายตามสี่แยกทำบุญนู้นทำบุญนี้ ให้เรารู้จักว่าพระคืออะไร พระก็คือพระธรรมพระวินัย คือจิตใจที่บริสุทธิ์ที่เสียสละที่ละซึ่งตัวตนให้เข้าใจอย่างนี้
ถ้าเราคิดว่าเรามาบวชเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนา เราจะมาสร้างวัดสร้างวา มาสร้างโบสถ์ สร้างวิหารนี้ มันยังไม่จริง มันยังไม่ถูก ให้เราน้อมดูพระพุทธเจ้า ท่านนั่งอยู่ ท่านเดิน อยู่บนพื้นดิน ทำอะไรท่านปล่อยท่านวางหมด ท่านบังคับเราไม่ให้เราก่อเราสร้าง ไม่ให้ขวนขวาย ไม่ให้เราก่อสร้าง
ถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ญาติโยมมีศรัทธาเขาจะมาสร้างให้เราเป็นหลังๆ เอง ท่านไม่ให้ไปเรี่ยไรขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่ปวารณา ไม่ให้ขึ้นป้ายบอกบุญตามถนนหนทางว่าสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ต่างๆ ถ้ามันเป็นความคิดของพระเองมันไม่ได้! "มันเป็นการขอของจากคนที่ไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่ปวารณา"
พระพุทธเจ้าท่านให้เรา 'สร้างปฏิปทา' เหมือนเรากำลังทำกันอย่างนี้แหละ ไม่อย่างนั้นการก่อสร้างต่างๆ นี้ มันก็มีประโยชน์น้อย มีอานิสงส์น้อย เพราะทุกๆ คนที่มาพักพิง มาปฏิบัตินี้ไม่ตั้งอกตั้งใจกัน พระหนุ่มๆ เณรน้อย หรือญาติโยมที่พากันประพฤติปฏิบัติจะได้เกิดประโยชน์
เมื่อตัวอย่าง...มันไม่มี แบบพิมพ์...มันไม่มี พระพุทธศาสนาก็จะเสื่อมไปๆ แล้วคิดว่าประวัติของพระพุทธเจ้า ประวัติของพระอรหันต์ คิดว่าเป็นนิยายกันไป...ไม่เป็นความจริง ถ้าเราพากันประพฤติปฏิบัติ ดูพระนิพพานก็อยู่ไม่ไกล อนาคตก็สดใสเหลือเกิน
เราทำการทำงานให้มันชำนิชำนาญ ให้มันเข้าใจและก็ให้มันเป็นการประพฤติปฏิบัติของเรา ที่ต้องให้มันมีความชำนิชำนาญ ให้มันเป็นวันนี้...เราเป็นเท่านี้ ขนาดนี้ แล้วเราต้องต่อเนื่องในวันพรุ่งนี้เพิ่มขึ้นอีก เราอย่าไปคิดว่าอนาคตมันริบหรี่ เหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทร ไม่รู้มันจะเป็นอย่างไร...
ถ้าท่านคิดอย่างนั้น แสดงว่าท่านยังไม่รู้อนาคต อนาคตที่เดี๋ยวนี้แหละ ที่มันเห็น ที่มันเป็น เราเองถ้าปฏิบัติไม่หยุด... ถึงได้เป็น 'พระอริยเจ้า' จะได้ไม่ต้องไปหากราบ หาไหว้ไกลๆ ต้องมากราบ 'พระที่จิตที่ใจ' ของเรานี้แหละ การประพฤติปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าบอกให้เราไม่อ่อนแอ ให้เราตั้งใจไว้ ไม่ว่าเราจะเหน็ดเราจะเหนื่อยนี้ให้ถือว่าเรื่อง ใจ' เป็นสิ่งที่สำคัญ ที่แล้วก็แล้วไป ให้ถือว่าเรานั้นมันโง่ไปแล้ว
ทุกท่านทุกคนต้องตั้งอกตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เพราะเพื่อนฝูง ครูบาอาจารย์ ไม่มาปฏิบัติให้เรานะ พระพุทธเจ้าเป็นเพียงผู้สอนนะ "ธรรมวินัย ข้อวัตร ปฏิบัติ" ที่เราพากันปฏิบัติตาม อย่างนี้แหละ คือ พระพุทธเจ้า คือ พระธรรม คือ พระอริยสงฆ์ "นอกจากนี้ไม่มีอีกแล้ว ถึงจะเหนื่อย ถึงจะยากลำบาก มันก็คุ้ม"
“ความเป็นมงคล ความดีความงาม มันไม่ได้อยู่ที่ปากคนอื่น แต่อยู่ที่การกระทำของเรา คือ ถ้าเราทำไม่ดี ต่อให้คนเขาจะยกย่อง สรรเสริญต่างๆ นานา อย่างไรก็ตาม ความไม่ดีมันก็ยังมีอยู่ เพราะมันไม่ได้อยู่ที่ปากเขา
หรือถ้าเราทำความดีแล้ว สุดจะดี แต่ก็มีคนด่าคนว่า ตำหนิติเตียน จริงไม่จริงไม่รู้ แต่ด่าไว้ก่อน ถึงเขาจะพูดด่าว่าอย่างนี้ แต่ความดีมีอยู่ในเรา มันก็ไม่ได้อยู่ที่ปากเขา”
“...ในสังสารวัฏการกระทบกระทั่งมันมีเกิดขึ้น เมื่อเราเข้าใจแล้วว่ามันมีเป็นมาอย่างนี้ เราจะไปอยู่ในนี้เหรอ? ถ้าเผื่อว่าเรายังข้องอยู่ ยังไม่วางอยู่ ยังยึดไว้อยู่ ยังผูกอยู่ มันหลุดออกจากกันไม่ได้ แต่ถ้าเรามีความเข้าใจแล้ว ไม่ยึดอยู่ ปล่อยแล้ว วางแล้ว สามารถที่พ้นจากโทษภัยของสังสารสัฏนี้ได้แน่นอน”
ความอดทนและความเป็นคนว่าง่าย จะเป็นทางมาแห่งความสุขความเจริญ และคุณธรรมความดีทุกอย่าง เป็นปัจจัยให้ได้บรรลุธรรม เพราะฉะนั้นให้พวกเราทุกคนต้องฝึกอดทนและเข้มแข็ง ฝึกที่จะลดตัวของเราลงต่ำ เพื่อยกใจให้สูงขึ้น เหมือนมหาสมุทรเป็นที่รองรับแม่น้ำทุกสายที่ไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ ให้คำแนะนำของยอดกัลยาณมิตรได้มาช่วยเติมส่วนที่พร่อง และเสริมให้เราเป็นผู้มีจิตใจสูงส่ง เปี่ยมล้นด้วยคุณธรรมของผู้ปฏิบัติที่จะมุ่งไปสู่พระนิพพาน ให้ฝึกฝนความเป็นคนว่าง่าย ควบคู่กับการปฏิบัติศีลสมาธิปัญญาตามอริยมรรคมีองค์ ๘ จนกว่าจะเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานกันทุกคน
พระพุทธเจ้าจึงทรงบอกให้เราตัดเรื่องอดีต ตัดเรื่องอนาคต เน้นไปที่ปัจจุบัน เอาธรรมเป็นการดำเนินชีวิต ด้วยฉันทะ ความพอใจ ด้วยความสุข เป็นแบบนี้แล้ว ทุกข์มันจะมาจากไหน เราจะได้ชื่อว่าสุคโต อยู่ก็ดี ไปก็ดี จะได้ชื่อว่าเป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าเรานักบวชหรือเป็นฆราวาส ถ้าเราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น เราก็เข้าถึงนิพพานพอๆ กัน ไม่มีใครเหนือกว่ากันหรอก ที่เหนือกว่าก็เพราะว่าการประพฤติปฏิบัติ ที่มีความเห็นถูกต้อง เข้าใจถูกต้อง ปฏิบัติถูกต้อง ทุกคนต้องพากันเห็น เทวทูตทั้ง ๔ คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพราก ความสงบ เขาเรียกว่าเทวทูต ทุกคนต้องมีความสุขใน ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ความพลัดพลาก ไม่ช้าก็เร็วเราก็ต้องเจอ เราต้องมีความสุข เราจะได้มีสัมมาทิฏฐิ เราจะได้เป็นคนไม่หลงงมงาย กลัวแก่ กลัวเจ็บ กลัวตาย มันถูกที่ไหนเล่า เราเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า เราต้องทำเหมือนท่าน มีความสง่างามในเบื้องต้นคือศีล มีความสง่างามในท่ามกลางคือสมาธิ มีความสง่างามในที่สุดคือปัญญา ชีวิตจึงจะประเสริฐอย่างแท้จริง
แจกปัญญา แจกศาสนา แจกธรรมวินัย แจกสิ่งที่ถูกต้อง
เพื่อเดินตามรอยพระพุทธเจ้าร้อยเปอร์เซ็นต์
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
โดยทุกท่านสามารถติดตามเพิ่มเติมได้ที่
https://linktr.ee/watsubthawee
Share wisdom, spread Buddhism and its discipline.
Advocate righteousness to follow Lord of Buddha's footsteps 100%
ธรรมะสบายสบาย | Dhamma Sabaai Sabaai
You can receive new Dharma updates.
https://linktr.ee/watsubthawee